[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 16:40:25 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 2 3 [4] 5   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก  (อ่าน 46071 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #60 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2555 12:53:51 »



               

๖๑. ลดเปอร์เซ็นต์

ลูกชายของพ่อค้าคนหนึ่ง ติดตามและฝึกฝนการค้ากับบิดาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
แม้ว่าจะเป็นคนที่เน้นแต่ผลประโยชน์เป็นสำคัญ แต่ก็เป็นลูกกตัญญู
เมื่อบิดาถึงแก่กรรม จึงไปที่วัดขอให้พระอาจารย์ช่วยสวดส่งวิญญาณให้หลุดพ้น

ลูกกตัญญูเติบโตมาจากวงการค้า จึงเป็นห่วงค่าใช้จ่ายในการสวดศพมาก
จึงตั้งหน้าตั้งตาแต่จะคอยถามเรื่องค่าใช้จ่าย ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่

พระอาจารย์เห็นเขาแต่งตัวภูมิฐานมีเครื่องประดับมากมายยังตระหนี่คิดเล็ก
คิดน้อยขนาดนั้น จึงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า จะต้องจ่ายค่าสวดและค่าทำพิธี
10 ตำลึง ลูกกตัญญูฟังแล้วรู้สึกว่าแพงเกินไป จึงขอลดราคา พูดขึ้นว่า

“พระอาจารย์ สิบตำลึงน่าจะแพงเกินไป ขอลดสัก 20 เปอร์เซ็นต์ จ่ายแค่
8 ตำลึงแล้วกัน”

พระอาจารย์เห็นเขาต่อรองราคาอย่างเอาจริงเอาจัง จึงรู้สึกว่าหนุ่มคนนี้น่าคิด
เหมือนกัน จึงตอบว่า “ เอาล่ะ ตามใจเจ้าแล้วกัน”

พระอาจารย์จึงไปสวดยังที่บ้านของลูกพ่อค้านั้น ระหว่างที่ฟังสวดลูกกตัญญู
ก็ตั้งหน้าตั้งตาฟังสวดและกระทำพิธีอย่างสำรวมนอบน้อม



ถึงตอนหนึ่งพระอาจารย์กล่าวว่า “พุทธะจากทั่วสิบทิศ โปรดนำบุญกุศล
จากการทำพิธีนี้แผ่ไปให้กับผู้ตายด้วย ให้เขาได้ไปสู่โลกแห่งทิศตะวันออก”

ลูกพ่อค้านั้นรู้สึกว่าตรงทิศตะวันออกน่าจะไม่ถูก จึงพูดขึ้นว่า
“พระอาจารย์กล่าวผิดหรือเปล่า? มีแต่คนตายแล้วให้ไปเกิดทางทิศตะวันตก
คือดินแดนสุขาวดี ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปทางทิศตะวันออก”

“ไปทางทิศตะวันตกดินแดนสุขาวดี ต้องเสียค่าใช้จ่าย 10 ตำลึง เจ้ายืนยัน
จะลด 20 เปอร์เซ็นต์ ข้าเลยส่งผู้ตายไปยังทิศตะวันออก”

ลูกพ่อค้านั้นรู้สึกละอายใจยิ่งนัก พูดขึ้นว่า “ข้าพเจ้าเพิ่มอีก 2 ตำลึง ช่วยพา
พ่อของข้าพเจ้าไปยังดินแดนสุขาวดีด้วยเถอะ”

         

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #61 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2555 13:24:32 »



           

๖๑.๑ ฉันคือใคร

ชีวิตคนดั่งละคร ทุกคนเป็นคนเขียนบท เป็นผู้กำกับ และเป็นนักแสดงเอง
บทที่เขียนออกมามีทั้ง บทดีใจ เสียใจ โกรธ และเศร้าโศก
สิ่งที่แสดงออกมามีทั้งรัก โกรธ ผูกพัน โกรธแค้น ชิงชัง
แต่ละบท แต่ละฉาก แต่ละตอน ไม่ใช่พบกับความสำเร็จ ก็ผิดหวัง ไม่ใช่ดีใจก็เสียใจ
เกิดๆดับๆ ดับๆเกิดๆ ดั่งที่ว่า “ชีวิตคนดั่งมายาซ้อนมายา”

                         

เวียนว่ายตายเกิด เป็นไปตามแรงกรรม หมุนเปลี่ยนภพชาติเกิดมาในโลกนี้
เป็นเพราะกรรมสัมพันธ์ พ่อแม่ให้กำเนิดฉันมา จึงมีกายนี้
เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมา นึกถึงเรื่องชาติภพก่อน ใครคือฉัน มาจากไหน?
ทำไมถึงมา ชาตินี้ไม่แจ้ง แล้วจะให้รอถึงชาติไหน
จึงสงสัยว่า “ก่อนที่พ่อแม่ให้กำเนิดมาใครคือฉัน”



ดอกไม้บานแล้วย่อมต้องร่วง มีการเกิดก็ต้องมีการตาย ขณะนี้มีความสุข
มีลมหายใจตามปกติ แต่เมื่อหนึ่งช่วงลมหายใจ หายใจออกแล้วไม่เข้า
แล้วฉันคือใคร แล้วจะไปไหน แล้วทำไมต้องไป คิดถึงหนทางข้างหน้า
ลังเลสงสัยแล้วก็ไม่รู้

                   

ความหมายของเซนจำต้องรู้ ปฏิบัติจริงถึงจะแจ้ง
ชีวิตดั่งความฝันและมายา อย่าได้หลง-วนอยู่ในความหลง
หากถามว่า “ฉันคือใคร? เห็นจิตตัวเองแล้วก็จะรู้”

         

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #62 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2555 15:20:58 »



                http://i3.photobucket.com/albums/y64/Manee/Homeworks/124_2496R.jpg
@ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก


