[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 เมษายน 2567 11:46:37 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2 3 ... 5   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก  (อ่าน 46173 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 26 ตุลาคม 2555 18:26:36 »




รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก
---------------------------------------------------------
นิทานเซน จาก คุณแสงดาว แปลมา น่าอ่าน ดี
**********************

สวัสดีค่ะเพื่อนสมาชิกและผู้อ่านทุกท่าน
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า นิทานเซนที่แปลและนำมาให้อ่านต่อไปนี้
ไม่ได้ระบุที่มา เพราะนิทานเซนเป็นเพียงเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา ในยุคแรกๆ
พระอาจารย์ไม่นิยมให้บันทึกเป็นหนังสือ ( สังเกตได้จากนิทานเรื่องแรกที่
จะนำมาให้อ่าน )ยุคหลังๆพระอาจารย์และฆราวาสถึงได้รวบรวมไว้อีกที
หนังสือเซนในท้องตลาดปัจจุบัน แต่ละเล่มมักจะมีเนื้อเรื่องซ้ำๆกัน
สอดแทรกความคิดเห็นส่วนตัว จัดรูปเล่มให้แตกต่างกันออกไป แล้วพิมพ์ขาย
แม้แต่ตัวเอกในนิทานเรื่องเดียวกัน ยังชื่อไม่เหมือนกัน จึงมักไม่ได้ใส่ชื่อไว้
เพราะไม่ทราบว่าจะอ้างอิงเล่มไหนดี ยิ่งในอินเตอร์เน็ตเดี๋ยวนี้ อ้างเนื้อเรื่องเพียง
นิดเดียว แล้วเสริมเติมแต่งด้วยสำนวนนักประพันธ์จนสวยหรู โดยส่วนตัว
แล้วชอบอ่านเหมือนกัน ให้ความรู้สึกคนละแบบกับของเดิมๆ

ดังที่ได้กล่าวแล้ว นิทานเซนเป็นเพียงเรื่องเล่า ซึ่งเล่าผ่านมาเป็นพันปี ความถูก
ต้องตามหลักธรรม อาจจะไม่ใช่แล้ว ก็ขอให้ผู้อ่านอย่าได้คิดจริงจังว่า ตรงนั้น
ตรงนี้ไม่ถูกต้อง

และเนื่องจากผู้แปลไม่ได้เป็นผู้แปลมืออาชีพ และก็ยังปฏิบัติธรรมไปไม่ถึงไหน
และเพิ่งจะแปลหนังสือครั้งนี้เป็นครั้งแรก ศัพท์ทางศาสนาอาจจะใช้ผิดไปบ้าง
สำนวนอาจจะขรุขระไปบ้าง ก็ขออภัยด้วย และยินดีรับฟังคำท้วงติง
เพื่อนำมาพิจารณาและแก้ไขต่อไป นิทานเซนมีเป็นร้อยเรื่อง จะค่อยๆทยอย
แปลมาให้อ่านเรื่อยๆ

จุดมุ่งหมายสูงสุดของการแปลครั้งนี้เพื่อ รวบรวมสิ่งที่ได้อ่านมา
ให้เป็นที่เป็นทาง และอยากให้เพื่อนนักปฏิบัติธรรมด้วยกัน
ได้มีอะไรอ่านเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้เริ่มปฏิบัติธรรมใหม่ๆมักจะสนใจอ่าน
เรื่องราวเกี่ยวกับนิกายเซนมาก เพราะอาจจะคิดว่า อ่านแล้วอาจจะได้ข้อคิด
ดีๆเพิ่มพูนการปฏิบัติให้ดียิ่งๆขึ้นไป ซึ่งผู้แปลก็เคยได้ผ่านจุดนั้นมาแล้วเหมือนกัน
ในงานสัปดาห์หนังสือเคยกว้านซื้อมาเป็นลัง ไม่เข้าใจตัวเอง
เหมือนกัน ไม่เคยอ่านหนังสือธรรมมะมาก่อน แต่อ่านแล้วเข้าใจ มองเห็น
เป็นภาพพจน์ หลายๆอย่างเราเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะ
ปฏิบัติในแนวเถรวาทควบคู่ไปด้วยก็เป็นได้
                     แสงดาว


ที่มา : http://www.thummada.com/

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2555 18:30:55 »



๑. ไม่พึ่งพิงตัวอักษร

มีอำมาตย์ท่านหนึ่งในราชวงศ์ถัง นอกจากเป็นผู้มีชื่อเสียงแล้ว ยังปฏิบัติธรรมในแนวนิกายเซน
ท่านสนใจและชอบค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับนิกายเซน และยังชอบจดบันทึกเรื่องราวการปฏิบัติธรรมของตัวเองไว้ แล้วรวบรวมทำเป็นเล่ม

วันหนึ่ง ท่านนำหนังสือที่รวบรวมไว้ไปให้ท่านฮวงโป อย่างนอบน้อม เพื่อขอคำชี้แนะจากท่านฮวงโป
ไม่นึกว่าท่านฮวงโปเมื่อรับไปแล้วโยนไปไว้บนโต๊ะอย่างไม่ไยดี ท่านอำมาตย์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก พลางนึกว่า
ท่าน ฮวงโปคงจะตำหนิที่ไม่ได้นำอะไรติดมือมาด้วย

ขณะที่กำลังเอ่ยปากจะพูด ท่านฮวงโปก็บอกว่า “เจ้าเข้าใจความหมายที่ทำหรือเปล่า” “ไม่เข้าใจ”
 ท่านอำมาตย์ตอบ ท่านฮวงโปพูดต่อว่า “เซนเป็นการสืบทอดนอกขอบข่ายของศาสนา ไม่พึ่งพิงตัวอักษร แล้วเจ้าทำไมถึง
นำหลักธรรม มาทำเป็นตัวอักษร เป็นหนังสือ นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายหลักธรรมอันแท้จริงหรอกหรือ”

ท่านฮวงโปเป็นคนเปิดเผย พูดจาตรงไปตรงมา ท่านสูง 7 ฟุต มีเม็ดเนื้อเป็นก้อนกลมๆเหมือนไข่มุกงอกติดอยู่ที่หน้าผาก

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2555 18:33:25 »



๒. ตัวรู้

ครั้งหนึ่ง ท่านเว่ยหล่างไปพักค้างแรมที่บ้านหลังหนึ่ง ขณะที่กำลังจะนอนพักผ่อนในช่วงบ่าย
ได้ยินเสียงคนกำลังสวดมนต์ เลยลุกขึ้นไปถามผู้นั้นว่า “เจ้าเข้าใจความหมายของบทที่สวดหรือเปล่า ”
“บางตอนเข้าใจยากจริงๆ” ท่านเว่ยหล่างเลยอธิบายให้ฟังบางตอนของบทสวดว่า

“เมื่อเราอยู่ในโลกแห่งมายาจอมปลอมนี้จนผมหงอกขาวหมดไปทั้งหัวแล้ว พวกเราต้องการอะไร?
และเมื่อไฟแห่งชีวิตกำลังจะมอดลง ใจเต้นอ่อนลง และลมหายใจกำลังจะขาดรอนๆ อะไรคือสิ่งสุดท้ายที่เราหวัง?
 และเมื่อกายของเรากำลังเน่าเปื่อยอยู่ในสุสาน ธาตุกลับคืนสู่ธาตุ ธาตุดินสู่ดิน
 ชีวิตกลายเป็นสิ่งไร้ความรู้สึกในความว่างเปล่าแล้ว
เราอยู่ที่ไหน?”

