[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 17:58:50 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ไม่ควรยึดมั่น - ถือมั่น  (อ่าน 1929 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 26 ธันวาคม 2552 12:57:49 »

http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/5.jpg
ไม่ควรยึดมั่น - ถือมั่น



(:88:)เมื่อมีการระลึกและรู้ชัด ในลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น ยิ้ม


 

(:BYE:)ความเห็นผิดว่า (:SY:)เป็นตัวตน..............................ก็จะน้อยลง


เป็นปัจจัยให้คิดถึงตัวเองน้อยลง................................ว่าเราเป็น คนดี หรือ คนเลว

สภาพธรรมที่เป็น (:KM:)อกุศล (:KM:)แกุศล (:QS:)เกิดขึ้นเพราะ (:PL:)เหตุปัจจัย
 (:NT:)เมื่อคลายความยึดมั่น(:NOY:)ว่าเป็นตัวตนที่เห็น (:UU:)ที่ได้ยิน (o0!)ที่เป็น (o0!)คนดี (:RK:)หรือ (:DA:)คนเลว (:SR:)แล้ว
ก็ย่อมเป็นประโยชน์. (:BYE:)เมื่อปัญญาเจริญขึ้น
ก็จะเห็นคุณค่าของการรู้สภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง (:88:)มากขึ้น.
 (:LOVE:)ความเชื่อมั่นในพระธรรมเป็นปัจจัยที่ส่งสริมให้มีการอบรมเจริญปัญญาต่อไป มากขึ้น ๆ
และเมื่อปัญญาเจริญขึ้น (an!)ตามเหตุปัจจัยก็จะเชื่อในพรหมลิขิตน้อยลง
เมื่อคุณเข้าใจจริง ๆ ว่าความอยาก (:FR:)ขัดขวางการเจริญของปัญญา ไฟลุก
ก็จะเป็น ;Dปัจจัยให้เลิกอยากที่จะได้ผล เหงื่อตก
ปัญญาที่เข้าใจพระธรรม (:BH:)จากการฟังการอ่าน (^^)การพิจารณา
และการสนทนาธรรมเป็นปัจจัยปรุงแต่ง (an!)ให้เกิด (:CHILL:)ปัญญาที่รู้ลักษณะของ (:PL:)สภาพธรรมในขณะนี้
และขณะต่อ ๆ ไปเมื่อไม่ลืมว่า (:SLE:)สติและปัญญาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ หลับ
เพราะมี (an!)ปัจจัยปรุงแต่งไม่ลืม ว่า ไม่มีตัวตน (:BYE:)ที่จะทำให้ (:RL:)สติและปัญญา (:88:)เกิดขึ้นมาได้
ก็จะมีความอดทนมากขึ้น (:UU:)และ มีกำลังใจในการที่จะเริ่มต้นใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ ตลก
เพื่อ (:SHOCK:)รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ให้ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น

รักมิลินทปัญหา

เป็นคัมภีร์ชั้นหลังจากพระไตรปิฎก ประมาณปีพุทธศักราช 500
รจนาขึ้น (:SLE:)เพื่อชี้แจงข้อธรรมและ (:SLE:)หลักธรรมต่าง ๆ ให้ชัดเจน แจ่มแจ้ง บ๊าบบาย

โดยอาศัยเรื่องราวในอดีตที่พระนาคเสน แก้ปัญหาของพระเจ้ามิลินท์

เป็นเรื่องของธรรมะ


ที่อธิบายข้อธรรมและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา หัวเราะลั่น
แม้จะแต่งขึ้นหลังพุทธกาลแต่ก็เป็นที่ยอมรับและยกย่องกันทั่วไป
ว่ามิลินทปัญหาอธิบายพระธรรมวินัยได้อย่างลึกซึ้ง และ กระจ่างชัด
เป็นการวินิจฉัย (:SLE:)และ (:CHILL:)นำเสนอพระธรรมวินัย
เพื่อให้เกิดความเข้าใจสภาพธรรม
(:BR:)โดยการอุปมาผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงมาจากหนังสือต่าง ๆ อาทิ...............เช่น.........................

