[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 18:32:11 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๓ เรื่องทำนาทำสวน  (อ่าน 399 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2568 15:33:01 »



ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๓

เรื่องทำนาทำสวน

ข้าราชการในกรมสรรพากร
พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
อำมาตย์เอก พระยาสุภัทรผลการี (บุญศร ตยางคานนท์)
วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๕
----------------------------

โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร


คำนำ


ข้าราชการกรมสรรพากร แจ้งความมายังราชบัณฑิตยสภา ขออนุญาตหนังสือเรื่องทำนาทำสวนเพื่อพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพอำมาตย์เอก พระยาสุภัทรผลการี (บุญศรี ตยางคานนท์) กรรมการได้อนุญาตให้พิมพ์ตามประสงค์

หนังสือ ๒ เรื่องนี้ เรื่องทำนา พระเจ้าบรมวงศเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงแต่งถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จดำรงตำแหน่งสภานายกหอพระสมุดวชิรญาณ แททสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๓๑ สำหรับลงในหนังสือวชิรญาณวิเศษ เรื่องทำสวน เจ้าพระยาภาสกรวงศ (พร บุนนาค) แต่งทูลเกล้า ฯ ถวายในกรณียเช่นเดียวกัน

ราชบัณฑิตยสภา
วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๕

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2568 15:37:00 »



เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๓

เรื่องทำนา
​กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงนิพนธ์
----------------------------
 

บัดนี้จะได้อธิบายถึงประโยชน์ และวิธีการปลูกเข้าเจ้าตามที่ได้รู้เห็นในประเทศเรานี้ แต่เนื้อความนี้มียืดยาว จะกล่าวให้สิ้นความในที่ฉะเพาะเท่านี้นั้นมิได้ จำเป็นต้องตัดความที่จะกล่าวให้น้อยเข้า คือ การปลูกเข้าเจ้านี้ ก็นับอยู่ในการกสิกรรม (อาคริคัลเช่อ) ข้อความที่จะว่าก็เป็นอันอยู่ในวิชชาการกสิกรรม (อาคริคัลตุรัลไซแอนส์) แต่แท้จริงตัวตำราวิชชากสิกรรมคัมภีร์ใหญ่อันมีอยู่ในโลกนี้ ก็เกิดแต่ความพิจารณาศึกษาการกสิกรรมในทวีปยุโรป ซึ่งมีอาการแห่งดินฟ้าอากาศ กับทั้งพันธุ์และเพศที่ปลูกสร้างต่างกันกับการในชมพูทวีปแห่งเรา และซ้ำพันธุ์เข้าเจ้านี้มีชาติและเพศต่างกับไม้มีผลอื่น ๆ แม้แต่ในทวีปอันเดียวกัน เพราะฉะนี้ข้อความในคัมภีร์ที่มีชื่อว่า อาคริคัลตุรัลไซแอนส์ ของชาวยุโรปไม่เป็นที่อาศัยแก่การปลูกเข้าได้อย่างไรนัก แม้แต่ใจความ (ปรินสิเปอล์) เป็นต้นว่าไม้ทั้งปวงไม่ชอบที่มีน้ำแฉะแช่รากจึงต้องการไขน้ำออก ที่เป็นความข้อใหญ่ในวิชชานั้น แต่เข้าชอบที่ชุ่มแฉะจนไม่มีไม้อื่นทนอยู่ได้จึงจะงาม เพราะฉะนั้นวิธีที่จะบำรุง ก็ต้องเป็นอันกลับกันตรงกันข้ามกับวิธีบำรุงไม้อื่น ๆ ​ที่มีในคัมภีร์วิชชาการปลูกไม่บกทั้งหมด ผู้ศึกษาจะอาศัยแก่ความรู้ในวิชชาตำราที่มี ๆ อยู่นี้ได้แต่เพียงจะตามรูปแบบและวิธีที่จะศึกษาแบ่งปันความคิดความรู้ตามระเบียบของวิชชาเท่านั้น ส่วนความรู้จำต้องศึกษาสอบสวนต่อปากผู้รู้ผู้เคยทำการ แต่ก็ลำบากยากที่จะศึกษา ด้วยผู้รู้ก็รู้แต่การที่เคย ครั้นต่างที่ต่างอากาศดินน้ำไปก็หมดความรู้ แม้ถึงความที่รู้ที่เคยนั้น ที่แท้ก็เป็นแต่เคยเท่านั้น ไม่ใคร่รู้เหตุผลต้นปลายอันใดนอกจากเคย เมื่อเหตุใดเหลือรู้หรือไม่เคยมีมา ก็พาโลผิดต่าง ๆ มีอำนาจปิศาจเป็นต้น เมื่อเป็นดังนี้วิธีที่แก้ไขภัยพิบัติหรือบำรุงการปลูกสร้าง ก็เป็นแต่ผลแห่งความเดาผิดมากถูกน้อยตามธรรมดาผลแห่งความเดาทั้งปวง จะต้องเป็นมากกว่าความรู้ที่เป็นผลแห่งความสังเกตศึกษา ครั้นจะไปเอามาเชื่อมาเล่าก็ไม่เป็นประโยชน์อันใด คงจะเป็นเปล่าไปดังความเดาทั้งปวงเท่านั้น ผู้หาความรู้จริงจำต้องอาศัยแก่ความเสาะแสวงคิดค้นทดลองเทียบเคียงด้วยตัวเองด้วยกันทุก ๆ คน รู้แล้วก็รู้อยู่แต่ในใจ ไม่ได้จดจำร่ำเรียนสอบสวนแก่ผู้อื่นที่อื่นก็จำรู้ได้ฉะเพาะแต่ที่เคยเท่านั้น และธรรมดาความเคยของคน ๆ เดียว ไม่สามารถจะให้กว้างขวางไปกว่าเวลาอายุที่จะเป็นโอกาสให้เคยได้ ความรู้นี้ก็จำน้อยเท่าที่จะมีได้ แต่ถึงดังนี้ก็ยังเป็นข้อความที่ได้จดไว้ด้วยความตั้งใจ อาศัยคิดค้นแต่ในสิ่งที่เป็นสามัญธรรมดา ไม่พาโลของที่เป็นอจินตัยรู้จริงไม่ได้ มีอำนาจปิศาจเป็นต้น ดังนี้ แม้ผิดหรือถูกคงเป็นประโยชน์แก่ผู้ค้นคิด คนอื่นพอเทียบเคียงได้ เมื่อดังนี้ผู้อ่านพึงเข้าใจเถิดว่าจะได้รู้แต่ฉะเพาะเรื่องเข้าเจ้า​อย่างเดียว แต่ถึงฉะเพาะเท่านี้ก็ยังต้องการความรู้คนเป็นหลายร้อยและสมุดใหญ่หลายเล่ม ที่จะได้อธิบายถึงประเภทวิธีที่จะทำนาให้ถี่ถ้วนและทั่วทุกแห่งได้ ในที่นี้มีน้อยทั้งที่เขียนและความรู้ ต้องขอตัดให้แคบสั้นเข้ามา ว่าแต่เข้าในพระราชอาณาเขตต์ และฉะเพาะแต่ที่ได้ทำอยู่ในแขวงกรุงเทพ ฯ และกรุงเก่าเท่านั้น

เข้าเจ้านี้จะว่าไปก็เป็นเจ้าเป็นใหญ่แก่เข้าทั้งหลาย ในการที่เป็นคุณแก่มนุษย์ทั้งปวงในโลก หรือว่าอิกอย่างหนึ่งเข้าเจ้าเปนเชื้อชีวิตของมนุษย์โลกมากกว่าเข้าอย่างอื่นทั้งหมด และเป็นกำลังอันใหญ่อันเดียวแห่งความเป็นไปในชีวิตของชาวชมพูทวีปเรานี้ เมื่อจะคิดไปก็เป็นของคู่กันกับชีวิตมนุษย์ สำหรับอาศัยซึ่งกันและกันราวกะน้ำกับปลา ในชมพูทวีปเรานี้แล้วแทบจะกล่าวได้ ว่าที่ใดมีเข้าก็มีคน มีคนก็คงมีเข้า เป็นของที่อาศัยแก่กัน คนที่ไม่ได้อยู่เพราะเข้า ๆ ที่ไม่ได้อยู่เพราะคนในเวลานี้หายาก แทบจะว่าได้ว่าเกือบไม่มี เข้าป่าคนป่าก็ได้ยินอยู่ว่ามี แต่มักเป็นแต่ในนิทานดังเช่นเข้าป่าในเกาะแก้วพิศดาร และอ้ายย่องตอดในเรื่องพระอภัยในทวีปตาสุนทรภู่เป็นต้นเท่านั้น คิดดูก็เป็นการประหลาดที่มีสัตว์น้อยอย่างที่จะมีชีวิตเจริญอยู่ได้ในที่ทั้งปวงต่าง ๆ แต่ยอดเขาลงมาจนในมหาสมุทรดังมนุษยชาติ และก็มีพันธุ์ไม้น้อยอย่างที่จะเป็นจะงามได้ในที่ทั้งปวงดังพันธุ์เข้า สิ่งทั้งสองคือคนและเข้า ก็กลับเป็นเครื่องอาศัยแก่กัน ก็พากันเจริญพัฒนางอกงามทวีมากขึ้น มีขึ้นในที่ทั้งปวงที่แต่ก่อนไม่เคยมี และซ้ำบัดนี้มาแพร่หลายออกไปเลี้ยงมนุษย์นอกทวีปได้ ก็ยิ่งเจริญทวี​ข้ามมหาสมุทรและมหาประเทศไปตั้งอยู่ในที่ทั้งหลายทั่วทั้ง ๔ ทวีป และยังจะยิ่งเจริญมากมายในภายหน้า สำหรับเป็นมนุษย์อาชีพทั่วไปในทวีปทั้งปวงเป็นแท้ หาสงสัยบ่อมิได้ ได้กล่าวมาแล้วว่าเข้าคล้ายกับมนุษย์ที่สามารถจะอยู่จะเป็นได้ ในที่ทั้งปวง แต่ยอดเขาลงมาจนในน้ำก็จริง แต่ต้องอาศัยความคุ้นเคยเหมือนกับคนที่จำต้องอาศัยแต่ดินน้ำลมไฟ ที่มีส่วนต่าง ๆ ไม่เสมอกันในทิศและที่ต่าง ๆ เป็นต้นว่ายอดเขากับในหนองนั้น ย่อมจำต้องผิดกันมากในส่วนแห่งน้ำเป็นต้น แม้คนและเข้าจะอยู่ได้ในที่ ๆ ต่างกันถึงเพียงนี้ก็จริง แต่ต้องอาศัยแก่ความเคยเหมือนกัน เป็นต้นว่าจะเอากะเหรี่ยงมาเดิรเรือในทะเล หรือเอาหญิงชาวในไปไว้ในป่า ก็คงอยู่ได้ด้วยยาก เพราะเหตุที่ขาดความเคย ก็ไม่สามารถจะผ่อนผันกันแก้ภยันตรายทั้งหลายที่จะมีมาสำหรับตัวและสำหรับที่ มีแสวงหาอาหารเป็นต้น ย่อมจำต้องขัดสนด้วยไม่รู้ ก็ย่อมต้องทนยากและอันตรายในเบื้องต้นมาก ต่ออยู่สืบบุตรหลานนานไป ได้สังเกตการต่าง ๆ ได้โดยรอบค่อยรู้กันรู้แก้สรรพภัยในท้องที่มากขึ้น นานเข้าก็นับว่าเคย ด้วยแก้ไขได้ภัยก็ลดน้อยถอยไป ความเจริญจึงจะมีได้ฉันใด ฝ่ายกำลังแห่งพันธุ์เข้าเจ้าทั้งหลายก็มีอยู่มากหลายเพศพันธุ์ สำหรับจะเป็นได้ในดินน้ำที่มีอาการต่าง ๆ กันในประเทศและที่ต่าง ๆ นับด้วยร้อยและพันชะนิดสำหรับเกิดในฤดูทั้ง ๔ มีทุกฤดูดังเข้ามะหลางของลาว ที่ฉะเพาะจะมีผลได้ในฤดูแล้งและที่ดอน ถ้าเอามาปลูกในที่เปียกหรือฤดูฝนก็งอกงามจนเกินไป มีแต่ใบหาเมล็ดและผลมิได้ จนถึงฤดูแล้ง​ดินแห้งจึงจะมีผลก็มี พันธุ์หนึ่งเรียกว่าเข้าสามเดือนทันสารท มีผลเร็วกว่าเข้าทั้งปวง ควรจะปลูกได้ถึงปีละ ๓ หน แต่ยังทำดังนั้นไม่ได้ ด้วยเข้าชะนิดนี้ฉะเพาะชอบแต่ฤดูฝน ต้นและรากและใบชุ่มแช่ไปด้วยน้ำแก่สุกแต่ในฤดูฝนและในที่ลุ่ม ต้องเกี่ยวเปียกในน้ำลำบาก จึงทำกันน้อยก็มี อีกพันธุ์หนึ่งเรียกว่า เข้ากลางปี ๔ เดือนสุก สำหรับทำนาดอนนาน้ำฝนที่น้ำท่าไม่ท่วมได้ พอสิ้นฝนก็สุกเก็บเกี่ยวได้ แต่มีผลน้อยนั้นก็มี พันธุ์หนึ่งเรียกว่าเข้าหนักหรือเข้านาปี อายุกึ่งปีจึงสุก ทำได้แต่ในเนื้อนาที่มีน้ำบริบูรณ์นาน สิ้นฝนแล้วก็ได้น้ำท่าท่วมต่อไปจนถึงกำหนดเข้าสุกจึงสิ้นน้ำ เกี่ยวได้ต่อเดือน ๓ เดือน ๔ เข้าอย่างนี้มีผลมาก รวงใหญ่เข้าพืชเมล็ดเดียวก็แตกกอออกไปแต่ ๑๐ ต้น ถึง ๒๐ ต้นก็มี เพราะมีเวลาแต่งตัวงอกงามนาน เมล็ดเข้าก็ใหญ่รสก็ดี เข้าพันธุ์นี้ที่ทำมากในแขวงกรุงเทพฯ และกรุงเก่าและเมืองที่น้ำท่วมที่ลุ่ม พันธุ์ต้นยาวเป็นเข้าเลื้อย เรียกว่าเข้านาทุ่งหรือนาเมืองนั้น และในเข้าทั้ง ๔ ฤดูที่เวลาเป็นผลไม่เสมอกันที่ได้กล่าวมา ใช่จะมีแต่อย่างละพันธุ์หรือ ๒ พันธุ์นั้นก็หามิได้ ละหมู่ๆย่อมมีเพศและลักษณต่างๆกันออกไปอีก แม้แต่เวลาที่เป็นผลในฤดูเดียวกันแล้วก็ยังไม่พร้อมกัน มีเร็วมีช้าเป็นชั้นๆ แต่ต้นฤดูถึงปลายฤดูหมู่ละ ๙ อย่าง ๑๐ อย่าง สำหรับกับที่ๆมีน้ำเลี้ยงช้าและเร็ว ไม่เสมอกันทั้งปวงแทบทุกอย่าง คงจะมีพันธุ์เข้าที่เป็นผลสุกทันเวลาที่น้ำมี แม้บนยอดเขาแล้วยังมีพันธุ์เข้าที่ไม่ชอบน้ำ และไม่มีผลได้ในที่ต่ำ ไว้สำหรับเป็นเข้าไร่เลี้ยง​กะเหรี่ยงอีกหลายสิบพันธุ์เหมือนกันดังนี้ เพราะฉะนี้ผู้จะทำนาจำเป็นในชั้นต้นจะต้องรู้จักเวลากาลฤดูแห่งน้ำฝนน้ำท่า และเนื้อที่นาลุ่มหรือนาดอน เพื่อจะได้เลือกพันธุ์เข้าที่จะเป็นผลในเวลาที่สมควรทุกอย่าง ตัดความยากลำบากและอันตรายให้น้อยลงและได้ผลทวีขึ้น