๖๑.๒ ก้อนหินในใจ

อาจารย์เซนเชื้อจีนรูปหนึ่งนามว่า โฮเคน
พำนักอยู่องค์เดียวเงียบๆ ณ วัดเล็กๆต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง
วันหนึ่งมีภิกษุอาคันตุกะสี่รูปเดินทางมาขอพำนักอยู่ด้วย
ตกกลางคืนพระอาคันตุกะเหล่านั้นขออนุญาตก่อกองไฟผิงกันหนาวที่ลานวัด

โฮเคนได้ยินพระเหล่านั้นก่อไฟพลางโต้ถียงกันล้งเล้งๆ
ถึงเรื่องอายตนะภายใน อายตนะภายนอก
ด้วยความอดรนทนไม่ได้ จึงออกมาร่วมวงด้วย



โฮเคนหยิบก้อนหินมาก้อนหนึ่งแล้วถามว่า
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกคุณคิดว่า ก้อนหินก้อนนี้อยู่ในใจหรือนอกใจ”
พระรูปหนึ่งตอบว่า “ตามมติทางพุทธศาสนา ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอารมณ์ของใจ
เพราะฉะนั้น ผมจึงพูดได้ว่า ก้อนหินก้อนนั้นอยู่ภายในใจ”

                     

โฮเคนบอกว่า “ถ้าคุณแบกก้อนหินชนิดนั้นไว้ในใจทุกเวลาแล้วไซร้
มันคงหนักเอาการซินะ”
สิ่งที่เห็น สิ่งที่ประสบทุกอย่าง หากเราเอามาแบกรับไว้ในใจอยู่ตลอดเวลา
ใจเราก็คงหนักอยู่ตลอดไป และในชีวิตของเรายังต้องพบเจอกับเรื่องราวอีกมากมาย
หากเราไม่วางมันเอาไว้นอกใจบ้าง เราก็ต้องดำรงชีวิตต่อไปอย่างกดดันหนักอึ้ง

                   

ที่มา หนังสือแม็ค ม.ปลาย ฉบับวันที่ 10 มีนาคม 2549

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #63 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2555 15:21:49 »



   

๖๑.๓ แสวงหาปัญญา

มักจะได้ยินคนพูดอยู่เสมอว่า มีคนแสวงหาปัญญา
แต่แท้ที่จริงแล้วปัญญามาจากการเรียนรู้โดยสัญชาติญาณ
และมุมมองก่อให้เกิดขึ้นมา แสวงหายังไงก็หาไม่เจอ
และก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปแสวงหา
ลองมองย้อนกลับมาที่ใจของตัวเอง หากในจิตเต็มไปด้วยความวุ่นวายใจ
ถ้าเป็นอย่างนั้น ปัญญาที่บริสุทธิ์สะอาดก็จะไม่มีทางก่อเกิดขึ้นมาได้

มีบางคนนำปัญญามานึกว่าเป็น ความฉลาด
นึกว่าการพูดคล่องหรือถนัดในการใช้คำ หรือคนที่มีประสบการณ์มารอบด้าน
คือคนที่มีปัญญา แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง “ประสบการณ์ทางโลกที่ทำให้ฉลาด”

คนส่วนใหญ่ถูก “ประสบการณ์ทางโลกที่ทำให้ฉลาด” มาบดบังปัญญาที่สะอาด
บริสุทธิ์และดีงามจนมืดมิด โดยไม่รู้ว่า การรู้ซื่อๆถึงจะเป็นความล้ำค่าทางปัญญา

หากอยากได้ปัญญาที่บริสุทธิ์แท้ จำเป็นจะต้องเตรียมพื้นฐานทางจิตที่ดีงามไว้
คนที่ฉลาด เพียงแค่ได้ยินทำที่ผิดหูสักหน่อยก็เอาสีข้างเข้าถู

คนมีปัญญา จะรู้จักนำถูกผิดมาเป็นบทเรียน ไม่ว่าจะพบกับคำพูดที่เสียดสีเย้ยหยัน
อย่างไร หรือเจอกับสถานการณ์ที่ทุกข์ยากอย่างไร ก็จะรู้จักนำอุปสรรคมาเป็นตัว
ผลักดันให้มุ่งไปข้างหน้า และยังรู้สึกถึงความสำนึกในบุญคุณ นี่แหละคือปัญญา

ในขณะเดียวกัน ทั้งคำพูดและการกระทำยังรู้จักระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อจะได้ไม่ต้องไปกระทบกระทั่งถูกผู้อื่น ซึ่งสุดท้ายอาจจะย้อนกลับมา
ทำให้ตัวเองรำคาญใจไปเปล่าๆ

ทำอย่างไรถึงจะขจัดความวุ่นวายกังวลฟุ้งซ่านในจิตได้?
จำต้องอาศัยการแสวงหายามาแก้ด้วยตัวเอง เปรียบดังกับชาวนาต้องเริ่ม
ทำตั้งแต่ ลงต้นกล้า ดูแลพืชผล จนกระทั่งเมื่อเก็บเกี่ยว จำเป็นต้องอาศัย
การลงทุนลงแรงของตัวเอง การทำนาก็มีเทคนิคเฉพาะตน เช่นเมื่อช่วงเก็บเกี่ยว
จะต้องจับต้นข้าวให้มั่นด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งจับเคียว สองมือประสาน
อย่างเหมาะเจาะ ถึงจะเก็บเกี่ยวได้อย่างรวดเร็ว

การขจัดความวุ่นวายทางจิตก็เช่นกัน จำต้องให้ภายในภายนอกขับเคลื่อนไป
พร้อมกัน ภายในจิตตื่นรู้ด้วยตัวเอง ผสานกับการเรียนรู้จากโลกภายนอก