มิลินทปัญหา
ฉบับแปลของมหามกุฏราชวิทยาลัย................พ.......................ศ.................................. (:SL:)2518


หนังสือมิลินทปัญหาฉบับแปลจากภาษามคธ


;Dจัดอยู่ในหมวดขุททกนิกาย พระไตรปิฎกฉบับของพม่า ตกหลุมรัก พ..............................ศ............................2538 ฯลฯ
 (an!)นอกจากนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ (:88:)ผู้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยในลังกา ราวปีพุทธศักราช 1000
และเป็นผู้รจนาอรรถกถา (:RL:)ตลอดจนคัมภีร์มากมายซึ่งใช้เป็นแนวทางในการอธิบายความ :'(ในพระไตรปิฎก
เช่น (:LOVE:)คัมภีร์วิสุทธิมรรค (:LOVE:)ก็ได้ด้อ้างถึง (:fall:)มิลินทปัญหา ตกหลุมรัก
เป็นหลักในการวินิจฉัยความในอรรถกถาของท่าน หลายแห่ง.


มิลินทปัญหา


เป็นเรื่องราวของการสนทนาระหว่างพระเจ้ามิลินท์ และพระนาคเสนโดยพระเจ้ามิลินท์เป็นผู้เสนอคำถามและพระนาคเสนเป็นผู้ตอบ
ซึ่งส่วนใหญ่.................................อยู่ในลักษณะ....................การอุปมา.......................

พระเจ้ามิลินท์หรือพระเจ้าเมนันเดอร์Menander

เป็นกษัตริย์เชื้อสายกรีกแห่งเมือง (:SY:)สาละSangal or Sangalปกครองแคว้นแบกเตรีย Bactria ช๊อค

ซึ่งปัจจุบันอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอัฟกานิสถาน

ราชวงค์ของพระเจ้ามิลินท์สืบเชื้อสายมาจากแม่ทัพกรีกที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (:LOVE:)ให้ดูแลดินแดนซึ่งตกเป็นของพระองค์
เมื่อครั้งที่พระองค์ยกทัพมาทำสงครามกับแว่นแคว้นบางส่วนของอินเดียในราว 200ปี หลังพุทธกาล

เล่ากันว่าพระเจ้ามิลินท์เป็นผู้ที่พอพระทัยในการใฝ่หาความรู้และสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ยิ้ม

รวมทั้งไล่เลียงโต้เถียงปัญหากับนักปราชญ์ของลัทธิต่าง ๆ ทั่วไป ในยุคนั้น
ฝ่ายพระนาคเสนมีการเล่าว่าท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์  (:88:)ณ กชังคลคาม ริมเขาหิมพานต์
ตั้งแต่เยาว์วัยท่านได้เล่าเรียนศิลปวิทยารววมทั้งคัมภีร์สำคัญ ๆ ของศาสนาพราหมณ์จนจบ
ต่อจากนั้นจึงบังเกิดความเบื่อหน่าย
อยู่มาวันหนึ่ง พระโรหณะเถระ พระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้เดินทางผ่านมายังบ้านของพราหมณ์ผู้เป็นบิดาของ
นาคเสนกุมาร ;Dเมื่อได้เห็นพระภิกษุ (:fall:)นุ่งห่มแปลกตาจึงได้ซักถาม สนทนากับท่านพระโรหณะเถระในเรื่องต่าง ๆ
จนบังเกิดความเลื่อมใส และขอบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนาท่านได้เล่าเรียนพระไตรปิฎกจนแตกฉาน ยิ้ม
ครั้นอายุครบ 20 ปี (:SLE:)ก็ได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาผู้ซึ่งชาวบ้านโจษขานกันทั่วไปว่าเป็นผู้รอบรู้ในพระธรรมวินัย
และมีปัญญาอันเฉียบคมในระหว่างนั้น

พระเจ้ามิลินท์ได้เที่ยวไปท้าถามปัญหากับบรรดานักปราชญ์ต่าง ๆ

ครั้งหนึ่งได้เสด็จไปทรงซักถามปัญหากับท่านพระอายุปาลเถระซึ่งเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
 (:BR:)เมื่อพระอายุปาลเถระถวายวิสัชชนาให้ทรงสิ้นสงสัยไม่ได้บรรดาอำมาตย์จึงกล่าวถึงพระนาคเสน
ซึ่งกล่าวขานกันว่าเป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัยเมื่อได้ยินชื่อ (o0!)พระนาคเสนพระเจ้ามิลินท์ (o0!)ก็ให้นึกหวั่นพระราชหฤทัย
ด้วยในอดีตชาติเมื่อครั้งพระกัสสปสัมมสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพครั้งนั้นพระเจ้ามิลินท์ในชาตินี้บวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา
ในสำนักของพระภิกษุ (:88:)ผู้ซึ่งเกิดมาเป็นพระนาคเสนในชาตินี้
วันหนึ่งพระภิกษุรูปนั้นเรียกให้สามเณร (:PL:)มาขนหยากใย่ที่ตนกวาดรวมไว้แต่สามเณรแกล้งทำไม่ได้ยิน (:VA:)พระภิกษุจึงหยิบไม้กวาดตีสามเณร
สามเณรจึงตั้งจิตอธิษฐานว่าด้วยบุญของการขนหยากใย่นี้ชาติต่อไป (:HIT:)ขอให้ตนมีปัญญาเฉียบแหลมกว่าคนทั้งปวง
ฝ่ายพระภิกษุล่วงรู้ความปรารถนาของสามเณรจึงตั้งอฐิษฐานว่าด้วยบุญกุศลของการกวาดหยากใย่นี้