ถ้าและหากจะไม่รู้หรือไม่เลือก สุดแต่แลเห็นเป็นเข้าเปลือกจะงอกได้ ก็จะเอาเป็นพันธุ์หว่านทำดำไปตามที่ไม่รู้และไม่เลือกดังนี้ก็ดี หรือถ้านาเป็นนาทุ่งเห็นพันธุ์เข้านาสวนของเขาดี มีเมล็ดงามและมีผลมากมีราคามาก อยากจะให้ดีมีกำไรไปกว่าเพื่อนบ้าน จะไม่เอาพันธุ์เข้าในท้องที่ ไปเอาเข้านาสวนมาหว่านหรือดำทำลงตามวิธีนาทุ่งหรือนาสวน อย่างไรก็ดี เมื่อแรก ๆ งอกงามดีแตกกอหน่อใบงดงามกว่าเพื่อนบ้านก็อย่าเพ่อฮึกไป คอยพอตั้งท้องน้ำปีมีมาแต่เพียงตามธรรมดานาทุ่งสัก ๓ ศอก ๔ ศอก ไม่ใช่น้ำมากก็จะท่วมหมด แลไม่เห็นยอดไม่เห็นใบ คงแลโล่งโปร่งไปเป็นแต่น้ำ ไม่ช้าแม่น้ำนั้นลดให้แต่ใน ๗ วันเท่านั้น เมื่อน้ำลดไปแล้วก็จะมีแต่ต้นเข้าที่เน่าตายดำไปเต็มนาเท่านั้น จะเหลือเขียวอยู่แต่ใบหญ้า เหลืองอยู่แต่ยอดกกตามคันนาเท่านั้น หรือถ้าจะไม่ผิดมากถึงดังนี้คงใช้พันธุ์เข้าที่เคยใช้อยู่ ๓ พันธุ์ ๔ พันธุ์พอยักย้ายใช้ในที่ต่าง ๆ ตามที่ลุ่มและดอนในเนื้อนาที่ไม่เสมอกัน และผ่อนผันตามฤดูฝนชุกมาล่าหรือเนิ่นทุก ๆ ปีนั้นแล้ว แต่พะเอิญหลงผิดเขียนฉลากผิดหลงพันธุ์ไปเอาพันธุ์ ๑ ไปใส่ที่หนึ่งคือเอาเข้าเนิ่นไปใส่ที่ล่า เอาพันธุ์เข้าล่าไปใช้ที่เนิ่น อย่างหนึ่งอย่างใด เมื่อเป็นดังนี้ ครั้นถึงปลายฤดู ที่ดอนน้ำแห้งไปเสียก่อนเข้ายังไม่ทันสุกก็จะม้านไปครึ่งเม็ดหรืองัน​เสียไม่ออก ฝ่ายที่ลุ่มด่วนสุกออกมาแต่กำลังน้ำยังมาก ไม่เกี่ยวเสียก็จะจมต้องจำลงยืนแช่น้ำเกี่ยวให้ปลิงกินอยู่กึ่งขา หรือเกี่ยวบนเรือซึ่งเสียแรงเสียเวลาไม่เกี่ยวได้วันละกี่วา ต้องช้าป่วยการอื่นๆ ไปเท่านี้ ก็นับอยูในทางหายนะยังทำนาไม่เจริญได้ แม้ที่สุดขาดแต่ความพิจารณาปล่อยให้เข้าพันธุ์อื่นมาปะปนเข้าปลูกที่คัดไว้หว่านดำทำปนกันไป ที่เข้าเนิ่นก็สุกก่อน ที่ล่าก็ยังอ่อนปนกันอยู่ จะเกี่ยวลงก็ยังไม่ได้ ด้วยเข้าอ่อนยังติดอยู่ต้องรอไปกว่าจะสุกลงพร้อมกัน เข้าต้องคอยอยู่กลางนาช้าเกินอายุหักล้มจมไปก็มี เป็นอาหารแก่สัตว์น้ำสัตว์บก และนกหนูหนอนหมดไปก่อนเพื่อนกันจึงสุกดังนี้ ก็สุรุ่ยสุร่ายส่ายเสียมาก เพราะฉะนี้แม้แต่เพียงจะเลือกพันธุ์เข้าจะปลูก ก็ยังมีทางที่คนไม่รู้จำจะต้องลองเสีย ๆ ก่อน จึงรู้ได้ดังกล่าวมานี้ก็ยังมีอยู่มาก ต่อผู้รู้สังเกตรู้ทีที่จะทำโดยรอบคอบแล้ว จึงจะสามารถเลือกพันธุ์เข้าที่จะใช้ให้ชอบที่ชอบกาลได้ หรือหาไม่ก็ต้องไต่ถามตามเพื่อนบ้าน แล้วก็ทำตาม ๆ เขาไป ชาวนาแท้ๆ ก็น้อยตัวรู้ว่าเหตุใด จึงจะใช้เข้าพันธุ์นั้นไม่เอาพันธุ์นี้ ถามก็ว่าพ่อแม่เคยใช้มาก็ใช้ตาม ๆ มา หรือว่าทำอย่างนี้เคยได้อยู่เท่านี้ ครั้นจะเปลี่ยนก็ไม่ไว้ใจว่าจะมากไปหรือจะขาดไป ไม่ชอบการที่ไม่แน่ก็ไม่เปลี่ยนเป็นดังนี้อยู่โดยมาก ในการที่เลือกเข้าปลูกนี้ใช่แต่เท่านี้ ยังมีเหตุการณ์อื่นที่จะต้องเอามาตริตรองเทียบเคียงอีกหลายอย่าง เป็นต้นว่า (๑) ผลเมล็ดเล็กหรือใหญ่ (๒) รวงใหญ่หรือย่อม จะได้ผลมากหรือน้อย (๓) คุณสมบัติในเนื้อดีหรือไม่ดี จะแน่นหรือหลวม ถี่หรื่อห่าง หนักหรือเบา ป่นหรือเป็นตัว ​(๔) กลิ่นและรสดีหรือชั่ว (๕) สีขาวคล้ำดำแดงตามอันดับ (๖) เข้าเหนียวหรือเข้าเจ้า (๗) ความที่ต้องการใช้ต่าง ๆ ดังเข้าเม็ดมะเขือ เผื่อนักเลงนกเขาเป็นต้นหรือ (๘) เก็บทนหรือไม่ทน รังมอดรังหนอนมีหรือไม่มี (๙) ซ้อมสียากหรือง่าย (๑๐) เปลือกมากหรือเนื้อมากและอื่น ๆ อีก ตามแต่ปฏิรูปเทศและเหตุผลต้นปลายที่ประกอบอยู่รอบข้างต่าง ๆ กัน ก็และการทุก ๆ ส่วนที่ออกแต่ชื่อสั้น ๆ ละส่วน ๆ นี้ ก็ยังมีเหตุผลต้นปลายทั้จะอธิบายได้เหมือนกันกับข้อต้นที่กล่าวมาแล้วทุก ๆ ข้อ แต่หน้ากระดาษขนาดหนังสือไม่พอจะทำดังนั้นได้ จึงต้องตัดเสียดังเช่นทำแล้วนี้ นั่นและอย่าว่าถึงการที่สำคัญอื่น ๆ เลย แม้แต่เพียงการเลือกพันธุ์เข้าปลูก ซึ่งเป็นแต่การเล็กน้อยเท่าส่วนหนึ่งในร้อยส่วนของการทำนาทั้งหลายทั้งปวงเท่านี้ ก็ยังต้องการความเพียรความรู้ความคิด และความรู้สึกรับผิดรับชอบของผู้วางการเป็นหลายเท่าหลายอย่างดังนี้ ก็เป็นความที่จริงแท้ แต่ถึงจะยิ่งกว่านี้ก็อย่าเพ่อท้อใจ พึงเชื่อมั่นในอำนาจแห่งความต้องการจริงตัวเดียวเท่านั้น ว่าหากจะพาให้การทั้งหลายที่เห็นยากเห็นติด แม้เห็นว่าจะทำไปไม่ได้ ให้เป็นการสำเร็จไปได้ดังการทำนาที่มีอยู่มากทั้งที่ทำง่ายหรือทำยาก เพราะกำลังแห่งความที่ต้องการจริง จำให้ทำได้เป็นอย่างแลเห็นอยู่ผิดก็ชั่วกับดี ช้ากับเร็ว มากกับน้อยเท่านั้น

การทำนานี้สิ่งซึ่งเป็นของต้องการก่อนสิ่งอื่นทั้งปวงก็เนื้อที่นา ถ้ายังไม่มี จะคิดซื้อหาก็ต้องการความรู้และความพิจารณาเลือกฟั้นก่อน แม้ว่าผู้ที่มีเนื้อที่บังคับเสียแล้ว จะเลือกฟั้นไม่ได้ก็ดี ก็ยังต้องการ​ความรู้การดีชั่วแห่งเนื้อที่ต่าง ๆ อีกเหมือนกัน เพราะฝีมือและปัญญามนุษย์ยังสามารถจะทำของที่ไม่มีให้มีมาได้อยู่ ถึงจะเปลี่ยนที่ไปตามชอบใจไม่ได้ ก็สามารถจะแปลงที่ให้มีให้ต้องด้วยลักษณะแห่งเนื้อที่ ๆ ตนเห็นดีได้อยู่หลายอย่าง เป็นต้นว่าถ้าที่นามีอยู่กลางทุ่งห่างฝั่งน้ำ แต่อยากจะให้เนื้อนาเป็นที่ใกล้น้ำเหมือนแห่งอื่นดังนี้ ถ้ามีกำลังอยู่ก็ทำได้ด้วยขุดคลองเข้าไปหาที่นาก็ได้ ถ้าที่ลุ่มเปียกอยากจะให้แห้งก็ขุดคูขุดรางไขให้น้ำไหลเข้าออกได้ก็เป็นนาแห้งไปได้ และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เพราะฉะนี้จำเป็นผู้อยากรู้หรือจะทำการนา ควรรู้จักลักษณะแห่งเนื้อที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่เกิดเข้าโดยอาการและคุณพิเศษต่าง ๆ กัน เพื่อเลือกและกอยกันอันตรายให้น้อย ผ่อนผันแก้ไขให้เกิดประโยชน์มากกว่าเวลาที่ไม่รู้ได้โดยนัยต่าง ๆ ตามความเคยที่เป็นผลแห่งความสังเกตทดลองของผู้มาก่อน และผู้อยู่ไกลและใกล้ได้พบปะคุ้นเคยอยู่รอบข้าง เป็นเยี่ยงอย่างมาแล้วนั้น แต่เป็นการลำยากมากอยู่ที่จะค้นคว้าหาความรู้ที่ถูกที่จริงโดยเหตุต่าง ๆ เป็นอันมากและผู้รู้ ๆ แต่ตัวไม่จดไม่บอกเป็นต้น และข้างความเป็นไปของต้นเข้าผิดแปลกกับไม้ที่มีผลอื่น ๆ ที่มีตำหรับตำราดี ๆ มากยากจะหาที่อ้างอิงอาศัยเทียบเคียง นอกจากความทดลองและคุ้นเคยด้วยตนเองนาน ๆ หลาย ๆ ปี แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องเป็นนักเรียนได้ความรู้ใหม่และรู้สึกความรู้ผิดเห็นผิดคิดผิดอยู่ร่ำไป ไม่จบลงได้ เนื้อที่ ๆ เข้าจะเป็นผลได้นั้นมีมากหลายอย่าง ดังที่ได้รู้แล้วว่าเข้าเป็นของสำหรับกับชีวิตมนุษย์ ๆ อยู่ที่ใดคงมีที่เกิดเข้าได้ในที่ใกล้เคียงเหล่านั้น แม้บนยอดเขาเป็นต้น แต่ก็เป็นแต่เกิด​ได้อยู่ได้ด้วยลักษณะและประเภทต่าง ๆ แต่เมื่อจะว่าโดยประโยชน์มาก และฉะเพาะแต่ที่เราต้องการ คือฉะเพาะแต่ภายในพระราชอาณาเขตต์แล้ว ไม่มีที่นาใดจะดีกว่าเนื้อที่ทุ่งทะเลตมแถบที่กรุงเทพ ฯ ตั้งอยู่ทุกวันนี้ การที่เป็นดังนี้ก็ไม่ต้องสงสัยในความรู้และความฉลาดในการปลูกสร้างของท่านผู้ดำริการตั้งพระนครนี้ว่าจะไม่เป็นผู้รู้เห็นลึกซึ้ง ในสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ของมนุษย์ที่จะต้องทำตามความชักนำของท่านนั้น