คนที่สวดมนต์นั้นได้ชี้คำหลายคำในคัมภีร์ที่ไม่เข้าใจความหมายแล้วถาม ท่านเว่ยหล่างยิ้มๆแล้วตอบว่า
 “ข้าพเจ้าไม่รู้หนังสือ ท่านถามมาเลยดีกว่า" คนๆนั้นรู้สึกแปลกใจแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอ่านหนังสือไม่ออก
 ท่านจะเข้าใจความหมาย เข้าใจหลักธรรมได้อย่างไร?”

ท่านเว่ยหล่างตอบว่า “หลักธรรมของพุทธะ กับตัวหนังสือไม่เกี่ยวกัน ตัวหนังสือเป็นเพียงเครื่องมือที่จะเรียนรู้
สิ่งที่จะเข้าใจหลักธรรมคือจิต คือตัวรู้ ไม่ใช่ตัวหนังสือ

ท่านเว่ยหล่างรับตำแหน่งพระสังฆนายกโดยที่ยังไม่ได้บวช หลังรับตำแหน่งต้องหนีภัยจากพระที่เป็นศิษย์พี่
ไปอยู่ในป่ากับพรานป่า 15 ปี ถึงจะกลับมาในเมืองแล้วบวช

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2555 18:36:06 »



๓. อยู่กับปัจจุบัน

พระชิงหลวนแห่งญี่ปุ่น เมื่อตอนที่อายุ 9 ขวบ ก็คิดที่จะออกบวช จึงไปขอบวชกับพระอาจารย์ฉือเจิ้น
 พระอาจารย์บอกว่า “เจ้าอายุยังน้อย คิดจะบวชทำไม ?”

ชิงหลวนตอบว่า “แม้ข้าพเจ้าจะอายุยังน้อย แต่พ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว และเพราะเหตุว่าข้าพเจ้าไม่รู้ว่า
คนเราทำไมต้องตาย ทำไมต้องแยกจากพ่อแม่เพื่อที่จะสืบค้นหาต้นตอของสิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าจึงต้องบวช”

พระอาจารย์รู้สึกชมชอบอุดมการณ์อันดีนั้น จึงพูดว่า ”ดีแล้ว อาจารย์จะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่คืนนี้ก็ค่ำแล้ว
 ไว้พรุ่งนี้จะทำการบวชให้เจ้า” แต่ชิงหลวนพูดว่า “ข้าพเจ้าอายุยังน้อย ไม่ทราบว่าจะรักษาความคิดที่จะบวชจนถึงพรุ่งนี้ได้หรือเปล่า
 และท่านอาจารย์ก็อายุมากแล้ว ก็ไม่สามารถจะรับรองได้ว่า
 พรุ่งนี้เช้าอาจารย์จะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือเปล่า” พระอาจารย์ฟังแล้วรู้สึกปลื้มปีติยิ่งนัก บอกว่า
“ถูกต้อง เจ้าพูดไม่ผิดเลย ตอนนี้จะบวชให้เจ้าทันที”

ที่เมืองจีนสมัยราชวงศ์ถัง ผู้ที่จะบวช จะต้องผ่านการสอบคัดเลือกก่อน พระถังซำจั๋งตอนนั้นอายุเพียง 12 ปี
สอบไม่ผ่าน รู้สึกเสียใจจนร้องไห้ผู้คุมสอบ เจิ้งซ่านกว่อ ถามว่า “ร้องไห้ทำไม” ซำจั๋งตอบว่า “อยากสืบทอดศาสนาของพระพุทธองค์
 และให้เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วปฐพี”
 ผู้คุมเห็นอุดมการณ์อันสูงส่งนั้น จึงอนุญาตให้บวช ซึ่งต่อมาทั้งสองท่านก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และทำคุณประโยชน์ให้กับศาสนามากจริงๆ

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2555 18:39:28 »



๔. ปฏิบัติธรรมอย่างไร

พระอาจารย์ว้อหลุนหลังจากบำเพ็ญเพียรอยู่หลายปี ก็นึกว่า ตนเองรู้แจ้งแล้ว
จึงไปหาท่านเว่ยหล่างเพื่อทดสอบภูมิธรรม พร้อมกับเขียนโศลกว่า

ว้อหลุนมีเทคนิคและวิธี ที่จะสามารถดับร้อยความคิดได้
สิ่งที่มากระทบจิตไม่เกิด ต้นโพธิ์เติบโตขึ้นทุกวัน
? ? ? ? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ?
(โศลกบทนี้ต้องกำกับภาษาจีนด้วยเพราะแตกต่างจากที่ท่านพุทธทาสแปลไว้เล็กน้อย)

ท่านเว่ยหล่างเมื่ออ่านแล้วได้พูดกับลูกศิษย์ว่า ว้อหลุนยังไม่ได้เข้าถึงหลักธรรมอย่างแท้จริง
หากปฏิบัติธรรมลักษณะนี้ต้องตายแน่ คิดว่าสิ่งที่มากระทบจิตไม่เกิดเป็นความสามารถอย่างสูง เป็นความเข้าใจที่ผิด
 เราปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพุทธะที่มีชีวิต ไม่ใช่เป็นพุทธะที่ตายแล้ว กลายเป็น ทอง ไม้ ดิน หรือหิน
 แล้วจะเป็นพุทธะอย่างไร ไม่สามารถฉุดช่วยผู้คน แล้วจะมีประโยชน์อะไร

ท่านเว่ยหล่างจึงแต่งโศลกตอบไปว่า
เว่ยหล่างไม่มีเทคนิคและวิธี ร้อยความคิดก่อเกิดไม่มีหยุด
สิ่งที่มากระทบจิตย่อมเกิด แล้วต้นโพธิ์จะเติบโตได้อย่างไร
? ? ? ? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

เหล่าลูกศิษย์ไม่เข้าใจ ท่านเว่ยหล่างจึงอธิบายให้ฟังว่า ทุกสิ่งที่ต้องใช้เทคนิคและวิธีล้วนแต่ต้องใช้ความสามารถ
 จิตย่อมจดจ่ออยู่กับความสามารถในการกระทำนั้น ยังเป็นการยึดติดอยู่กับการกระทำ ยังใช้ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องไปดับความคิด
ไม่มีความคิดแล้วจะไปทำอะไรได้