ขอให้ชาติต่อไปมีปฏิภาณว่องไว

สามารถโต้ตอบปัญหาของสามเณรได้แม้ความสืบเนื่องจากอดีตชาติจะทำให้พระเจ้ามิลินท์หวั่นพระราชราชหฤทัย
แต่ด้วยประสงค์จะไต่ถามข้อธรรมจึงเสด็จไปยังที่อยู่ของพระนาคเสนพร้อมด้วยปวงอำมาตย์และฝูงชน

สังสารวัฏฏ์ ก็มีอาการหมุนเวียนเช่นนั้น

คือ นับตั้งแต่เกิดมา.....................เป็นนามและรูปก็มีการบ่มเพาะ- สั่งสม - ความดี - และ - ความชั่วหรือบุญ - และ - บาป
ซึ่งเป็นตัวเหตุแล้วก็ต้องรับผลของบุญและบาปนั้นซึ่งการให้ผลของบุญและ บาป...........จะช้า-  หรือ - เร็ว
ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้บุญ และ บาป นั้นให้ผลทั้งนี้.....ผลที่เราได้รับจากบุญ และ บาป นั้น สลึมสลือ
อาจจูงใจให้เกิดการบ่มเพาะสั่งสมเหตุ ซึ่งจะทำให้เกิดผล ต่อ ๆ ไปอีกเปรียบเหมือนคนที่รับประทานผลมะม่วง
แล้วนำเมล็ดมะม่วงไปเพาะให้เป็นต้นมะม่วง
หมุนเวียนต่อไป.....................ไม่รู้จบ...............เหตุ ที่ทำให้ นาม - รูป เกิดต่อไปอีกนาน...................
ก็คือความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจจ์ 4

กล่าวคือ.................................

(:-_-:)ไม่รู้ว่าอะไร เป็นทุกข์ ไม่รู้ว่าอะไร เป็นเหตุให้เกิดทุกข์  (:-_-:)ไม่รู้ ว่าอะไร เป็นความดับทุกข์ เหงื่อตก
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์แม้จะรู้ถึงสิ่งเหล่านี้...........โดยการพิจารณาก็รู้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ๆ  ยังไม่เรียกว่ารู้จริง
เพราะความรู้นั้นมิได้ประจำจิตอยู่ตลอดเวลาเมื่อยังไม่รู้แจ้งในอริยสัจจ์ 4 คนทั้งหลายจึงกระทำบุญ และ บาป
อันเป็นเหตุ นำมาซึ่งการเกิด คือ ปฏิสนธิวิญญาณจิต (:LOVE:)เปรียบเหมือนรากแก้วของต้นไม้
ซึ่งเป็นเหตุทำให้เกิด นาม - รูป..............................ซึ่งแตกกิ่งก้าน


เห็น ตา หู ลิ้น จมูก กาย - ใจ ตา หู ลิ้น จมูก กาย - ใจ เห็น ตา หู ลิ้น จมูก กาย - ใจ เห็น ตา หู ลิ้น จมูก กาย - ใจ เห็น ตา หู ลิ้น จมูก กาย - ใจ เห็น ตา หู ลิ้น จมูก กาย - ใจ เห็น ตา หู ลิ้น จมูก กาย - ใจ เห็น ตา หู ลิ้น จมูก กาย - ใจ
 



ทำหน้าที่เป็นประตูเปิดรับอารมณ์ทั้ง 6 นอกจากนี้...............เมื่อยังไม่รู้แจ้ง...................ในอริยสัจจ์ 4
ก็เป็นเหตุให้เกิดการยึดถือสิ่งต่าง ๆ ว่า เป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขาเมื่อประสบกับสิ่งที่ชอบใจ.............รู้สึกยินดี (:SL:)ก็เกิดความติดใจ
เมื่อประสบกับสิ่งที่แสลงใจ..........................รู้สึกทุกข์ใจก็เกิดความปรารถนาที่จะหลีกหนีให้พ้นไป...........................

