[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 19:40:39 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ค.ศ. 2012 โลกแตกแล้วอย่างไร ? โลกไม่แตกแล้วอย่างไร ?  (อ่าน 5262 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 03 มิถุนายน 2553 18:23:10 »

ข้อความเดิมจาก อ.ฐิตา ครับ บอร์ดเก่า



...ค.ศ.2012

โลกแตกแล้วอย่างไร ?
โลกไม่แตกแล้วอย่างไร ?


ขณะที่ ภาพยนตร์ 2012 วันสิ้นโลก ในปี 2009 กำลังเริ่มฉาย...
คนกลุ่มหนึ่งตั้งปัญหาขึ้นมาในใจว่า


โลกจะแตกจริงเหรอ ?

เมื่อโลกแตก เราจะตายไหม ?
แล้ว

เราจะตายก่อนโลกแตกหรือเปล่า ? 

เป็นที่แน่ชัดว่า การตั้งปัญหาเช่นนี้ มิได้เกิดขึ้นเมื่อ กระแสแห่งภาพยนตร์ 2012 วันสิ้นโลก ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหวังปลุกระดมประชากรทุกทวีปให้หันหน้ามาสนใจสุขภาพและใส่หน้ากากให้โลกเล็ก ๆ ใบนี้ !


หากแต่มันถูกขบคิดขึ้นก่อน ภาพยนตร์อีกเรื่องที่ชื่อว่า The Day After Tomorrow วิกฤติวันสิ้นโลก ในปี 2004


ก่อนจากนั้นถอยไปไกล...จนกระทั่ง ในสมัยพุทธกาล ปัญหาว่า โลกเที่ยงหรือ ? โลกไม่เที่ยงหรือ ?   ก็ถูกถามตรง ๆ ต่อหน้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่อยครั้ง ถึงกระนั้น พระองค์ก็ไม่พยากรณ์ /1 และได้เปรียบเทียบความเห็นที่ชี้ชัดว่า โลกเที่ยง! และ โลกไม่เที่ยง! กับเรื่อง ตาบอดคลำช้าง /2 ให้ฟัง

เรื่องเคยมีมาแล้ว ในเมืองสาวัตถี พระราชาองค์หนึ่งตรัสกับราชบุรุษคนหนึ่งว่า

มานี่ซิ บุรุษผู้เจริญ ! คนตาบอดแต่กำเนิด ในเมืองสาวัตถีนี้ มีประมาณเท่าใด ท่านจงให้คนทั้งหมดนั้น มาประชุมกันในที่แห่งหนึ่ง

บุรุษนั้น ทำตามพระประสงค์แล้ว

พระราชา ได้ตรัสสั่งกะบุรุษนั้นว่า


ดูก่อนพนาย ! ถ้าอย่างนั้น ท่านจงแสดงซึ่งช้าง แก่คนตาบอดแต่กำเนิดเถิด

ราชบุรุษนั้นได้ทำตามพระประสงค์

โดยการให้คนตาบอดแต่กำเนิดพวกหนึ่ง คลำซึ่ง

ศีรษะช้าง
หูช้าง
งาช้าง
งวงช้าง
กายช้าง
เท้าช้าง
หลังช้าง
โคนหางช้าง
พวงหางช้าง


พร้อมกับบอกว่า “นี่แหละช้าง” ดังนี้


ครั้นบุรุษนั้นแสดงซึ่งช้าง แก่พวกคนตาบอดแต่กำเนิด ดังนั้นแล้ว ได้เข้าไปกราบทูลพระราชาว่า

“พวกคนตาบอดแต่กำเนิดเหล่านั้น ได้เห็นช้างแล้ว

ข้าแต่เทวะ ! ขอพระองค์จงทรงทราบซึ่งสิ่งอันพึงกระทำต่อไป ในกาลนี้เถิด พระเจ้าข้า !”

พระราชาได้เสด็จไปสู่ที่ประชุมแห่งคนตาบอดแต่กำเนิด แล้วตรัสว่า

“พ่อบอดทั้งหลาย ! พ่อเห็นช้างแล้วหรือ?”

ครั้นได้ทรงรับคำตอบว่า เห็นแล้ว จึงตรัสว่า

“ถ้าเห็นแล้ว พ่อบอดทั้งหลาย จงกล่าวดูทีว่า ช้างนั้นเป็นอย่างไร ?”



