[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 22:46:33 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 2 3 [4] 5   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: 'สมุดภาพพระพุทธประวัติ' ๘o ภาพ โดย ครูเหม เวชกร จิตรกรฝีมือเอก  (อ่าน 77175 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553 13:10:47 »




-:- คำนำ -:-


         หนังสือ 'สมุดภาพพระพุทธประวัติ' นี้ เกิดขึ้นจากการที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณฯ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) สมเด็จพระสังฆราช วัดพระเชตพนฯ ครั้งทรงแสดงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมวโรดม ทรงโปรดให้ครูเหม เวชกร จิตรกรฝีมือเอก เขียนภาพตามหนังสือปฐมสมโพธิ ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ จำนวน ๘๐ ภาพ และทรงโปรดให้จัดพิมพ์เป็นภาพสีงดงาม เพื่อให้วัดและโรงเรียนนำไปประดับไว้ให้ประชาชน ได้ศึกษาพระพุทธประวัติจากภาพเป็นที่นิยมกันมาก และได้มีผู้ขออนุญาตทางศึกษานิธิ วัดพระเชตุพนฯ เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพชุดนี้ นำไปพิมพ์เป็นหนังสือเพื่อ สะดวกในการศึกษาและมีไว้ประจำห้องสมุด

          หนังสือสมุดภาพฯ นี้ แม้จะเป็นที่นิยมมาก แต่เมื่อกาลผ่านไปนานนับสิบปี หนังสือนี้ก็ได้กลายเป็นหนังสือหายากในที่สุด มีแต่เฉพาะในห้อง สมุดใหญ่ๆ จนกระทั่งต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ ได้มีคณะผู้มีจิตศรัทธาพิมพ์แจกเป็นธรรมทานเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช แม้จะพิมพ์เป็นจำนวนมากแต่ไม่เพียงพอแก่ห้องสมุดและสาธุชนจำนวนมากที่ประสงค์จะได้เป็นเจ้าของหนังสือนี้

           ธรรมสภาจึงได้กราบนมัสการขออนุญาติพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร ผู้แทนศึกษานิธิ วัดพระเชตุพนฯ จัดพิมพ์หนังสือ สมุดภาพพระพุทธประวัติขึ้นใหม่ เป็นขนาดรูปเล่ม ๘ หน้ายกพิเศษ (ขนาดกระดาษ เอ ๔) ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ได้มีเมตตาอนุญาตให้พิมพ์ได้ ตามความประสงค์ ในการพิมพ์ครั้งนี้ พิมพ์สี่สีด้วยเทคนิคพิเศษ จัดทำอย่างประณีต สวยงาม สมคุณค่าหนังสือ ที่พิเศษยิ่งก็คือได้แทรก ศัพทานุกรม ท้าย เล่มเพื่อเสริมความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ต่างๆ ในพระพุทธประวัติเพิ่มเติมให้ด้วย เพื่อความสะดวกในการศึกษาค้นคว้าของนักเรียน นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป

          ธรรมสภาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดพิมพ์หนังสือสมุดภาพพระพุทธประวัติในครั้งนี้ จะเป็นปัจจัยให้พุทธศาสนิกชนเกิดศรัทธาปสาทะในการ ศึกษาพุทธธรรม ซึ่งก็คือสัจจธรรมที่จะนำปวงมนุษยชาติไปสู่ความดับทุกข์



ด้วยความสุจริตและหวังดี

ธรรมสภาปรารถนาให้โลกได้พบกับความสุขสงบ



   


http://www.trytodream.com/board/39
บันทึกการเข้า
 
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #61 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2553 05:14:22 »


ภาพที่ ๕๖

นายขมังธนูซึ่งพระเทวทัตส่งไปฆ่าพระพุทธองค์ ปลงอาวุธ ฟังธรรม สำเร็จมรรคผล



           บุรุษที่นั่งประนมมือวางคันธนูไว้กับพื้นอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า  ดังที่ปรากฎอยู่ในภาพแสดงนั้น   คือนายขมังธนู  (คำหน้าอ่านว่าขะหมัง)  ขมัง  แปลว่า นายพราน  ขมังธนูก็คือนายพรานแม่นธนู  อาวุธร้ายแรงที่คนใช้ยิงสังหารกันในสมัยพระพุทธเจ้าคือธนู

          พระเทวทัตแนะนำอชาตศัตรู   มกุฎราชกุมารให้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารพระราชบิดาของพระองค์แล้ว  จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  ขณะนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์  พระเทวทัตกราบทูลว่าพระพุทธเจ้าทรงพระชราแล้ว  ขอให้ทรงมอบตำแหน่งกิจการบริหารคณะสงฆ์ให้แก่ตนเสีย    เลยถูกพระพุทธเจ้าทรงทักด้วย เขฬาสิกวาท     เขฬาสิกวาทแปลตามตัวว่า   ผู้กลืนกินก้อนน้ำลายก้อนเสลดที่บ้วนทิ้งแล้วความหมายเป็นอย่างนี้คือ   นักบวชนั้น    เมื่อออกบวชได้ชื่อว่าเป็นผู้เสียสละแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง   เช่น  ลูก  เมีย  ทรัพย์  และตำแหน่งฐานันดรต่างๆ    พระเทวทัตก็ชื่อว่าสละสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเมื่อตอนออกบวช  แต่เหตุไฉนจึงย้อนกลับมายอมรับซึ่งเท่ากับมาขอกลืนกินสิ่งเหล่านี้อีก

         พระเทวทัตฟังแล้วเสียใจ  ผูกความอาฆาตพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น   จึงวางแผนการกระทำรุนแรงเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าหลายแผน เฉพาะด้านการเมืองนั้น  พระเทวทัตได้ทำสำเร็จแล้วคือเกลี้ยกล่อมอชาตศัตรูราชกุมารให้เลื่อมใสตนได้  แล้วราชกุมารผู้นี้ได้ปลงพระชนม์พระราชบิดา จนในที่สุดได้ขึ้นครองราชย์ในเวลาต่อมา  ที่ยังไม่สำเร็จก็คือการปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า

          ขั้นแรกพระเทวทัตได้ว่าจ้างพวกขมังธนูหลายคน  ล้วนแต่มือแม่นในการยิงธนูทั้งนั้น  ไปลอบยิงสังหารพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวนารามในกรุงราชคฤห์   ทั้งนี้โดยพระเจ้าอชาตศัตรูทรงรู้เห็นด้วย   แต่เมื่อพวกนายขมังธนูถืออาวุธมาถึงวัดที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่    ได้เห็นพระพุทธเจ้าแล้ว  เกิดมือไม้อ่อนเปลี้ยไปหมด   ยิงไม่ลง   เพราะพุทธานุภาพอันน่าเลื่อมใสข่มใจให้สยบยอบลง    จึงต่างวางคันธนูแล้วกราบบาทพระพุทธเจ้า

         พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้พวกนายขมังธนูฟัง  ฟังจบแล้วนายขมังธนูต่างได้สำเร็จโสดาหมดทุกคน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #62 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2553 05:32:49 »


ภาพที่ ๕๗

พระเทวทัตได้สำนึกในความผิดของตน ใคร่ทูลขอขมา แต่ถูกธรณีสูบเสียก่อนเข้าเฝ้า



         เมื่อแผนการของพระเทวทัตในการปลงพระชนม์ของพระพุทธเจ้าขั้นแรก   คือ   จ้างนายขมังธนูลอบสังหารได้ล้มเหลวลง  พระเทวทัตจึงลงมือทำเอง  คือ  แอบขึ้นไปบนยอดเขาคิชฌกูฏ  เพราะพระเทวทัตทราบได้แน่นอนว่า     ขณะนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่เชิงเขาเบื้องล่าง    พระเทวทัตจึงกลิ้งก้อนหินใหญ่ลงมา    หมายให้ทับพระพุทธเจ้า   ก้อนหินเกิดกระทบกันแล้วแตกเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย   สะเก็ดหินก้อนหนึ่งกระเด็นปลิวมากระทบพระบาทพระพุทธเจ้า  จนทำให้พระโลหิตห้อขึ้น

          แผนการที่สองล้มเหลวลงอีก ต่อมา พระเทวทัตได้แนะนำให้พระเจ้าอชาตศัตรูสั่งเจ้าพนักงานเลี้ยงช้างปล่อยฝูงช้างดุร้ายออกไล่เหยียบพระพุทธเจ้า   ในขณะที่เสด็จบิณฑบาต   แต่ก็ล้มเหลวลงอีก   เพราะฝูงช้างไม่กล้าทำร้ายพระพุทธเจ้า

           ตอนนี้เอง  ความชั่วของพระเทวทัตเป็นข่าวแดงโร่ออกมา  ประชาชนชาวเมืองต่างโจษจันกันเซ็งแซ่ว่า  ผู้จ้างนายขมังธนูก็ดี  ผู้กลิ้งก้อนหินกระทบพระบาทพระพุทธเจ้าก็ดี  ผู้ปล่อยกระบวนช้างก็ดี   แม้ที่สุดพระเจ้าพิมพิสารที่เสด็จสวรรคตก็ดี   เป็นแผนการของพระเทวทัตทั้งสิ้น    แล้วต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าพระราชาของเราคบพระที่ลามกเช่นนี้เองจึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น 