 หากไม่มีความคิดก็เหมือนกับก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง เหมือนกับเวลาที่เราแสดงธรรมหรือฟังธรรมต้องใช้ความคิดร่วมด้วย
แม้มีความคิดแต่ไม่ยึดติดกับรูปลักษณ์นั้น ก็เหมือนกับไม่มีความคิด
 ส่วนต้นโพธิ์นั้นแสดงถึงจิตเดิมแท้ของพุทธะ ไม่เพิ่มไม่ลด ไม่เกิดไม่ดับ แม้จะปฏิบัติธรรมจนเป็นพุทธะแล้ว
ก็ไม่ได้เพิ่มอะไรแม้แต่นิดเดียว แล้วจะมีอะไรเติบโตได้อย่างไร

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2555 18:43:38 »



๕. ไม่เหลือจิตปกติธรรมดา

ลูกศิษย์คนหนึ่งมาถามพระอาจารย์ว่า “ ศิษย์นั่งสมาธิทุกวัน สวดมนต์บ่อยๆ นอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้า จิตไม่คิดฟุ้งซ่าน
 ในสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ รู้สึกจะไม่มีใครขยันไปกว่าข้าพเจ้า แล้วทำไมถึงยังไม่รู้แจ้งสักที “

พระอาจารย์นำน้ำเต้า และเกลือหยาบให้ลูกศิษย์ แล้วบอกว่า
“ เจ้านำน้ำเต้านี้ไปใส่น้ำให้เต็ม แล้วใส่เกลือเข้าไป ถ้าหากมันละลายทันที เจ้าจะรู้แจ้งทันที “

ลูกศิษย์ทำตามวิธีที่อาจารย์บอก สักครู่ก็กลับมาบอกว่า
“ ปากน้ำเต้าเล็กไป ใส่เกลือลงไปมันไม่ละลาย เอาตะเกียบลงไปก็คนไม่สะดวก ดูแล้วศิษย์คงจะไม่สามารถรู้แจ้งได้แล้ว “

พระอาจารย์เลยเทน้ำออกไปบางส่วน ใส่เกลือลงไปแล้วเขย่า สักประเดี๋ยวเกลือก็ละลาย พระอาจารย์พูดต่อว่า
“ ขยันทั้งวัน ไม่เหลือจิตปกติไว้บ้าง ก็เหมือนกับน้ำเต้าที่ใส่น้ำจนเต็มแล้วเขย่าไม่ได้ คนไม่ได้
จะละลายเกลือได้อย่างไร แล้วจะรู้แจ้งได้อย่างไร? “

“หรือว่าไม่ขยันแล้วจะรู้แจ้งได้ “ ลูกศิษย์ถาม “ การปฏิบัติธรรมก็เหมือนการดีดพิณ สายพิณตึงเกินไป ย่อมขาดง่าย
 สายพิณที่อ่อนเกินไปก็ไม่เกิดเสียง ทางสายกลาง จิตปกติธรรมดา ถึงจะเป็นฐานที่ทำให้เกิดการรู้แจ้ง “

- http://www.tairomdham.net/index.php/topic,8025.0.html

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 19:47:02 »



๖. นกที่บินหลงทาง

ที่ภูเขาต้าเยี่ยน มีพระรูปหนึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น ท่านเป็นพระที่เทศน์เก่งมาก
ท่านมักจะใช้สิ่งที่มีชีวิตรอบตัวสอดแทรกธรรมะ จากนั้นก็ใช้คำง่ายๆแต่งเป็นโศลก

มีอยู่ครั้งหนึ่ง อุบาสกท่านหนึ่งถามท่านว่า
“ มีคนพูดกันว่า การบูชาใดๆต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวงในสากลโลก ก็ไม่เท่ากับการบูชาต่อผู้ที่ดำเนินตามทางแห่งมรรคเพียงคนเดียว
ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเป็นอย่างไร ? คนเดินตามทางเดินแห่งมรรคมีบุญกุศลใด “
พระรูปนั้นพูดเป็นโศลก ว่า
“ เพียงแค่มีเมฆหมอกมาบดบัง นกก็ยังหลงทางบินกลับรัง "

" เป็นเพราะว่ามีเมฆหมอกมาปิดทางกลับรังของนก นกจึงหาทางกลับรังไม่ถูก ถ้าเรามัวแต่บูชาพระพุทธองค์
 จิตย่อมจดจ่อและยึดติดอยู่กับองค์พระ ทำให้ตัวเองกลับเดินหลงทาง ผู้ที่เดินตามทางแห่งมรรคย่อมทำให้จิตตัวเอง
 สะอาด และสว่างกลับมารู้จักตัวเอง จิตจึงไม่หลงทาง “

อุบาสกคนนั้นถามต่อว่า โบสถ์วิหารเป็นดินแดนแห่งความสงบ
และสะอาด ทำไมถึงต้องตีกลองและเคาะ “ ปลาไม้ ”
พระรูปนั้นตอบเป็นโศลกว่า
“ เพื่อตีให้เสียงก้องกังวานไป เพื่อมิให้เหล่ามังกรนั่งคำนับ “

วัดที่เงียบสงบต้องตีกลองและเคาะ “ ปลาไม้ ”มีความหมายที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ในนั้น ธรรมดาปลาอยู่ในน้ำ
 ไม่เคยปิดตา ดังนั้นการเคาะ ”ปลาไม้” จึงเป็นการแสดงถึงความขยันฝึกฝน ไม่เกียจคร้าน
 การตีกลองก็เพื่อย้ำเตือนให้ผู้คน เลิกทำบาป และสร้างกุศล

อุบาสกท่านนั้นถามต่ออีกว่า
“ เมื่อปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านก็ได้ ทำไมถึงต้องออกบวชอีก “
พระรูปนั้นตอบเป็นโศลกว่า
“ นกยูงแม้จะมีปีกที่สวยงาม แต่ก็บินได้ไม่สูงเฉกเช่นนกอื่น “
" การปฏิบัติธรรมที่บ้านเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อบวชแล้วย่อมจะตั้งมั่น และแน่วแน่กว่า ย่อมจะไปได้ไกลกว่า “

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 19:49:11 »



๗. ผิดบาปที่ใคร

ศิษย์และอาจารย์เดินผ่านท่าน้ำริมทะเล เห็นชาวเรือกำลังจะนำเรือออกจากท่าเพื่อที่จะไปส่งผู้โดยสาร
หลังจากเรือลงน้ำไปแล้ว ที่ชายหาดมี กุ้ง หอย ปู ปลา โดนทับตายเป็นจำนวนมาก ทำให้เห็นแล้ว รู้สึกน่าสงสารยิ่งนัก

ลูกศิษย์ : ขณะที่ชาวเรือนำเรือออกไปนั้น ทำให้ กุ้ง หอย ปู ปลาแถวนั้นตายไปไม่น้อย ขอถามหน่อยว่า
 เป็นความผิดบาปของชาวเรือหรือผู้โดยสาร
พระอาจารย์ : ไม่ได้เป็นบาปของชาวเรือ และไม่ได้เป็นบาปของผู้โดยสาร
ลูกศิษย์ : ถ้าไม่ได้เป็นบาปของทั้งสองฝ่าย แล้วจะเป็นบาปของใคร
พระอาจารย์ : ก็เป็นของเจ้านะซี

พระอาจารย์พูดต่อว่า “ พุทธศาสนาแม้จะพูดถึงวัฏสงสาร แต่ในแง่ของคน เมื่อพูดในฐานะเป็นมนุษย์
 เรื่องราวบางอย่าง บางครั้งก็ไม่สามารถพูดให้ชัดแจ้งลงไปได้ ชาวเรือประกอบอาชีพนี้เพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้อง
 ผู้โดยสารจำเป็นต้องขึ้นเรือ เพราะต้องเดินทาง กุ้ง ปู โดนเรือกดทับ
 เพราะซ่อนตัวอยู่ในทราย นี่เป็นความผิดใคร ?