ซึ่งสภาพธรรมเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดการดิ้นรน แสวงหารวมทั้งยึดถือในอุบายที่จะช่วยให้ตนสมประสงค์
ในการได้มา และ การหลีกหนีไปซึ่งก่อให้เกิด ซึ่งสภาพธรรมเหล่านี้หนุนเนื่องให้เกิด นาม - รูป ต่อไปอีก.

ขอถวายพระพรตราบเท่าที่ยังไม่รู้แจ้ง ในอริยสัจจ์ 4...........ตราบนั้น นาม - รูปก็ยังคงปรากฏมีอยู่เช่นนี้
โดยการเกิดดับ - สืบต่อของนาม - รูปที่ล่วง ๆ มาแล้วนั่นเอง

นาน..........................จนเบื้องต้น ไม่ปรากฏ..............!

ธรรมะ คือทุกอย่างที่มีอยู่จริงจิตเห็นเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง

สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมะหรือเปล่า ? จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงเป็นธรรมะอีกอย่างหนึ่งได้ยินก็เป็นธรรมะอีก
อย่างหนึ่งเสียงมีจริงเป็นธรรมะเสียงไม่ใช่ได้ยินความโกรธความอิจฉาก็เป็น
ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริงธรรมะแต่ละอย่างมีลักษณะของตนของตน  ธรรมะเปลี่ยนแปลง
ลักษณะไม่ได้เลยจิตเห็นก็ไม่ใช่จิตที่คิด   เสียงก็ไม่ใช่ได้ยิน   เมื่อมีความเข้าใจใน
ความจริงของธรรมะแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น มั่นคงในความจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่าง
ว่าเป็นธรรม  เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย  ไม่ใช่เรา    อบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะรู้ความจริง
ว่าสัตว์บุคคลตัวตนนั้นไม่มี  มีแต่สภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นและดับไป
ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะทั้งหมด    กำลังเผชิญหน้ากับสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
อยู่ขณะนี้ก็ยังไม่รู้ก็เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่รู้ได้ยากเพราะความไม่รู้ในสภาพธรรมที่
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลาก็ยึดสภาพธรรมว่าเป็นเราเป็นสัตว์
เป็นบุคคลจึงควรเริ่มจากการฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีอยู่
จริงรู้ความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรมะเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุตาม
ปัจจัยพระพุทธองค์ทรงแสดงทุกอย่างที่มีจริงว่าเป็นธรรมะทั้งหมดฟังธรรมด้วย รัก


ความเคารพเพราะเป็นคำจริงทุกคำเป็นสัจจธรรม


การศึกษาพระธรรมให้เข้าใจในสิ่งที่มีจริงว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับ
ไปตามเหตุปัจจัยไม่มีเราไม่มีคนที่เรารัก (:LOVE:)ไม่มีคนที่เราชัง (:DY:)แต่เพราะความไม่รู้ใน
ความจริงจึงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราเป็นสัตว์ ;Dเป็นบุคคลความไม่รู้และตัณหา หัวเราะลั่น
เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์มากมายการศึกษาพระธรรมต้องเข้าใจตามลำดับในสิ่งที่มี
จริงในชีวืตประจำวันขั้นการฟังเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริงแล้วค่อยๆเข้าใจในสิ่งที่
กำลังปรากฏจนกว่าจะรู้จะประจักษ์แจ้งในความจริงนั้นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาเมื่อมี
ความเข้าใจมากขึ้นเห็นโทษของอกุศลจึงเป็นเหตุให้อกุศลลดน้อยลงตามกำลังของ
ปัญญาที่อบรมขึ้นพระธรรมมีแต่คุณประโยชน์เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมเสียหาย
ตรงไหนผู้ที่ไม่เคยศึกษาพระธรรม มีความสุขมีทรัทย์สินเงินทองเมื่อมาศึกษาพระธรรมแล้วก็มีแต่ได้ไม่มีเสียการเข้าใจพระธรรมจึงเป็นลาภอันประเสริฐ  เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมมากขึ้นในชีวิตประจำวันจึงมีการงดเว้นจากอกุศลกรรมมากขึ้นแล้วกระทำ
กุศลกรรมเพิ่มขึ้นทุกคนสามารถเห็นคุณค่าของพระธรรมสามารถรู้ได้ด้วยตัวเองว่า
ก่อนฟังพระธรรมและหลังฟังพระธรรมมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหนยิ่งศึกษาพระธรรม
เกิดความเห็นถูกเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น (:LOVE:)ก็จะเริ่มเห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ว่าคนจน (:DY:)คนร่ำรวย (:BYE:)ขณะนี้เป็นขณะที่หาได้ยากอย่าได้ล่วงขณะนี้ไปเลย ตกหลุมรัก
ขณะของการได้เข้าใจพระธรรมจึงเป็นลาภอันประเสริฐ
ล่วงเลยขณะไปหรือเปล่า ?เมื่อล่วงเลยขณะของการฟังพระธรรมก็ล่วงเลยขณะของการได้พิจารณาพระธรรมซึ่งเป็นจินตามยปัญญา
และล่วงเลยขณะของการรู้แจ้งสภาพธรรมซึ่งเป็นภาวนามยปัญญา