บทกลอนและคัมภีร์ของนักปราชญ์เมธีและปรมาจารย์
ที่สืบทอดต่อกันมาล้วนแต่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าด้วยปัญญาอันดีงาม
พวกเราจะต้องนำจิตน้อมรับมาพิจารณา เพื่อขจัดสิ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายใจ
ปัญญาที่ดีงามถึงจะก่อเกิดและนำไปใช้ประโยชน์ได้

ที่มา สมาชิกเว็บบอร์ดชาวเซน ของไต้หวัน

           

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #64 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2555 15:29:23 »





ด้านล่างอ่านเจอมาจาก บล็อคของ คุณกะเรนขาว
พูดถึงเรื่องปัญญาพอดีโดยไม่ได้นัดหมาย
จึงขอนำมาลงพร้อมกันระหว่างของชาวเซนกับของเถรวาท
ปัญญา ในความหมายของศาสนาพุทธ  (แสงดาว)



๖๑.๔ ปัญญาปรมัตถ์

...ปัญญาในแก่นของศาสนาพุทธคือปัญญาในการละความไม่รู้ไม่เข้าใจ
และละความยึดถือในรูปนามทั้งหลายทั้งปวงได้หมดสิ้น
(ความหมายของรูปนามท่านหมายถึงทุกๆสิ่งที่จิตสามารถสัมผัสได้
ทั้งวัตถุ สสารต่างๆ ความรู้สึก ความจำ ความคิด ความเป็นตัวเรา)
ปัญญาสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาท่านจึงเรียกว่าปรมัตถ์ปัญญา

มิใช่เป็นปัญญาที่เกิดจากการคิดไตร่ตรอง
 แต่เป็นการเกิดขึ้นด้วยกำลัง
ของสมาธิจิตที่สมบูรณ์พร้อมแล้ว
เบื่อหน่ายเต็มที่ในรูปนามทั้งหลายแล้ว เห็นแล้วว่า
อุปาทานในรูป-นามทั้งหลายทั้งปวงไม่มีตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด



กำลังของสายสัมพันธ์ความยึดมั่น ในรูปนามหมดลงเพราะ
เบื่อหน่ายเต็มที่ หมดกำลังที่จะยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป
อุปมาเหมือนกับคนที่ทำงานมาเหนื่อยเต็มที่ พอถึงบ้านหมดแรง
อยากนอนอย่างเดียวแม้เสื้อผ้าก็ไม่ยอมถอด ทิ้งตัวลงนอนเลย
ไม่สนใจร่างกายใดๆทั้งสิ้นแล้ว
ขอนอนอย่างเดียว เพราะความเหนื่อยเพลียเต็มที่นั่นเอง

ดังนั้นปัญญาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้
นักธรรมต้องพิจารณาในรูปนาม
ให้เห็นว่าเป็น ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่น่ายึดถือไม่มีตัวตนที่แท้จริง
เมื่อพิจารณาบ่อยๆมากๆจนจิตเหนื่อยเบื่อในงานเต็มที่แล้ว
จิตจะปล่อยวางได้เองโดยที่ไม่ต้องอยากให้มันปล่อยวางแต่อย่างใด

... นักธรรมท่านใดที่เอาแต่ความสงบของสมาธิจิต เอาแต่อารมณ์สุข
ของสมาธิย่อมหาความเหนื่อย ความเบื่อและความปล่อยวางแบบปรมัตถ์ต่อ
รูปนามไม่ได้
อุปมาเหมือนกับพนักงานมาทำงานแต่ไม่ยอมทำงานจริง
 มานั่งมองโน่นมองนี่สุขสบายไปวันๆ ใครๆถามก็บอกกล่าวว่าตนเองเบื่อแล้ว
เหนื่อยแล้วแต่ในความเป็นจริงความเหนื่อยความเบื่อในงาน(รูปนาม)
ยังไม่ได้เกิดกับจิตตนเองเลย
เพราะตนเองยังไม่ได้ทำงานจะเอาความเหนื่อยความเบื่อมาจากไหน



ท่านจึงสอนให้นักธรรม พิจารณาความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ของรูปและนามให้มาก เหนื่อย-พัก,เหนื่อย-พัก
(สมาธิ-พิจารณา,สมาธิ-พิจารณา)ทำอยู่แบบนี้เมื่อจิตปุถุชนเบื่อเต็มที่
หมดกำลังที่จะยึดในรูปนามแล้วมันจะทิ้งในรูปนามเอง เห็นเองว่า
รูปนามที่แท้จริงโดยปรมัตถ์มันเป็นอย่างไร อนัตตาของจริงมันเป็นอย่างไร.


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #65 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 20:48:03 »





๖๑.๕ ปัญญาที่ปล่อยวางจิต

ทุกครั้งที่เรามองกระจก เราหวังจะได้เห็นตัวเองเป็นคนที่...
... พิเศษมาก.. คนหนึ่ง...
และไม่อยากเห็นเป็นเช่นคนทั่วไป ที่มีแต่ความทุกข์กังวล
เราหวังว่าจะได้เห็นคนที่มีแต่ความสุข
แต่ก็ได้เห็นแต่คนที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่อย่างลำบากยากเย็น

ในความคิดของเราคิดว่าตัวเองเป็นคนมีเมตตา
แต่มองไม่เห็นความเห็นแก่ตัวของตัวเอง เราอยากจะให้ตัวเองดูสง่ามีราศี
แต่ความเย่อหยิ่งของเราทำให้เรากลายเป็นคนหยาบ
เราอยากเห็นคนที่เข้มแข็งไม่ยอมแพ้
แต่ได้เห็นแต่คนที่ล่วงเลยวัยไปกับกาลเวลา
ที่ทำให้กลายเป็นคนที่เมื่อยล้าและอ่อนแอ และกลายเป็นคนแก่ ป่วย และตาย