          พระเจ้าอชาตศัตรูทรงได้ยินเสียงชาวเมืองตำหนิเช่นนั้น  ทรงเกิดความละอายพระทัย จึงทรงเลิกไปหาพระเทวทัต    สำรับกับข้าวของหลวงที่เคยพระราชทานให้พระเทวทัต  ก็ทรงสั่งให้เลิกนำไปถวาย คนในเมืองนั้นก็ไม่มีใครใส่บาตรให้พระเทวทัตเลย แต่พระเทวทัตก็ยังไม่สิ้นมานะทิฐิ ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  ขอให้ทรงปฏิรูปศาสนาพุทธเสียใหม่  เช่น ให้ห้ามพระสงฆ์ฉันเนื้อและปลา  เป็นต้น  แต่ถูกพระพุทธเจ้าปฏิเสธ  พระเทวทัตจึงตั้งคณะสงฆ์ขึ้นใหม่   แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง

           แต่ต่อมาสาวกพระเทวทัตที่เข้าใจผิดและเข้าไปเข้าข้างพระเทวทัต   ได้พากันผละหนีกลับมาหาพระพุทธเจ้า   เหลืออยู่กับพระเทวทัตไม่กี่รูป  พระเทวทัตเสียใจมาก  กระอักเลือดออกมา  พอรู้ว่าตนจะตายก็สำนึกผิด  เลยให้สาวกที่เหลืออยู่หามตนมาเฝ้าพระพุทธเจ้า  เพื่อขอขมาเป็นครั้งสุดท้ายแต่ไม่ทันเข้าเฝ้า  เพราะพอมาถึงสระท้ายวัด  พระเทวทัตเกิดอยากอาบน้ำ  พอหย่อนเท้าลงเหยียบพื้นสระโบกขรณี  เลยถูกแผ่นดินสูบเสียก่อน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #63 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2553 13:25:20 »


ภาพที่ ๕๘

พระแม่น้าทูลถวายเฝ้า โปรดให้ถวายอชิตภิกษุ ซึ่งต่อไปจะตรัสรู้




          ตามหลักฐานที่ปรากฎอยู่ในตำราศาสนาพุทธทั่วไป    โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำราชั้นอรรถกถาที่แต่งขึ้นโดยนักเขียนรุ่นหลังพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว     ปรากฎว่าพระพุทธเจ้าเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์หลายครั้ง

   ที่เห็นอยู่ในภาพสาธกนั้นก็เป็นตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์  ปฐมสมโพธิว่าเป็นการเสด็จครั้งที่สอง   สตรีที่นั่งอยู่เบื้องพระพักตร์นั้น   คือพระนางปชาบดีโคตมี  ซึ่งมีฐานันดรศักดิ์เป็นพระน้านางของพระพุทธเจ้า  เพราะพระนางเป็นน้องสาวแม่ของพระพุทธเจ้า  นี่ว่าอย่างสามัญ   เมื่อพระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์แล้ว  พระเจ้าสุทโธทนะทรงได้พระนางปชาบดีโคตมีนี้เป็นชายา

         ตามท้องเรื่องว่า    พระนางปชาบดีโคตมี   ทรงดำริเมื่อคราวพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรกนั้น  พระนางไม่ได้ถวายอะไรพระพุทธเจ้าเลย  คราวนี้พระนางจึงนำผ้าสาฎก  ๒ ผืน ยาว  ๑๔ ศอก  กว้าง  ๗  ศอกเสมอกัน  ไปถวายพระพุทธเจ้า   ปฐมสมโพธิว่า   ฝ้ายนั้นมีสีเหลืองดังทอง  โดยพระนางปลูกต้นฝ้ายเอง   ฝ้ายออกดอกมาเป็นสีเหลืองหม่น   เสร็จแล้วทอเองจนสำเร็จเป็นผืน  แล้วใส่ผอบทองนำไปถวายพระพุทธเจ้า

         พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับ  พระนางเสียพระทัยจึงไปหาพระอานนท์เล่าความให้ฟัง พระอานนท์จึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลให้ทรงรับ   พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงรับ   ทรงชี้บอกพระนางให้นำไปถวายพระสงฆ์  แต่ก็ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดยอมรับอีก   มีอยู่องค์เดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่หางแถวอาสน์สงฆ์สุดยอมรับ   ท่านเป็นพระบวชใหม่  นามว่า  "อชิต"  ยังเป็นพระปุถุชน  แต่ในอนาคตปฐมสมโพธิว่าอชิตภิกษุนี้   คือ   พระศรีอาริย์  ซึ่งจะเสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อโปรดโลกสืบต่อไป 

         ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับผ้าของพระนางปชาบดีโคตมี   เพราะทรงต้องการจะยกย่องความดีของพระสงฆ์สาวกให้เห็นว่า    แม้เพียงพระบวชใหม่ทรงศีลก็ควรแก่การรับของทำบุญของพุทธศาสนิกชน  เพราะถ้าไม่ทรงทำให้เห็นอย่างนี้  ใครๆ  ก็จะถือว่าทำบุญกับพระพุทธเจ้านั้นจึงจะได้บุญ  แล้วเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานล่วงไปแล้ว  พระสงฆ์สาวกก็จะลำบากเพราะทัศนะดังกล่าว
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #64 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2553 13:38:11 »


ภาพที่ ๕๙

ทรงห้ามพระญาติฝ่ายพระบิดากับฝ่ายพระมารดา

ซึ่งแย่งกันทดน้ำเข้านามิให้วิวาทกัน




         ภาพที่เห็นอยู่นั้นแสดงถึงเหตุการณ์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเมืองพระญาติ  แต่คราวนี้เสด็จมาลำพังพระองค์เดียว   เสด็จมาเพื่อทรงระงับสงครามระหว่างพระญาติทั้งสองฝ่าย   พระญาติฝ่ายหนึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพุทธบิดา  ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์  อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพุทธมารดา  ปกครองโกลิยนคร  หรือเทวทหนครก็เรียก  ทั้งสองฝ่ายตั้งบ้านเมืองอยู่คนละริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี  แล้วเกิดพิพาทกันในปัญหาเรื่องน้ำที่ทดขึ้นทำนา   เมื่อฝ่ายอยู่ทางเหนือน้ำทดน้ำจากแม่น้ำเข้านา   ฝ่ายทางใต้ก็ขาดน้ำ    ทั้งสองฝ่ายเปิดประชุมเพื่อตกลงกันก่อน    แต่ก็ตกลงกันไม่ได้จึงเกิดปะทะคารมกันอย่างรุนแรงถึงกับขุดบรรพบุรุษขึ้นมาประณามกัน


   "คุณพวกสุนัขจิ้งจอกสมสู่กันเอง"  ฝ่ายที่ถูกด่าว่าอย่างนี้   เพราะต้นสกุลหลายชั่วคนมาแล้วได้อภิเษกสมรสกันเองระหว่างพี่ชายกับน้องสาว

   "คุณพวกขี้เรื้อน"  ฝ่ายตรงกันข้ามที่ถูกด่าตอบอย่างนี้  ก็เพราะต้นสกุลเป็นโรคเรื้อนถูกเนรเทศออกนอกเมืองไปอยู่ป่า

   ทั้งสองฝ่ายเตรียมกำลังคนคือทหารและอาวุธจะเข้าห้ำหั่นกัน  พระพุทธเจ้าทรงทราบเข้า จึงเสด็จมาทรงระงับสงคราม  ทรงประชุมพระญาติทั้งสองฝ่ายแล้วทรงซักถามถึงต้นตอของตัวปัญหา

   พระพุทธเจ้า      "ทะเลาะกันเรื่องอะไร"
   พระญาติ      "เรื่องน้ำ  พระพุทธเจ้าข้า"
   พระพุทธเจ้า      "ระหว่างน้ำกับชีวิตคนนี่อย่างไหนจะมีค่ามากกว่ากัน"
   พระญาติ      "ชีวิตคนมากกว่า  พระพุทธเจ้าข้า"
   พระพุทธเจ้า      "ควรแล้วหรือที่ทำอย่างนี้"
   พระญาติดุษณีภาพทุกคน   ไม่มีใครกราบทูลเลย
   พระพุทธเจ้า      "ถ้าเราตถาคตไม่มาที่นี่วันนี้  ทะเลเลือดจะไหลนอง"
         (โลหิตนที ปวัตติสสติ)


   พระญาติทั้งสองฝ่ายเลยเลิกเตรียมทำสงครามกัน    เหตุการณ์ตอนนี้เป็นบทบาทสำคัญตอนหนึ่งของพระพุทธเจ้า  เพราะเห็นความสำคัญนี้  คนรุ่นต่อมาจึงสร้างพระพุทธรูปขึ้นปางหนึ่งเป็นอนุสรณ์ที่เรียกกันว่า "พระปางห้ามญาติ"  นั่นเอง
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #65 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2553 13:49:13 »