กรรมเกิดจากจิต จิตไม่มี กรรมก็ไม่มี
จิตไม่มี จะสร้างกรรมได้อย่างไร
แม้จะมีบาปกรรม ก็เป็นบาปที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ
แต่เจ้า สิ่งที่ไม่มีสร้างให้มี
สร้างผิดถูกขึ้นมาเอง
แล้วนี่จะไม่ใช่ผิดบาปที่เจ้าหรอกหรือ ?

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 19:51:31 »



๘. นายพลจะออกบวช

นายพลท่านหนึ่งทำสงครามป้องกันชายแดนอยู่แถบทะเลทรายเป็นเวลาถึงสิบกว่าปี ตอนนี้เมื่อนึกถึง
คมหอกศาสตราวุธและสภาพสงครามที่มีเลือดไหลนองดั่งสายน้ำ จิตก็ยากที่จะสงบลงได้ เลยมาหาพระอาจารย์เพื่อจะขอออกบวช
“ พระอาจารย์ ข้าพเจ้าเบื่อสงครามเหลือเกิน ตอนนี้รู้สึกปลงไปหมดแล้ว ขอให้พระอาจารย์เมตตา รับข้าพเจ้าเป็นศิษย์เถอะ ”
“ เจ้าทำสงครามมาเป็นแรมปี กลิ่นอายแห่งการฆ่ายังมีอยู่เยอะ และยังมีครอบครัวให้เป็นห่วง
 ไม่เหมาะที่จะบวชตอนนี้ไว้รออีกสักระยะก่อน “ พระอาจารย์ตอบ

“ ข้าพเจ้าแม้จะอยู่ในสงครามมานาน นั่นเป็นเพราะความจำเป็นบังคับ ข้าพเจ้าเกลียดสงครามเป็นที่สุด
ตอนนี้ข้าพเจ้าวางทุกอย่างลงได้หมดแล้ว ลูกและภรรยาครอบครัวก็ไม่เป็นปัญหา บวชให้ข้าพเจ้าเถอะ “
“ รออีกสักระยะหนึ่งก่อน “ พระอาจารย์พูดแล้วก็เดินกลับเข้าวัด ท่านนายพลเลยจำใจต้องกลับบ้านไป

รุ่งขึ้นแต่เช้าตรู่ ท่านนายพลก็มาที่วัดอีก พระอาจารย์เลยทักว่า
“ ท่านนายพลทำไมถึงตื่นมาไหว้พระแต่เช้า “
“เพื่อดับไฟอันร้อนรุ่มในหัวอก เลยตื่นเช้ามาไหว้พระพุทธองค์ “

พระอาจารย์เลยเหย้าแหย่กลับไปว่า “ตื่นแต่เช้ามาอย่างนี้ ไม่กลัวเมียมีชู้หรือ ? “
ท่านนายพลรู้สึกโกรธจัด จึงร้องด่าออกมาตามความเคยชินที่อยู่ในสงคราม ว่า
“ !!!!! เจ้าทำไมพูดจาทำร้ายคนขนาดนี้ “

พระอาจารย์หัวเราะเบาๆ พูดมาเป็นโศลก ว่า
โบกพัดเพียงเบาๆ ไฟในอกก็ คุ กรุ่น
มุทะลุอย่างนี้หรือ คือการวางลงได้แล้ว
ท่านนายพลฟังแล้วหน้าแดงกล่ำ ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้อีก

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 19:55:14 »



๙. อะไรคือโฉมหน้าดั้งเดิมก่อนเราเกิดมา

หลังจากที่พระจวีจือบวชได้ไม่นาน วันหนึ่งมีภิกษุณีมาที่วัดภิกษุณีนั้นใส่หมวกที่สานด้วยไม้ไผ่
 และถือกระบองที่ทำด้วยตะกั่ว มาถึงก็เวียนรอบพระจวีจือ 3 รอบ

“ถ้าเจ้าพูดออกมาได้ ข้าพเจ้าจะถอดหมวกนี้ออก” พระจวีจือไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ภิกษุณีนั้นเลยขอลากลับ
พระจวีจือเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว เลยบอกให้พักค้างคืนที่วัดก่อน

“ถ้าเจ้าพูดออกมาได้ ข้าพเจ้าก็จะอยู่ก่อน” แต่พระจวีจือไม่ทราบว่า
ภิกษุณีนั้นต้องการให้พูดอะไร หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป พระจวีจือรู้สึกสังเวชใจมาก ที่ไม่สามารถตอบภิกษุณีนั้นได้
 เมื่อพระอาจารย์ของพระจวีจือมาหา พระจวีจือจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พระอาจารย์ไม่พูดอะไร
 ได้แต่ชูหัวแม่มือให้พระจวีจือดู พระจวีจือจึงรู้แจ้งทันที

หลังจากนั้นเมื่อมีผู้มาถามธรรมมะ พระจวีจือจะตอบคำถามด้วยการชูหัวแม่มืออย่างเดียว ครั้นเวลานานเข้า สามเณรในวัดก็เลียนแบบบ้าง
ทุกครั้งที่อาจารย์ไม่อยู่ เมื่อมีผู้มาถามธรรมะ ก็จะชูหัวแม่มือขึ้นมาเหมือนกัน

เรื่องรู้ถึงหูพระจวีจือ จึงถามเณรน้อยว่า “อะไรคือพระธรรม?” เณรนั้นยกหัวแม่มือขึ้นมาเป็นคำตอบ
พระจวีจือเลยใช้มีดตัดหัวแม่มือนั้นจนขาด เณรน้อยนั้นร้องลั่น พระจวีจือถามต่อทันทีว่า

“อะไรคือโฉมหน้าดั้งเดิมก่อนเราเกิดมา” เณรน้อยยกหัวแม่มือขึ้นมาตามความเคยชิน เมื่อไม่เห็นหัวแม่มือ จึงเกิดการรู้แจ้งขึ้นมาทันใดนั้น
( เรื่องนี้เป็นเพียงแค่นิทาน จริงหรือเท็จอย่างไรคงไม่มีใครทราบได้ )