คนตาบอดพวกใด ได้คลำ ศีรษะช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน หม้อ

คนตาบอดพวกใด ได้ คลำหูช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน กระด้ง

คนตาบอดพวกใด ได้คลำ งาช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน ผาล

คนตาบอดพวกใด ได้คลำ งวงช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน งอนไถ

คนตาบอดพวกใด ได้คลำ กายช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน พ้อม

คนตาบอดพวกใด ได้คลำ เท้าช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า! ช้างเหมือน เสา

คนตาบอดพวกใด ได้คลำ หลังช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า! ช้างเหมือน ครกกระเดื่อง

คนตาบอดพวกใด ได้คลำ โคนหางช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า!ช้างเหมือน สากตำข้าว

คนตาบอดพวกใด ได้คลำ พวงหางช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า! ช้างเหมือน ไม้กวาด

คนตาบอดแต่กำเนิดทั้งหลายเหล่านั้นเถียงกันอยู่ว่า


ช้างเป็นอย่างนี้  ช้างมิใช่อย่างนี้ บ้าง

ช้างมิใช่อย่างนี้

ช้างเป็นอย่างนี้ ต่างหาก

ฉันใด ก็ฉันนั้น การขบคิดและถกเถียงปัญหาเกี่ยวกับโลกแล้วยืนยันความเห็นว่า โลกเที่ยง!  หรือ โลกไม่เที่ยง! อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยส่วนเดียว ก็เป็นอย่างเดียวกับ เรื่อง ตาบอดคลำช้าง นี้นี่แหละ ซึ่ง


ฝ่ายที่เห็นว่า “โลกเที่ยง!” ก็ต้องอ้างว่า


โลกย่อมไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในระยะเวลา คือ โลกมีอยู่แล้ว
ไม่มีการเกิดปรากฏ ไม่มีการเสื่อม(แตก)ปรากฏ  และเมื่อตั้งอยู่ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ /3 ส่วน


ฝ่ายที่เห็นว่า “โลกไม่เที่ยง!” ก็ต้องอ้างว่า


โลกย่อมมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในระยะเวลา คือ
มีการเกิดปรากฏ มีการเสื่อม(แตก)ปรากฏ และเมื่อตั้งอยู่ก็มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ /3


เมื่อทั้งสองฝ่ายเชื่อในความเห็นของตน ทางใดทางหนึ่งซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างเส้นขนานที่ที่ไม่มีวันตัดกันแล้ว ก็ย่อมเกิดการบาดหมาง ทะเลาะกัน วิวาทกัน ทิ่มแทงซึ่งกันและกันอยู่ด้วยหอกคือ ปาก เป็นธรรมดา ! /2


เหตุเพราะต่างก็จ่อมจมอยู่ในความเห็นที่สุดโต่ง สุดขั้วทั้งคู่ ! เปรียบได้กับปลาที่ถูกตาข่ายของชาวประมงครอบไว้ ทำให้ว่ายไปวนมาอยู่ในที่นั้น


ขณะเดียวกัน หากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ลงไปชัดว่า โลกเที่ยง! หรือ โลกไม่เที่ยง! แล้ว


คำถาม ต่อเนื่องที่สำคัญมากกว่า ! คือ

โลกไม่เที่ยง(โลกแตก) แล้วอย่างไร?


โลกเที่ยง(โลกไม่แตก) แล้วอย่างไร?


พุทธวจนะข้างล่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่ มาลุงกยบุตรที่เชตวัน /4 น่าจะเป็นคำตอบได้ดีที่สุด




Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2553 18:24:06 »



มาลุงกยบุตร ! ในเมื่อมี ทิฏฐิว่า

“โลกเที่ยง”
“โลกไม่เที่ยง” อยู่

ก็ยังมี

ความเกิด
ความแก่
ความตาย
ความโศก
ความคร่ำครวญ
ทุกข์กาย
ทุกข์ใจ และความแห้งผากในใจ อันเป็นความทุกข์

ซึ่งเราบัญญัติการกำจัดเสียได้ ในภพที่ตนเห็นแล้วนี้ อยู่นั่นเอง

มาลุงกยบุตร ! ก็อะไรเล่า ที่เราไม่พยากรณ์?