ภาพที่ ๖๐

พระพุทธบิดาประชวร เสด็จไปโปรดกระทั่งสำเร็จพระอรหันต์แล้วนิพพาน




     ในปีที่ ๕  นับตั้งแต่ตรัสรู้เป็นต้นมา  กำหนดเวลานี้ว่าตามปฐมสมโพธิ  พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน   ใกล้กรุงไพศาลี  ได้ทรงทราบข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดาทรงประชวรหนักด้วยพระโรคชรา  ทรงปรารถนาจะได้เฝ้าพระพุทธเจ้า  ตลอดถึงพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นเจ้าศากยะและเป็นพระญาติอีกหลายรูปที่เสด็จออกบวชตามพระพุทธเจ้า  เช่น  พระอานนท์  พระนันทะและสามเณรราหุลผู้เป็นหลาน

         พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งพระอานนท์ให้แจ้งข่าวพระสงฆ์     ถึงเรื่องที่พระองค์จะเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์อีกวาระหนึ่ง

         การเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ของพระพุทธเจ้า     เพื่อทรงเยี่ยมพุทธบิดาที่กำลังทรงประชวรครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้าย

        เมื่อเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ได้เสด็จเข้าเยี่ยมพุทธบิดา ซึ่งมีพระอาการเพียบหนักแล้ว  ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบิดาด้วยเรื่องความเป็นอนิจจังของสังขาร ปฐมสมโพธิบันทึกพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าครั้งนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า

         "ดูกรบพิตร      อันว่าชีวิตแห่งมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนักดำรงอยู่    โดยพลันบ่มิได้ยั่งยืนอยู่ช้า ครุวนาดุจสายฟ้าแลบอันปรากฎมิได้นาน..."

         พระเจ้าสุทโธทนะซึ่งทรงสำเร็จอนาคามิผลอยู่ก่อนแล้ว  ได้สดับพระธรรมเทศนา  ตั้งแต่ต้นจนจบก็ได้สำเร็จอรหันต์ในบั้นปลายแห่งพระชนม์ชีพ  หลังจากนั้นอีก  ๗  วันก็สิ้นพระชนม์ (นิพพาน)

        พระพุทธเจ้าเสด็จสรงน้ำพระศพพุทธบิดา  และถวายพระเพลิงพร้อมด้วยพระสงฆ์พระประยูรญาติศากยะทั้งมวลจนเสร็จสิ้น



http://i242.photobucket.com/albums/ff298/akapong999/dookdik/linepattern/linenew/273.gif
'สมุดภาพพระพุทธประวัติ' ๘o ภาพ โดย ครูเหม เวชกร จิตรกรฝีมือเอก
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #66 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2553 09:45:44 »


ภาพที่ ๖๑

พระแม่น้ามหาปชาบดีโคตมี นำนางกษัตริย์บริวารไปทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุณี




ภายหลังพระเจ้าสุทโธทนะสิ้นพระชนม์แล้วไม่นาน   พระนางปชาบดีโคตมี  พระน้านางของพระพุทธเจ้า   หรือนัยหนึ่งพระชายาของพระเจ้าสุทโธทนะ   พร้อมด้วยนางกษัตริย์ผู้บริวาร   ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  ซึ่งขณะนั้นยังเสด็จประทับอยู่ที่นิโครธาราม  กรุงกบิลพัสดุ์  เพื่อทูลขอบวช

         พระนางทูลถามพระพุทธเจ้าว่า  ธรรมดาสตรีจะบวชในพระพุทธศาสนาได้ (อย่างบุรุษ) หรือไม่    พระพุทธเจ้าทรงตอบบ่ายเบี่ยงว่า  อย่าได้มายินดีในการบวชเลย  ทรงตอบอย่างนี้ถึงสามครั้ง

       หลังจากนั้น   พระพุทธเจ้าเสด็จกลับกรุงไพศาลี    พระนางปชาบดีโคตมีพร้อมด้วยบริวารได้ตามเสด็จไปอีก   คราวนี้ทุกนางต่างปลงผม   นุ่งห่มผ้าย้อมฝาดอย่างนักบวช  เข้าไปทูลขอบวชกับพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธอีก

        พระนางจึงเข้าไปขอพึ่งพระบารมีพระอานนท์   เพื่อให้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงอนุญาต  พระอานนท์จึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า    กราบทูลขอร้องพระพุทธเจ้าให้ทรงอนุญาตให้พระนางปชาบดีโคตมีและบริวารได้บวชเป็นนางภิกษุณี

        พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธอยู่ถึงสามครั้ง  ในที่สุดจึงทรงอนุญาตอย่างมีเงื่อนไขว่า  ถ้าพระนางปชาบดีโคตมียอมรับ ครุธรรม ๘  ข้อได้  ก็จะให้บวชเป็นนางภิกษุณีได้  ครุธรรม  คือ  หลักการเบื้องต้นสำหรับสตรีที่จะบวชเป็นนางภิกษุณี  เช่นว่า  สตรีบวชเป็นนางภิกษุณีแล้ว แม้จะมีพรรษาตั้งหนึ่งร้อย  ก็จะต้องกราบไหว้พระภิกษุซึ่งบวชใหม่ในวันนั้น  จะต้องรักษาศีล ๖  ข้อไม่ให้ขาดอยู่จนครบสองปีก่อนจึงจะบวชได้  เป็นต้น

       พระนางปชาบดีโคตมีมีศรัทธาแรงกล้ามาก  จึงยอมรับและได้บวชเป็นนางภิกษุณีเป็นคนแรกในศาสนาพุทธ     แต่คณะสงฆ์ภิกษุณีก็อยู่ได้ไม่นาน    เพราะมีหลักฐานเชื่อได้ว่าสูญสิ้นไปก่อนพระพุทธเจ้านิพพานด้วยซ้ำไป   เหตุผลก็เพราะบทบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น   เป็นดุจกำแพงล้อมนางภิกษุณีนั้น  เข้มงวดกว่าฝ่ายพระภิกษุหลายเท่า  จนคนไม่มีศรัทธาจริงๆ จะบวชอยู่ไม่ได้เลย
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #67 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2553 09:53:50 »


ภาพที่ ๖๒

ทรงสำแดงยมกปาฏิหาริย์ข่มพวกเดียรถีย์ที่ต้นมะม่วงคัณฑามพฤกษ์




ภาพที่เห็นนั้น  เป็นตอนพระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี  แคว้นโกศล  ในวันเพ็ญกลางเดือนแปดก่อนวันเข้าพรรษาหนึ่งวัน

       ปาฏิหาริย์   คือ   การแสดงให้คนเห็นเป็นที่อัศจรรย์    ซึ่งสามัญชนหรือคนที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อนแสดงไม่ได้  มีตั้งแต่อย่างต่ำ  เช่น  เล่นกล  หรือที่เรียกว่าแสดงปาหี่  ขึ้นไปจนถึงเดินบนน้ำ  ดำดิน   ลุยไฟ  กลืนกินตะปู  ที่พวกฤาษีแสดง   ตลอดถึงการเหาะเหินเดินอากาศที่ผู้มีฤทธิ์แสดง  ปุถุชนแสดงได้   พระอรหันต์ผู้ได้ฌาณได้ฤทธิ์ก็แสดงได้

          ยมก  แปลว่า  คู่หรือสอง  ยมกปาฏิหาริย์  คือ  การแสดงคู่  น้ำคู่กับไฟ  คือเวลาแสดง  ท่อน้ำใหญ่พุ่งออกจากพระกายเบื้องบนของพระพุทธเจ้า  เปลวไฟพุ่งเป็นลำออกจากพระกายเบื้องล่าง  เป็นต้น

        ยมกปาฏิหาริย์แสดงได้แต่ผู้เดียว  คือผู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า  ส่วนพระอรหันตสาวก  และเดียรถีย์  ฤาษีชีไพรแสดงได้แต่ปาฏิหาริย์ธรรมดา  เช่น  เดินบนน้ำ  ดำดิน  เป็นต้น

   สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ครั้งนี้   คือที่โคนต้นมะม่วง  หรือ  คัณฑามพฤกษ์  ในเมืองสาวัตถี  มูลเหตุที่ทรงแสดงคือ   เพราะพวกเดียรถีย์นักบวชนอกศาสนาพุทธ  ท้าพระพุทธเจ้าแข่งแสดงปาฏิหาริย์ว่าใครจะเก่งกว่ากัน     พวกเดียรถีย์ทราบว่าพระพุทธเจ้าจะแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นมะม่วง   จึงให้สาวกและชาวบ้านที่นับถือพวกตน  จัดการโค่นต้นมะม่วงเสียสิ้น   ทราบว่าบ้านใครสวนใครมีต้นมะม่วงก็ใช้อิทธิพลทางการเงินซื้อ  แล้วโค่นทำลายหมด   แม้หน่อมะม่วงที่เกิดในวันนั้นก็ทำลายไม่เหลือ

         แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นมะม่วงจนได้    โดยมีผู้นำผลมะม่วงสุกมาถวาย  ทรงฉันเสร็จแล้ว รับสั่งให้คนปลูกเมล็ดลงดิน  แล้วพระองค์ทรงใช้น้ำที่ล้างพระหัตถ์รด ปรากฎว่าหน่อมะม่วงโตพรวดพราด  แตกกิ่งก้านสูงขึ้นถึง  ๕๐  ศอก  ผลที่สุดพวกเดียรถีย์พ่ายแพ้ไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มิถุนายน 2553 10:06:32 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #68 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2553 10:04:09 »