ช่องว่างระหว่างความหวังและความจริงที่เกิดขึ้นมา ทำให้
จิตวิญญาณของเราเจ็บปวดอย่างมหันต์ ปล่อยวางไม่ได้กับมายา
ที่หลอกว่าเป็นตัวเราของเรา
การจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ต้องอาศัยความกล้า
เป็นอย่างมาก และนั่นคือหนทางเดินของนักภาวนา

การจะภาวนาต้องเริ่มต้นจากการพิจารณาตนเอง จิตของเรา
เหมือนภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ความคิดที่มีต่อความเป็นไปต่างนานา
และความเป็นไปของโลก ก็เป็นเพียงมายา รวมทั้งการเวียนว่ายตายเกิด
หรือนิพพานก็เพียงส่วนหนึ่งของบทภาพยนตร์
หากเราสามารถที่จะมองชีวิตตัวเองเหมือนภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
ก็จะทำให้จิต ปล่อยวาง ได้อย่างสบายๆ
ชื่นชมกับการดำเนินเรื่องของบทบาทแต่ละตอน
และสามารถมองทะลุถึง แก่นแท้ของความเป็นจริง ให้จิตดำเนินไป
ตามครรลองของธรรมชาติ

ไก่ป่าครอบครัวหนึ่ง หนีการไล่ล่าของผู้บุกรุกทำลายป่า
และก็ต้องหนีการไล่ล่าตลอดเวลาไม่ว่าจะหนีไปอยู่ตรงไหน
เพราะจากความเชื่อของผู้คนที่ว่า
เนื้อไก่ป่าเป็นยาและเป็นของบำรุงชั้นยอด

ที่สุดก็มาอยู่ในที่รกร้างใกล้สวนของผู้อารีแห่งหนึ่งในเขตชานเมือง
แต่ยังไงก็หนีการไล่ล่าไม่พ้น ผู้คนที่ได้ยินเสียงขันในช่วงเช้าแล้ว
ต่างลือกันไปทั่วว่า มีไก่ป่ามาอยู่ในบริเวณนั้น จึงทำให้มีผู้จะมาไล่ล่าทุกวัน

แต่น้องสาวเจ้าของสวนมักจะมาคอยกีดกันไม่ให้ผ่านสวนเข้าไป
ประจวบกับความไวและสัญชาติญาณของไก่ป่าเองที่ไม่ค่อยไว้ใจใคร
จึงทำให้หนีรอดไปได้ทุกครั้ง จนผู้คนยอมแพ้ และไม่มารบกวนอีก
ไก่ป่าครอบครัวนั้น จึงอยู่อย่างสงบสุขตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ทุกๆเช้าไก่ป่า จะร้องขันส่งเสียงกังวานไปทั่ว ความไพเราะของ
น้ำเสียงไก่ป่าผู้เป็นลูกสาว ได้แว่วเข้าหูไก่บ้านตัวผู้ตัวหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ทันทีที่ได้ยินเสียงขันของไก่ป่าสาวนั้น ก็รู้สึกนึกรักขึ้นมาทันที

นิยายรักของไก่ป่าและไก่บ้านจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทั้งสองส่งเสียงขับขานเป็นทำนองเพลงรักโต้ตอบกันไปมาทุกๆเช้า
ต่างเข้าใจความรักความผูกพันในกันและกัน

แต่อนิจจา ความรักที่ผิดเชื้อชาติ ผิดธรรมเนียมและประเพณี
ทั้งสองจึงเป็นได้เพียงเส้นขนาน ที่สามารถเดินเคียงคู่กันไปได้
แต่ไม่มีทางที่จะมาบรรจบเป็นเส้นเดียวกันได้

แม้จะเป็นเพียงเส้นขนาน แต่ทั้งสองก็สามารถเห็นกันได้
ส่งเสียงถ่ายทอดความรักและความรู้สึกถึงกันได้ ซึ่งก็จะคงเป็น
เช่นนี้ตลอดไป จนกว่ากาลเวลาและอนิจจังของชีวิต
มาพลัดพรากทั้งสองให้จากกันไปคนละทิศทางตามวิถีทางของตน

เรื่องนี้เขียนจากเหตุการณ์และสถานที่จริง
อาจจะดูแปลกๆไปบ้าง
ต้องขออภัยและให้โอกาสกับมือใหม่หัดเขียนด้วยค่ะ





ข้อคิดจากนก
1. เมื่อนกเริ่มกระพือปีกที่จะบิน พวกที่ต่อแถวตามมาจะมีอากัปกิริยาดัง
เหมือนมีกลองที่ดังบรรเลงขึ้นเพื่อกระตุ้นเตือนให้รู้ว่าเริ่มมีการแสดงแล้ว
เมื่อฝูงนกเรียงแถวเป็นรูปตัว V จะมีพละกำลังเพิ่มจากการบินเดี่ยวถึง
เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ข้อคิด หากเราร่วมเดินทางกับผู้ที่มีอุดมการณ์ในแนวเดียวกัน ก็จะสามารถ
ไปได้เร็วขึ้น และถึงจุดหมายปลายทางได้ง่ายขึ้น เพราะเราสามารถช่วยเหลือ
จุนเจือซึ่งกันและกันได้

2. ไม่ว่าเวลาไหน เมื่อนกตัวใดตัวหนึ่งพลัดหลงไปจากฝูง มันจะรับรู้ได้ทันทีว่า
มีพลังต่อต้านอย่างหนึ่งไม่ให้จากฝูงไป และอาศัยแรงประคองที่ส่งมาจากนกอีกตัว
มันจะกลับมาเข้ากลุ่มได้อย่างรวดเร็ว

ข้อคิด หากเราฉลาดได้เหมือนนก เราก็จะยินดีที่จะอยู่ร่วมกับกลุ่มคนที่มี
อุดมการณ์เดียวกับตนเอง พร้อมกับยินดีรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
และก็ยินดีจะช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเช่นกัน