สิ่งที่เราไม่พยากรณ์คือ
โลกเที่ยง
โลกไม่เที่ยง

เพราะเหตุไร เราจึงไม่พยากรณ์ ?

มาลุงกยบุตร ! เพราะเหตุว่า

นั่นไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ไม่ใช่เงื่อนต้นของพรหมจรรย์
ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อ
ความหน่าย
ความคลายกำหนัด
ความดับ
ความรำงับ
ความรู้ยิ่ง
ความรู้พร้อม และนิพพาน


มาลุงกยบุตร ! ก็อะไรเล่า ที่เราพยากรณ์ ? /5

สิ่งที่เราพยากรณ์ คือ
นี้ทุกข์
นี้เหตุให้เกิดทุกข์
นี้ความดับไม่เหลือของทุกข์ และ
นี้หนทางให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์



ก็สิ่งนี้ เหตุไรเล่า เราจึงพยากรณ์ ?


เพราะนั่นประกอบด้วยประโยชน์
เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์
นั่นเป็นไปพร้อมเพื่อ
ความหน่าย
ความคลายกำหนัด
ความดับสนิท
ความรำงับ
ความรู้ยิ่ง
ความรู้พร้อม และนิพพาน



มาลุงกยบุตร ! เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้
เธอจงจำสิ่งที่เราไม่พยากรณ์โดยความเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ และ
จำสิ่งที่เราพยากรณ์ โดยความเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์แล้วเถิด



สรุปง่าย ๆ คือ การแก้ปัญหาที่ว่า โลกจะแตกจริงเหรอ ? เมื่อโลกแตก เราจะตายไหม ? แล้ว เราจะตายก่อนโลกแตกหรือเปล่า ? ไม่สำคัญเท่า การแก้ปัญหาเรื่อง “ความตาย” กล่าวคือ ทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย ให้ได้บนโลกที่ยังคงมีอยู่ ณ ปัจจุบันขณะ !


ซึ่งนั่นก็ คือ ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด มาอีกบนโลกใบนี้ นั่นเอง



รวบรวมและเรียบเรียง
หลังม่านสีฟ้า
เริ่มคิด แรม 2 ค่ำ เดือน อ้าย เสร็จ แรม 9 ค่ำ เดือน อ้าย


ปล.เดิมกะจะรวมอยู่ในเรื่อง ธรรมจะยาตรา! ทว่าศาสนากำลัง 0 แต่จะเยิ่นเย้อเกินไป และไม่เกี่ยวข้องโดยตรง จึงแยกออกมาเป็นอีกเรื่องดังที่เห็นนี้



ขอบคุณภาพดีดี จาก http://api.ning.com/files/hz-7ROkEN3cvPXcL*V4is1UeGJ8zCLtzUq1pSonq8IY_/strategy.jpg


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2553 18:24:55 »




อ้างอิงพุทธวจนะ

/1 ทรงพยากรณ์เฉพาะเรื่องอริยสัจสี่
(สี. ที. ๙/๒๓๒-๒๓๓/๒๙๒-๒๙๓)

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัจจะที่ว่า โลกเที่ยง นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ ดังนั้นหรือ พระเจ้าข้า ?”

โปฏฐปาทะ ! ข้อที่ว่า

“โลกเที่ยง นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ”

ดังนี้นั้น เป็นข้อที่ เราไม่พยากรณ์

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัจจะที่ว่า โลกไม่เที่ยง นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ ดังนั้นหรือ ?”

โปฏฐปาทะ! ข้อที่ว่า

“โลกไม่เที่ยง นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ”

ดังนี้นั้น เป็นข้อที่ เราไม่พยากรณ์




"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เพราะเหตุอะไรเล่า ข้อนั้น ๆ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ทรงพยากรณ์?


โปฏฐปาทะ ! เพราะเหตุว่า

นั่นไม่ประกอบด้วยอรรถะ

ไม่ประกอบด้วยธรรมะ

ไม่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์

ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อ

ความหน่าย

ความคลายกำหนัด

ความดับ

ความระงับ

ความรู้ยิ่ง

ความรู้พร้อม และนิพพาน


เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์


"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เพราะเหตุอะไรเล่า เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงพยากรณ์ ?"