อนึ่งวิชชาตำราการปลูกสร้าง สรรพไม้อันมีผลเพราะคนปลูกสร้างดีกว่าที่เป็นเองตามธรรมดานั้นและชื่อว่า วิชชาการกสิกรรม คืออาคริคัลตุรัลไซแอนส์นั้น ตามตำรานั้นกล่าวว่าไม้ทั้งปวง เป็นธรรมชาติอันหนึ่งซึ่งมีชีวิต รู้เกิดรู้แก่รู้ไข้รู้ตายตามธรรมดาสังขารเหมือนสัตว์ทั้งปวงเหมือนกัน เป็นแต่ขาดคุณพิเศษบางสิ่งที่สัตว์มี และมีธรรมชาติอันพิเศษแปลกไปต่าง ๆ แม้ไม่มีปากก็จริงแต่จำต้องบริโภคอาหารและดื่มน้ำ กับทั้งต้องถ่ายมูลและหายใจบริโภคและใช้ธาตุทั้ง ๔ เต็มบริบูรณ์ทุกอย่าง ถ้าของทั้งปวงมีอาหารเป็นต้นขัดขาดไป ไม้นั้นก็ไม่สามารถจะงอกงามไปได้ เป็นต้นว่าถ้าต้นไม้จะมิได้บริโภคเอาธาตอื่น ๆ เข้าไปเพิ่มเติมร่างกายแล้วต้นไม้นั้นจะเอาสิ่งใดมางอกมาโตขึ้นทุก ๆ วันได้เล่า จำต้องคงอยู่เสมอไปและไม่รู้แก่รู้ตายได้ หรือไม่ฉะนั้น ว่าที่รู้ๆ เห็นๆ อยู่ด้วยกันว่าต้นไม้ทั้งปวงต้องดื่มกินน้ำเป็นกำลังเสมอเป็นนิจ เมื่อน้ำแห้งหมดไปไม่ได้ดื่มหรือต้องกัดฟันกันเสียดื่มน้ำไม่ได้เมื่อใด ก็ต้องเหี่ยวแห้งเป็นอันตรายตายไปเห็นอยู่กับตา ก็และน้ำนั้นสามารถจะอบแอบเอาโอชารสกับทั้งลมอากาศและธาตุต่าง ๆ ไว้ด้วยไปด้วยได้ ต้นไม้ที่เป็นของ​ดื่มน้ำก็คงต้องดื่มเอาอาหารอันปนอยู่ในน้ำด้วยได้ เราไม่ต้องค้นลึกไปจนถึงจะต้องทดลองในข้อต้น ที่ว่าไม้กินอาหารหรือไม่กินนี้ให้มากความไปเสียเวลา ด้วยเป็นความจริงที่น้อยคนจะเถียงเอาเป็นเชื้อเป็นพอว่าไม้กินอาหารได้ เมื่อดังนี้ก็ยังคงแต่จะนึกดูว่าจะกินทางไหนอย่างใด ก็รู้ได้โดยเร็วว่าคงกินทางรากด้วยอาศัยน้ำนำปนขึ้นไป เพราะฉะนี้อาหารที่ต้นไม้จะกินได้ จำจะต้องเป็นของที่อยู่ในอาณาเขตต์ที่รากไม้จะไปถึง จึงต้องเชื่อว่าอาหารของต้นไม้อยู่ในดินที่รากไม้มุดแทรกอยู่ทั้งหลายเหล่านั้น นักปราชญ์ทั้งหลายผู้มีฝีมือและความรู้ จึงเอาดินในที่ต้นไม้ต่าง ๆ งอกงามและไม่งาม และที่ดินที่ต้นไม้ไม่ขึ้นได้มาไล่แจกแยกธาตุออกดูตามวิธี รู้ชัดจับได้ว่าไม้สิ่งนั้นสิ่งนี้ชอบด้วยอาหารอย่างนั้น ที่ดินอันนี้หรืออันนั้นเจือปนด้วยธาตุที่เป็นอาหารแห่งต้นไม้ มีสิ่งนี้บ้างสิ่งนั้นบ้าง มากบ้างน้อยบ้างตามเนื้อที่ ๆ มีอยู่ต่าง ๆ รูปรสกลิ่นสีและลักษณะแห่งเนื้อที่ก็มีต่าง ๆ กันได้พบได้รู้แล้ว ก็เลือกปันจัดสรรไว้ตามอันดับเป็นตำรา ว่าเนื้อที่อันมีลักษณะดังนั้นชอบด้วยชีวิตไม้มากหรือน้อย ดีหรือชั่ว คนผู้รู้ก็รู้เลือกฟั้นเสาะแสวงหา ที่อันจะช่วยแก้ไม้อันมีผลที่ตนปรารถนาจะปลูกสร้างได้โดยดีกว่าไม่รู้ หรือไม่ฉะนั้นมีเนื้อที่ดินอยู่แล้ว ก็รู้เลือกหาพืชพันธุ์อันจะชอบด้วยอาหาร และลักษณะอันมีในที่แห่งตนมาปลูกสร้าง ก็ได้ผลมากกว่าจะคลำปลูกไม้ที่ไม่ต้องอย่าง ที่ไม่ชอบกับที่ดังจะปลูกทุเรียนในที่ท้องนา ปลูกจำปาในท้องล่อง ก็ต้องเป็นอันตรายด้วยความไม่รู้ อีกอย่างหนึ่งที่ดินก็มีแล้ว ไม้ก็ต้องกำหนดไม่เลือกได้ก็ดี แต่ถ้าว่ารู้ลักษณะประเภทแห่งที่ดินและความต้องการ​ของไม้ที่ตนจะปลูกดังนี้ ก็ยังสามารถจะแก้ไขผ่อนผันได้ เป็นต้นว่ามีที่ควรจะปลูกเข้ารู้อยู่ว่าเข้าชอบที่แฉะ จะไม่งอกงามในที่ของตนเป็นที่ดอน ก็ยังถ่ายเทขุดเป็นรางทำทางน้ำเข้าไป หรือก่อคันกันเสียให้รอบที่อย่าให้น้ำฝนที่ตกลงมาไหลแห้งไปเสียได้ ให้คงค้างแฉะชุ่มจนชอบแก่ชีวิตเข้าก็ได้ ถ้าฝนไม่มีก็ยังเพียรทำสูบทำระหัด ใช้ไฟ ใช้สัตว์ ใช้ลม ใช้คนวิดขนเอาน้ำมาแฉะที่ ๆ ต้องการจงได้ ดีกว่าไม่รู้หลับตาทำไปตามมีตามได้ ซึ่งช่องเสียช่องขัดในปัจจุบัน และเป็นเหตุปัจจัยให้ยากแก่การภายหน้าอันหาประมาณมิได้ จำจะต้องมีมากกว่าคนที่รู้และคิดเป็นแท้

และการที่เลือกที่ทำนา คือปลูกเข้านี้จะรู้ได้ด้วยยาก โดยเหตุด้วยชีวิตเข้าผิดกับไม้อื่น ๆ ไม่ตรงตำรา จำต้องแสวงหาความรู้โดยสืบสอบสังเกตเทียบเคียงเอาเองมาก แต่ที่อิงอาศัยตำราได้บ้างก็มี แต่ยังต้องอยู่ในต้องเลือกใช้แต่ที่ควร ส่วนที่คล้ายคลึงพอเทียบได้ หรือเทียบเอาการที่กลับตรง ๆ กันก็ได้ คือตามตำราว่าธรรมดาที่ทั้งปวงที่ต้นไม้จะเกิดได้ต้องมีธาตุที่เคยเป็นไม้หรือเป็นสัตว์มาแต่ก่อนเน่าแห้งป่นละเอียด แยกตัวออกจากกันเป็นลมเป็นไอเป็นผงเป็นเกลือแทรกระคนปนอยู่สำหรับเป็นอาหารด้วย ถ้าและในที่ ๆ ไม่มีเชื้อดังนี้ชีวิตไม้จะมีมาและเป็นไปมิได้ เพราะสรรพธาตุทั้งหลายที่เคยได้มาประชุมกันเป็นรูปและสังขารแห่งต้นไม้ได้แต่ก่อน จะต้องมาประชุมกันเป็นต้นไม้ได้อีก แม้จะแตกต่างรูปและลักษณะโดยส่วนของสรรพธาตุที่มาประชุม ไม่เสมอเหมือนกันด้วยต่างเหตุและต่าง​ปัจจัยก็ดี สรรพธาตุที่ต้นไม้แต่ก่อนดื่มกินไว้ได้ ต้นไม้บัดนี้ก็คงจะสามารถเก็บก่อต่อรูปสังขารต่อไปได้ ด้วยรู้คัดเลือกเก็บเอาธาตุที่ต้องการตามควรแก่ปัจจัยแห่งพันธุ์ไม้ละอย่างละอย่างนั้น ๆ ความจริงอันนี้เป็นที่อาศัยให้อาจารย์ทั้งหลายตั้งกำหนดสังเกตไว้ว่า ที่ดินที่ใดเมื่อทดลองด้วยวิชชาความรู้หรือดูสังเกตโดยวิธีใด ๆ ให้รู้ได้ว่า ที่แห่งใดเจือปนระคนอยู่ด้วยธรรมชาติที่เคยเป็น หรือจะเป็นสัตว์และไม้ได้มีสระสมอยู่ที่ใดมาก ที่นั้นจำจะเป็นที่ ๆ ชอบกับชีวิตไม้ ที่จะได้เกิดก่อต่อไปมากกว่าแห่งอื่น ๆ ความจริงอันนี้มีตลอดมาถึงเข้าและไม้อื่น ๆ หมด แต่ลักษณะชีวิตไม้บกอื่นกับต้นเข้านี้แตกต่างกันที่ไม้บกชอบน้ำน้อย ส่วนต้นเข้าชอบน้ำมากจนชุ่ม เพราะฉะนี้การเลือกที่นากับที่ปลูกไม้อันอื่นจึงผิดกันไป อาศัยตำราเดียวกันทีเดียวไม่ได้ ด้วยในตำราว่าเนื้อที่ ๆ มีทรากเชื้อไม้เก่ามีมากจึงชอบแก่ชีวิตไม้มากก็จริง แต่ต้นไม้ที่เป็น ๆ ยังต้องการธาตุอื่น ๆ ที่ทรากไม้ตายแล้วไม่มีอยู่อีกหลายอย่าง ดังความสว่างและความร้อนเป็นต้น และไม้ทั้งหลายไม่มีปากจะดื่มน้ำ ต้องจำสูบเอาได้แต่น้ำที่เป็นละอองละเอียด ปรมาณูอันเจือปนด้วยธาตุอาหาร ก็และลักษณะที่น้ำจะเป็นรูปและลักษณะประการฉะนี้ได้ก็แต่ฉะเพาะเมื่อได้รับความร้อนก่อน จึงจะได้เป็นละอองไออุ้มเอาธาตุรสาหารขึ้นมาผะสมกับลมอากาศ เป็นรูปและส่วนอาหารที่ควรไม้จะบริโภคไต้ เพราะฉะนี้ที่ ๆ ต้องการให้อาหารต้นไม้เกิด จะต้องเป็นที่เปียก ๆ แห้ง ๆ ไม่เสมอกันเพื่อต้องการก่อให้เกิดอาหารและต้มแกงให้ควรแก่ความต้องการบริโภค คือว่าที่ ๆ จะปลูกต้นไม้ต้องเป็น​ที่เปียกก่อนแล้วแต่ให้ค่อย ๆ แห้งไปได้แล้วก็เปียกใหม่เล่าดังนี้ ต้นไม้จึงจะเป็นงามได้ เพราะถ้าไม่ดังนี้ที่แห้งนักน้ำไม่มีก็ไม่ได้ เปียกนักน้ำก็ไม่เป็นไอละอองต้องรากและใบให้ไม้กินได้ เพราะฉะนี้ไม้ทั้งปวงจึงต้องการที่ ๆ มีอาหารให้เป็นที่เปียกแห้งได้ ใช่แต่เท่านั้นที่ ๆ มีอาหารนั้น จะต้องไม่เป็นก้อนแท่งแข็งเหนียวที่จะสูบอมเอาน้ำและอาหารไว้ไม่ได้ หรือสูบได้แต่ไม่คืนไม่คายและไม่แห้งหายไปโดยเร็ว หรือรากไม้ไม่สามารถจะสอดแทรกไปหาอาหารในที่นั้นได้ อย่างใดในลักษณะสิ่ง ๆ เหล่านี้ ตามตำราว่าไม่ควรแก่ชีวิตไม้ทั้งสิ้น ตำราต้องการที่ๆร่วนซุยเป็นปรมาณู ศิลาที่หยาบเรียกกรวดเรียกทราย ที่ละเอียดเรียกฝุ่นหรือดิน อันมีทรากสัตว์และไม้เจือปนระคนอยู่โดยลักษณะและอาการต่าง ๆ กัน ท่านไม่เลือกจัดเอาเนื้อที่ ๆ ปรมาณูหยาบนัก ซึ่งน้ำจะไหลรั่วเร็วเกินไป หรือทรากสัตว์และไม้ที่ละเอียดไม่ใคร่จะเป็นอยู่ด้วยได้ และท่านไม่เลือกเอาเนื้อที่ ๆ เป็นปรมาณูละเอียดเกินไปนัก มักเบียดตัวแน่นเหนียวสนิทกัน น้ำติดค้างอยู่ในนั้นช้าเกินไปจนเกิดบูดเสีย หรือรากไม้และไอน้ำไม่แซกได้ ที่ดังนี้แม้นมีอาหารอยู่มากเท่าใดก็ยังใช้ไม่ได้ จัดไว้เป็นลักษณะที่สุดข้างส่วนไม่ดี ในตำราท่านจัดเลือกเนื้อที่ ๆ ปรมาณูเป็นปานกลาง และระคนปนด้วยทรากสัตว์และไม้มาก (ดินทราย) ว่าเป็นเอก ความข้อนี้เป็นอันแตกต่างตรงกันข้ามกับที่ ๆ จะต้องการทำนา เพราะชีวิตเข้าชอบมีต้นรากแช่อยู่ในน้ำจนตลอดเวลา ไม่สู้จะต้องการอาศัยอาหารที่เป็นละอองไอมาก ใช้อยู่บ้างแต่ที่ใบ ส่วนลำต้นและรากหากดื่มน้ำและอาหารอันพิเศษที่ยังอยู่ในน้ำ​และในดินได้ตรง ไม่ต้องอาศัยไอร้อนมาก (และแม้เข้าชอบน้ำดังนี้ก็ดี ถ้าหากน้ำมากเกินไปจนท่วมใบไม่ได้รับไออากาศหายใจ และรับแสงแดดขับขี้และคายของที่ไม่ต้องการแล้ว ก็จะพลันอันตรายโดยพลันเหมือนกัน) เพราะฉะนี้ชีวิตและความต้องการอาหารของต้นเข้าที่ชอบน้ำจำต้องผิดกับไม้ ในตำรา ที่ต้องการอาหารที่เปียก ๆ แห้ง ๆ ฝ่ายข้างเนื้อที่ปลูกเข้าชอบที่ ๆ มีปรมาณูยิ่งละเอียดอ่อนเท่าใดยิ่งดี เพราะต้องการเนื้อที่ ๆ เป็นดินเหนียวแน่นน้ำไม่หนีซึมซาบไปได้ ยิ่งช้าก็ยิ่งดี แต่ส่วนทรากสัตว์และไม้ที่เป็นอาหารนั้น ต้องการยิ่งมากยิ่งดีเหมือนกัน เคลื่อนอยู่บ้างแต่เข้าใช้อาหารในดินน้อย ใช้อาหารที่มีในน้ำมากกว่า เพรารฉะนี้แม้ที่ดินจะไม่สู้มีเชื้อ แต่มีน้ำอยู่ช้า ๆ ก็เป็นที่อย่างดีได้เหมือนกัน รากเข้าและหญ้าที่หยั่งไปในดินนั้น ดูเหมือนจะต้องการใช้ยึดต้นเข้าให้ ยืนอยู่แน่นที่เสียมากกว่าหาอาหารในใต้ดินดังไม้อื่น ๆ เพราะอาหารที่เป็นละอองในดินที่แช่น้ำจะมีมากไม่ได้ เหตุฉะนี้นาที่น้ำท่าท่วมได้ให้ผลมากกว่านาน้ำฝนเกือบสองเท่า เพราะมีน้ำนาน และน้ำท่าท่วมมาแต่ที่ทั้งหลายเป็นอันมาก ย่อมจะมีอาหารเจือปนมามากกว่าน้ำฝนที่ตกกับที่ เว้นแต่ธาตุบางอย่างที่น้ำฝนได้มาแต่อากาศ แต่ธาตุกองนี้ก็มีในน้ำท่าที่มาแต่ฝนก่อนเกือบจะเท่ากัน เพราะเหตุทั้งหลายเหล่านี้เนื้อที่แน่นเหนียว ที่ตำราใหญ่ว่าไม่ดีกลับเป็นที่ดีอย่างยิ่งในการทำเป็นที่นา แต่เนื้อที่ปรมาณูหยาบน้ำไม่ขัง และไม่มีเชื้อเป็นอย่างชั่วที่สุดนั้นเหมือนกัน เนื้อที่ ๆ นาเป็นอย่างดีในตำรา​กลับเป็นที่นาไม่ได้ เว้นแต่จะปลูกเข้าพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเป็นเข้าบกเรียกว่าเข้าไร่เท่านั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 พฤษภาคม 2568 15:41:32 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2568 15:39:18 »



เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๓

เรื่องทำนา (จบ)
​กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงนิพนธ์
      ----------------------------