3. เมื่อนกที่เป็นหัวหน้าเหนื่อยแล้ว มันจะถอยกลับไปรวมกลุ่ม
แล้วให้นกตัวอื่นนำหน้าแทน

ข้อคิด เมื่อประสบปัญหาในการทำงาน ผลัดเปลี่ยนและแบ่งปันการ
เป็นผู้นำบ้างก็เป็นสิ่งที่จะทำได้ เพราะเรายังมีความจำเป็นในการพึ่งพา
อาศัยซึ่งกันและกัน

4. นกตัวที่อยู่ด้านหลัง จะร้องส่งเสียงเป็นแรงเชียร์ให้ตัวที่อยู่ข้างหน้า
มุ่งหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ

ข้อคิด เราจำเป็นต้องคิดว่าเสียงเบื้องหลังที่ส่งเสียงมา เป็นเสียงที่เชียร์
ให้มุ่งมั่นไปข้าง และไม่คิดว่าเป็นเสียงอื่นใด

5 . เมื่อนกในกลุ่มเป็นไข้หรือได้รับบาดเจ็บ จะมีนกสองตัวมาช่วยเหลือและคุ้มครอง
นกสองตัวนี้จะอยู่เคียงข้างตลอดเวลา จนมันแข็งแรงหรือตายไป หลังจากนั้นนกสอง
ตัวนั้นจะบินพร้อมกันไปเป็นกลุ่มย่อย หรือตามไปให้ทันกับกลุ่มเดิม

ข้อคิด หาเราฉลาดเหมือนนก เราก็จะรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาแห่งความลำบากหรือช่วงที่ยังแข็งแรงอยู่
ความทุกข์ส่วนใหญ่ มักเกิดจากการไม่ยอมรับความจริงที่เปลี่ยนแปลง
ความทุกข์ของมนุษย์ส่วนมาก มักเกิดจากต้องการเปลี่ยนแปลงแต่เปลี่ยนไปไม่ได้
หรือไม่ต้องการ การเปลี่ยนแปลง แต่กลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น




ถามว่าการให้อภัยในความผิดพลาดของคนๆหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำยากหรือง่าย
คำตอบคือ ทำง่าย หากเราฝึกหัดทำเป็นประจำ

ขอให้เราฝึกเสมอๆว่า ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรกับเรา ขอให้เราฝึกให้อภัยทุกวัน
ทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ ขอให้เราทำทุกครั้ง ทำทุกวินาที
ทำเหมือนกรวดน้ำให้หลังทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่

เมื่อเราสร้าง ”อภัยทาน” ให้เป็นลักษณะนิสัยตลอดเวลาได้แล้ว
เราจะรู้สึกว่าการให้อภัยแก่ใครนั้น เป็นเรื่องง่ายดาย เป็นเรื่องธรรมดาๆ
คือทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจทำ

ขอให้เราทราบไว้ว่า เมื่อเราหัดสร้าง “อภัยทาน”เป็นปกติแล้ว
เศษกรรมต่างๆแทนที่จะติดตามเราไปข้ามภพข้ามชาติ
ก็จะถูกสลัดออก คือตามไปไม่ได้ เพราะมิได้เป็นกรรมอีกต่อไป
หากแต่เป็นแต่เพียงกิริยาที่แสดงออก เพราะเราให้อภัยเสียแล้ว

เมื่อเราให้อภัยเสียแล้ว ใครๆที่ผูกอาฆาตพยาบาทเราไว้ แรงพยาบาท
ของเขา ก็จะหมดโอกาสติดตามเรา เพราะกรรมนั้นหมดแรงส่ง
เนื่องจากเราได้ “อโหสิ” เสียแล้ว

จึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย มาฝึกปฏิบัติ “อภัยทาน” และ “อโหสิกรรม”
ตั้งแต่บัดนี้เถิด เพื่อยุติสนิมในใจ คือความอาฆาต พยาบาท เพื่อยุติแรงส่ง
ของกรรม ที่ตามไปเผล็ดผลอันเผ็ดร้อนข้ามภพข้ามชาติ

พึงหลับตาให้ใจสงบครู่หนึ่งก่อน แล้วตั้งใจกล่าวคำแผ่เมตตาเบาๆ ดังนี้

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
อเวรา โหนตุ จงเป็นสุขๆเถิด อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย
อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขๆเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขๆเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ จงเป็นผู้มีสุข รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญฯ

ที่มา หนังสือเรื่อง อภัยทาน รักบริสุทธิ์ โดย ปิยโสภณ วัดพระราม๙ กาญจนาภิเษก


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #66 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 20:57:18 »



         

๖๑. ๖ จดหมายจากดวงดาวถึงนายต้นไม้

นายต้นไม้ที่รัก
ฉันเป็นเพียงกลุ่มก้อนหินที่รวมตัวกัน ไม่มีแม้แต่แสงสว่างในตัวเอง
ที่มองดูสุกสกาววาววับ กระพริบไปมาอย่างเป็นสุข ก็เพราะได้แสงสว่าง
จากดวงอาทิตย์ และก็เป็นสภาพที่เป็นอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องร่วงหล่น
ไปตามวาระ กลายเป็นเศษดาวตกจากฟากฟ้าไป

ถ้าฉันเล่าความเป็นมาระหว่างเราแล้ว นายก็คงจะเข้าใจความผูกพัน
และความเป็นไประหว่างเราได้ดีขึ้น

หลายพันปีก่อน นายเป็นอำมาตย์ใหญ่อยู่ในวัง ด้วยความคึกคะนอง
และหลงในความสามารถของตัวเอง จึงถูกย้ายไปอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ
แต่นายก็เป็นคนเก่งรอบด้านเลยนะ ทั้งแต่งหนังสือ เขียนบทกลอน
เล่นดนตรี พิณลายจิ้งจกเป็นพิณที่นายรักมากที่สุด ถึงกับแต่งกลอน
บรรยายความรักและความรู้สึกที่มีต่อพิณนี้เลยทีเดียว