โปฏฐปาทะ ! ข้อที่เราพยากรณ์นั้นคือ


นี้ทุกข์

นี้เหตุให้เกิดทุกข์

นี้ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

นี้ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ดังนี้


"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เพราะเหตุอะไรเล่า จึงทรงพยากรณ์?"


โปฎฐปาทะ! เพราะเหตุว่า


นั่นประกอบด้วยอรรถะ

ประกอบด้วยธรรมะ

เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์

เป็นไปพร้อมเพื่อ

ความหน่าย

ความคลายกำหนัด

ความดับ

ความระงับ

ความรู้ยิ่ง

ความรู้พร้อม และนิพพาน


เหตุนั้นเราจึงพยากรณ์


/2 ถ้ารู้ปฏิจจสมุปบาท ก็จะไม่เกิดทิฏฐิอย่างพวกตาบอดคลำช้าง
(สูตรที่ ๔ ชัจจันธรรค อุ.ขุ. ๒๕/๑๘๒/๑๓๗ ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน)


ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายเป็นอันมาก ครองจีวรถือบาตรเข้าไปสู่เมืองสาวัตถี เพื่อบิณฑบาตในเวลาเช้า


กลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลว่า


"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ในเมืองสาวัตถีนี้ มีสมณพราหมณ์ปริพพาชกผู้มีทิฏฐิต่าง ๆ กันเป็นอันมาก อาศัยอยู่ ล้วนแต่


มีทิฏฐิต่าง ๆ กัน
มีความชอบใจต่าง ๆ กัน
มีความพอใจต่าง ๆ กัน
อาศัยทิฏฐิต่าง ๆ กัน


สมณพราหมณ์บางพวก มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า


“คำนี้ว่า โลกเที่ยง เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ”


สมณพราหมณ์บางพวก มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า


“คำนี้ว่า โลกไม่เที่ยง เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ”


สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น


เกิดการบาดหมางกัน
ทะเลาะกัน
วิวาทกัน
ทิ่มแทงซึ่งกันและกันอยู่ด้วยหอกคือ ปาก ทั้งหลายว่า


“ธรรมเป็นอย่างนี้ ธรรมมิใช่เป็นอย่างนี้
ธรรมมิใช่เป็นอย่างนี้ ธรรมเป็นอย่างนี้ อยู่ดังนี้"


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ปริพพาชกทั้งหลายผู้เป็นเจ้าลัทธิอื่น ๆ เหล่านั้น เป็นคนบอดไร้จักษุ


จึงไม่รู้อัตถะ ไม่รู้อนัตถะ
จึงไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้อธรรมะ
เมื่อไม่รู้อัตถะอนัตถะ
เมื่อไม่รู้ธรรมะอธรรมะ


ก็เกิด
การบาดหมางกัน
ทะเลาะกัน
วิวาทกัน
ทิ่มแทงซึ่งกันและกันอยู่ด้วยหอกคือ ปาก ทั้งหลายว่า


"ธรรมเป็นอย่างนี้ ธรรมมิใช่เป็นอย่างนี้
ธรรมมิใช่เป็นอย่างนี้ ธรรมเป็นอย่างนี้ อยู่ดังนี้"


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องเคยมีมาแล้ว ในเมืองสาวัตถีนี้เอง มีพระราชาองค์หนึ่งตรัสกับราชบุรุษคนหนึ่งว่า


มานี่ซิ บุรุษผู้เจริญ ! คนตาบอดแต่กำเนิด ในเมืองสาวัตถีนี้ มีประมาณเท่าใด ท่านจงให้คนทั้งหมดนั้น มาประชุมกันในที่แห่งหนึ่ง


บุรุษนั้น ทำตามพระประสงค์แล้ว


พระราชานั้น ได้ตรัสสั่งกะบุรุษนั้นว่า


ดูก่อนพนาย ! ถ้าอย่างนั้น ท่านจงแสดงซึ่งช้าง แก่คนตาบอดแต่กำเนิดเถิด



ราชบุรุษนั้นได้ทำตามพระประสงค์


โดยการให้คนตาบอดแต่กำเนิดพวกหนึ่ง คลำซึ่ง
ศีรษะช้าง
หูช้าง
งาช้าง
งวงช้าง
กายช้าง
เท้าช้าง
หลังช้าง
โคนหางช้าง
พวงหางช้าง พร้อมกับบอกว่า นี่แหละช้าง ดังนี้