การเลือกที่นานอกจากเลือกเนื้อดินแล้ว ยังมีสิ่งสำคัญที่เรื่องน้ำต้องจำมีที่มาให้พอใช้ เพราะการทำนาใช้น้ำเป็นต้นเป็นกลางเป็นปลายของการนา จำต้องมีความรู้ว่า การที่เกิดมีมาเองโดยธรรมดาของน้ำฝนน้ำท่า และวิชชาความรู้ท่าทาง และกำลังที่จะบังคับเอาน้ำมาใช้ให้พอจงได้ ในเนื้อที่ไม่มีน้ำเองพอการ ข้อนี้ก็เป็นการสำคัญมากในการนา จะลัดตัดเสียไม่ได้ จะขอว่าไว้ภายหลังเมื่อถึงเวลาต้องการ ในที่นี้พอเพียงแต่ที่จะให้เข้าใจว่าการเลือกที่นาจะเลือกแต่เนื้อที่อย่างเดียวมิได้ จำต้องเลือกดูที่น้ำด้วยเป็นสำคัญ อันที่มาแห่งน้ำนั้นก็แม่น้ำและบนฟ้าซึ่งมีอยู่ทั่วไป เมื่อที่ใดเป็นที่เนื้อดินละเอียดดีมีอยู่ริมลำแม่น้ำใหญ่ ฝ่ายสุดทิศใต้ใกล้ลงมาทางปากน้ำที่น้ำยังไม่เค็มนั้นและเป็นเนื้อที่อันอย่างดี นอกจากนี้ก็จะต้องดูปฏิรูปเทศสุขทุกข์ของผู้ที่เคยอยู่ในท้องที่ และท่าซื้อทางขายไปมาเข้าออกยากง่าย ที่เลี้ยงสัตว์ของใช้ และการระวังรักษาโจรผู้ร้าย และที่หาผักปลาอาหาร การที่ประกอบอยู่รอบข้างต่าง ๆ นั้นอีกโดยอเนกประการ ถ้าผู้ใดได้มีที่อันดี มีคุณสมบัติอันอุดมครบทุกอย่างดังกล่าวมานี้ ก็นับได้ว่าเป็นผู้มีทางเจริญใหญ่ ใช่ฉะเพาะแต่การทำนา มีอยู่ณกาลภายหน้านั้นแล

ผู้จะทำนาเมื่อมีเนื้อที่ ๆ ดี มีน้ำท่าบริบูรณ์พร้อมแล้ว ก่อนถึงฤดูจะลงมือทำการควรจะต้องคิดจัดหากำลัง และเครื่องมือจะได้ทำการ เพราะเหตุที่ในตำรากล่าวว่ารากไม้ชอบไปในเนื้อดินที่อ่อนยุ่ยซุยจะไปได้​ง่ายอย่างหนึ่ง อาหารต้นไม้และน้ำท่าอยู่ในที่เป็นก้อนแท่งแข็งเหนียว ก็ไม่สามารถขยายตัวออกให้รากและใบไม้ถือเป็นอาหารได้ประการหนึ่ง ไม้ทั้งหลายต้องบริโภคอาหารจนพอเพียง เหมือนมนุษย์และสัตว์จึงจะเจริญได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าและต้นหญ้าและไม้ที่เราไม่ต้องการมาชิงขึ้นเบียดเสียดแย่งชิงเอาอาหารแสงสว่างและสิ่งอื่น ที่ต้นไม้ต้องการจะได้กินไปเสียโดยส่วนมาก หรือหมดสิ้นจนไม้ที่ต้องการต้องถอยกำลังไป บางทีจนถึงไม่สามารถจะทรงชีวิตอยู่สู้หญ้าไม้ที่มีกำลังแย่งชิงอาหารได้แรงกว่าได้ก็มี ผู้ประสงค์การดีจำต้องคิดกีดกันกำจัดเสียอย่าให้มีสิ่งซึ่งมีอันตรายมามีปะปนได้ ความต้องการทั้งหลายเหล่านี้และอื่นๆ จำให้ผู้ปลูกสร้างต้องขุดกลับพลิกคุ้ยที่แผ่นดินให้แตกตัวเป็นผงปรมาณูฟูฟุชุ่มชื่น ชอบด้วยรากไม้ที่จะได้เดิรไปและสรรพธาตุอันเป็นอาหารแก่ต้นไม้ได้ทั้งหลาย ซึ่งหมกซ่อนอยู่ใต้ดินไม่เป็นประโยชน์ได้ ครั้นต้องขุดคุ้ยขึ้นมาต้องด้วยแดดลมและน้ำ กระทำให้เกิดอาหารทวีมากกว่าที่ธรรมดาไม่ได้ขุดคุ้ย ต้นรากหญ้าและไม้อันไม่ต้องการที่มีอยู่ในเนื้อที่ เมื่อต้องขุดตัดด้วยการที่พลิกฟื้นขุดไถเนื้อที่ที่จะได้ช่วยชีวิตไม้ที่ต้องการปลูกสร้างสืบไป แรงการเข้าช่วยให้เกิดประโยชน์ขึ้นอีกมากดังนี้ จึงให้ผู้ปลูกสร้างทั้งหลายต้องลงแรงทำที่ตระเตรียมเสียให้ดีก่อนลงมือปลูกสร้าง แต่การที่จะทำดังนี้ จะต้องใช้กำลังแรงเพื่อทำการทั้งหลายให้สำเร็จ การนี้มีหลายอย่างตามแต่ประเทศและเนื้อที่ ทั้งกำลังทรัพย์กำลังปัญญาของผู้กระทำ​การใหญ่และน้อยประกอบให้เป็นไปได้ อย่างน้อยที่ผู้จะปลูกสร้างเป็นคนยากจนที่สุดก็ยังจำต้องใช้จอบหรือเสียมหรือมีดพร้า ที่จะได้ถากทายดายหญ้า ขุดรางทำร่องพลิกฟื้นเนื้อที่ถากฟันคันนากั้นน้ำและอื่น ๆ ในชั้นต้นเหล่านี้เป็นอย่างต่ำอย่างน้อย แม้ทำดังนี้ถ้าเป็นเนื้อนาใหม่ ๆ ดี ๆ เป็นที่ริมห้วยหนองหรือที่ลุ่มฟูซึ่งมีอยู่ตามทุ่งชายทะเล นาที่ในท้องร่องสวนข้างบางล่างเหล่านี้ ปีแรกทำปีสองปียังไม่ต้องทำอันใด นอกจากหวดดายต้นอ้อแขมในเวลาที่น้ำมากท่วมที่ หน่อต้นไม้ต้นหญ้าที่ขึ้นใหม่ไม่ทันพ้นน้ำได้ก็เน่าตายไปไม่ขึ้นได้ (การที่ทำดังนี้ ก็เพราะรู้วิธีที่ไม้ไม่ขึ้นได้ในที่ไม่มีแสงสว่าง และอากาศที่จะให้หายใจ) เมื่อหญ้าเน่าฟุดีก็จ้างวานผู้เลี้ยงกระบือให้ต้อนฝูงกระบือให้เหยียบย่ำหญ้าเน่าลงไว้เป็นเชื้อปุ๋ยใต้ดิน กลับเลนอ่อนให้ลอยขึ้นไว้ข้างบน พอน้ำนอนก็ดำได้ ที่นาดังนี้ถ้าได้น้ำได้ฝนเหมาะกับต้องการดีแล้ว ถึงปีทีหลังอีกปีหนึ่งไม่ต้องทำอันใดอีก ทิ้งให้เมล็ดเข้าที่ร่วงลงแต่ปีก่อนงอก ก็ขึ้นงามได้เกือบจะเต็มที่เหมือนหว่านใหม่ เพราะหญ้าใหญ่ ๆ ที่ฆ่าตายไว้แต่ปีหลังหญ้าใหม่ไม่ทันขึ้น ที่ก็ยังไม่ทันแน่น หญ้าที่ฟันไว้แต่ปีแล้ว ก็พอผุได้ที่พอดีที่ต้นเข้าจะใช้จึงไม่ต้องทำอีกใหม่เลย ถ้าต่อไปที่เก่าเข้าก็ต้องไถทำโดยวิชชาต่อไปทุกปี ไม่ทำเข้าก็ขึ้นไม่ได้ ด้วยพันธุ์หญ้าเล็ก ๆ มีกกเป็นต้น ปลิวมาแต่นาเก่าเพื่อนบ้าน พบที่เตียนได้แดดได้น้ำก็มาชิงขึ้นชิงงามเสียก่อนเข้า กับทั้งเชื้ออาหารใช้หว่านเข้าก็หมดไปไม่พอใช้ ต้องขุดคุ้ยเอาอาหารที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาช่วยอีกใหม่ ตามแต่เหตุผลที่ได้รู้มาแล้ว ทำดังนี้สอง​คนผัวเมียเนื้อที่ดี ๆ ก็ได้ปีละ ๕ เกวียน ๖ เกวียนพอได้ขายบ้าง ถ้าเนื้อที่ไม่สู้ดีหรือปานกลางแล้ว ก็พอ ๆ เลี้ยงลูกเมียกินและใช้ไปปีหนึ่ง ๆ และน้อยตัวคนที่ทำดังนี้ ในเวลานี้ยังมีแต่ชาวเขาชาวป่าทำเข้าไร่เข้าไผ่เพราะเข้าอย่างนี้ไม่ได้ใช้ที่น้ำขังอย่างนาลุ่ม ใช้แต่ขวานตัดไม้ใหญ่ลงเผาหญ้า และไม้เล็กเตียนดีแล้ว ก็เอาเสียมขุดหลุมแล้วเอาเข้าหยอดเป็นระยะไป และในระวางกอต้นเข้าลางทีก็เอาพริกมะเขือผักไม้เล็ก ๆ ปลูกแซกกลางรดน้ำและคอยฝน ปลูกอย่างเดียวกัน เรียกว่าเข้าไร่อย่างนี้ถ้านานหลายปีไปพอหญ้าเล็กขึ้นแน่นรกเสียแล้ว ก็ทิ้งเสียทีเดียวไม่ใช้ต่อไป นาอย่างนี้เป็นสวนหรือไร่ไม่ควรนับว่านา ได้ผลก็เล็กน้อยไม่ต้องมีเครื่องมืออันใด วิธีทำก็อย่างทำไร่ทั้งสิ้นเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก แต่การนาที่ทำกันอยู่ตามธรรมดาเป็นอันมาก ที่มิใช่การใหญ่นักหรือน้อยนักนั้น ก็อย่างที่กลับดินด้วยไถใช้แรงสัตว์เป็นกำลัง ลางทีและลางประเทศก็ใช้โคบ้างกระบือบ้างม้าบ้าง แต่การทำนาเข้าเจ้านั้นใช้โคและกระบือเปนพื้น ถ้าเป็นประเทศที่ทรายที่ดอนก็ใช้โค ถ้าที่ลุ่มและเลนก็ใช้กระบือ ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีนิสสัยเป็นชาวนาแท้ การอื่นไม่ถนัดได้เหมือนนา เป็นสัตว์อันมีคุณแก่ประเทศบ้านเมืองเราแท้ จะหาสัตว์อันใดเปรียบไม่ได้ นึกดูถ้าไทยเราไม่มีกระบือจะใช้ช่วยแรงทำนาแล้ว ถึงคนจะแข็งแรงและช่างรู้เท่าใด ที่จะทำเข้าให้กว่าพอกินจนถึงจำหน่ายไปต่างเมืองที่ไหนได้ กระบือเป็นสัตว์มีคุณจริง ๆ ควรจะได้มีเรื่องราวต่างหากสักท่อนหนึ่ง เดชะบุญได้มีโอกาสอันอื่นสักคราว จะต้องคิดพรรณนาคุณกระบืออีกสักเรื่อง คงไม่เลวกว่าคราวนี้

​เครื่องมื่อที่ใช้ขุดดินด้วยแรงสัตว์ก็คือไถ เครื่องมืออย่างนี้ใช้ทั่วไปในการปลูกสร้างไม้เล็ก ๆ ต่าง ๆ แทบทุกอย่าง รูปร่างก็ต่าง ๆ กัน แต่ไถที่ได้ใช้อยู่เป็นอันมากทุกวันนี้ก็มีอยู่สองอย่าง คือไถเดี่ยวและไถคู่ และไถทั้งสองอย่างนี้ก็มีเป็นสองชื่อ คือหนึ่งเรียกว่าไถขาเดียว เพราะรูปไถที่ทำใช้ตัวไม้เล็ก ๆ และเบา สำหรับไถที่นา ที่พื้นที่เป็นทรายหรือเป็นฝุ่น เป็นดินยุ่ยซุยคุ้ยขึ้นได้ง่าย ๆ ไม่หนักแรงสัตว์แรงคน วันหนึ่งทำได้มาก ๆ อีกรูปเรียกว่าไถสองขาสำหรับใช้ในนาดินแข็งเหนียวทำด้วยไม้แก่นแน่นหนา มีขาไขว้กันลงมาต่อด้ามผาล (เหล็กที่กินดิน) เป็นสองขาเพื่อให้มั่นคง ถ้าเป็นไถโคก็ใช้คู่ ไถกระบือก็เป็นไถเดี่ยว คู่มีบ้างแต่น้อยทีใช้ วิธีที่ทำก็ไม่เหมือนกัน พวกนาทุ่งและนาน้ำฝนใช้ไถที่แห้ง เพราะเป็นที่ทรายขุดดินลงได้ง่าย แม้น้ำฝนจะมีมา ไขออกทันได้ ก็เพียงไขให้แห้งก่อนจึงไถ เพราะถ้าดินเปียกก็ติดกันเป็นก้อนเป็นลำ ไม่แตกตัวรุ่ยร่วนดังเจ้าของต้องการได้ ถ้าฝนชุกมากดินไม่แห้งได้ ไขไม่ทันก็ต้องคิดปิดขังน้ำไว้พอท่วม (ผาล) ทนทำไปในน้ำดังนาดินเหนียวข้างแถวสวน ซึ่งเวลาดินแห้งตัวสนิดแล้วไม่มีไถอะไรจะไถเข้า แม้ใช้ไถเหล็กฝรั่งที่อย่างแข็งแรง ก็ไถไม่ลงกระท้อนกึก ๆ ไปหมด จำต้องคอยรอจนฝนมีชุมมา น้ำขังในท้องนาท่วมหน้าผาลจึงจะลงมือไถได้ และเวลาที่ทำก็จำต้องท่องน้ำและเลนเปียกเปื้อนอยู่จนตลอดเวลากาล