ภาพที่ ๖๓

แล้วเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพระพุทธมารดา




   ภายหลังทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์เสร็จสิ้น    จนพวกเดียรถีย์ที่มาท้าแข่งพ่ายแพ้ไปแล้ว  พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธดำริถึงจารีตธรรมเนียมของบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อนว่า    เมื่อทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว   เสด็จทรงจำพรรษา  ณ  ที่ใด  ก็ทรงทราบได้ด้วยพุทธญาณว่าทรงจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

   ปฐมสมโพธิลำดับการเสด็จจำพรรษาของพระพุทธเจ้าไว้ว่า   ในพรรษาที่  ๗   (นับแต่ตรัสรู้เป็นต้นมา)  ได้เสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ตามนิยายท้องเรื่องทั้งจากปฐมสมโพธิ   และข้อเขียนโดยนักเขียนทางศาสนาพุทธอื่นๆ   ยุคหลังพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว  ที่เรียกกันว่า  'อรรถกถา'   กล่าวตรงกันว่า  เหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์   ก็เพราะทรงต้องการจะแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา  คือ   พระนางสิริมหามายา  ซึ่งเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว  เสด็จบังเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต

     พระพุทธเจ้าเสด็จประทับจำพรรษาที่โคนต้นปาริฉัตร   ต้นไม้สวรรค์   มีผู้แปลกันว่า   ได้แก่  ต้นทองหลาง  ผิดถูกอย่างไรไม่ทราบ  ภายใต้ต้นไม้สวรรค์นี้มีแท่นแผ่นหิน ปูลาดด้วยผ้ากัมพลสีแดง  เรียกว่า  'บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์'

          พระอินทร์จอมเทพได้ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาทรงจำพรรษาที่นี้     ก็ทรงป่าวประกาศหมู่เทพยดาในสรวงสวรรค์ให้มาร่วมชุมนุม  เพื่อฟังธรรมพระพุทธเจ้า  ปฐมสมโพธิว่า  เสียงป่าวประกาศของพระอินทร์นั้น  ดังปกแผ่ทั่วไปในสกลเทพยธานีทั้งหมื่นโยชน์  เทพเจ้าทั้งปวงได้สดับก็บังเกิดโสมนัสพิศวง  ต่างองค์ร้องเรียกซึ่งกันและกันต่อๆ  กันไปจนตลอดถึงหมื่นจักรวาล

        แม้พระนางสิริมหามายาพุทธมารดา  ซึ่งทรงอยู่ในเพศเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิตก็ได้เสด็จมาฟังธรรมพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าทรงแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดาตลอดพรรษา   พุทธมารดาได้สดับแล้วทรงบรรลุโสดาปัตติผลในที่สุด    ส่วนเทพนอกนั้นอีกจำนวนมาก    ได้บรรลุมรรคผลตามสมควรอุปนิสัยแห่งตน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #69 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2553 10:20:50 »


ภาพที่ ๖๔

ถึงวันมหาปวารณา เสด็จลงจากดาวดึงส์โดยบันไดแก้ว บันไดทอง บันไดเงิน




ภาพที่เห็นนั้น  เป็นตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก  คือ  จากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  เมื่อภายหลังเสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดังกล่าวเพื่อแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาแล้ว วันที่เสด็จลงคือวันออกพรรษา  เมืองที่เสด็จลงคือเมืองสังกัสนคร   เสด็จลงตรงประตูเมือง  พระบาทแรกที่ทรงเหยียบพื้นโลกนั้น    ต่อมาได้กลายเป็นสถานที่ระลึกเรียกว่า  'อจลเจดีย์'   เรียกอย่างไทยเราก็ว่า  'รอยพระพุทธบาท'   ตามตำนานว่าที่นี่เป็นที่แห่งหนึ่งซึ่งมีรอยพระพุทธบาทปรากฎอยู่

         ก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จลง    เทพเจ้าคือพระอินทร์ได้เนรมิตบันได  ๓  บันไดเป็นที่เสด็จลง  คือบันไดทอง  บันไดเงิน  และบันไดแก้วมณี    บันไดทองสำหรับหมู่เทพลงอยู่ด้านขวา  บันไดเงินอยู่ด้านซ้ายสำหรับท้าวมหาพรหม   และบันไดแก้วมณีอยู่ตรงกลางสำหรับพระพุทธเจ้า   หัวบันไดแต่ละอันพาดที่เขาสิเนรุ  เชิงบันไดทอดลงยังประตูเมืองสังกัสนคร

        หมู่คนทางเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าอย่างที่เห็นในภาพ   จึงคือหมู่เทพที่ตามส่งเสด็จ   เบื้องซ้ายผู้ถือฉัตรกั้นถวายพระพุทธเจ้าคือท้าวมหาพรหม    ผู้อุ้มบาตรนำเสด็จพระพุทธเจ้าคือพระอินทร์    ผู้ถือพิณบรรเลงถัดมาคือปัญจสิงขรคนธรรพ์เทพบุตร  ถัดมาเบื้องขวาคือมาตุลีเทพบุตร  ซึ่งถือพานดอกไม้ทิพย์โปรยปรายนำทางเสด็จพุทธดำเนิน

          พระพุทธเจ้าทรงเป็นวิสุทธิเทพผู้บริสุทธิ์        นักเขียนศาสนาพุทธรุ่นต่อมาจึงถวายพระนามเฉลิมพระเกียรติอย่างหนึ่งว่า  'เทวาติเทพ'  แปลว่า  ทรงเป็นเทพยิ่งกว่าเทพทุกชั้น   เทพต่างๆ ที่คนอินเดียในสมัยนั้นนับถือกัน  เช่น  พระอินทร์  และท้าวมหาพรหม  เป็นต้น

        คนผู้นับถือศาสนาพุทธในเมืองไทย  ถือกันว่าวันออกพรรษาเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง   จึงนิยมทำบุญตักบาตรกันในวันนี้   เพราะถือว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์    เรียกการตักบาตรนี้ว่า  'ตักบาตรเทโว'    ย่อมาจากเทโวโรหณะ  แปลว่า  ตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลกนั่นเอง
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #70 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2553 17:27:54 »


ภาพที่ ๖๕

ครั้นแล้วก็ทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกแลเห็นซึ่งกันและกัน




         วันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์นั้น  พระองค์ได้แสดงปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง  คือขณะที่พระองค์ประทับยืนอยู่ที่บันไดแก้ว    ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศเบื้องบน    เทวโลกและพรหมโลกก็เปิดมองเห็นโล่ง  เมื่อทรงทอดพระเนตรไปในทิศเบื้องต่ำ นิรยโลกทั้งหลายก็เปิดโล่ง  ในครั้งนั้น สวรรค์  มนุษย์และสัตว์นรก  ต่างก็เห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาล

          ภาพนี้อยู่ในเหตุการณ์ตอนเดียวกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  เรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก  โลกที่ทรงเปิดในเหตุการณ์คราวนี้มี  ๓  โลก  คือ  เทวโลก   มนุษยโลก  และยมโลก

          เทวโลก  หมายถึง  ตั้งแต่พรหมโลกลงมาจนถึงสวรรค์ทุกชั้น   มนุษย์โลกก็คือโลกมนุษย์   และยมโลกซึ่งอยู่ทางเบื้องต่ำ  คือ  นรกทุกขุมจนกระทั่งถึงอเวจีมหานรก

          พระพุทธเจ้าขณะเสด็จลงจากสวรรค์  ทอดพระเนตรดูเบื้องบนโลกทั้งมวลตั้งแต่มนุษย์ก็สว่างโล่งขึ้นไปถึงเทวโลก  เมื่อทรงเหลียวไปรอบทิศรอบด้านสากลจักรวาลก็โล่งถึงกันหมด และเมื่อทอดพระเนตรลงเบื้องล่าง  ความสว่างก็เปิดโล่งลงไปถึงนรกทุกขุม

          ผู้อาศัยอยู่ในสามโลกต่างมองเห็นกัน   มนุษย์เห็นเทวดา   เทวดาเห็นมนุษย์   มนุษย์และเทวดาเห็นสัตว์นรก  สัตว์นรกเห็นเทวดาและมนุษย์ แล้วต่างเหลียวมองดูพระพุทธเจ้าผู้เสด็จลงจากสวรรค์ด้วยพระเกียรติยศอันยิ่งใหญ่

          คัมภีร์ธรรมบทที่พระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่งบอกว่า "วันนี้คนทั้งสามโลกได้เห็นแล้ว  ที่ไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่มีเลยสักคน" ปฐมสมโพธิพรรณนาไว้ยิ่งกว่านี้เสียอีก  คือว่า

          "ครั้งนั้นเทพยดามนุษย์แลสัตว์เดรัจฉาน กำหนดที่สุดมดดำมดแดง  ซึ่งได้เห็นองค์พระชินสีห์  แลสัตว์คนใดคนหนึ่งซึ่งจะมิได้ปรารถนาพุทธภูมินั้นมิได้มีเป็นอันขาด"