ครั้งบุรุษนั้นแสดงซึ่งช้าง แก่พวกคนตาบอดแต่กำเนิด ดังนั้นแล้ว ได้เข้าไปกราบทูลพระราชาว่า


"พวกคนตาบอดแต่กำเนิดเหล่านั้น ได้เห็นช้างแล้ว


ข้าแต่เทวะ ! ขอพระองค์จงทรงทราบซึ่งสิ่งอันพึงกระทำต่อไป ในกาลนี้เถิด พระเจ้าข้า !"


พระราชาได้เสด็จไปสู่ที่ประชุมแห่งคนตาบอดแต่กำเนิด แล้วตรัสว่า


"พ่อบอดทั้งหลาย ! พ่อเห็นช้างแล้วหรือ?"


ครั้นได้ทรงรับคำตอบว่า เห็นแล้ว จึงตรัสว่า


"ถ้าเห็นแล้ว พ่อบอดทั้งหลายจงกล่าวดูทีว่า ช้างนั้นเป็นอย่างไร ?"


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! คนตาบอดพวกใด ได้คลำ ศีรษะช้าง ก็กล่าวว่า


ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน หม้อ


คนตาบอดพวกใด ได้คลำหูช้าง ก็กล่าวว่า


ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน กระด้ง


คนตาบอดพวกใด ได้คลำ งาช้าง ก็กล่าวว่า


ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน ผาล


คนตาบอดพวกใด ได้คลำ งวงช้าง ก็กล่าวว่า


ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน งอนไถ


คนตาบอดพวกใด ได้คลำ กายช้าง ก็กล่าวว่า


ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน พ้อม


คนตาบอดพวกใด ได้คลำ เท้าช้าง ก็กล่าวว่า


ข้าแต่เทวราชเจ้า! ช้างเหมือน เสา


คนตาบอดพวกใด ได้คลำ หลังช้าง ก็กล่าวว่า


ข้าแต่เทวราชเจ้า! ช้างเหมือน ครกกระเดื่อง


คนตาบอดพวกใด ได้คลำ โคนหางช้าง ก็กล่าวว่า


ข้าแต่เทวราชเจ้า!ช้างเหมือน สากตำข้าว


คนตาบอดพวกใด ได้คลำ พวงหางช้าง ก็กล่าวว่า


ข้าแต่เทวราชเจ้า! ช้างเหมือน ไม้กวาด


คนตาบอดแต่กำเนิดทั้งหลายเหล่านั้นเถียงกันอยู่ว่า


ช้างเป็นอย่างนี้ ช้างมิใช่อย่างนี้บ้าง
ช้างมิใช่อย่างนี้ ช้างเป็นอย่างนี้ต่างหาก ดังนี้บ้าง


ได้ประหารซึ่งกันและกันด้วยกำหมัดทั้งหลาย


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! พระราชามีความพอพระทัยเป็นอันมากด้วยเหตุนั้น นี้ฉันใด


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น กล่าวคือ


ปริพพาชกทั้งหลายผู้เป็นเจ้าลัทธิอื่น ๆ เหล่านั้น เป็นคนบอดไร้จักษุ


จึงไม่รู้อัตถะ ไม่รู้อนัตถะ
จึงไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้อธรรมะ
เมื่อไม่รู้อัตถะอนัตถะ
เมื่อไม่รู้ธรรมะอธรรมะ


ก็เกิดการบาดหมางกัน
ทะเลาะกัน
วิวาทกัน
ทิ่งแทงซึ่งกันและกันอยู่ด้วยหอก คือปากทั้งหลายว่า


“ธรรมเป็นอย่างนี้ ธรรมมิใช่เป็นอย่างนี้
ธรรมมิใช่เป็นอย่างนี้ ธรรมเป็นอย่างนี้ อยู่ดังนี้”


ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรู้สึกความข้อนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า