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 19:58:23 »


๑๐. สังฆปริณายกองค์ที่ 4 กับฝ่าหยง

สังฆปริณายกองค์ที่ 4 มีนามว่า เต้าสิ้น วันหนึ่งท่านผ่านไปที่ภูเขาหนิวโถว ซึ่งเป็นที่อยู่ของท่านฝ่าหยง
 จึงแวะไปหา ท่านฝ่าหยงเห็นท่านเต้าสิ้นมาก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอะไร

เต้าสิ้น : ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่
ฝ่าหยง : ดูจิต
เต้าสิ้น : ใครกำลังดูจิต สิ่งที่ดูคือจิตอะไร
ฝ่าหยง : พูดไม่ออก
เต้าสิ้น : หากอยากจะปฏิบัติธรรมจนเป็นพุทธะ ไม่จำเป็นต้องตั้งใจเพ่งจ้อง และก็ไม่ต้องกดข่ม ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองธรรมชาติของจิต
ฝ่าหยง : ถ้าไม่ตั้งใจเพ่งจ้อง หากจิตกระเพื่อมจะทำอย่างไร

เต้าสิ้น : สิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีสวยไม่มีขี้เหร่ หากอยากจะแบ่งแยกดีชั่วจริงๆ
พูดได้แต่เพียงว่า ข้างในแม้จะสว่างแต่จิตไม่สงบ ลักษณะอย่างนี้แม้ว่าจะนั่งสมาธิทุกวันก็ป่วยการไปเปล่าๆ
ที่สุดก็เป็นพุทธะไม่ได้ หากไม่ปล่อยให้จิตไปยึดติดกับสรรพสิ่ง ก้าวพ้นออกมาจากสรรพสิ่งทั้งหลาย เจ้าจะบรรลุถึงจิตพุทธะได้
ขณะนั้นพอดีมีเสือตัวหนึ่งดินเข้ามาหมอบนิ่งๆอยู่ใกล้ท่านฝ่าหยง ท่านเต้าสิ้นเห็นแล้วตกใจกลัว ท่านฝ่าหยงหัวเราะแล้วพูดว่า
“ ท่านยังมีอย่างนี้อีกหรือ ? “

ท่านเต้าสิ้นไม่พูดอะไร แต่ไปที่เบาะรองนั่งสมาธิของท่านฝ่าหยง แล้วเขียนคำว่า “ พุทธะ "
 แล้วเชิญท่านฝ่าหยงนั่ง ท่านฝ่าหยงลังเลไม่กล้านั่ง ท่านเต้าสิ้นหัวเราะแล้วพูดว่า
“ ท่านก็มีอย่างนี้ด้วยหรือ ? " แล้วทั้งสองก็หัวเราะพร้อมกัน

ท่านเต้าสิ้นและท่านฝ่าหยงสนทนาธรรมจนค่ำ ท่านฝ่าหยงจึงชวนให้ค้างคืนที่นั่น แต่ว่ามีเพียงเตียงเดียว
 ท่านฝ่าหยงจึงเสียสละเตียงให้ท่านเต้าสิ้นนอน แล้วตัวเองก็ไปนั่งสมาธิ กลางดึก ท่านเต้าสิ้นนอนกรนเสียงดังมาก
รุ่งเช้า ท่านฝ่าหยงจึงต่อว่าท่านเต้าสิ้นว่า เมื่อคืนนี้ท่านนอนกรนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนทำให้ข้าพเจ้านั่งทำสมาธิไม่ได้ ท่านเต้าสิ้นตอบว่า
“ เมื่อคืนนี้ท่านทำเห็บตัวหนึ่งตกลงไปที่พื้น จนขามันหักไปขาหนึ่ง ทำให้มันร้องทั้งคืน รบกวนการนอนของข้าพเจ้าเหมือนกัน

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 20:01:01 »



         

๑๑. รู้ว่าเดินผิดทางแล้วละ

มีพระเซนรูปหนึ่ง เมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม มักออกจะท่องเที่ยวธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ได้พบกับคนชอบสูบบุหรี่คนหนึ่งระหว่างทาง
ทั้งสองจึงเดินร่วมทางกันไปด้วยระยะหนึ่ง ขณะที่นั่งพักอยู่ริมธาร ชายคนนั้นได้ให้กล้องสูบยาและยาเส้นจำนวนหนึ่ง
   พระรูปนั้นรับสิ่งที่คนนั้นให้มาด้วยความยินดี จึงติดสูบยาเส้นอยู่ระยะหนึ่ง

   วันหนึ่งจึงได้คิดว่า เจ้าสิ่งนี้ทำให้ตัวเองมีความสุขมาก คงจะรบกวนการทำสมาธิแน่นอน ถ้าหากปล่อยให้เสพติดอย่างนี้ต่อไป
ก็จะกลายเป็นความเคยชินที่ไม่ดีและแก้ยาก น่าจะเลิกเสียแต่แรกดีกว่า จึงนำกล้องและยาไปทิ้ง

ผ่านไปอีกระยะหนึ่งก็ไปหมกมุ่นอยุ่กับคัมภีร์ “ยี่จิง” เรียนรู้จนสามารถคำนวญและทำนายอะไรต่างๆได้
   วันหนึ่งในหน้าหนาว อากาศหนาวสะท้านไปทั่ว พระเซนนั้นเลยเขียน จ.ม. ไปขอเสื้อกันหนาวจากพระอาจารย์ของตัวเอง
แต่ว่า จ.ม.ส่งออกไปตั้งนาน นานจนหน้าหนาวผ่านไป
หิมะบนภูเขาก็ละลายไปหมดแล้ว แต่พระอาจารย์ก็ยังไม่ได้ส่งเสื้อกันหนาวมา และก็ไม่มีข่าวคราวใดๆจากพระอาจารย์มาเลย
    พระรูปนั้นเลยใช้ตำราคัมภีร์ “ยี่จิง”มาผูกดวงเอง
    ที่สุดก็คำนวญออกมาว่า จ.ม.ฉบับนั้นส่งไปไม่ถึงมือพระอาจารย์

   เขาคิดในใจว่า แม้ว่าคัมภีร์ “ยี่จิง” จะแม่นยำ แต่ว่าถ้าเรายังหมกมุ่นอยู่กับทางเดินสายนี้
   จะมุ่งมั่นแน่วแน่ปฏิบัติธรรมได้อย่างไร? ตั้งแต่นั้นมาเลยไม่ไปเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับคัมภีร์นี้อีก

หลังจากนั้น พระรูปนั้นก็ไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของการขีดๆเขียนๆอีก ทุกวันก็มักจะนั่งอ่าน ค้นคว้า
ขีดเขียนอยู่แต่กับหนังสือ มีผลงานออกมาหลายเล่มจนได้รับการยกย่องจากคนในวงการไม่ขาดปาก
    วูบหนึ่ง ท่านคิดได้ว่า “ เรากลับมาเดินห่างจากเส้นทางแห่งมรรคอีกแล้ว ถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป
    เราคงจะต้องกลายเป็นนักประพันธ์ นักวิชาการ ก็คงจะเป็นพระอาจารย์เซนไม่ได้แล้ว"