นายเป็นคนรักสนุก คึกคะนองหลงตัวเอง ชอบเสียดสีผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
แต่ส่วนดีที่สุดของนายคือใฝ่ธรรมะชอบสนทนาธรรมกับพระภิกษุเป็นประจำ
แต่งานเขียนของนายก็ค่อนข้างหมิ่นเหม่อยู่เหมือนกัน ซึ่งหลายๆท่าน
อาจไม่พอใจ หรือบอกว่าไม่ถูกต้อง

ชีวิตราชการของนายต้องย้ายไปอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ จนในที่สุดก็ได้พบ
กับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง นายสนิทสนมและผูกพันกับพระอาจารย์ท่านนี้มาก
เรียกว่าทุกครั้งที่มีเวลาว่าง จะต้องไปหาทันที ทั้งๆที่ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ
ไปถึงก็สนทนาธรรมบ้าง เล่นพิณบ้าง กึ่งเล่นกึ่งหยอกล้อพระอาจารย์เป็นประจำ
วันไหนได้หยอกล้ออย่างสนุกถึงใจ ถึงกับดีใจออกนอกหน้าเมื่อกลับถึงบ้าน
ยังมีรายละเอียดอีกมากมายซึ่งคงจะเล่าไม่หมดในที่นี้

         

แต่ความอาฆาตที่ฝังลึกโดยที่นายไม่รู้ตัวคือ ครั้งหนึ่งนายเดิมพันกับพระอาจารย์
ด้วยเข็มขัดหยก แต่นายแพ้เดิมพัน ถึงกับต้องเสียเข็มขัดสุดรักสุดหวงไปเลย
ครั้งนั้นนายรู้สึกเสียหน้ามาก เพราะเดิมพันต่อหน้าฝูงชนที่มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน

มีเรื่องหนึ่งที่อยากขอเตือนคือ เมื่อนายอายุจะเข้าเลขสี่ สุขภาพนายจะเริ่มเสื่อมถอย
จนเห็นได้ชัดและรู้สึกได้ แต่ความเจ็บป่วยและสุขภาพที่ไม่ดี จะทำให้นายเข้าใจ
สัจธรรมของชีวิตได้เป็นอย่างดี ในอดีตนายเป็นทุกข์เพราะสุขภาพอย่างแสนสาหัส

เล่ามาถึงตอนนี้ นายคงจะรู้แล้วซินะ ในอดีต ใครคือนาย ใครคือฉัน
ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมาย ซึ่งต่อไป นายอาจจะรู้เห็นได้ด้วยตัวเองก็เป็นได้
จาก
ดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้นนั้น

       

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #67 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 21:01:27 »



   

๖๑.๗ ผู้เปิดประตูนั้นยังเหมือนเป็นผู้ปิดประตู

หวางหยังหมิง (1472-1529) เป็นนักปรัชญาและนักการศึกษา
ครั้งหนึ่งได้ไปที่วัด จินซานเพื่อไปไหว้พระ รู้สึกว่า คุ้นเคยกับสถานที่
และสภาพแวดล้อมภายในวัดเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ต้นไม้และต้นหญ้าก็
เหมือนกับเคยรู้จักกันมาก่อน

ขณะที่เดินผ่านห้องๆหนึ่งเห็นมีกระดาษปิดหน้าห้องไว้เหมือนกับบอกให้รู้ว่า
ห้องนี้ปิดตาย เขามองซ้ายมองขวาไปมาก็เหมือนกับเคยอยู่ที่นี่มาก่อน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า ข้างในมีอะไรบ้าง จึงขอให้ท่านเจ้าอาวาส
ช่วยเปิดห้องให้ดู แต่ท่านเจ้าอาวาสปฏิเสธแล้วพูดว่า
“ต้องขออภัย ห้องนี้เป็นห้องที่พระอาจารย์ท่านหนึ่งมรณภาพเมื่อห้าสิบปีก่อน
ข้างในเป็นที่เก็บศพของท่าน ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านสั่งไว้ว่า ให้ปิดตายห้องนี้
ต้องขออภัยท่านจริงๆ เปิดให้ท่านดูไม่ได้”

“ห้องนี้มีทั้งประตูและหน้าต่าง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะบอกว่าเปิดไม่ได้ตลอดไป
วันนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้ท่านเมตตาช่วยเปิดให้ดูสักครั้งเถิด”
      หวางหยางหมิงวิงวอนร้องขออยู่นาน จนท่านเจ้าอาวาสทนรบเร้าไม่ไหว
จึงเปิดให้อย่างฝืนทนเต็มที ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาเย็น แสงอาทิตย์สาดส่อง
ไปที่ศพพระอาจารย์ที่ยังนั่งสมาธิอยู่ โดยที่ร่างยังไม่เน่าเปื่อย

หวังหยางหมิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่หน้าตาของพระอาจารย์ท่านนั้น
คล้ายกับตัวเองไม่มีผิด มองเลยขึ้นไปที่กำแพง ยังเห็นบทกลอนเขียนไว้ว่า

ห้าสิบปีผ่านไปหวังหยางหมิง
ผู้เปิดประตูยังเหมือนเป็นผู้ปิดประตู
จิตวิญญาณลับแล้วย้อนหวนคืน
ยังเชื่อว่าชาวเซนนี้ร่างไม่เน่า

ที่แท้ชาติก่อนของหวางหยังหมิงคือพระอาจารย์ที่นั่งสมาธิแล้ว
มรณภาพแล้วนั่นเอง ในกาลก่อนเป็นผู้ปิดประตู วันนี้ยังเป็นผู้มาเปิดประตู
ด้วยตนเอง เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันให้กับชนรุ่นหลัง
และหวังหยางหมิงยังได้เขียนบทกลอนไว้ที่วัดจินซาน ซึ่งยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #68 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 21:05:44 »