ในที่ดังนี้ นอกจากกระบือแล้วไม่มีสัตว์ใดจะทนอยู่ได้ และในเวลาทุกวันนี้มนุษย์มีฝีมือและความคิดมากกว่าแต่ก่อนมากก็จริง แต่​ยังไม่เห็นมีเครื่องมือใหม่ ๆ อันใดที่ใช้ได้ดีกว่าของเก่า ที่ใช้มากว่าพันสองพันปีมาแล้วได้สักอย่าง แต่เหตุนี้จะว่าไม่มีช่องจะทำให้ดีกว่าได้ก็ว่าไม่ได้ เป็นด้วยราษฎรชาวนาของเรายังไม่มีกำลังพอจะตั้งกองสำหรับดูแลตรวจตราการที่จะทำให้การนาดีขึ้นได้โดยลำพัง กับทั้งไม่มีความรู้และตัวอย่างอันใด ที่จะชักนำให้เห็นว่าจะมีของที่ดีกว่าใช้ได้ให้เห็นอย่างทะยานอยากในทางใดอย่างใด เคยเห็นแต่ของเก่าที่เคยใช้ ๆ อยู่ทั่ว ๆ กัน ก็ตกลงใจเสียว่าสิ่งดีจะมีได้อยู่แต่เพียงเท่านั้น แม้หากจะมีคนที่ซุกซนค้นคิดไป ถ้าเป็นคนตามธรรมดาก็ไม่สามารถจะฟาดฟันทุนรอนไปทดลองได้ หรือคนที่กล้า ๆ ลองเข้าพลาดไปสักทีก็ฉิบหาย เขตต์กันขึ้นกีดกันการดีเสียดังนี้ การจึงยังคงเป็นดังแต่ก่อน ๆ มา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกระทำผลประโยชน์เป็นกำลังอันใหญ่ที่สุดของราษฎรชาวพระนคร จนพอใจและเป็นกำลังอันใหญ่อันหนึ่งในราชการด้วยเหมือนกัน พระไพสพของเราอาจจะเยาะเย้ยไยไพประเทศทั้งหลายที่คนต้องตายเพราะอดเข้าได้โดยเต็มปากเต็มมือ เพราะเหตุที่ในแขวงสยามประเทศ ที่นับถือเอาเข้าเป็นชีวิต คนทั้งหลายจะตายเพราะอดเข้านั้นน้อยนักน้อยหนา ทั้งจน ๆ เก่า ๆ โง่ ๆ ไม่มีฝีมือและปัญญา (ความสุข) เหมือนนายช่างผู้พิเศษต่าง ๆ ที่เรียกว่าเวอกเมนในยุโรปผู้สิวิลัยดังนี้ก็จริงแล้ว แต่โง่ก็มีพอนั่งกินได้นิ่ง ๆ ไม่ต้องอึกอักตึงตัง หรือบ่นพึม ๆ พำ ๆ ว่าไม่มีเข้าจะกิน ไม่มีงานจะทำ (จบที)

​นอกจากไถที่เป็นเครื่องมืออันสำคัญในการทำนา ที่ได้ว่ามาแล้วนี้ ยังมีคราดสำหรับชักลากต้นและรากหญ้าที่ลอยน้ำอันไม่เน่าจะงอกได้นั้นออกเสียให้พ้นที่ นอกนั้นก็มีเคียว ขอมีดพร้าและเครื่องมืออื่นก็ยังมี ซึ่งจะได้ออกชื่อถึงเมื่อเวลาจะกระทำการที่ต้องกระทำนั้น ๆ แต่ปลูกไปจนเก็บเกี่ยวและอื่น ๆ ซึ่งจะได้มีในหมวดหน้า ๆ ต่อไป ฯ



ขอขอบคุณ หอสมุดวัชรญาณ (ที่มา)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 พฤษภาคม 2568 15:41:16 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2568 15:48:15 »



เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๓

เรื่องสวน
​พระยาภาสกรวงศ์ เรียบเรียง
----------------------------
 

การทำสวนนี้เป็นส่วนหนึ่งอยู่ใน กฤษิกรรม ซึ่งเป็นศิลปของการเพาะ ปลูก หว่าน ไถ บำรุงที่แผ่นดินแผนกหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอันสมควรที่จะให้รู้ธรรมชาติของที่แผ่นดิน อันจะได้ขุดร่องยกคันโก่นสร้างที่แผ่นดิน จะได้หว่านเพาะต้นไม้มีผลที่เป็นต้นไม้ยืนนาน และต้นไม้ล้มลุกเพาะหว่านตามฤดูสมัย ให้ได้ผลอันดีมีราคามาก และต้องยากลำบากที่จะต้องลงแรงลงทุน และเปลืองเวลาแต่น้อย ในการประสงค์จะให้ผลดังนี้ มีการอยู่ ๔ อย่าง ที่ชาวสวนควรจะมีจะทรงไว้ ความคาดหมายประโยชน์จึงจะเป็นอันสำเร็จได้ คือว่าจะต้องมีทุน คือเงินที่จะได้ออกใช้สอยในสิ่งที่ควรต้องการ ๑ แรงหรือมือเพื่อที่จะได้ทำงานที่ต้องการ ๑ ความรู้ในทางดีที่สุดแห่งการงานที่ทำ ๑ และความฉลาดเพื่อที่จะได้บัญชาใช้ทุนและแรงที่จะต้องออกต้องทำ ๑ คุณสมบัติ ๔ อย่างนี้มีอยู่ในชาวสวนผู้ใดแล้ว ความมาดหมายที่จะให้เกิดประโยชน์ ก็คงเป็นผลสำเร็จอย่างดียิ่ง รวมเป็นสิ่งซึ่งเป็นวิชชาสำหรับชาวสวนที่ควรต้องศึกษา และประพฤติไปด้วยกัน ครั้นจะพรรณนาให้ละเอียดแล้ว ตลอดปีก็คงไม่หมดเรื่องได้ เพราะฉะนั้นในที่นี้ข้าพเจ้าจะขอกล่าวแต่สังเขป ที่เป็นส่วนลักษณะของการเพาะปลูกที่กิน และวิธีการทำสวนที่บรรพบุรุษได้ทำมาแล้ว เป็น​อยู่ประการใด และความชำนาญที่ได้ทดลองมาแล้ว เป็นการดีขึ้นอย่างไรบ้าง ทั้งวิธีวิชชาเป็นความรู้ที่จะเชิดชูการเพาะปลูกทำสวนให้เจริญยิ่งขึ้น และเหตุที่เป็นการขัดขวางในทางที่ชักให้เป็นความท้อถอยแก่การเพาะปลูกอยู่นั้น จะได้พรรณนาการเหล่านี้สืบไป บัดนี้จะขออธิบายคำว่า สวนและที่แผ่นดินของเรามีอยู่กี่อย่างกี่ชะนิด และเทียบเทียมดูกับธรรมเนียมต่างประเทศ ที่เป็นไมตรีด้วยสักหน่อยก่อน

สวนคำนี้ เมื่อเป็นนามศัพท์แล้ว ก็เข้าใจว่าที่แผ่นดินอันยกคันเป็นร่องขึ้นแล้ว ก็เรียกว่าเป็นสวนคู่กับคำว่านา และมีคำว่าไร่แซกอยู่เป็นคำกลางด้วย เพราะสวนสำหรับปลูกไม้ดอกไม้ผล นาปลูกเข้า ไร่ปลูกไม้ล้มลุก สวนนั้นมีประเภทต่าง ๆ ตามคำที่คุณศัพท์จะตามหลัง คือสวนใหญ่ สวนจาก สวนดอกไม้ เป็นต้น

ที่ใดซึ่งปลูกต้นผลไม้ อันเป็นไม้ยืนต้นเข้าอากรใหญ่ก็ดี เข้าพลากรก็ดี ที่เป็นไม้ล้มลุกเสงเครงเข้าสมพัตสรก็ดี ล้วนแต่ต้นสิ่งนั้นมาก มีไม้ขึ้นแซมแต่น้อยแล้ว ก็เรียกว่าสวนสิ่งนั้น เอาชื่อต้นผลไม้ประกอบเป็นคุณศัพท์ อธิบายความพิเศษจำเพาะในที่ดินอันนั้น และอยู่ตำบลนั้นจึงจะดี

ที่ดินปลูกต้นทุเรียน มังคุด มะม่วง มะปราง ลางสาด หมาก พลูค้างทองหลางต้น ๗ พรรค์นี้ เข้าในอากรใหญ่ ต้นใดมีจำนวนในที่อันนั้นมากก็เรียกว่าสวนสิ่งนั้น ในตำบลวัดทองล่างปลูกทุเรียนมาก ก็เรียกว่าสวนทุเรียน ในตำบลนี้ต้นทุเรียนงอกงามได้ผลมากมีรสดีกว่าที่ตำบลอื่น จึงมีชื่อทุเรียนเป็นคุณพิเศษของตำบลนี้ ​แต่ก่อนนั้นทุเรียนบางบนในคลองบางกอกน้อย มีบางผักหนามเป็นต้น เป็นทุเรียนดีมีชื่อจำเพาะต้นนั้นพันธ์ุนั้น ผลโตงามภูใหญ่สีเนื้อเหลืองแต่หยาบ รสมันมากกว่าหวาน ซื้อขายกันได้ราคาเรียกว่าทุเรียนบางบน ครั้นภายหลังมาในถิ่นบางบนนี้มีน้ำท่วมบ่อย ๆ ต้นทุเรียนทนน้ำไม่ค่อยจะไหวล้มตายเสียแทบหมด ผู้ที่จะเพาะปลูกขึ้นใหม่ก็ระอาไป หาค่อยจะปลูกให้เต็มภูมิ์ไม่ ทุเรียนบางบนจึงได้เสื่อมทรามลง ไปเจริญงอกงามดีในที่ตำบลบางล่าง เพราะฤดูน้ำท่วมไหลลงเร็ว ชาวสวนคิดยกคันอยู่ได้ และทุเรียนบางล่างนั้นเนื้อละเอียดแต่บาง สีก็เหลืองอ่อนมักจะเป็นสีลาน แต่รสนั้นหวานสนิทดีกว่าบางบน คนชอบใจกินมาก ต้นทุเรียนมีอยู่ในที่อะเลอใดมาก ที่อะเลอนั้นก็เรียกว่าสวนทุเรียนเหมือนกัน ถึงต้นไม้อื่นก็เช่นกัน ผิดกันแต่พันธุ์ที่เกิดงอกงามในตำบลต่าง ๆ มีรสดีกว่ากันตามชั้นชนที่ชอบ

เหมือนอย่างมะม่วง มีชื่อจำเพาะว่าอกร่อง และมะม่วงทุเรียนนั้น ที่พาหิรุทยาน ซึ่งเรียกตามสามัญว่าสวนนอก ในแขวงเมืองสมุทรสงคราม มีสวนมะม่วงบางช้างเป็นที่ทราบซึมอยู่ด้วยกันมาก มะม่วงคิดว่าสวนใน ยังมะม่วงอีกพันธุ์หนึ่ง เป็นมะม่วงไร่หรือป่าก็ได้ เรียกว่ากะล่อนเขียว ในแขวงเมืองชลบุรีมีรสหวาน และปลาดโอชายิ่งนัก อีกพันธ์หนึ่ง เรียกว่ากะล่อนทอง มาแต่เพ็ชรบุรีเป็นอย่างดี และมักได้กินก่อนฤดู มักจะทันใส่บาตรในเวลาเทศกาลตรุษ แต่รสหาสู้ดีไม่ มักจืด ๆ ชืด ๆ ไป สู้รสมะม่วงอื่นไม่ได้ ยังมะม่วงกะล่อนอีกพันธุ์หนึ่ง เรียกว่าขี้ไต้ มีประปรายรายทั่วไปตามสวนและไร่ ​แต่รสไม่อร่อย ได้รู้สึกกลิ่นคล้ายดังชัน จึงเรียกกันว่า ขี้ไต้ แต่ยังมะม่วงพันธุ์อื่น ๆ อีกตั้งร้อยชะนิดจะพรรณนาก็ยืดยาวนัก

มะปรางปลูกที่ตำบลบางท่าอิฐ แขวงเมืองนนทบุรีฝั่งตะวันตก เยื้องปากเกร็ดล่างหน่อยหนึ่ง เป็นมะปรางมีรสดีเนื้อแน่นไม่ช้ำ ผลก็งามดี มะปรางปลูกที่ตำบลอื่น ถึงผลจะงามเนื้อในมักเป็นน้ำและช้ำเรียกว่าท้องขึ้น ปอกริ้วไม่ค่อยจะได้ รสก็มักจะจืดไม่สู้แหลมเหมือนมะปรางที่ท่าอิฐ มะปรางนั้นเราแบ่งประเภทไปตามรสมีสองอย่าง คือเปรี้ยวกับหวาน แต่คำที่ชำนาญพูดกันนั้นปณีตออกไปอีกถึง ๕ อย่างตามรสนั้น คือมะปรางที่มีรสหวานชืด ๆ ไม่มีเปรี้ยวแกม เรียกว่ามะปรางหวาน ที่มีรสเปรี้ยวแกมแต่น้อย มีหวานเข้าประสมเป็นรสปลาดมาก เรียกว่ามะยงชิด ที่มีรสเปรี้ยวมากกว่าหวานเรียกว่ามะยงห่าง และที่เปรี้ยวมีรสหวานรู้สึกแต่เล็กน้อยเปนมะปรางเปรี้ยวตามธรรมดา ยังเปรี้ยวแจ๊ดอีกพันธุ์หนึ่งผลใหญ่งาม ลางแห่งก็เท่าฟองไก่ตะเภา เรียกว่ากาวาง เพราะเปรี้ยวเหลือที่จะประมาณ จนนกกาไม่อาจจิกกินได้แล้ว มะปรางอย่างนี้สำหรับเป็นของกำนัลเป็นที่ดูชมเล่นเท่านั้น ส่วนมะปรางที่ท่าอิฐเป็นดีกว่าที่อื่น

ลางสาดปลูกที่ตำบลคลองสาร มักมีรสหวานเจือหอมพิเศษดีกว่าที่ตำบลอื่น และพันธุ์เมืองชะวาหรือบะเตเวีย พันธุ์ที่มาปลูกเป็นขึ้นในบ้านเมืองเรา มีผลเขื่องเติบบ้าง พวงใหญ่งามดี สีเนื้อขาวซีด มีรสหวานชืดจืด โอชะไม่ถึงลางสาดของเรา เป็นแต่นับถือว่าเป็นของชักนำมาแต่ต่างประเทศเท่านั้น ด้วยเป็นของยังมีน้อยต้นอยู่ เรียกกัน​ว่าลางสาดกะหลาป๋า หรือบะเตเวีย แต่ที่คำว่าชะวา หรือยะวาซึ่งควรจะเรียกนั้นหากล่าวไม่

มังคุดนั้นไม่เป็นตำบลลงได้ มีเรี่ยรายไป สุดแต่ที่ใดปลูกมากก็เรียกว่าสวนมังคุด มีชื่อตำบลอันปรากฏมาในพงศาวดาร ว่าสวนมังคุดแห่งหนึ่ง คือแถบวังหลัง ซึ่งเป็นมูลราชนิเวศน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปฐมรัชชกาลนั้นตำบลหนึ่ง แต่ที่จริงนั้นเดี๋ยวนี้ต้นมังคุดมีน้อย หรือจะว่าไม่มีเลยก็ได้ นามสวนมังคุดนั้นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยจะมีใครเรียกเสียแล้ว สวนมังคุดในบ้านเมืองเรามีผลหาค่อยจะพอจำหน่ายไม่ ในเวลาต่อวายจึงต้องบรรทุกเข้ามาแต่เมืองสิงหปุระ ซึ่งกลายไปเป็นเมืองสิงคโปร์ก็มี เพราะที่สิงคโปร์มีสวนมังคุดมาก ทางไปมาด้วยเรือเมล์กลไฟใกล้เข้า และต้นมังคุดที่ในหัวเมืองตะวันตกของเราก็มาก แต่หาได้เป็นสินค้าซื้อขายถึงในกรุงเทพ ฯ ไม่ เป็นแต่ใช้กันอยู่ในพื้นบ้านพื้นเมืองนั้นเท่านั้นเอง