ตั้งแต่นั้นมาเลยตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเดียว ละทิ้งทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรม
ที่สุดก็กลายเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของนิกายเซน

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 20:04:55 »



           

๑๒. ตกปลา

มีเศรษฐีคนหนึ่ง เห็นยาจกคนหนึ่งตกปลาอยู่ริมทะเล จึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า
เศรษฐี : เจ้าทำไมไม่คิดหาวิธีที่จะตกปลาให้ได้มากกว่านี้ เช่นว่าซื้อเรือมาสักลำ
ยาจก : ข้าจะต้องทำอย่างนั้นทำไม
เศรษฐี : ถ้าหากเจ้าซื้อเรือ เจ้าก็จะออกไปตกปลาได้ไกลกว่านี้ ที่นั่นย่อมมีปลามากกว่านี้

ยาจก : หลังจากนั้นล่ะ
เศรษฐี : หลังจากนั้นเจ้าก็นำเงินที่ได้จากการตกปลา ไปซื้อ เรือที่ใหญ่กว่านี้ ไปตกในที่ลึกกว่านี้ ย่อมจะได้ปลามากกว่านี้
ยาจก : หลังจากนั้นล่ะ
เศรษฐี : หลังจากนั้นเจ้าก็จะตกปลาที่นี่อย่างหมดความกังวลใดๆ
ยาจก : ตอนนี้ข้าก็ตกปลาอยู่ที่นี่อย่างไม่มีความกังวลใดอยู่แล้ว


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 20:08:21 »



๑๓. กล้วยไม้

พระอาจารย์เซนท่านหนึ่งชอบปลูกต้นไม้ดอกไม้มาก โดยเฉพาะ กล้วยไม้รอบๆบริเวณวัดปลูกกล้วยไม้ชนิดต่างๆไว้มากมาย
 กล้วยไม้เหล่านั้นล้วนมาจากที่ต่างกัน ยามว่างท่านมักจะดูแลรดน้ำกล้วยไม้เหล่านี้ด้วยตัวเอง

วันหนึ่งท่านมีธุระจะต้องลงเขาไป จึงกำชับลูกศิษย์ให้ดูแลรดน้ำต้นไม้ให้ดี
ขณะที่ลูกศิษย์กำลังรดน้ำอยู่นั้น เกิดหกล้มชนเสากล้วยไม้ล้มลง ทำให้กระถางแตก และกล้วยไม้ตกลงมาระเนระนาด
ลูกศิษย์คิดในใจว่า อาจารย์กลับมาต้องโกรธ และตัวเองจะต้องถูกลงโทษเป็นแน่

เมื่อพระอาจารย์กลับมา ทราบเรื่องแล้วก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด และยังพูดอีกว่า
ตั้งแต่แรกเริ่มก็ไม่ได้ปลูกไว้ เพื่อที่จะโกรธ แต่เพื่อที่จะบ่มเพาะนิสัยและฝึกฝนจิต
และเพื่อนำมาบูชาพระและสร้างทัศนียภาพรอบๆวัดให้ดูสวยงามและน่าอยู่

เรื่องราวต่างๆในโลกนี้ล้วนแต่เป็นอนิจจัง อย่ายึดติดกับสิ่งที่ตนเองรักจนแยกจากสิ่งนั้นไม่ได้ นั่นไม่ใช่วิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 20:12:13 »




๑๔. ละเว้นความชั่วทั้งปวง กระทำแต่ความดี

อำมาตย์ท่านหนึ่งไปเยี่ยมพระอาจารย์เซนท่านหนึ่ง เห็นพระอาจารย์ กำลังนั่งสมาธิอยู่บนกิ่งไม้ จึงพูดว่า “อันตรายเหลือเกิน นั่งอย่างนี้”
พระอาจารย์ตอบว่า “สิ่งแวดล้อมตัวเจ้าอันตรายเสียยิ่งกว่า”

“ข้าพเจ้าเป็นอำมาตย์ใหญ่ ดำรงตำแหน่งสำคัญของบ้านเมือง มีอะไรที่อันตราย”
“วงการข้าราชการในราชสำนัก มีแต่แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ประจบสอพลอ อันตรายรอบด้าน” พระอาจารย์ตอบ
“อะไรคือหลักใหญ่ๆของธัมมะ”อำมาตย์ถาม
“ละเว้นความชั่วทั้งปวง กระทำแต่ความดี”

ท่านอำมาตย์นึกว่าจะได้ฟังธรรมอันล้ำลึก ที่แท้ก็เป็นแค่คำพูดธรรมดาๆ รู้สึกผิดหวัง แล้วพูดขึ้นว่า “หลักการอันนี้ เด็กสามขวบก็ยังรู้เลย”
“เด็กสามขวบแม้จะรู้ แต่คนแก่อายุ 80 ก็ยังทำไม่ได้” พระอาจารย์ตอบ


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 20:16:32 »



             

๑๕. รสแห่งเซน

เรื่องราวในโลกล้วนเป็นทุกข์
ไม่เหมือนอยู่ในป่าเขา
เอนกายใต้ต้นหวาย
ใช้ก้อนหินมาหนุนนอน

ไม่อยากเป็นพระราชา
หรือจะอยากเป็นอำมาตย์
เกิดตายไม่กังวล
หรือจะกลัวการเปลี่ยนแปลง


พระอาจารย์ท่านหนึ่งเขียนบทกลอนด้านบนนี้ไว้ ฮ่องเต้ถังเต๋อจงเมื่อได้อ่านบทกลอนนี้แล้ว
อยากจะพบและสนทนาธรรมกับพระท่านนี้ ว่าเป็นอย่างไร? จึงให้ท่านเสนาออกไปเชิญพระอาจารย์มาเข้าเฝ้า

เสนาท่านนั้นนำพระราชโองการมาถึงปากถ้ำที่พระอาจารย์ท่านนี้อยู่ ก็เห็นพระอาจารย์กำลังก่อไฟอยู่ในถ้ำ จึงตะโกนเข้าไปว่า
“พระราชโองการมาถึง รีบมาคุกเข่ารับพระราชโองการ”
แต่พระท่านนั้นทำเป็นคนหูหนวกไม่รู้ไม่ชี้

เสนานั้นเห็นพระอาจารย์เอาขี้วัวมาก่อไฟ บนเตานั้นกำลังเผาแตงชนิดหนึ่งอยู่
ไฟยิ่งมายิ่งลุกโชน ควันไฟลอยคละคลุ้งออกมาทั้งในถ้ำและนอกถ้ำ ควันไฟนั้นทำให้น้ำมูกของพระอาจารย์
ไหลออกมาเป็นทางยาวเฟื้อยจนหยดติ๋งๆ เสนานั้นเห็นสภาพอย่างนั้น จึงพูดขึ้นว่า

“พระอาจารย์ น้ำมูกของท่านไหลออกมาอย่างนี้ ทำไมไม่เช็ดเสียเล่า?”
“ข้าไม่มีเวลาว่างจะมาเช็ดน้ำมูกให้กับชาวโลกหรอก”
พระอาจารย์ตอบ พูดพลางก็คีบแตงร้อนๆนั้นเข้าปากพลาง “อร่อยจริงๆ! อร่อยจริงๆ!”