         

๖๑.๘ หมั่นนึกถึงส่วนดีไว้

มีคำพังเพยบทหนึ่งกล่าวว่า
“เรื่องราวไม่สมหวังในชีวิตคนเรา มีมากถึงแปดถึงเก้าในสิบส่วน”
ในชีวิตของคนเรามีเรื่องราวที่ไม่สมหวัง มากเกินกว่าครึ่งของความสมหวัง
ด้วยเหตุนี้ การมีชีวิตอยู่จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเจ็บปวด แต่เมื่อหักความไม่
สมหวังออกแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีอีกหนึ่งหรือสองส่วนซึ่งเป็นความสมหวัง
เป็นความสุข เป็นความปลาบปลื้ม

หากเราอยากมีความสุข ก็ต้องหมั่นนึกถึงเรื่องดีๆของหนึ่งหรือสองส่วนนั้น
คิดอย่างนั้นจะรู้สึกความโชคดี และรู้จักถนอมสองส่วนนั้นไว้
ไม่ถูกแปดหรือเก้าส่วนนั้น โค่นจนล้มลง

เมื่อผ่านความเจ็บปวดและอุปสรรคในชีวิตไปแล้ว
ผ่านความรู้สึกของการพบแล้วพรากแล้ว
ก็ค่อยๆแสวงหาสิ่งที่เคยขวนขวายมาในชีวิต
สิ่งที่เป็นความสุข เป็นความคิดอ่านที่ถูกต้อง

ความคิดลักษณะนี้คือ
ความคิดหนึ่งกับสองส่วนที่ดีที่ต้องคิดบ่อยๆ

ความคิดหนึ่งกับสองที่ต้องคิดบ่อยๆ เป็นแสงสว่างลำเดียวที่จะแสวงหาได้
ในเมฆหมอกที่หนาทึบ และยังเป็นสิ่งที่เงียบสงบในห้วงกิเลสใหญ่น้อยทั้งหลาย
และยามเมื่อลมหายใจติดขัด จะได้หายใจยาวๆสักครั้ง

ชีวิตก็ทุกข์แสนสาหัสอยู่แล้ว หากเราเรานำสิ่งที่ไม่สมหวังที่ผ่านมาเป็นสิบปีมา
รวมกัน ย่อมจะนำความเป็นอยู่และความรู้สึกเข้าไปอยู่ในห้วงทุกข์
เป็นการเพิ่มทุกข์เข้าไปในทุกข์อีก

เรือชีวิตที่เดินไปท่ามกลางคลื่นที่ถาโถมเข้ามา
ต้องรู้จักวิธีที่จะเผชิญกับความทุกข์
ยามเมื่อความทุกข์เข้ามาเยือน หากยังคงดำรงไว้ซึ่งความคิดที่ถูกต้อง
หมั่นนึกถึงส่วนดีหนึ่งและสอง ก็จะสามารถผ่านพ้นทุกข์ไปได้
ความทุกข์ยากจะกลายเป็นปุ๋ยบำรุงชีวิตที่ดีที่สุด
และปัญญาย่อมจะบังเกิดในที่



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #69 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 21:10:19 »





๖๑.๙ ยืนหยัดอยู่ในคุณค่าของตัวเอง

มีลูกศิษย์คนหนึ่งมักจะคอยถามพระอาจารย์ด้วยคำถามเดิมๆทุกวัน
“อาจารย์ครับ อะไรคือคุณค่าของชีวิตที่แท้จริงครับ?”
วันหนึ่งพระอาจารย์นำก้อนหินก้อนหนึ่ง แล้วพูดกับศิษย์ว่า
“เจ้าจงนำก้อนหินก้อนนี้ไปขายที่ตลาด แต่ไม่ต้องขายจริงๆหรอกนะ
เพียงแต่ให้คนตีราคาก็พอ แล้วคอยดูว่า แต่ละคนจะตีราคาก้อนหิน
ก้อนนี้สักเท่าไร?”

ลูกศิษย์นั้นจึงนำก้อนหินไปขายที่ตลาด บางคนก็บอกว่าก้อนหินก้อนนี้
ใหญ่ดี สวยดีให้ราคาสองบาท บางคนก็บอกว่าก้อนหินก้อนนี้มาทำเป็น
ลูกตุ้มชั่งน้ำหนักได้ ก็ตีราคาให้สิบบาท ที่สุดแต่ละคนก็ตีราคาไปต่างๆ
นานา แต่ราคาที่ให้สูงสุดคือสิบบาท ลูกศิษย์รู้สึกดีใจ กลับไปบอกอาจารย์ว่า
“ก้อนหินที่ไม่มีประโยชน์อะไรนี้ ยังขายได้ถึงสิบบาท น่าจะขายออกไปจริงๆ”
อาจารย์พูดขึ้นว่า“อย่าเพิ่งรีบขายก่อน ลองพาไปขายในตลาดทองคำดู
แต่ก็อย่าขายออกไปจริงๆ”

ลูกศิษย์จึงนำก้อนหินก้อนนั้นไปขายในตลาดทองคำ เริ่มต้นมีคนตีราคาให้
หนึ่งพันบาท คนที่สองตีราคาให้หนึ่งหมื่นบาท สุดท้ายมีคนให้ถึงหนึ่งแสนบาท
ลูกศิษย์รู้สึกดีใจ รีบกลับไปรายงานพระอาจารย์ถึงผลพลอยได้ที่นึกไม่ถึง