   พุทธภูมิ  คือ  ความเป็นพระพุทธเจ้า
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #71 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2553 17:37:25 »


ภาพที่ ๖๖

ครั้งหนึ่งเสด็จไปจำพรรษา ณ ป่าปาเลไล โดยมีช้างกับลิง เป็นพุทธอุปัฏฐาก




         ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพเหตุการณ์ตอนหนึ่งในพระประวัติของพระพุทธเจ้า  เป็นตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาในป่าโดยลำพังพระองค์       ไม่มีพระภิกษุหรือใครอื่นตามเสด็จไปจำพรรษาอยู่ด้วยเลย  ป่าที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาครั้งนี้เป็นป่าใหญ่  เป็นที่อยู่อาศัยของช้างโทนเชือกหนึ่ง  ชื่อว่า  'ปาลิไลยกะ'  หรือ  'ปาลิไลยก์'   ป่าแห่งนี้จึงได้นามตามช้างนี้ว่า  'ป่าปาลิไลยก์'    คนไทยเราเรียกว่า  'ป่าปาเลไล'  อันเดียวกันนั่นเอง

        มูลเหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่ป่าแห่งนี้  เพราะทรงรำคาญพระภิกษุชาวเมืองโกสัมพีสองคณะพิพาทและแตกสามัคคีกัน   ถึงกับไม่ยอมลงโบสถ์ร่วมกัน   พระพุทธเจ้าทรงทราบเข้า  ได้เสด็จมาทรงระงับให้ปรองดองกัน    แต่พระภิษุทั้งสองคณะก็ไม่เชื่อฟัง  พระพุทธเจ้าจึงเสด็จหลีกไปจำพรรษาอยู่ในป่าดังกล่าว

        ด้วยอำนาจพุทธบารมีและพระเมตตาของพระพุทธเจ้า  ช้างชื่อปาลิไลยก์ได้เข้ามาอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า    เช้าขึ้นหาผลไม้ในป่ามาถวาย   ตอนเย็นต้มน้ำร้อยถวายพระพุทธเจ้าด้วยวิธีกลิ้งก้อนหินที่เผาไฟให้ร้อนลงในแอ่งน้ำ

         ลิงตัวหนึ่งเห็นช้างปรนนิบัติถวายพระพุทธเจ้า   ก็ได้นำรวงฝึ้งมาถวายพระพุทธเจ้าบ้าง  พระพุทธเจ้าทรงรับแต่ไม่ทรงฉัน  ลิงจึงเข้าไปนำรวงผึ้งกลับมาพิจารณาดู  เมื่อเห็นตัวอ่อนของฝึ้ง  จึงนำตัวอ่อนออกหมดแล้วนำแต่ผึ้งหวานเข้าไปถวายใหม่  คราวนี้พระพุทธเจ้าทรงรับแล้วฉัน  ลิงแอบดูอยู่บนต้นไม้  เห็นพระพุทธเจ้าทรงฉันรวงผึ้งของตน  ก็ดีใจ  กระโดดโลดเต้นบนกิ่งไม้    จนพลัดตกลงมาถูกตอไม้แหลมเสียบท้องทะลุตาย

        เมื่อออกพรรษา   พระภิกษุที่แตกกันเป็นสองฝ่ายยอมสามัคคีกัน  เพราะชาวบ้านไม่ยอมทำบุญใส่บาตรให้  ได้ส่งผู้แทนไปกราบทูลพระพุทธเจ้าเสด็จกลับเข้าเมือง  ช้างปาลิไลยก์อาลัยพระพุทธเจ้านักหนา  เดินตามพระพุทธเจ้าออกจากป่า  ทำท่าจะตามเข้าไปในเมืองด้วย  พระพุทธเจ้าจึงทรงหันไปตรัสบอกช้างว่า  "ปาลิไลยก์!  ถิ่นของเธอหมดแค่นี้  แต่นี้ไปเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์  ซึ่งเป็นภัยต่อสัตว์เดรัจฉานเช่นเธอ   เธอไปด้วยไม่ได้หรอก"

         ช้างปาลิไลยก์ยืนร้องไห้เสียใจไม่กล้าเดินตามพระพุทธเจ้า  พอพระพุทธเจ้าลับสายตาก็เลยอกแตกตายอยู่  ณ  ที่นั้น  คัมภีร์บอกว่าทั้งลิงและช้างตายแล้วไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #72 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2553 17:51:31 »


ภาพที่ ๖๗

ถึงเพ็ญเดือน ๓ พรรษาที่ ๔๕
พญามารเข้าเฝ้าทูลให้เสด็จปรินิพพานทรงรับอาราธนา




         พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกประกาศพระศาสนาตามแคว้นและเมืองต่างๆ   เป็นเวลา  ๔๕  พรรษา  นับตั้งแต่วันตรัสรู้เป็นต้นมา พรรษาที่ ๔๕ จึงเป็นพรรษาสุดท้ายของพระพุทธเจ้า  และเป็นเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุได้  ๘๐  ปี  นับแต่ประสูติเป็นต้นมา

          พรรษาสุดท้าย   พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่เวฬุคาม  แขวงเมืองไพศาลี   ระหว่างพรรษาทรงพระประชวรเพราะอาพาธหนัก  จวนเจียนจะเสด็จนิพพาน  พระสงฆ์ทั้งปวงที่ยังเป็นปุถุชน หรือแม้แต่พระอานนท์  องค์อุปัฏฐากต่างก็หวั่นไหว  เพราะตวามตกใจที่เห็นพระพุทธเจ้าประชวรหนัก   พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์ว่า   เวลานี้พระกายของพระองค์ถึงอาการชรามาก  มีสภาพเหมือนเกวียนชำรุด  ที่ซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่

          ทรงหายจากอาพาธคราวนี้แล้ว  และเมื่อออกพรรษาแล้ว  พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์เสด็จไปประทับที่ร่มพฤกษาแห่งหนึ่งในปาวาลเจดีย์   แขวงเมืองไพศาลี    เวลากลางวัน    พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอภาสนิมิตแก่พระอานนท์ว่า 'อิทธิบาทสี่'  (ชื่อของธรรมหมวดหนึ่งมี  ๔  ข้อ)   ถ้าผู้ใดได้บำเพ็ญได้เต็มเปี่ยมแล้ว  สามารถจะต่ออายุให้ยืนยาวไปได้อีกกำหนดระยะเวลาหนึ่ง

          'โอภาสนิมิต'   แปลเป็นภาษาชาวบ้านว่าบอกใบ้   คือพระพุทธเจ้ามีพระชนมายุจะสิ้นสุดลงในปีที่กล่าวนี้    จึงทรงบอกใบ้ให้พระอานนท์กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุยืนยาวต่อไปอีกระยะหนึ่ง  แต่พระอานนท์ท่านนึกไม่ออก  ทั้งๆ  ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกใบ้ถึง  ๓  หน

         ปฐมสมโพธิบอกว่า   เมื่อพระอานนท์นึกไม่ออกเช่นนั้น  พระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกพระอานนท์ให้ไปนั่งอยู่ที่ใต้ร่มไม้อีกแห่งหนึ่ง  แล้วมารก็เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  กราบทูลพระพุทธเจ้าให้เสด็จนิพพาน  พระพุทธเจ้าทรงรับคำแล้วทรงปลงอายุสังขาร

          'ปลงอายุสังขาร'     แปลเป็นภาษาสามัญได้ว่ากำหนดวันตายไว้ล่วงหน้า      วันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนสาม  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  นับจากนี้ไปอีก  ๓  เดือนข้างหน้า  (กลางเดือนหก)    พระองค์จะนิพพานที่เมืองกุสินารา
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #73 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2553 18:50:43 »


ภาพที่ ๖๘

มีพระพุทธฎีกาตรัสแก่พระอานนท์ว่า ทรงปลงอายุสังขารแล้วอีกสามเดือนจะปรินิพพาน




  เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขาร  คือ  ทรงประกาศกำหนดวันจะเสด็จนิพพานไว้ล่วงหน้าถึง  ๓  เดือน   พลันก็ยังเกิดอัศจรรย์แผ่นดินไหว  ผู้คนที่ได้ทราบข่าวต่างๆ  เกิดขนลุก   ปฐมสมโพธิว่ากลองทิพย์ก็บันลือไปในอากาศ  พระอานนท์ประสบเหตุอัศจรรย์นั้น  จึงออกจากร่มพฤกษาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลถามถึงเหตุเกิดอัศจรรย์  คือแผ่นดินไหว  พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า  เหตุที่จะเกิดแผ่นดินไหวนั้นมี  ๘  อย่าง  คือ

         ๑.   ลมกำเริบ
         ๒.   ผู้มีฤทธิ์บันดาล
         ๓.   พระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต  มีสติสัมปชัญญะ  ลงสู่พระครรภ์พระมารดา
         ๔.   พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ  ประสูติจากพระครรภ์พระมารดา
         ๕.   พระพุทธเจ้าตรัสรู้
         ๖.   พระพุทธเจ้าตรัสปฐมเทศนา
         ๗.   พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขาร
         ๘.   พระพุทธเจ้านิพพาน


   พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์ว่า  ที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ในวันนี้   เกิดจากพระองค์ทรงปลงอายุสังขาร  พอได้ฟังดังนั้น  พระอานนท์นึกได้  คือ  ได้สติตอนนี้  จึงจำได้ว่าพระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกท่านว่า  ธรรมะ  ๔  ข้อที่เรียกว่า   อิทธิบาท  ๔  คือ    ความพอใจ  ความเพียง  ความฝักใฝ่  และความใตร่ตรอง   ถ้าผู้ใดได้บำเพ็ญปฏิบัติให้เต็มเปี่ยมแล้ว  ปรารถนาจะให้ชีวิตซึ่งถึงกำหนดดับหรือตาย  ได้มีอายุยืนยาวต่อไปอีกระยะหนึ่งก็ย่อมทำได้

   พอนึกได้เช่นนี้   พระอานนท์จึงกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า  ให้ทรงใช้อิทธิบาท  ๔  นั้น  ต่อพระชนมายุยืนยาวต่อไปอีก  พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธถึง ๓  ครั้ง  ตรัสว่าพระองค์เคยทรงแสดงโอภาสนิมิต  (บอกใบ้)  ให้พระอานนท์ทูลอารธนาพระองค์ให้มีพระชนมายุสืบต่อไปอีกก่อนหลายครั้งและหลายแห่งแล้ว    ซึ่งถ้าพระอานนท์นึกได้แล้วทูลอาราธนา    พระองค์ก็จะทรงรับคำอาราธนาเพื่อต่อพระชนมายุของพระองค์ออกไปอีก    ว่าอย่างสามัญก็ว่า  พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์ว่า "สายเสียแล้ว"  เพราะพระองค์ได้ประกาศปลงอายุสังขารว่าจะนิพพานเสียแล้ว
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #74 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2553 14:03:46 »


ภาพที่ ๖๙

รุ่งเช้าเสด็จกลับจากทรงบาตร เยื้องพระกายดูกรุงไพศาลี เป็นครั้งสุดท้าย




         หลังจากพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธคำทูลอาราธนาของพระองค์  เรื่องให้ทรงต่อพระชนมายุออกไปอีกระยะหนึ่ง  อย่าเพิ่งนิพพานเลย  แล้วพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์เสด็จไปยังกุฏาคารศาลา  ในป่ามหาวัน  แขวงกรุงไพศาลี

         กุฏาคารศาคา  คือ  อาคารที่ปลูกเป็นเรือน  มียอดแหลมเหมือนยอดปราสาท  ป่ามหาวันเป็นป่าใหญ่ดงดิบ    คัมภีร์ศาสนาพุทธหลายคัมภีร์บันทึกไว้ตรงกันว่า  ป่าแห่งนี้เป็นที่อาศัยบำเพ็ญพรตของบรรดาฤาษี  นักพรต  นักบวช   พระพุทธเจ้า  และพระสงฆ์ก็เคยอาศัยป่าแห่งนี้เป็นที่ประทับ  และแวะพักหลายครั้ง  พระพุทธเจ้าเสด็จมายังป่ามหาวันแล้วประชุมพระสงฆ์  เพราะขณะนี้  ข่าวพระพุทธเจ้าจะนิพพานได้แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว    พระพุทธเจ้าตรัสประทานโอวาทพระสงฆ์ที่ยังไม่สำเร็จมรรคผล   ให้รีบขวยขวาย   อย่าได้ประมาท  อย่าได้เสียใจว่าพระองค์จะนิพพานจากไปเสียก่อน


"ชนทั้งหลายเหล่าใด 
ทั้งหนุ่มทั้งแก่  ทั้งพาลทั้งบัณฑิต  ทั้งมั่งคั่งทั้งยากไร้   
ชนเหล่านั้นต่างตายด้วยกันในที่สุด    ภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นแล้ว 
ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่  ไม่ว่าเผาสุกหรือดิบ  ไม่ว่าขนาดไหน  มีแตกสลายในที่สุด 
ชีวิตคนและสัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ก็เหมือนกัน"


          ความในอัญญประกาศ  คือ   พระพุทธดำรัสที่พระพุทธเจ้าประทานพระสงฆ์  ในการเสด็จมายังป่ามหาวัน  ดังกล่าว

         รุ่งขึ้นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์ได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองไพศาลี    ตอนเสด็จออกจากเมือง    พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอาการทางพระกายซึ่งตามปกติไม่เคยทรงทำอย่างนั้นมาก่อนเลยไม่ว่าเสด็จจากเมืองใดๆ      คือเยื้องพระกายทั้งพระองค์พระองค์กลับทอดพระเนตรเมืองไพศาลี   เป็นอย่าง  'นาคาวโลก'  แปลว่า  ช้างเหลียวหลัง

         ตรัสว่า  "อานนท์!   การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้ของเรา   นับเป็นครั้งสุดท้าย   ต่อนี้ไปจักไม่ได้เห็นอีก" ครั้นแล้วตรัสว่า  "มาเดินทางต่อไปยังภัณฑคามกันเถิด"

 ภัณฑคามเป็นตำบลแห่งหนึ่ง     ซึ่งอยู่ในระหว่างทางที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเมืองกุสินารา  ซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์จะนิพพาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 กรกฎาคม 2553 14:07:15 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #75 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2553 14:14:27 »



ภาพที่ ๗๐

เช้าวันเพ็ญเดือน ๖ ทรงเสวยมังสะสุกรอ่อนที่บ้านนายจุนทะ  นับเป็นปัจฉิมบิณฑบาต




พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์บริวาร    ได้เสด็จออกจากเขตแขวงเมืองไพศาลีไปโดยลำดับ  เพื่อเสด็จไปยังเมืองกุสินารา  สถานที่ทรงกำหนดว่าจะนิพพานเป็นแห่งสุดท้าย  จนไปถึงเมืองปาวาในวันขึ้น  ๑๔  ค่ำ  เดือน  ๖  ซึ่งเป็นวันก่อนเสด็จนิพพานเพียงหนึ่งวัน

         เสด็จเขัาไปประทับอาศัยที่สวนมะม่วงของนายจุนทะกัมมารบุตร   นายจุนทะเป็นลูกนายช่างทอง  ได้ทราบข่าวว่า  พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารเสด็จมาพักอยู่ที่สวนมะม่วงของตน  ก็ออกไปเฝ้าและฟังธรรม  ฟังจบแล้ว  นายจุนทะกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์เสด็จไปรับภัตตาหารที่บ้านของตนในเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น

        เวลาเช้าวันรุ่งขึ้น  นายจุนทะได้ถวายอาหารพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ที่บ้านของตน  อาหารอย่างหนึ่งที่นายจุนทะปรุงถวายพระพุทธเจ้าในวันนี้มีชื่อว่า 'สูกรมัททวะ'

        คัมภีร์ศาสนาพุทธชั้นอรรถกถาและมติของเกจิอาจารย์ทั้งหลายยังไม่ลงรอยกันว่า  'สูกรมัททวะ'  นั้นคืออะไรแน่  บางมติว่าได้แก่สุกรอ่อน  (แปลตามตัว  สูกร-สุกร  หรือหมู  มัททวะ-อ่อน)   บางมติว่าได้แก่  เห็นชนิดหนึ่ง  และบางมติว่าได้แก่  ชื่ออาหารอันประณีตชนิดหนึ่ง    ซึ่งชาวอินเดียปรุงขึ้นเพื่อถวายแก่ผู้ที่ตนเคารพนับถือที่สุด  เช่น  เทพเจ้า  เป็นต้น  เป็นอาหารประณีตชั้นหนึ่งยิ่งกว่าข้าวมธุปายาส

         พระพุทธเจ้าตรัสบอกนายจุนทะให้จัดถวายสูกรมัททวะนั้นถวายแต่เฉพาะพระองค์     ส่วนอาหารอย่างอื่นให้จัดถวายพระสงฆ์  และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงฉันเสร็จแล้ว  รับสั่งให้นายจุนทะนำเอาสูกรมัททวะที่เหลือจากที่พระองค์ทรงฉันแล้ว  ไปฝังเสียที่บ่อ  เพราะคนอื่นนอกจากพระองค์นั้นฉันแล้ว    ร่างกายไม่อาจจะทำให้อาหารนั้นย่อยได้    เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้นายจุนทะฟังเป็นที่ชื่นชมและรื่นเริงในกุศลบุญจริยาของตน  แล้วทรงอำลานายจุนทะเสด็จต่อไปยังเมืองกุสินาราต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 กรกฎาคม 2553 14:29:43 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #76 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2553 14:28:17 »



ภาพที่ ๗๑

เสด็จไปกรุงกุสินารา ทรงกระหายน้ำ โปรดให้พระอานนท์ ไปตักน้ำมาถวาย




ระหว่างทางเสด็จไปเมืองกุสินารา  ภายหลังทรงฉันสูกรมัททวะของนายจุนทะแล้ว    พระพุทธเจ้าทรงประชวรด้วยพระโรคปักขันธิกาพาธอย่างหนัก  จวนเจียนจะเสด็จนิพพาน  ณ  ที่นั้นเสีย  ก่อนกำหนด  แต่ทรงระงับอาพาธนั้นเสียได้ด้วยขันติบารมี  คือ  ความอดกลั้น