แล้วก็ยื่นแตงนั้นให้เสนา แล้วพูดว่า
รีบกินตอนที่ยังร้อนๆอยู่!
สามโลกก็มีแค่จิต ธรรมทั้งหลายก็อาศัยรู้
รวยหรือจน สูงหรือต่ำ ดิบหรือสุก อ่อนหรือแข็ง
จิตรู้อยู่แต่ตรงกลาง อย่าแบ่งแยกมันออกเป็นสองฝั่ง


เสนานั้นเห็นพระอาจารย์ทำอะไรแปลกๆ พูดธัมมะที่ฟังไม่รู้เรื่อง เลยรีบกลับไป ทูลฮ่องเต้
ฮ่องเต้ตรัสว่า “ประเทศของเรามีพระอาจารย์อย่างนี้ เป็นบุญกุศลของทุกคนจริงๆ


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 20:20:41 »



           

๑๖. สวยเพียบพูนด้วยเสน่ห์

มีอุบาสิกาหญิงคนหนึ่ง เกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรืออำนาจวาสนา
หรือความสวยงามภายนอก เรียกได้ว่า หาคนเปรียบเทียบได้ยาก แต่ก็ยังไม่มีใครมารักมาชอบ ไม่มีแม้แต่คนที่มาคุยถูกคอ
 จึงไปขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ ว่าทำยังไงถึงจะมีเสน่ห์ให้คนมารักมาชอบ

พระอาจารย์เลยตอบว่า ถ้าเจ้าสามารถร่วมงานกับผู้อื่น ด้วยจิตที่มีเมตตา พูดจาด้วยคำเซน ฟังเสียงของเซน
ทำเรื่องราวเกี่ยวกับเซน ใช้จิตของเซน เจ้าจะกลายเป็นผู้มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนมากที่สุด


“คำของเซน พูดยังไงเจ้าคะ?” อุบาสิกานั้นถาม
“คำของเซน คือพูดแต่เรื่องเรื่องดีๆ พูดแต่ความจริง พูดจาอ่อนน้อมถ่อมตน พูดแต่เรื่องที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น”

“แล้วเสียงของเซน ฟังยังไงเจ้าคะ?”
“เสียงของเซนคือทำเสียงทั้งหมดให้เป็นเสียงละเอียดอ่อน ทำเสียงด่าทอเป็นเสียงที่มีเมตตา
 ทำเสียงดูถูกเหยียดหยามเป็นเสียงที่คิดจะช่วยเหลือ และถ้าเจ้าฟังเสียงร้องไห้ เสียงวุ่นวาย
 เสียงหยาบ เสียงน่าเกลียด โดยที่เจ้าก็ไม่ถือสา นั่นคือเสียงของเซน”

“แล้วเรื่องราวของเซนทำยังไงเจ้าคะ”
“เรื่องของเซนคือ ทำบุญบริจาค ช่วยเหลือ งานกุศล ช่วยบรรเทาสาธารณภัย ทำสิ่งที่ถูกต้องตามศีลธรรม”

“แล้วจิตของเซนใช้ยังไงเจ้าคะ”
จิตของเซนคือ จิตของเจ้า ของข้าพเจ้า ของปุถุชน ของอริยะชน ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นจิตที่ห่อหุ้มสรรพสิ่ง เป็นประโยชน์ให้กับสรรพสิ่ง

หลังจากที่อุบาสิกาท่านนั้นได้ฟังคำชี้แนะจากพระอาจารย์ จึงเปลี่ยน ความเย่อหยิ่งจองหองที่มีอยู่เดิม
 ไม่คุยโวโอ้อวดถึงฐานะตนเองต่อหน้าผู้อื่น ไม่ยกยอตัวเองว่าสวยเลอเลิศกว่าคนอื่น
 และมักจะอ่อนน้อมและมีมรรยาทต่อผู้อื่น เป็นห่วงเป็นใยและดูแลเอาใจใส่ต่อคนในปกครอง

เมื่อปฏิบัติเช่นนี้ไปนานเข้า อุบาสิกาท่านนั้นก็ได้รับฉายาจากผู้อื่นว่า   “เป็นอุบาสิกาที่มีเสน่ห์มากที่สุด”


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.64 Chrome 23.0.1271.64


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2555 14:01:48 »



           

๑๗. อุทิศส่วนกุศล

มีชาวนาคนหนึ่งได้เชิญพระอาจารย์ท่านหนึ่งไปที่บ้าน เพื่อสวดอภิธรรมให้กับศพของภรรยาที่เสียชีวิต หลังจากที่สวดเสร็จแล้ว ชาวนานั้นถามว่า
“ท่านคิดว่า ภรรยาของผมจะได้ส่วนกุศลจากการสวดนี้สักเท่าไหร่”
“พระธรรมเหมือนยานแห่งความเมตตา เหมือนพระอาทิตย์ที่ส่องแสง ไม่แต่ภรรยาของเจ้าจะได้ คนอื่นๆยังพลอยได้รับส่วนกุศลไปด้วย”
ชาวนานั้นรู้สึกไม่พอใจ พูดว่า “ภรรยาของข้าพเจ้าอ่อนแอมาก คนอื่นๆ ย่อมจะมาเอาเปรียบ
 แย่งเอาส่วนกุศลไป ขอให้ท่านสวดอุทิศส่วนกุศลให้เขาโดยเฉพาะ อย่าอุทิศให้กับผู้อื่น”

พระอาจารย์พูดต่อไปว่า “การแผ่ส่วนกุศลของตัวเองให้กับผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นได้รับส่วนกุศลโดยทั่วกัน เป็นสิ่งที่ดีที่เราชาวพุทธควรรักษาไว้
หลักการของการแผ่ส่วนกุศลเป็นการอุทิศจากเหตุไปหาผล จากส่วนน้อยไปหาส่วนใหญ่ ก็เหมือนกับ
 แสงสว่างไม่ได้เจาะจงจะส่องสว่างให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ แสงสว่างสามารถส่องให้กับคนได้ทั้งหมด
 เหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงเดียว ส่องสว่างให้กับคนทั้งโลก เหมือนเมล็ดพันธุ์ 1 เม็ด สามารถให้ผลผลิตได้นับไม่ถ้วน