"ได้ยินว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลายพวกหนึ่ง ๆ ย่อมข้องอยู่ในทิฏฐิหนึ่ง ๆ แห่งทิฏฐิทั้งหลายเหล่านี้
ชนทั้งหลาย ผู้มีความเห็นแล่นไปสู่ที่สุดข้างหนึ่ง ๆ ถือเอาซึ่งทิฏฐิต่างกันแล้ว ย่อมวิวาทกัน เพราะเหตุนั้น" ดังนี้ แล



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2553 18:25:44 »



/3 อสังขตลักษณะ ๓ อย่าง
(ติก. อํ. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗)



ภิกษุทั้งหลาย ! สังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่

สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ

มีการเกิดปรากฏ
มีการเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ ก็มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ


ภิกษุทั้งหลาย ! สามอย่างเหล่านี้แล คือสังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม

ภิกษุทั้งหลาย ! อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่

สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ


ไม่ปรากฏมีการเกิด
ไม่ปรากฏมีการเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่น

ภิกษุทั้งหลาย ! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม


/4 เรื่องที่ไม่ทรงพยากรณ์
(บาลี จูฬมาลุงกโยวาทสูตร ม.ม. ๑๓/๑๔๗/๑๔๙ ตรัสแก่พระภิกษุมาลุงกยะ ที่เชตวัน)



มาลุงกยบุตร ! ได้ยินเธอว่า (เอง) ว่า ตถาคตมิได้พูดไว้กะเธอว่า

“ท่านจงมาประพฤติพรหมจรรย์ ในสำนักเราเถิด เราจะพยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการแก่ท่าน”

อนึ่ง เธอก็มิได้พูดว่า

“ข้าพระองค์จักประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักพยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการแก่ข้าพระองค์” ดังนี้เลย

ดูก่อนโมฆบุรุษ ! เมื่อเป็นดังนี้ จักบอกคืนพรหมจรรย์กะใครเล่า

มาลุงกยบุตร ! ถึงผู้ใดจะกล่าวว่า

“พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงพยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการแก่เราเพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น. ต่อเมื่อทรงพยากรณ์แล้ว เราจึงจะประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค” ดังนี้ก็ตาม

ทิฏฐิ ๑๐ ประการ ก็ยังเป็นสิ่งที่ตถาคตไม่พยากรณ์อยู่นั่นเองและผู้นั้นก็ตายเปล่า

มาลุงกยบุตร ! เปรียบเหมือนบุรุษ ต้องศรอันอาบด้วยยาพิษอย่างแก่ มิตร อมาตย์ ญาติสายโลหิตของเขา ก็ตระเตรียมศัลยแพทย์สำหรับการผ่าตัด

บุรุษนั้นกล่าวเสียอย่างนี้ว่า


“เราจักไม่ให้ผ่าลูกศรออก จนกว่าเราจะรู้จักตัวบุรุษผู้ยิงเสียก่อน ว่าเป็น

กษัตริย์ หรือ พราหมณ์ เวสส์ สูทท์

เป็นผู้มีชื่ออย่างนี้ ๆ มีสกุลอย่างนี้ ๆ

รูปร่างสูงต่ำหรือปานกลางอย่างไร

มีผิวดำขาวหรือเรื่ออย่างไร

อยู่ในหมู่บ้าน, นิคม, หรือนครไหน

และคันศรที่ใช้ยิงเรานั้นเป็นหน้าไม้ หรือเกาทัณฑ์ สายทำด้วยปอ เอ็น ไม้ไผ่หรือป่านอย่างไร ฯลฯ” ดังนี้


มาลุงกยบุตร ! เรื่องเหล่านี้ อันบุรุษนั้นยังไม่ทราบได้เลยเขาก็ทำกาละเสียก่อน นี้ฉันใด

บุคคลผู้กล่าวว่า “พระผู้มีพระภาคยังไม่พยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ ประการแก่เราเพียงใด

เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ฯลฯ” ดังนี้


ทิฏฐิ ๑๐ ประการก็ยังเป็นเรื่องที่ตถาคตไม่พยากรณ์อยู่นั่นเอง,

และบุคคลนั้น ก็ตายเปล่าเป็นแท้.



มาลุงกยบุตร ! ต่อเมื่อมีทิฏฐิเที่ยงแท้ลงไปว่า “โลกเที่ยง” (เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปแล้วในบรรดาทิฏฐิทั้งสิบ) หรือ คนเราจึงจักประพฤติพรหมจรรย์ได้ ?