หมากบางล่างมีตำบลราชบุรณะบางผึ้งแจงร้อนเป็นต้น เป็นสวนหมากอันมีชื่อเสียงปรากฏมาแต่ก่อน เพราะหมากนั้นหน้าฝาดยิ่งเคี้ยวกระชับจับปากดีกว่าตำบลอื่น แต่ฝั่งตะวันตกยิ่งดีกว่าฝั่งตะวันออก และไม่สู้ช้านานนักมาเกิดเคี้ยวหมากดิบที่ยังไม่เป็นสง เนื้อขาวเรียกว่าหน้าหวานกันขึ้นมาก ในหมู่ผู้ที่เป็นชั้นสูงถือว่าหมากหน้าฝาดกระชับจับเจ็บปากไป หมากดิบหน้าหวานจึงเป็นที่ชอบใจ มีราคาขึ้นกว่าหมากหน้าฝาดมาก ที่ปลูกในแขวงเมืองฉะเชิงเทรา และเมืองจันทบุรีที่หน้าขาวซิดก็​กลายเป็นหมากดีไปทั้งนั้น แต่หมากเหล่านี้แต่ก่อนเป็นหมากเลวทราม เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นดีไป หมากซึ่งเรียกว่าหน้าหวานนั้น แบ่งเป็นฝาดหวาน หวานแดง หวานแท้ คือหน้าขาวซีดมีเยื่อเช่นวุ้นหรือเยลลีมาก สวนหมากนี้ที่แขวงเมืองฉะเชิงเทราปลูกมาก และต้นก็เตี้ยตั้งแต่ ๔ ศอกขึ้นไปเพียง ๖ ศอก ๗ ศอกก็มีผล หาสูงดวดเหมือนหมากที่สวนในและสวนนอกไม่และมักมีผลเสมอ จะว่าเป็นหมากต่อวายก็ได้ เราใช้เคี้ยวกันอยู่เดี๋ยวนี้ในเวลาฤดูวายแล้ว ก็ใช้หมากสวนแขวงเมืองฉะเชิงเทรามาก เรื่องหมากนี้มีประเภทและข้อความที่จะกล่าวบรรยายได้เล่มสมุดกว่า เพราะนับถือเข้ามาเป็นเครื่องเคี้ยวสำหรับประดับชั้นยศบรรดาศักดิ์เสียแล้ว ใช้เคี้ยวทั่วไปทั้งชายหญิง จะไม่เคี้ยวอยู่บ้างก็น้อยตัว ที่มักจะเก๋เป็นอย่างฝรั่ง หรือวิงเวียนยันไม่เป็นที่ชอบใจ หรือที่เห็นเป็นการเปรอะเปื้อนไปบ้างก็มี ถ้าจะเทียบดูแล้วชาวเราผู้ที่ไม่เคี้ยวหมากหมื่นคนจะมีสักคน ๑ เพราะฉะนั้นหมากที่เพาะปลูกในสวนนอกสวนในก็ดี ที่ได้นับเมื่อเดิรรังวัดสวนในปีมะเมียปีมะแมหลังนี้ หมากที่นับได้อย่างเข้าอากรมีอยู่ ๖,๓๗๑,๘๕๕ ต้น ที่เพาะปลูกยังไม่ได้อย่าง ๑,๒๗๓,๐๗๐ ต้น รวม ๓,๖๔๔,๙๒๕ ต้น แต่ยังเพาะปลูกใหม่อยู่เสมอไปมากกว่าที่ตายและตัดฟัน ก็ยังไม่พอชาวเราที่ใช้สอยต้องจำบรรทุกเข้ามาแต่ต่างประเทศ เรียกว่าหมากเกาะคือมาแต่เมืองปินังหรือเกาะหมาก ปีหนึ่งตั้งหมื่นหาบ ต้นหมากต้นหนึ่งที่อย่างดกปีหนึ่งมีผลสองปูน ที่งามประมาณถึง ๓,๐๐๐ ผล และที่สอนเป็นตั้งแต่ ๑๐๐ ขึ้นไปคิดถัวลงปีหนึ่งเป็น​ต้นละ ๕๐๐ ผล ราคาซื้อขายกันตามฤดูถูกแพง ที่แพงก็ถึงร้อยละบาท ร้อยละห้าสลึง ที่ถูกเพียงร้อยละสลึงเฟื้องบ้าง สลึงบ้าง เฟื้องสองไพบ้าง คิดถัวกันเป็นปีหนึ่งอย่างน้อยได้ผลต้นหนึ่งราคาเพียงบาทหนึ่ง ก็เป็นเงินถึง ๙๕,๕๖๑ ชั่ง ๑๑ ตำลึงกับบาทหนึ่ง ถ้าคิดเพียงต้นละสองสลึงก็ถึง ๔๗,๗๘๐ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ๒ บาท ๒ สลึง ดูมากมายนักที่ใช้เคี้ยวอยู่ทั่วกัน

พลูค้างทองหลางเป็นของเกิดมีมานานตามสวน ปลูกแล้วก็ทิ้งให้เลื้อยขึ้นบนต้นทองหลาง เก็บใบเคี้ยวปนกับหมาก เป็นใบเขียวมีรสเผ็ด มีตามสวนบางบนและสวนนอกมาก เพราะเป็นของเลื้อยยืนต้นนาน จึงได้นับเข้าในอากรใหญ่ ภายหลังมาไม่สู้ช้านานนัก พวกจีนชำนาญในการเพาะปลูกดีกว่าชาวเราที่ใช้ปุ๋ยรดที่ดินให้มีรสแรงขึ้น จึงได้คิดปลูกพลูให้เลื้อยขึ้นค้างด้วยต้นโปลง หาใช้ให้เลื้อยขึ้นบนต้นทองหลางไม่ ได้เพาะปลูกในตำบลบางใส้ไก่และบางยี่เรือมาก ที่เหล่านั้นจึงเรียกว่าสวนพลู พลูค้างที่พวกจีนปลูกอาศัยอุดหนุนที่ดินด้วยปุ๋ยปลาเน่าเป็นต้น ต้นพลูเกิดงอกงามออกยอดแตกใบมีกำหนดวันทันเก็บขายและสีพลูนั้นก็เหลืองมีรสไม่สู้เผ็ด ผิดกับพลูค้างทองหลางมาก ขายได้ราคา

ในสวนพลูบางใส้ไก่และบางยี่เรือนั้น ชาวสวนพลูเด็ดใบเก็บซ้อนกันเรียกว่าเรียง ๘ ก้านเป็นเรียง ๑ ไม่ว่าใบเล็กใบใหญ่ แล้วก็มัดเป็นกำบรรจุเข่งหาบมาบ้าง บรรทุกมาด้วยเรือเล็กบ้าง มาขึ้นที่ท่าในคลองบางกอกใหญ่เคียงกับวัดอินทาราม จันทาราม ราชคฤห์ เรียกตามสามัญว่า วัดบางยี่เรือทั้ง ๓ หรือวัดบางยี่เรือไทย ยี่เรือมอญก็เรียก ​ท่าที่บรรทุกพลูลงมาจำหน่ายนั้นก็กลายเป็นตลาดพลูไป และที่บรรทุกมาจำหน่ายทางตอนล่าง ออกคลองดาวคนองก็มีแต่น้อย พลูไม้ค้าง นัยหนึ่งว่าพลูจีนก็เรียก นี้เป็นสินค้าไม่จำเพาะใช้แต่ในกรุงเทพ ฯ บรรทุกไปขายตามหัวเมืองตลอดถึงกรุงเก่า อ่างทองก็มีที่เป็นพลูสด ถ้าเมืองไกลขึ้นไปก็นาบให้แห้งไปขาย แต่พลูค้างทองหลางนั้นมักจะมัดเป็นกลุ่มเสียมากกว่าเรียง และใช้นาบขายมากกว่าพลูจีน ด้วยรังเกียจสีเขียวและไม่เป็นที่ชอบใจที่ใช้สอยนัก พลูจีนคู่กับหมากดิบหมากสงสดอยู่แล้ว พลูนาบนี้เป็นของคู่กับหมากเกาะหมากสงแห้ง ขายกันเป็นหาบทั้งสองอย่าง

ที่พรรณนามานี้ เป็นส่วนต้นผลไม้ที่เข้าอากรใหญ่ที่มีประเภทสวนต่าง ๆ ยังส่วนที่เป็นพลากรมีสวนเงาะสะท้อนเป็นต้น เงาะนั้นตำบลบางยี่ขันเป็นสวนดี มีราคากว่าที่อื่น สวนสะท้อนนั้นบางบัวทองในคลองอ้อมเป็นอย่างดีกว่าที่อื่น และที่เป็นสะท้อนพิเศษเรียกชื่อว่านิ่มนวลนั้นพระเจ้าอยู่หัวรัชชกาลที่ ๒ ทรงโปรดจนถึงยกอากรพระราชทานให้แก่สวนที่เรียกว่านิ่มนวลนั้นด้วย

ยังต้นไม้ล้มลุก และไม้เสงเครงที่จัดเป็นสวนขึ้น คือ อ้อยจีนนั้นแต่ก่อนอ้อยจีนตำบลบางใหญ่ในคลองบางกอกน้อย เป็นมีรสหวานดีกว่าที่อื่น จนลูกค้าที่ขายเร่ร้องเป็นคำกลอนกระทบกันว่า “ซื้ออ้อยจีนบางใหญ่อ้อยไทยบางโควัด เข้าหลามตัดวัดระฆัง แม่เฮ้ย” แต่เดี๋ยวนี้อ้อยจีนบางใหญ่นั้นเสื่อมทรามไป หาค่อยจะมีใครเพาะปลูกไม่ เป็นที่นาไปเสียหมดแล้ว อ้อยจีนเลื่อนไปเพาะปลูกงอกงามอยู่ตาม บางแวก ​บางเชือกหนังเป็นอย่างดี แต่อ้อยไทยบางโควัดนั้น ยังคงเป็นอ้อยมีชื่อดีอยู่ เพราะรสหวานฉ่ำและอ่อน ที่อื่นสู้ไม่ได้ ยังไร่อ้อยทำน้ำตาลที่อื่นๆ อีกมาก และเข้าหลามตัดวัดระฆังนั้น เดี๋ยวนี้ก็สูนย์สิ้นชื่อไปแล้ว

ผลฝรั่ง นัยหนึ่งว่าไม้จีน เป็นสวนมีผลและรสดีอยู่ที่บางเสาธง และยังมีต้นผลไม้อื่นที่มีชื่อตำบลชมกันว่าเป็นของดียิ่งนั้นอีกมาก ยังสวนไม้เสงเครง ในเวลาเมื่อเสด็จพระราชดำเนิรกลับจากประเทศเมืองอินเดีย ได้เม็ดพุดซาจากเมืองกาละกะตามาเพาะเป็นผล ในปีแรกผลใหญ่รสก็ไม่เปรี้ยวฝาด บางท่านที่ชอบพุดซานั้น ก็ปลูกพุดซาโดยมาก เรียกว่าสวนพูดซาลักกะตาก็มี ครั้นล่วงมาหลายปีต้นพุดซาเหล่านั้น รู้จักที่ดินได้ชลากาศของเราเข้า ผลก็เล็กลง มีผลออกเปรี้ยวและฝาด ชื่อพุดซาลักกะตาก็คลายเงียบไป เกือบจะเป็นพุดซาไทยหมดแล้ว

ยังต้นชิกโก มาดัดเรียกว่าลมุดฝรั่ง มาจากแหลมมะลายู สิงคโปร์และชวาบ้าง เพาะปลูกและตอนปลูกต่อ ๆ กันไป มีผลตลอดปีแต่ช้า คิดตั้งแต่เผล็ดดอกไปจนผลสุก ๘ เดือนจึงกินได้ มีรสหวานฉ่ำดังน้ำตาล แต่เป็นทรายมีอยู่ ๒ พันธุ์ ผลยาวใหญ่และผลกลมเล็ก กำลังเป็นที่ชอบใจจับใจของผู้เพาะปลูกมาก ลางบ้านหรือสวนก็ปลูกล้วนแต่ลมุดฝรั่งทั้งนั้น เรียกว่าสวนลมุดฝรั่ง และตามบ้านเรือนก็ปลูกชมเล่น ได้ผลซื้อขายมีราคามาก ตลาดผลไม้ที่ท้องสำเพ็งนั้นมีขายอยู่เป็นนิจ แต่ราคายังแพงอยู่ ผลใหญ่ผลละเฟื้องบ้าง ​๖ ผลบาทบ้าง ผลเล็ก ๔ ผล ๕ ผลเฟื้องบ้าง ลมุดฝรั่งที่เรียกดังนี้ไม่สู้ช้านานนัก คงจะเป็นดังลมุดไทยไป เพราะคนชอบตอนไปเพาะปลูกมาก ถ้าเพาะเมล็ดแล้ว ๑๐ ปีก็ยังไม่ออกผล

ข้าพเจ้าเพ้อด้วยประเภทคำสวนต่าง ๆ ที่มีต้นไม้เข้าอากรใหญ่มามากอยู่แล้ว ยังสวนคำนี้ใช้เป็นคำกิริยาศัพท์หรือคุณศัพท์พิเศษ ประกอบกับอาขยาตบ้าง อุปสัคบ้าง มีเนื้อความต่าง ๆ กัน เป็นต้นว่าจะให้สืบการสิ่งใดก็เรียกว่าไต่สวน สอบสวน ส่งข่าวไปมาเรียกว่าสื่อสวน คนหนึ่งเดิรไปคนหนึ่งเดิรมาตามทางพ้นกันไป หรือตรวจทางเสียก่อน ก็เรียกว่าสวนทาง ยังสัตว์ถูกเจ็บวิ่งไล่ผู้ทำเข้ามา เรียกว่าสวนควัน พบปะกันหลีกไปมา มีรถและเรือเป็นต้น ก็เรียกว่าสวนกัน เดิรเรือในลำคลองเวลาค่ำ เรือจะหลีกกันก็บอกว่าสวน คือให้ไปทางตะวันตก ทะเลไปทางตะวันออก ถ้าเป็นคลองคูพระนคร ก็เรียกว่ากำแพงแทนสวน คือให้หลีกไปทางกำแพง มีการซ้อมแห่โสกันต์เป็นต้น และมีการจะพะนันในท้องสนาม ก่อนที่จะแห่ เล่นพะนัน ก็เรียกว่าสวนสนาม ยังผู้ที่ป่วยไข้ไม่ไปอุจาระ ก่อนเวลาที่ชักนำสูบเอนิมาเข้ามา ใช้ก้านมะละกอปากอมยาเป่าทางก้านมะละกอเข้าไปในทวารหนักเพื่อจะให้อุจาระเดิร ก็เรียกว่าสวน การหัวร่อกัน ถ้าเจ้านายก็เรียกว่าทรงพระสรวล สามัญก็เรียกแต่ว่าสวน ยังในหนังสือโคลงกล่าวว่า สวนเสียงพระสมุทรอื้อ อลเวงเป็นต้น ก็สวนคำนี้ จะว่ามาจากภาษามคธ สะวะนัง แปลว่าการฟังการได้ยินก็ดูเหมือนจะได้ แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมรับแน่ว่าเป็นผู้ต้นยืนยัน ต้องแล้วแต่ประชุมชน​จะเห็นชอบ ยังคำสวนเป็นวิเศษ ก็นามชื่อบุรุษสตรีก็มีอยู่ชุม ๆ แต่ผู้ที่ชื่อสวนทั้งชายหญิงนี้ มักจะมีเหตุไปอุปบัติเกิดที่สวน ดังเกิดที่แพหรือเรือนแพเป็นต้น เอานามสถานที่มาให้เป็นชื่อ เพื่อความระลึกให้เป็นผลไว้ก็มี นามพระผู้เป็นเจ้ามคธว่าอิศระ สังสกฤตอิศวระ เรามาเรียกเป็นพระอินสวนไปให้ผิดกับพระอินโปหรือพระอินเขียว และคำว่าสวนยังจะใช้อย่างอื่นได้อีกก็มีอยู่ เป็นต้นว่า ผ้าตาทองแกมไหม ในโบราณเรียกว่า ตาหิ่งห้อยชมสวนเป็นต้น สวนคำนี้เข้าเป็นยาดำแซกแซงถ้อยคำอยู่หลายอย่าง จะค้นเก็บพรรณนาก็เกรงว่าจะเพ้อเจ้อพล่ามมากไปนัก ขอยุติไว้ทีหนึ่ง จะได้พรรณนาถึงที่ดินต่อไป