          ปักขันธิกาพาธเป็นพระโรคอย่างหนึ่งซึ่งเกิดประจำพระองค์พระพุทธเจ้า    คือทรงพระบังคนถ่ายออกมาเป็นโลหิต  มีผู้สันนิษฐานกันว่าคงได้แก่  ริดสีดวงลำไส้

         เพราะเหตุที่ประชวรพระโรคดังกล่าว  พระพุทธเจ้าจึงทรงลำบากพระกายมาก  แต่ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ  ไม่ทรงทุรนทุราย

         เสด็จถึงระหว่างทางแห่งหนึ่ง    ซึ่งมีแม่น้ำเล็กๆ  มีน้ำไหล    พระพุทธเจ้าแวะลงข้างทางเข้าประทับใต้ร่มพฤกษาแห่งหนึ่ง      ตรัสบอกพระอานนท์ให้พับผ้าสังฆาฏิเป็น   ๔   ชั้นแล้วปูลาดถวาย  เสด็จนั่งเพื่อพักผ่อน  แล้วตรัสให้พระอานนท์นำบาตรไปตักน้ำในแม่น้ำ

        "เราจักดื่มระงับความกระหายให้สงบ"  พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์

          พระอานนท์กราบทูลว่า   "แม่น้ำตื้นเขิน เกวียนประมาณ  ๕๐๐  เล่มของพวกพ่อค้าเกวียนเพิ่งข้ามแม่น้ำผ่านไปเมื่อสักครู่นี้    เท้าโคล้อเกวียนบดย่ำทำให้น้ำในแม่น้ำขุ่น      แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า  "อีกไม่ไกลแต่นี้  มีแม่น้ำสายหนึ่งชื่อกุกกุฏนที  มีน้ำใส  จืดสนิท  เย็น  มีท่าน้ำสำหรับลงเป็นที่รื่นรมย์  ขอเชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ไปที่แม่น้ำนั้นเถิด  พระเจ้าข้า"

          พระพุทธเจ้าตรัสปฏิเสธคำทูลทัดทานของพระอานนท์ถึง ๓ ครั้ง  พระอานนท์จึงอุ้มบาตรเดินลงไปตักน้ำในแม่น้ำ  ครั้นเห็นน้ำ  พระอานนท์ก็อัศจรรย์ใจนักหนา  พลางรำพึงว่า

        "ความที่พระตถาคตพุทธเจ้ามีฤทธิ์และอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก  แม่น้ำนี้ขุ่นนัก  เมื่อเราเข้าไปใกล้เพื่อจะตัก  น้ำกลับใสไม่ขุ่นมัว"

        ครั้นแล้วพระอานนท์ก็นำบาตรตักน้ำนั้นไปถวายพระพุทธเจ้า
 
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #77 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2553 05:12:17 »



ภาพที่ ๗๒

ปุกกุสะบุตรแห่งมัลลกษัตริย์แวะเข้าเฝ้าถวายผ้าเนื้อเกลี้ยงสีทอง




ในขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ภายใต้ร่มพฤกษาริมฝั่งแม่น้ำ  ซึ่งอยู่ในระหว่างทางที่จะไปยัง เมืองกุสินารานั้น  ได้มีชายผู้หนึ่งนามว่าปุกกุสะ ผู้เป็นบุตรของมัลลกษัตริย์  เดินทางมาจากเมืองกุสินาราจะไปยังเมืองปาวา  มาถึงตรงที่พระพุทธเจ้าประทับหยุดพักจึงเข้าไปพัก

         พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้เขาฟังเกี่ยวกับเรื่องธรรมอันเป็นสันติ       ปุกกุสะฟังแล้วเกิดความเลื่อมใส  จึงถวายผ้าสิงคิวรรณสองผืนแด่พระพุทธเจ้า   ผ้าสิงคิวรรณ  คือผ้าเนื้อดี  ละเอียด  ประณีต  มีสีเหมือนสิงคี  'สิงคี'  แปลว่า  ทองคำ

         เขากราบทูลพระพุทธเจ้าว่า  ผ้าสิงคิวรรณคู่นี้ผืนหนึ่งสำหรับห่ม  อีกผืนหนึ่งสำหรับนุ่งเป็นผ้าพิเศษเนื้อเกลื้อง    ตัวเขาเคยนุ่งห่มเป็นครั้งคราว    เขาได้เก็บรักษาไว้   แต่บัดนี้จะขอถวายพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าทรงรับผืนหนึ่ง    อีกผืนหนึ่งทรงบอกให้ปุกกุสะนำไปถวายพระอานนท์   ชายผู้นั้นได้ทำตามพุทธประสงค์  กราบถวายอภิวาทพระบาทพระพุทธเจ้า  แล้วออกเดินทางต่อไป

         หลังจากนั้น  พระอานนท์ได้นำผ้าที่ชายผู้นั้นถวายท่านเข้าไปถวายพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าทรงนุ่งผืนหนึ่งและห่มอีกผืนหนึ่ง     พอพระพุทธเจ้าทรงนุ่งและห่มผ้าสิงคิวรรณแล้ว    ปรากฎว่าพระกายของพระพุทธเจ้าฉายพระรัศมีเปล่งปลั่งและผุดผ่องผิดปกติยิ่งกว่าครั้งใดๆ  ที่พระอานนท์เคยเห็นมา   พระอานนท์จึงกราบทูลกับพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์มาก

         พระพุทธเจ้าตรัสพระอานนท์บอกว่า  พระกายของพระองค์มีพระรัศมีเปล่งปลั่งผิดปกติ  มีอยู่สองครั้งเท่านั้น  ครั้งหนึ่งเมื่อตรัสรู้ใหม่ๆ  อีกครั้งหนึ่งคือเมื่อก่อนวันจะปรินิพพานคือวันนี้  แล้วตรัสว่า

 
"ดูก่อนอานนท์!  สิ้นสุดคืนวันนี้  เราจักนิพพานแล้ว  มาเดินทางต่อไปยังกุสินารากันเถิด"

          พระอานนท์รับพุทธาณัติ  คือคำสั่งจากพระพุทธเจ้า  แล้วเรียนให้พระสงฆ์ทั้งปวงที่ตามเสด็จให้ทราบเพื่ออกเดินทางต่อไป
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #78 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2553 05:27:59 »



ภาพที่ ๗๓

เสด็จถึงสาลวันกรุงกุสินารา โปรดให้พระอานนท์จัดที่บรรทมระหว่างไม้รังทั้งคู่




พระพุทธเจ้าพร้อมกับพระสงฆ์บริวารเสด็จไปถึงชานเมืองกุสินาราในเวลาจวนค่ำ  เสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญวดี  แล้วเสด็จเข้าไปในอุทยานนอกเมืองนั้น  ที่มีชื่อว่า  'สาลวโนทยาน'

          เมืองต่างๆ  ในสมัยพระพุทธเจ้าส่วนมาก   มีอุทยานเหมือนสวนสาธารณะอย่างทุกวันนี้   สำหรับประชาชนในเมืองและชนชั้นปกครองได้อาศัยเป็นที่พักผ่อนกันทั้งนั้น  กรุงราชคฤห์ก็มีอุทยานชื่อ  ลัฏฐิวันที่เรียกว่าสวยตาลหนุ่ม   กบิลพัสดุ์เมืองประสูติของพระพุทธเจ้าก็มีลุมพินีวัน   กุสินาราจึงมีสาลวโนยานดังกล่าว

           สาลวโนทยานอยู่นอกเมืองกุสินารา   มีต้นไม้ใหญ่สองต้นเคียงคู่กันอยู่   เรียกว่า   'ต้นสาละ' อุทยานแห่งนี้จึงได้นามตามต้นสาละว่าสาลวโนยานดังกล่าว

          เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงอุทยานแห่งนี้แล้ว   ตรัสสั่งให้พระอานนท์ตั้งเตียง  หันทางเบื้องศีรษะ  ไปทางทิศเหนือ  ให้เตียงอยู่ระหว่างใต้ต้นสาละทั้งคู่  ตรัสว่า  "เราลำบากและเหน็ดเหนี่อยมาก  จักนอนระงับความลำบากนั้น"

          พระอานนท์จัดตั้งเตียงและปูผ้ารองเสร็จแล้ว  พระพุทธเจ้าเสด็จบรรทมตะแคงข้างขวา หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ  ตั้งพระบาทซ้อนเหลี่ยมกัน   ดำรงสติสัมปชัญญะแล้วตั้งพระทัยจะเสด็จบรรทมเป็นไสยาวสาน  (นอนเป็นครั้งสุดท้าย)  เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  'อนุฐานไสยา'  แปลว่า  นอนโดยจะไม่ลุกขึ้นอีก