“หามิได้ พระองค์ !”

มาลุงกยบุตร ! ในเมื่อมีทิฏฐิว่า `โลกเที่ยง' (เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาทิฏฐิสิบ) อยู่,

ก็ยังมี ความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ
ทุกข์กาย ทุกข์ใจ และความแห้งผากในใจ อันเป็นความทุกข์





ซึ่งเราบัญญัติการกำจัดเสียได้ ในภพที่ตนเห็นแล้วนี้ อยู่นั่นเอง


มาลุงกยบุตร ! เพราะฉะนั้น

พวกเธอจงจำสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ โดยความเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์

และจำสิ่งที่เราพยากรณ์ โดยความเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์แล้ว

มาลุงกยบุตร! ก็อะไรเล่า ที่เราไม่พยากรณ์? สิ่งที่เราไม่พยากรณ์ คือ (ทิฏฐิข้อใดข้อหนึ่งในบรรดาทิฏฐิทั้งสิบ) ว่า


โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง
เพราะเหตุไร เราจึงไม่พยากรณ์ ?

มาลุงกยบุตร! เพราะเหตุว่า


นั่น ไม่ประกอบด้วย ประโยชน์
ไม่ใช่เงื่อนต้น ของ พรหมจรรย์
ไม่เป็นไปพร้อม เพื่อ ความหน่าย
ความคลายกำหนัด ความดับ
ความรำงับ ความรู้ยิ่ง
ความรู้พร้อม และนิพพาน

เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์





/5 เรื่องที่ทรงพยากรณ์
(บาลี จูฬมาลุงกโวาทสูตร ม.ม. ๑๓/๑๕๒/๑๕๒ ตรัสแก่พระภิกษุมาลุงกยะ ที่เชตวัน)


มาลุงกยบุตร ! ก็อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ?
สิ่งที่เราพยากรณ์ คือ

นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์

นี้ความดับไม่เหลือของทุกข์ และ นี้หนทางให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์

ก็สิ่งนี้ เหตุไรเล่า เราจึงพยากรณ์ เพราะนั่นประกอบด้วยประโยชน์

เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์ นั่นเป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย

ความคลายกำหนัด ความดับสนิท ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน


เหตุนั้น เราจึงพยากรณ์แล้ว


มาลุงกยบุตร ! เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้

เธอจงจำสิ่งที่เราไม่พยากรณ์โดยความเป็นสิ่งที่ เราไม่พยากรณ์

และจำสิ่งที่เราพยากรณ์ โดยความเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์แล้วเถิด





พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา



Pics by : Google
Credit by : http://www.oknation.net/blog/poetguide/2009/12/11/entry-1

ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: 2012 โลกแตก ภัยพิบัติ ข่าว เตือนภัย 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
case2: น้ำท่วมกรุงเทพ-หกปีข้างหน้า และ 2012
วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
wondermay 4 7955 กระทู้ล่าสุด 15 มกราคม 2554 21:35:47
โดย wondermay
Brave แอนิเมชั่นสุดเฉียบจากค่าย Pixar ส่งลุยซัมเมอร์ 2012
หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
หมีงงในพงหญ้า 4 4864 กระทู้ล่าสุด 29 มิถุนายน 2555 02:55:47
โดย ▄︻┻┳═一
มาแล้วๆ รวมภาพบรรยากาศวันขึ้นปีใหม่จากทั่วโลก 2012
สุขใจ ไปรษณีย์
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ 9 9829 กระทู้ล่าสุด 04 มกราคม 2555 21:17:17
โดย 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
2012 ปีทอง ของหนังสือ สู่แผ่นฟิล์ม
หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
หมีงงในพงหญ้า 8 6762 กระทู้ล่าสุด 21 มกราคม 2555 18:36:29
โดย หมีงงในพงหญ้า
มนุษย์ต่างดาวเตือน มนุษย์ต้องเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ 2012
เรื่องราว จากนอกโลก
หมีงงในพงหญ้า 3 5360 กระทู้ล่าสุด 04 กุมภาพันธ์ 2555 00:42:16
โดย หมีงงในพงหญ้า
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.774 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 15 มีนาคม 2567 19:53:34