ประมาทหรือเปล่าที่จะไม่ฟังพระธรรมไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมตามที่

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเพราะขณะนี้เป็นขณะที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น

เป็นขณะที่ได้เกิดในประเทศอันสมควร, เป็นขณะที่ได้มีความเห็นถูก สัมมาทิฏฐิ และยังเป็นขณะที่มีอวัยวะครบทั้ง 6 อย่าปล่อยให้ขณะล่วงเลยไปเลย
เพราะบุคคลที่ปล่อยให้ขณะล่วงเลยไปบุคคลเหล่านั้นก็จะเกิดยัดเยียดอยู่ในนรกขณะนี้ควรที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจอย่ามัวแต่เพลิดเพลินไปตาม
อำนาจของกิเลสคือ โลภะ โทสะและความไม่รู้ที่มีอยู่มากมายในชีวิตประจำวัน
ขณะนี้เป็นขณะที่หาได้ยากควรศึกษาพระธรรม (:FR:)ฟังพระธรรมให้เข้าใจขณะที่ได้ฟังพระธรรมได้พิจารณาไตร่ตรองพระธรรมก็จะสะสมเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งธรรมได้ในที่สุด.................
ขณะนี้ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พร้อมทั้งได้เกิดในถิ่นที่ยังมีพระธรรมคำสอนของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าดำรงอยู่และในขณะเดียวกัน ตา  หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่บกพร่อง
พร้อมที่จะรองรับพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกสัมมาทิฏฐิได้ก็ควรที่จะ
ได้ศึกษาพระธรรมฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรม คือ นามธรรม และ
รูปธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงเพราะเหตุว่าเวลาของแต่ละบุคคล เหลือน้อย
เต็มทีแล้วจะจากโลกนี้ไปเมื่อใดไม่มีใครทราบได้จึงไม่ควรที่จะล่วงเลยขณะอันมี
ค่าและหาได้ยากอย่างนี้ลูกศรคือกิเลสของแต่ละคนที่ปักอยู่ที่ใจกิเลสก็คือ (an!)โลภะ (:FR:)โทสะ (:SHOCK:)โมหะ
เป็นลูกศรที่มองไม่เห็นซึ่งเป็นกิเลสที่สะสมอยู่ภายในของจิตทุกคนกำลังพล่านไป
ด้วยลูกศรที่ปักอยู่ตามกำลังของกิเลส  เมื่อถูกกิเลสเสียดแทงก็เต็มไปด้วยทุกข์ต่าง ๆ นา ๆ ตราบใดที่ยังไม่ได้ถอนลูกศรความทุกข์ก็จะตามมาไม่รู้จบ (:4:)ต้องทนทุกข์อยู่ในสังสารวัฏฏ์มีทางใดที่จะถอนลูกศรคือกิเลสออกไปได้ก็มีแค่หนทางเดียวคือการ (:3:)อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงค่อย ๆ ดับกิเลสที่อยู่ภายในจนหมดสิ้นเป็นสมุจเฉทพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ฯ ตาย


<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 64px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-shockwave-flash" src="http://www.flash-mp3-player.net/medias/player_mp3_maxi.swf?mp3=http://www.fungdham.com/download/song/allhits/28.mp3&amp;width=250&amp;showstop=1&amp;showinfo=1&amp;showvolume=1&amp;volumewidth=35&amp;sliderovercolor=ff0000&amp;buttonovercolor=ff0000" width="800px" height="64px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" autoplay="false" autostart="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/28.mp3" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.fungdham.com/download/song/allhits/28.mp3</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ธันวาคม 2552 13:42:37 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.563 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 19 มีนาคม 2567 16:26:47