เจ้าควรจะใช้จิตของเจ้า จุดสว่าง เทียนในใจให้กับตัวเอง แล้วไปจุดต่อให้กับเทียนเล่มอื่นๆ
เพื่อทำให้แสงสว่างเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า และนั่นก็ไม่ได้ทำให้ตัวของเทียนเองต้องสูญเสียแสงสว่างแต่อย่างใด
ถ้าหากทุกคนมีจิตสำนึกอย่างนี้ จากจุดเล็กๆที่ตัวเรา รวมกันเป็นกลุ่มชนเป็นมหาชน จะดีสักแค่ไหน
 พุทธศาสนิกชนทุกคน ควรจะมองผู้คนอย่างเสมอภาคเหมือนกันหมด”

ชาวนานั้นยังมีทิฐิอีก พูดต่อไปอีกว่า “คำสอนนี้ดีมาก แต่ก็ยังอยากมีข้อยกเว้นอีกอย่าง คือคนข้างบ้านของข้าพเจ้า
 มักจะชอบกลั่นแกล้งและรังแกข้าพเจ้า ยกเว้นเขาสักคน ไม่ให้มารวมกลุ่มอยู่ในกลุ่มชนทั้งปวงได้ก็ดี”
“อยู่ใต้หล้าเดียวกัน มีอะไรต้องยกเว้น” พระอาจารย์ตอบ


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.64 Chrome 23.0.1271.64


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2555 14:11:24 »



           

๑๘. ใครคือขี้วัว

ซูตงพอเป็นศิษย์ของพระอาจารย์เซนท่านหนึ่ง ซูตงพอเป็นทั้งอำมาตย์และเป็นนักกวีชื่อดังแห่งยุค (พ.ศ. 1580 -1644)
บ้านของเขาอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำกับวัด แต่ก็ไปมาหาสู่พระอาจารย์เป็นประจำ เพื่อมาต่อกลอนและมาภาวนาร่วมกัน
    วันหนึ่งขณะที่นั่งสมาธิด้วยกัน พระอาจารย์นั่งนิ่งอยู่ในสมาธิ แต่ซูตงพอ นั่งได้ประเดี๋ยวเดียว ก็นั่งไม่ได้แล้ว
    เที่ยวมองไปก็มองมา เขานึกเอาเองว่าตัวเองนั่งสมาธิได้ไม่เลว จึงพูดกับพระอาจารย์ว่า

“ท่านเห็นลักษณะการนั่งของข้าพเจ้าเป็นอย่างไร?”
“เหมือนพระพุทธรูปองค์หนึ่ง”
“แล้วท่านนักประพันธ์ใหญ่เห็นอาตมาเหมือนอะไร”
“เหมือนขี้วัวหนึ่งกอง”ซูตงพอตอบ

พระอาจารย์ยิ้มๆ ไม่ว่าอะไรแล้วนั่งสมาธิต่อ ซูตงพออิ่มอกอิ่มใจที่สามารถพูดอำพระอาจารย์ได้ จึงกลับไปเล่าให้
คนที่บ้านฟัง คิดว่าคนที่บ้านต้องชมว่า ตนโต้ตอบได้ยอดเยี่ยมแน่ แต่น้องสาวของเขารู้สึกขำแล้วพูดว่า

“พี่โง่จ๋า ยังจะนึกสะใจอยู่อีกพี่แพ้พระอาจารย์แล้ว”
“เป็นไปได้ยังไง? พี่แพ้ยังไง?”
“พระอาจารย์ในสายตาของพี่ มองเหมือนกับขี้วัว แต่ที่แท้คือพุทธะ แต่พี่ดูเหมือนพุทธะ แต่ในจิตใจ บรรจุขี้วัวไว้เต็มไปหมด”
ซูตงพอยังเหมือนกับไม่เข้าใจอยู่อีก น้องสาวเขาเลยอธิบายให้ฟังว่า

“เพราะในจิตของพระอาจารย์มีแต่พุทธะ ดังนั้นในมุมมองของท่าน
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้จึงเป็นพุทธะ แต่พี่ยังภาวนาไปไม่ถึงไหน ในจิตย่อมมีแต่สิ่งสกปรก จึงเห็นพระอาจารย์เป็นขี้วัว”
ซูตงพอฟังแล้วถึงได้เข้าใจ และรู้ว่าตัวเองเรื่องที่จะไปให้ถึงนั้นยังอยู่อีกไกล


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.64 Chrome 23.0.1271.64


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2555 14:12:49 »



             

๑๙. นรก

มีคนๆหนึ่งเมื่อตายแล้ว วิญญาณล่องลอยไปในที่แห่งหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเข้าประตู คนเฝ้าประตูถามว่า
“เจ้าชอบกินหรือเปล่า? ที่นี่มีแต่ของกินที่วิเศษสุด
เจ้าชอบนอนหรือเปล่า? ที่นี่จะนอนนานแค่ไหนก็ไม่มีใครรบกวน
เจ้าชอบเล่นสนุกไหม? ที่นี่มีของเล่นทุกอย่างให้เลือก
เจ้าเบื่อทำงานใช่ไหม? ที่นี่รับรองว่าไม่ต้องทำอะไร และไม่มีใครบังคับเจ้า”

วิญญาณนั้นรู้สึกดีใจที่ได้อยู่ที่นี่ อิ่มแล้วก็นอน นอนพอแล้วก็เล่น เล่นไปกินไป พอผ่านไป 3 เดือน รู้สึกเริ่มจะเบื่อ จึงไปหาคนเฝ้าประตูนั้น
“ใช้ชีวิตทุกวันอย่างนี้ ไม่เห็นจะดีตรงไหน
เล่นมากจนเกินไป ก็ไม่เห็นจะสนุกอะไร
กินอิ่มเกินไป ก็ทำให้อ้วนขึ้นเรื่อยๆ
นอนมากเกินไป ก็ทำให้ความรู้สึกเฉื่อยชา

ของานให้ข้าทำหน่อยได้มั้ย?”
วิญญาณนั้นถาม
“ขอโทษ ที่นี่ไม่มีงานให้ทำ” ยามเฝ้าประตูตอบ
ผ่านไปอีก 3 เดือน วิญญาณนั้นทนไม่ได้แล้วจริงๆ พูดกับยามอีกว่า
“ข้าทนอยู่อย่างนี้ไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าหากไม่ให้งานข้าทำ ข้ายอมตกนรกดีกว่า”

ยามตอบว่า “เจ้านึกว่าที่นี่เป็นสวรรค์หรือ?
ตรงนี้คือนรกต่างหาก มันทำให้เจ้าไม่ต้องใช้ความคิด
ไม่ต้องสร้างสรรค์ ไม่มีอนาคต ค่อยๆหลอมละลาย
การทรมานลักษณะนี้ ทรมานยิ่งกว่า เมื่อเทียบกับขึ้นภูเขามีด ลงกระทะทองแดง ซึ่งเป็นความทรมานทางกาย


บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  [1] 2 3 ... 5   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.346 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 27 มีนาคม 2567 12:55:10