ที่แผ่นดินซึ่งขุดร่องยกเป็นคันเรียกว่า สวนใหญ่ นั้นเป็นแผนกหนึ่งจากที่แผ่นดินทั้งปวง มีอยู่ในแขวงกรุงเทพ ฯ เมืองนนทบุรี ประทุมธานี นครเขื่อนขันธ์ สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครไชยศรี สมุทรสงคราม ราชบุรี เพ็ชรบุรี และฉะเชิงเทรา รวม ๑๑ เมืองทั้งในกรุงเทพ ฯ ที่แผ่นดินซึ่งเป็นสวนใหญ่นี้ ก็ย่อมมีโฉนดตราสารเป็นสำคัญสำหรับที่สวนนั้น ๆ แบ่งออกเป็นอะเลอไป อะเลอหนึ่งไม่กำหนดจะกว้างยาวเท่าไร สุดแต่มีโฉนดตราสารสำหรับที่นั้นฉะบับ ๑ เป็นสำคัญแล้ว ก็เรียกว่าอะเลอ ๑ ที่สวนอะเลอ ๑ ก็แบ่งออกเป็นขนัดไป ขนัดสวนนั้นก็มิได้ประมาณกว้างยาวเหมือนกัน สุดแต่มีร่องขวางแล้วก็นับเป็นขนัดไป สวนอะเลอ ๑ บางทีก็มีเพียงสองร่องสามร่อง กี่ไม่เป็นขนัดบ้าง ที่เปนขนัดก็นับตั้งแต่ ๑ ขนัดไปจน ๑๒ ขนัด หรือมากกว่าขึ้นไปก็มีแต่น้อย มักจะอยู่ใน ๑๒ ขนัดเสียโดยมาก

​สวนอะเลอ ๑ นั้น ผู้กินผู้ถือต้องรับโฉนตตราสารจากเจ้าพนักงานไปไว้เป็นคู่มือ หวงห้ามที่นั้นไว้เพาะปลูกได้ ก็ต้องเสียค่าอากรที่ดิน เรียกว่าเดิมจอง เป็นเงินมีปีหนึ่ง สลึง ๖๐๐ เบี้ย ถ้าปลูกต้นผลไม้ ๗ อย่างคือต้น ทุเรียน แมงคุด มะม่วง มะปราง ลางสาด หมาก พลูค้างทองหลาง เรียกว่าอากรใหญ่ ต้นผลไม้ ๗ อย่างนี้ ถ้าเงินอากรปีหนึ่งยังไม่ถึง ๖๐๐ เบี้ยแล้ว ก็ต้องเสียอากรอยู่ตามเดิมจอง ถ้าต้นผลไม้ ๗ สิ่งมีค่าอากรมากกว่า สลึง ๖๐๐ เบี้ยขึ้นไปแล้ว ก็ต้องเสียอากรตามจำนวนไม้ ๗ อย่างนั้น ยกค่าเดิมจองสลึง ๖๐๐ เบี้ย ให้คงคิดเอาตามจำนวนไม้ ๗ อย่างนั้น มีพิกัดดังนี้

ต้นทุเรียนต้นละสองสลึงเฟื้อง แต่เดิมอากรต้นละบาท ครั้นมาในรัชชกาลที่ ๔ เมื่อเดินสวนคราวหลังในปีฉลูสัปตศกจุลศักราช ๑๒๒๗ (พ.ศ. ๒๔๐๘) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ลดอากรลงเป็นต้นละสองสลึงเฟื้อง เพราะว่าต้นทุเรียนเป็นไม้ทนน้ำไม่ได้ ถ้าฤดูน้ำท่วมมากขังแช่ต้นอยู่ตั้งแต่ ๓ วันขึ้นไปก็มักจะล้มตายเสียมาก ถ้าไม่ตายก็เป็นไข้ทิ้งกิ่งทิ้งใบไม่เป็นผลไปหลายปี จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ลดเงินอากรลง ก็เพื่อจะบำรุงการเพาะปลูกให้เจริญขึ้น เงินอากรจึงได้คงอยู่ต้นละสองสลึงเฟื้องมาจนบัดนี้ ต้นแมงคุดต้นละเฟื้อง มะม่วงต้นละเฟื้อง มะปรางต้นละ ๔๐๐ เบี้ย ลางสาดต้นละเฟื้อง หมาก จัดเป็นหมากเอกต้นละ ๑๓๘ เบี้ย หมากโทต้นละ ๑๒๘ เบี้ย หมากตรีต้นละ ๑๑๘ เบี้ย หมากผการายตกจั่นประปรายต้นละ ๑๒๘ เบี้ย หมากเล็กสูงศอก ๑ ขึ้นไปต้นละ ๕๐ เบี้ย พลูค้างทองหลางค้างละ ​๒๐๐ เบี้ย ๗ อย่างนี้ คงเป็นไม่เข้าอากรใหญ่ ยังต้นมะพร้าวห้าวแต่เดิมมาก็เป็นไม่เข้าอยู่ในอากรใหญ่ อากรต้นละ ๑๐๐ เบี้ย มาในรัชชกาลที่ ๔ เดินรังวัดสวนครั้งแรก ในปีฉลูเบ็ญจศกจุลศักราช ๑๒๑๕ โปรดเกล้า ฯ ให้ขึ้นอากรเป็นสามต้นสลึง ในเวลานั้นผลมะพร้าวราคาถูกเพียงร้อยละสลึงเฟื้องบ้าง สองสลึงเฟื้องบ้าง เป็นอย่างราคาสูง ชาวสวนเห็นว่าอากรแพงนัก ได้ผลไม่คุ้มกับค่าอากรจึงได้พากันท้อถอยในการเพาะปลูกต้นมะพร้าว ชาวสวนที่มีต้นมะพร้าวอยู่ก็พากันมาร้อง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สักหลังโฉนดยกอากรต้นมะพร้าวใหญ่เสีย คงเรียกเป็นภาษีน้ำมันแทน ต้นมะพร้าวจึงได้พ้นอากรใหญ่แต่นั้นมา

ในสวนอะเลอ ๑ นอกจากอากรไม้ ๗ อย่างหรือค่าเดิมจองก็ดี ถ้าปลูกไม้ล้มลุกหรือไม้ ๘ อย่างที่เรียกว่าพลากร คือต้นขนุน สะท้อน เงาะ ส้มต่าง ๆ มะไฟ ฝรั่ง สาเก สับปะรด แล้วก็ต้องเสียค่าอากรสมพัตสรต่างหาก มีพิกัดดังนี้ ขนุน ๑๐ ต้นเฟื้อง สะท้อน ๕ ต้นเฟื้อง ๑ เงาะ ๕ ต้นเฟื้อง ส้มต่าง ๆ ๑๕ ต้นเฟื้อง มะไฟ ๑๒ ต้นเฟื้อง ฝรั่ง ๑๒ ต้นเฟื้อง สาเก ๑๕ ต้นเฟื้อง สัปปะรด ๑๐๐ ต้นสลึงเฟื้อง เป็นพลากร และอากรสมพัตสร ไม้ล้มลุกนั้น คือกล้วยอ้อยเป็นต้น สมพัตสรนี้ แต่เดิมมาในหัวเมืองที่มีสวนใหญ่ก็ทราบว่า เจ้าพนักงานกรมพระคลังสวนเป็นผู้เก็บอากรสมพัตสรเหมือนกัน ถึงคราวเก็บอากรใหญ่นายระวางก็ออกตรวจจับต้นผลไม้ที่เป็นพลากร เพราะหาได้มีบัญชีอยู่ในโฉนดตราสารไม่ ด้วยไม่เป็นไม้ยืนนาน เรียกอากรสมพัตสรตาม​ที่ตรวจนับได้ นายระวางผู้ตรวจนับเรียกอากรก็ไปทำรวม ๆ เหลวไหลไป หาใคร่จะได้เงินอากรส่งพระคลังไม่ ในรัชชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นอากรผูกขาด จึงได้ไปขึ้นตรงอยู่ในพระคลังมหาสมบัติ ให้ผูกขาดไปคู่กับสมพัตสรไร่และไม้หัวไร่ มีต้นมะม่วง มะขาม น้อยหน่า กล้วย พลู เป็นต้น

สวนใหญ่อะเลอ ๑ นอกจากอากรใหญ่อากรสมพัตสรหรือค่าเดิมจองที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็ยังต้องถูกเฉลี่ยขอแรงอีก คือในรัชชกาลที่ ๓ เกณฑ์ขอแรงให้ชาวสวนปลูกต้นคำและต้นดีปลี สำหรับย้อมผ้าเหลืองและประกอบโอสถ ขอเอาผลสิ่งละทะนาน และในรัชชกาลนั้นยังค้าสำเภาอยู่ ขอแรงชาวสวนเป็นค่าไม้ประกำใบเฟื้อง ๑ ค่าน้ำมันเฉลี่ยหยอดเพลาอีกเฟื้อง ๑ ก็แต่ต้นคำดีปลีนั้นบางสวนได้ปลูกบ้าง ที่ไม่ได้ปลูกโดยมาก จึงขอเสียค่าผลคำและดีปลีสิ่งละทะนานนั้นให้เป็นเงินเสีย คิดทะนานละเฟื้อง ๑ ครั้นมาในรัชชกาลที่ ๔ ทรงพระราชดำริว่าไม่ได้ค้าสำเภาแล้ว ที่ขอแรงชาวสวนให้เสียค่าประกำใบ และค่าน้ำมันเฉลี่ยหยอดเพลานั้น เป็นการจุกจิกคิดเอาเล็กเอาน้อยหนักไป ให้ยกเลิกพระราชทานให้แก่ชาวสวนเสีย จึงคงอยู่แต่ค่าผลคำและดีปลีสิ่งละเฟื้องนั้น เป็นเงินสำหรับพระราชทานเป็นเบี้ยหวัดเจ้าพนักงาน กรมพระคลังสวนนายระวาง ผลคำและดีปลีชาวสวนไม่ได้ส่งเป็นสิ่งของแล้ว ก็คิดให้เป็นเงินอย่างละเฟื้อง เจ้าพนักงานกรมพระคลังสวน ก็ต้องจัดซื้อผลคำส่งพระคลังศุภรัตยอมผ้าเหลืองกว่าจะพอ และมีการจะต้องจ่ายสิ่งไรตามหมายเกณฑ์ ก็ใช้ในเงินค่าคำดีปลีนั้น เมื่อเหลือจากแจก​เบี้ยหวัดและซื้อคำดีปลีและของส่งราชการแล้ว เงินค่าดีปลีนั้นก็ส่งไว้ยังท่านผู้ว่าการกรมพระคลังสวนก็เงียบหายอยู่ที่นั้น

ในปัจจุบันนี้สวนอะเลอ ๑ ถ้าไม่มีต้นผลไม้ใหญ่ที่เข้าอากรมากกว่าค่าเดิมจองขึ้นไป และค่าอากรสมพัตสรแล้ว ชาวสวนต้องเสียค่าเดิมจองสลึง ๖๐๐ เบี้ย แต่เรียกเต็มสลึงเฟื้องเพราะเศษไม่มี แต่เดิมได้แก่นายระวาง ๒๐๐ เบี้ยนั้น ค่าคำเฟื้อง ดีปลีเฟื้อง รวมสองสลึงเฟื้อง และค่าเผาค่าตาดูอีกเฟื้อง ๑ รวมเป็นสามสลึง แต่ค่าเผาค่าตาดูนี้คิดรวมประมาณชั่งละสามสลึง แต่ก่อนมาเคยได้แก่เจ้ากรม ปลัดกรม ตามสวนขึ้นสลึง ๑ นายระวางสลึง ๑ เจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติผู้ดูเงินรับเงินสลึง ๑