          ปฐมสมโพธิว่า "ในขณะนั้นเอง   มิใช่ฤดูกาลจะออกดอกเลย   แต่สาละทั้งคู่ก็ผลิดอกออกบานตั้งแต่โคนรากเบื้องต้นถึงยอด และทั่วทุกกิ่งสาขาก็ดาดาด (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานใช้  ดารดาษหรือดาษดา)  ด้วยดอกแลสะพรั่ง   แล้วดอกสาละนั้น   ก็ร่วงหล่นลงบูชาพระพุทธเจ้า  ดอกมณฑารพดอกไม้ทิพย์ของสวรรค์ตลอดถึงจุณจันทน์สุคนธชาติของทิพย์ก็โปรยปรายลงจากอากาศ  ดนตรีสวรรค์ก็บันลือประโคม  เป็นมหานฤนาทโกลาหลเพื่อจะบูชาพระพุทธเจ้าในกาลอันเป็นอวสานพระองค์"
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #79 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2553 05:50:51 »



ภาพที่ ๗๔

พระอานนท์ไปยืนเหนี่ยวสลักเพชรพระวิหาร ร้องไห้รำพันถึงพระพุทธองค์




          พระอานนท์เป็นพระภิกษุอุปัฏฐานของพระพุทธเจ้า  ก่อนท่านรับตำแหน่งนี้   เคยมีพระภิกษุหลายรูปทำหน้าที่นี้มาก่อน  แต่ท่านเหล่านั้นรับหน้าที่ดังกล่าวไม่นาน  ก็กราบทูลลาพระพุทธเจ้าออกไป  ผู้รับหน้าที่อุปัฏฐานพระพุทธเจ้าเป็นเวลานานที่สุด  จนพระพุทธเจ้านิพพาน  จึงได้แก่พระอานนท์

           โดยความสัมพันธ์ทางพระญาติ  พระอานนท์มีศักดิ์เป็นพระอนุชาหรือน้องชายของพระพุทธเจ้า  เพราะบิดาของท่านเป็นน้องชายของบิดาของพระพุทธเจ้า  นี่ว่าอย่างสามัญ

           ตลอดเวลาที่รับหน้าที่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า  พระอานนท์ตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปทุกหนทุกแห่ง  คอยปรนนิบัติอุปัฏฐากพระพุทธเจ้ามิได้บกพร่อง  ด้วยเหตุดังกล่าวท่านจึงไม่มีเวลาบำเพ็ญกิจส่วนตัว  พรรคพวกรุ่นเดียวกันที่ออกบวชพร้อมกัน  (ยกเว้นพระเทวทัต)   ต่างได้สำเร็จอรหันต์กันทั้งสิ้น   ส่วนพระอานนท์ได้สำเร็จมรรคผลเพียงชั้นโสดาเท่านั้น

          เมื่อพระพุทธเจ้าจวนจะนิพพาน  ท่านจึงมีภาระเพิ่มมากขึ้น  เหนื่อยทั้งกายและใจ  ใจท่านว้าวุ่นไม่เป็นส่ำ    พอได้ยินพระพุทธเจ้าบอกพระสงฆ์เกี่ยวกับเรื่องพระองค์จะนิพพาน    พระอานนท์ไม่อาจจะอดกลั้นความเสียใจและอาลัยพระพุทธเจ้าไว้ได้       ท่านจึงหลบหลีกออกจากที่เฝ้า   เข้าไปยังวิหารแห่งหนึ่ง  ไปยืนอยู่ข้างบานประตูวิหาร   มือเหนี่ยวสลักเพชรหรือลิ่มสลักกลอนประตูแล้วร้องไห้   โฮๆ  พลางรำพันว่าตัวเรา   ยังเป็นอริยบุคคลชั้นต่ำ  ยังไม่สำเร็จอรหันต์   พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นทั้งพระศาสดาและพระเชษฐาของเราก็จักมานิพพานจากเราไปก่อนเสียแล้ว

           พระพุทธเจ้าทรงเห็นพระอานนท์หายไปจากที่เฝ้า จึงตรัสถามพระสงฆ์ถึงพระอานนท์ ทรงทราบแล้วรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้า  แล้วตรัสพระธรรมเทศนาเตือนสติพระอานนท์ว่าอย่าได้เศร้าโศกเสียใจ

           ตอนหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสบอกอานนท์ว่า  ท่านเป็นคนมีบุญ  อย่าได้ประมาท  เมื่อพระองค์นิพพานแล้วไม่ช้า    ท่านจักได้สำเร็จอรหันต์
  (พระอานนท์ได้สำเร็จอรหันต์ภายหลังพระพุทธเจ้านิพพานได้สามเดือน)
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #80 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2553 06:06:17 »



ภาพที่ ๗๕

ทรงแสดงธรรมโปรดสุภัททะปริพาชกให้สำเร็จมรรคผล นับเป็นปัจฉิมเวไนย




พระอานนท์สร่างจากความเสียใจถึงร้องไห้แล้ว  ท่านก็เข้าไปแจ้งข่าวในเมืองตามพระดำรัสรับสั่งของพระพุทธเจ้า  เพื่อรายงานให้เจ้ามัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราทราบว่า   พระพุทธเจ้าจะนิพพาน   ในตอนสิ้นสุดแห่งราตรีวันนี้แล้ว  แจ้งว่าใครจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ให้รีบไปเฝ้าเสียแต่ในขณะนี้   จะได้ไม่เสียใจเมื่อภายหลังว่าไม่ได้เฝ้า

        พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ที่กำลังประชุมกันอยู่ในเมือง        ด้วยเรื่องพระพุทธเจ้านิพพานต่างก็ถือเครื่องสักการะมาเฝ้าพระพุทธเจ้ากันเนืองแน่นที่สุด  แต่ละคนน้ำตานองหน้า  ร่ำไห้รำพันต่างๆ นานา  เมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าจะนิพพาน

         ในจำนวนคนที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งนี้  มีปริพาชกคนหนึ่งนามว่า  'สุภัททะปริพาชก'  คือ  นักบวชนอกศาสนาพุทธพวกหนึ่ง

          สุภัททะปริพาชกเข้าหาพระอานนท์  ภายหลังเจ้ามัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราได้เข้าเฝ้าแล้ว  บอกว่าใคร่จะขออนุญาตเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า    เพื่อทูลถามปัญหาบางอย่างซึ่งข้องใจมานาน     พระอานนท์ปฏิเสธปริพาชกผู้นี้ว่าอย่าเลย  อย่าได้รบกวนพระพุทธเจ้าเลย  เพราะตอนนี้กำลังจะนิพพาน

            ขณะนั้น    พระพุทธเจ้าซึ่งทรงได้ยินการโต้ตอบกันระหว่างพระอานนท์กับสุภัททะปริพาชก  จึงตรัสบอกพระอานนท์ว่าพระองค์ทรงอนุญาตให้สุภัททะปริพาชกเข้าเฝ้าได้    เมื่อสุภัททะปริพาชกได้โอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า  จึงทูลถามปัญหาที่ข้องใจมานาน  ปัญหาข้อหนึ่งว่าสมณะผู้ได้บรรลุมรรคผลในศาสนาอื่นนอกจากพระพุทธศาสนามีหรือไม่   พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มี   แล้วทรงแสดงธรรมให้ปริพาชกฟังโดยละเอียด

            สุภัททะปริพาชกฟังแล้วเสื่อมใส    ทูลขอบวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า   พระพุทธเจ้าตรัสว่านักบวชในศาสนาอื่นจะมาขอบวชเป็นพระภิกษุในศาสนาของพระองค์นั้น  จะต้องอยู่ปริวาสครบ  ๔  เดือนก่อนจึงจะบวชได้  สุภัททะปริพาชกกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าอย่าว่าแต่  ๔  เดือนเลย จะให้อยู่ถึง  ๔  ปี  ก็ยอม

          พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ    ให้พระสงฆ์จัดการบวชให้สุภัททะปริพาชกในคืนวันนั้น  สุภัททะปริพาชกจึงนับเป็นสาวกองค์สุดท้ายของพระพุทธเจ้า
บันทึกการเข้า
คำค้น: สมุดภาพ พุทธประวัติ ๘o ภาพ  ครูเหม เวชกร  จิตรกรฝีมือเอก  
หน้า:  1 2 3 [4] 5   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
วิสุทธิมรรค-วิมุตติมรรค โดย เสถียร โพธินันทะ
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 3 4997 กระทู้ล่าสุด 24 มกราคม 2553 16:16:45
โดย เงาฝัน
มรณานุสติ : เรียนรู้ความตายอย่างมีสติ : พระไพศาล
กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
เงาฝัน 9 10304 กระทู้ล่าสุด 10 มิถุนายน 2553 05:38:00
โดย เงาฝัน
ปริศนาธรรม "นิรรูป" หลวงปู่พุทธอิสระ
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
เงาฝัน 0 2996 กระทู้ล่าสุด 15 มิถุนายน 2553 16:16:02
โดย เงาฝัน
สัทธรรมปุณฑรีกะสูตร บทที่ 3 เอาปัมยปริวรรต ว่าด้วยอุปมาการเปรียบเทียบ
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 5 7861 กระทู้ล่าสุด 15 ตุลาคม 2553 16:23:02
โดย เงาฝัน
เจริญสติรับปีใหม่ (พระอาจารย์มิตซูโอะ ค
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 1 2784 กระทู้ล่าสุด 31 ธันวาคม 2553 15:52:56
โดย หมีงงในพงหญ้า
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.632 วินาที กับ 35 คำสั่ง

Google visited last this page 05 มีนาคม 2567 03:57:35