ก่อนที่จะได้กล่าวถ่งเจ้าพนักงานที่เป็นหน้าที่รักษาการและจัดการสวนที่แบ่งออกเป็นสวนซ้ายขวาสวนนอก และข้าหลวงออกเดินรังวัดนับต้นผลไม้เป็นครั้งเป็นคราวนั้น ข้าพเจ้าประสงค์จะกล่าวด้วยที่แผ่นดินในบ้านในเมืองเรา พอเป็นทางดำริสักเล็กน้อย ตามที่สังเกตที่มีที่เป็นแยกย้ายกันอยู่ณปัจจุบันนี้ ก็ที่แผ่นดินทั้งปวงในพระราชอาณาเขตต์ ที่เป็นส่วนเก็บว่านาค่าอากรสมพัตสรก็มี ที่เป็นส่วยและบรรณาการดังเมืองที่เรียกว่าประเทศราชก็มี ที่แผ่นดินเหล่านี้ทั่วพระราชอาณาจักร เข้าใจว่าเป็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสิ้น ได้ดำรงโดยราชประเพณีที่บรรพบุรุษของเราผู้เป็นประชุมชนยกขึ้นเป็นชาติ ตั้งราชประเพณีเป็นขัติย หรือกษัตริย์มาแล้วนั้น เลือกสรรเอาตระกูลวงศ์อันหนึ่ง ซึ่งมีคุณธรรมโดยปรีชาญาณอันสามารถอาจจะเป็นที่พึ่งที่พำนัก​บำรุงพิทักษ์รักษาเป็นมุขประธานของหมู่ประชุมชน ซึ่งตั้งขึ้นเป็นชาตินั้น ได้ปกครองภัยพิบัติที่จะเกิดมีเกิดเป็นขึ้นทั้งภายในและภายนอก ให้หมู่ประชุมชนนั้นได้ความเกษมสำราญ โดยพระบารมีเดชานุภาพ ความปกครองของท่านผู้เป็นมุขประธานโดยเอกองค์ มิได้อาศัยประชุมชนที่เห็นมากเป็นประมาณ ยกขึ้นเป็นกษัตริย์สืบสันตติวงศ์ตามอารยันต์นิยม ก็ประเภทของขัติยหรือกษัตริย์นั้น มีแจ้งอยู่ในพระราชนิพนธ์ในเรื่องพระราชพิธีสัจจปานการ ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา พิธีประจำเดือน ๕ นั้นแล้ว หมู่ประชุมชนที่ตั้งขึ้นเป็นชาติหนึ่งนั้น ก็ได้ยอมสวามิภักดิ์ ประพฤติตามโอวาทของท่านผู้เป็นมุขประธานทุกประการ สละความที่เป็นธรรมานุภาพของประชุมชนที่พึงจะมีได้โดยธรรมดาเป็นเอกชนก็ดี หมู่ประชุมชนก็ดี ท่านผู้เป็นมุขประธานนั้นได้รับความสวามิภักดิ์ และความสละธรรมานุภาพของหมู่ประชุมชนทั้งหลายแล้ว พระองค์จึงได้เป็นอิศระมีอานุภาพ บริบูรณ์โดยราชประเพณีที่หมู่ประชุมชนบัญญัติขึ้นไว้ จึงได้ทรงตั้งบทกฎหมายเป็นพระราชกฤษฎีกากำหนดบัญญัติ ตามพระบรมราโชวาทราโชบาย ให้ประชุมชนทั้งหลายที่ได้มีความสวามิภักดิ์แล้ว รับประพฤติสืบเนื่องต่อมาทุกชั่วชั้นบุตร์สันดาน ก็เพราะพระองค์นั้นได้รับความยินยอมของประชุมชน ได้เลือกสรรพระองค์นั้นขึ้นโดยพระราชประเพณีมีทำการพระราชพิธีราชาภิเศก ราชบัณฑิตซึ่งจัดว่าเป็นปราชญ์ผู้ได้รับฉันทะของประชุมชนถวายแผ่นดินแด่พระองค์ เมื่อขณะราชาภิเศกนั้นแล้ว ภายหลังราชเสวกผู้เป็นพนักงาน ทำการพิทักษ์รักษาที่แผ่นดินอยู่แต่​เดิม ดำรงที่มาตยาธิบดีจึงได้รวมกันถวายที่แผ่นดิน ซึ่งรักษาเป็นส่วน ๆ นั้นคืนทุกคราวบรมราชาภิเศก พระองค์ทรงรับที่แผ่นดินไว้แล้วจึงได้ทรงพระนามาภิธัย โดยคำที่ประชุมชนเรียกร้องซึ่งเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในที่ทั้งปวง ว่าพระเจ้าแผ่นดิน อันเป็นที่หมายของพระองค์ผู้ดำรงแผ่นดินและประชุมชนได้ตั้งขึ้นเป็นชาตินั้น คำที่หมายใช้โดยอริยกพจน์ประกอบคุณศัพท์พิเศษให้เป็นที่หมาย ว่าเป็นใหญ่เป็นผู้ครอบครองของแผ่นดิน มีคำว่า ภูมินทร ภูบดี ภูบาล ภูมิบาล ภูมิศวร ภูวนารถ ภูวเนตร ภูวนายก ภูวไนย ภูธร ภูธเรศ ที่สุดจนคำว่าภูมีเปล่า ๆ ก็ใช้ และยังคำอื่นอีก ที่หมายว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทั้งคำโบราณและสามัญพากย์ว่า ธเรศ ษัตรียสรวล จอมพสุธา จอมภพ จอมภูวดล ปิ่นภพ ดิลกหล้า เจ้าหล้าเป็นต้น ก็คำที่ใช้ว่าเป็นใหญ่ของแผ่นดินดังพรรณนามาข้างบนนั้น ได้สังเกตเป็นพยานไว้แต่ที่ได้เห็นว่า ในรัชชกาลที่ ๔ หรือปัจจุบันนี้ เมื่อได้ทรงเลือกแล้ว ที่จะสืบกระษัตริย์ก่อนที่ยังมิได้บรมราชาภิเศก ก็หาได้ใช้คำว่าพระเจ้าแผ่นดิน หรือคำเทียบต่าง ๆ ที่กล่าวมาไม่ ยังคงเรียกคำนำและพระนามเดิมอยู่ เป็นแต่เติมที่หมายอิสสริยศักดิ์ว่า ซึ่งสำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ก่อน ต่อเมื่อบรมราชาภิเศกแล้ว จึงได้เรียกว่าพระเจ้าแผ่นดินสืบไป ก็เมื่อพระองค์ผู้เป็นมุขประธานของหมู่ประชุมชนนั้นรับแผ่นดินไว้ เป็นผู้ปกครองดำรงแล้ว จึงได้มอบแบ่งที่แผ่นดินนั้นให้มีเจ้าพนักงานเป็นหน้าที่รักษาการอยู่ตามเคย และพระราชทานราชานุญาตให้แก่เอกชนหรือหมู่ชนชาติที่ต้องการแผ่นดินได้อาศัยอยู่แล้วก็ดี หรือที่จะประสงค์​ทำการเพาะปลูกก็ดี ก็ให้ได้อยู่ให้ได้ทำไปตามประสงค์ แต่ต้องอยู่ในหน้าที่รับรองต่อเจ้าพนักงานผู้รักษาที่แผ่นดินนั้น ด้วยประการฉะนี้

ที่แผ่นดินทั้งปวง จึงได้แยกย้ายอยู่ในเจ้าพนักงานต่าง ๆ ทั้งผู้ที่รับอำนาจไปหวงห้ามที่จะทำที่ดินนั้นได้โดยความได้รับอนุญาตด้วยสิ่งสำคัญ คือมีโฉนดตราสารเป็นต้น ประชุมชนผู้รับที่แผ่นดินไปทำให้เกิดผลนั้น เจ้าพนักงานผู้รักษาก็ต้องขอแบ่งผลนั้นมาเป็นพระราชทรัพย์ เพื่อการปกครองประชุมชนและชาติให้ได้ความเกษมสำราญ เพราะว่าการที่ปกครองรักษาความสงบให้ได้ความเกษมสำราญนี้ พระเจ้าแผ่นดินผู้รับปกครองต้องเลือกคัดเอาหมู่ประชุมชนนั้นเป็นเสวกให้ทำการแทนพระองค์ตามราโชบาย การที่มีผู้ทำการแทนนี้ ต้องใช้ทรัพย์สมบัติจำแนกให้ปันแก่ผู้ทำการแทน และใช้ไนการอื่น ๆ ประกอบความปกครองนั้นมาก จึงเกิดเป็นส่วยสาอากรและค่านาค่าที่ขึ้น เฉลี่ยในผู้ที่ทำประโยชน์ในที่แผ่นดิน ซึ่งรับไปหวงห้ามทำให้เกิดผลนั้น ทรัพย์เหล่านี้ซึ่งเป็นส่วนได้มาจากที่แผ่นดินก็ใช้ในการปกครองแผ่นดิน เพื่อให้หมู่ประชุมชนได้ความเกษมสำราญนั้นเอง

ที่แผ่นดินซึ่งข้าพเจ้ากล่าวว่า มีประเภทแยกย้ายกันอยู่โดยมีเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานนั้น และที่ได้ส่วนผลประโยชน์จากที่แผ่นดินเป็นค่าเช่าค่าถือมาเจือจานใช้ในการปกครองนั้นคือ

๑ ที่แผ่นดินซ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2568 15:51:21 »



เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๓ (จบ)

เรื่องสวน
​พระยาภาสกรวงศ์ เรียบเรียง
        ----------------------------  

ที่แผ่นดินทั้งปวง จึงได้แยกย้ายอยู่ในเจ้าพนักงานต่าง ๆ ทั้งผู้ที่รับอำนาจไปหวงห้ามที่จะทำที่ดินนั้นได้โดยความได้รับอนุญาตด้วยสิ่งสำคัญ คือมีโฉนดตราสารเป็นต้น ประชุมชนผู้รับที่แผ่นดินไปทำให้เกิดผลนั้น เจ้าพนักงานผู้รักษาก็ต้องขอแบ่งผลนั้นมาเป็นพระราชทรัพย์ เพื่อการปกครองประชุมชนและชาติให้ได้ความเกษมสำราญ เพราะว่าการที่ปกครองรักษาความสงบให้ได้ความเกษมสำราญนี้ พระเจ้าแผ่นดินผู้รับปกครองต้องเลือกคัดเอาหมู่ประชุมชนนั้นเป็นเสวกให้ทำการแทนพระองค์ตามราโชบาย การที่มีผู้ทำการแทนนี้ ต้องใช้ทรัพย์สมบัติจำแนกให้ปันแก่ผู้ทำการแทน และใช้ไนการอื่น ๆ ประกอบความปกครองนั้นมาก จึงเกิดเป็นส่วยสาอากรและค่านาค่าที่ขึ้น เฉลี่ยในผู้ที่ทำประโยชน์ในที่แผ่นดิน ซึ่งรับไปหวงห้ามทำให้เกิดผลนั้น ทรัพย์เหล่านี้ซึ่งเป็นส่วนได้มาจากที่แผ่นดินก็ใช้ในการปกครองแผ่นดิน เพื่อให้หมู่ประชุมชนได้ความเกษมสำราญนั้นเอง

ที่แผ่นดินซึ่งข้าพเจ้ากล่าวว่า มีประเภทแยกย้ายกันอยู่โดยมีเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานนั้น และที่ได้ส่วนผลประโยชน์จากที่แผ่นดินเป็นค่าเช่าค่าถือมาเจือจานใช้ในการปกครองนั้นคือ

๑ ที่แผ่นดินซึ่งขุดร่องยกเป็นคัน เรียกว่าสวนใหญ่ใน ๑๑ หัวเมืองดังกล่าวมาแล้วอย่าง ๑ ซึ่งเจ้าพนักงานกรมพระคลังสวนเป็นเจ้าหน้าที่แผ่นดินที่เป็นสวนอย่างนี้ เอกชนผู้รับไปทำในที่แผ่นดินให้​เกิดผลนั้น แบ่งส่วนผลที่จะได้อย่างน้อยที่สุดรับโฉนดตราสารไปฉะบับ ๑ อยู่ในปีละ ๓ สลึงนั้น ก็มีแต่มากขึ้นไปตามผลที่จะได้มากและน้อย คงแบ่งเป็นส่วนตามพิกัดอัตรา

๒ ที่แผ่นดินซึ่งโก่นสร้างหรือหักร้างถางพง ยกขึ้นเป็นคันเรียกว่าที่นานั้น ผู้ที่หวงห้ามทำประโยชน์ให้เกิดในที่นาเหล่านี้ ต้องรับโฉนดตราสารเป็นสำคัญ โฉนดตราสารนั้นเป็น ๒ ชะนิด คือโฉนดตราแดงอย่าง ๑ ซึ่งมีเจ้าพนักงานเป็นข้าหลวงแปดนายออกไปเดิรรังวัด ออกโฉนดตราสารให้เป็นครั้งเป็นคราวอย่าง ๑ เรียกว่าโฉนดตราจอง เจ้าพนักงานผู้ออกสำรวจและเก็บค่านาเรียกว่าข้าหลวงเสนา พร้อมด้วยกรมการผู้กำกับและกำนันท้องที่ ออกโฉนดตราจองให้ทุกปีตามแต่ผู้ที่ต้องการ ผู้ทำผลประโยชน์ในที่แผ่นดินซึ่งเรียกว่าที่นานั้น ถ้ามิได้รับโฉนดตราแดงหรือตราจองแล้ว จะหวงห้ามในที่ซึ่งทำอยู่ ว่าตัวเคยทำอยู่ไม่ได้ ที่นั้นตกเป็นหลวง ที่ซึ่งเรียกว่านานั้น มีประเภทจัดไว้เป็นสองอย่าง ในการที่จะเสียค่าเช่าถือในที่นั้น อย่าง ๑ เรียกว่านาคู่โคหรือนาตราแดงก็เรียกมีอยู่ ๔ หัวเมือง คือกรุงเก่า อ่างทอง ลพบุรี สุพรรณบุรี นาคู่โคนี้ต้องมีโฉนดตราสารเป็นสำคัญ ผู้ที่มีอำนาจหวงห้ามที่เหล่านี้ไว้ได้ ก็เสียค่าเช่าค่าถือ คือค่านาอยู่เสมอทุกปี ถึงจะทำก็ดีไม่ทำก็ดี มีพิกัดที่จะเสียค่านาโดยกำหนดเขตต์วัดเป็นตรางเส้น คือเส้น ๔ เหลี่ยมเรียกว่าไร่ ๑ เสียค่านาปีละสลึง ที่นาคู่โคนี้ผู้ที่หวงห้าม มีทุนรอนที่จะเสียค่านาอยู่เป็นนิจแล้ว อำนาจที่หวงห้ามที่ไว้ได้ก็ตกอยู่แก่ตนตลอดไปจนบุตร์และหลาน ซึ่งสามารถจะมี​ทุนรอนเสียค่านาอยู่แล้ว หรือจะส่งต่อแก่ผู้ซึ่งเรียกว่าซื้อขายกันก็ได้ ผู้ที่รับซื้อรับขายนั้นสามารถที่จะเสียค่านาให้ตามพิกัดแล้ว การที่ส่งต่อรับต่อแก่กันซึ่งสามัญเรียกว่าซื้อขายนี้ ที่แท้มิได้ซื้อขายที่แผ่นดินสิ่งไรเลย ด้วยเป็นที่แผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่งต่อรับต่อกันโดยอำนาจที่ผู้รับโฉนดตราสาร มาจากเจ้าพนักงานเป็นสำคัญ คือขายโฉนดตราสาร ที่รับอำนาจไปหวงห้ามที่แผ่นดินซึ่งเป็นนา ตามที่กำหนดไว้ในโฉนดตราสารเท่านั้น ที่นาชะนิดนี้เมื่อผู้หวงห้ามไม่สามารถที่จะเสียค่านาอยู่ตามกำหนดประจำปีเมื่อไร ก็ต้องนำโฉนดตราสารนั้นมามอบเวนคืนยังเจ้าพนักงาน จึงขาดอำนาจความหวงห้ามไม่ต้องเสียค่าเช่าค่าถือต่อไป

ที่นาอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่านาฟางลอย มีอยู่ทั่วไปทุกเมือง ผู้ที่จะหวงห้ามที่นี้ไว้ได้ ก็ต้องรับโฉนตตราแดงตราจองต่อเจ้าพนักงานจึงจะหวงห้ามที่นั้นไว้ได้ตามกำหนดเขตต์ ที่มีอยู่ในโฉนดตราสารนั้น ผู้ที่หวงห้ามต้องประกอบโดยความอุตสาหะด้วย ไม่ฉะเพาะแต่โฉนดตราสารอย่างเดียว ที่ซึ่งหวงห้ามไว้นี้ ถ้าทอดทิ้งไม่ทำ ๓ ปีไปแล้วก็ขาดอำนาจความหวงห้าม ผู้หนึ่งผู้ใดจะเข้ารับทำต่อก็ได้ เป็นแต่บอกให้เจ้าพนักงานทราบไว้ เพราะที่ว่านาชะนิดนี้ เสียค่าเช่าค่าถือมิได้ทั่วไป จำเพาะแต่ทำได้ผลที่มีฟางเป็นตอซังได้เท่าไร ต้องเสียค่าเช่าถือแต่เท่านั้น โดยกำหนดเขตต์ไร่ละสลึงเฟื้อง มากกว่านาคู่โคอยู่เฟื้อง ๑ เพราะว่าที่นาซึ่งทำไม่ได้ผล หรือไม่ได้ทำก็ไม่ต้องเสีย จึงได้เป็นการผิดกันอยู่ มีเจ้าพนักงานไปประเมินเก็บ​ทุกปี นาฟางลอยเช่นนี้มีประเภทตามชื่อในสถานที่เพาะปลูกทำอยู่นั้นหลายอย่าง คือ นาน้ำฝน นาฟาง นาทุ่ง นาป่า นาไร่ นาเข้าหางม้า นาเข้าเรื้อ นาในท้องร่องสวน นาอกร่องสวน นาท้องมาบ นาชายเลน นาริมน้ำ นาปรัง เป็นต้น นาที่มีประเภทต่าง ๆ เหล่านี้ มักเรียกตามภูมิ์ที่ซึ่งทำนั้น แต่ก็ลงเป็นอย่างนาฟางลอย ตามที่ต้องเสียค่านาแต่จำเพาะที่จะทำได้ผล ๚

----------------------------

​โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
ถนนราชบพิธ พระนคร
๑๙/๑๐/๗๕


-----------------------------------------
เมื่อเวลาแต่งหนังสือเรื่องนี้ยังไม่มีเรือไฟไปมาเสมอ และยังไม่มีรถไฟ
พ.ศ. ๒๔๒๕-๒๔๒๖


ขอขอบคุณ หอสมุดวัชรญาณ (ที่มา)
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.246 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 21 มิถุนายน 2568 22:28:29