พระอาจารย์กล่าวต่อไปอีกว่า “นำก้อนหินนี้ไปตีราคาที่ตลาดเพชร”
ลูกศิษย์จึงนำไปที่ตลาดค้าเพชร คนแรกให้ราคาหนึ่งแสน สองแสน
สามแสน ไปเรื่อยๆ เมื่อพ่อค้าเห็นไม่ยอมขายสักที จึงให้เขาตีราคาเอง
แต่ลูกศิษย์นั้นกล่าวว่า “พระอาจารย์ไม่ให้ขาย” จึงนำก้อนหินนั้นกลับไป
พูดกับพระอาจารย์ว่า “ก้อนหินก้อนนี้คนให้ราคาถึงเรือนแสนแล้ว”

“ใช่แล้ว ตอนนี้อาจารย์ไม่อาจสอนเจ้าถึงเรื่องคุณค่าของชีวิตเพราะ
เพราะเจ้ามองชีวิตของเจ้าเหมือนกับการตีราคาของตลาด คุณค่าของชีวิต
คนเรา ควรจะอยู่ในจิตใจของตนเอง ต้องมีสายตาของนักค้าเพชรที่เก่งที่สุด
เสียก่อน จึงจะมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตคนเรา”

คุณค่าของคนเรา ไม่ได้อยู่ที่ราคาที่อยู่ข้างนอก แต่อยู่ที่เราให้ราคาของตัวเอง
ราคาของเราทุกคนเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบ ยอมรับตัวเอง ฝึกฝนตัวเอง
ให้ช่องว่างกับตัวเองได้เติบโต พวกเราก็จะกลายเป็น “สิ่งที่มีค่าจนประเมินไม่ได้”
อุปสรรคทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความปวดร้าวที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ความทุกข์ที่โหม
กระหน่ำ ก็มีความหมายอยู่ในตัวของมัน

         

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #70 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 21:13:41 »





๖๑.๑๐ เทพเจ้าแห่งกอบัว

มีชายคนหนึ่งมักจะไปบำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่า รักษาศีลอย่างบริสุทธิ์
และมีพลังศรัทธาเชื่อมั่นมาก ทุกวันจะต้องไปนั่งนั่งกรรมฐานวิปัสสนาที่ป่าแห่งนี้

วันหนึ่งนั่งสมาธิจนรู้สึกมึนหัว เลยลุกขึ้นมาเดินเล่น บังเอิญเดินผ่านสระบัวแห่งหนึ่ง
เห็นดอกบัวกำลังออกดอกบานสะพรั่ง ดูงามตายิ่งนัก
ชายคนนั้นคิดว่า ดอกบัวงามอย่างนี้ หากเด็ดมาสักดอกแล้ววางไว้ข้างตัว
ดมกลิ่นหอมอ่อนๆของบัวไปด้วย คงจะทำให้สดชื่นขึ้น
ดังนั้น เขาจึงเอี้ยวตัวไปเก็บมาหนึ่งดอก ขณะที่กำลังจะจากไป ได้ยินเสียงต่ำๆ
แต่แฝงไว้ด้วยพลัง ถามมาว่า “ใคร? โอหังยังไงถึงมาขโมยดอกบัวของข้า?”
ชายคนนั้นมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นมีอะไร เลยถามไปว่า

“ท่านเป็นใคร? แล้วจะบอกได้ยังไงว่าดอกบัวนี้เป็นของท่าน”

“ข้าเป็นเจ้าที่ดูแลสระบัวแห่งนี้ ดอกบัวทั้งสระนี้ก็เป็นของข้า เสียแรงที่เป็นนักภาวนา
ขโมยเด็ดดอกบัวของข้า เกิดความโลภขึ้นมาในใจ ยังไม่รู้ตัว
ยังไม่รู้สึกสำนึกผิด ยังจะกล้ามาถามอีกว่าดอกบัวนี้เป็นของข้าหรือเปล่า”

ชายนั้นรู้สึกละอายใจและอดสูยิ่งนัก นั่งคุกเข่าแล้วคำนับขอขมาพูดว่า
“ท่านเทพแห่งดอกบัว ข้าสำนึกผิดแล้ว จะแก้ตัวใหม่กับความผิดที่ผ่านๆมา
จะไม่กล้าโลภอยากได้สิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเอง”

ขณะที่เขาสำนึกผิดอยู่นั้น มีคนๆหนึ่งเดินผ่านมาข้างสระพอดี พลางพูดกับ
ตัวเองว่า ดอกบัวนี้บานได้อย่างอวบอิ่มยิ่งนัก เด็ดไปขายในเมืองดีกว่า
ได้เงินมาแล้ว ดูซิเงินที่เล่นไพ่แพ้แล้วจะเอากลับคืนมาได้หรือเปล่า?

ว่าแล้วก็กระโดดลงไปในสระ เก็บดอกบัวทุกดอกในสระไปหมด ทั้งยังเหยียบย่ำใบ
จนจมโคลนไปหมด แม้กระทั่งโคลนยังถูกพลิกขึ้นมา แล้วก็หอบเอาบัวกำใหญ่
หัวเราะอย่างถูกใจแล้วจากไป

ชายคนนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เทพเจ้าแห่งกอบัวจะออกมาห้าม
ดุด่าและลงโทษคนๆนั้น แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

เขาเต็มไปด้วยความสงสัยเลยถามออกมาลอยๆว่า “ท่านเทพ ข้าเพียงแต่เด็ด
ดอกบัวไปเพียงดอกเดียว แต่ท่านกลับดุด่าว่าข้าอย่างรุนแรง แต่คนเมื่อกี้เด็ดดอก
บัวไปทั้งหมด ทั้งทำลายสระจนเละไปหมด ท่านทำไมถึงไม่พูดสักคำ?”

ท่านเทพตอบมาว่า “ท่านเป็นนักภาวนา ก็เหมือนผ้าขาวผืนหนึ่ง แม้มีเพียง
รอยสกปรกเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นข้าจึงเตือนเจ้า
ให้รีบขจัดสิ่งที่ทำให้มัวหมอง กลับกลายเป็นบริสุทธิ์ดังเดิม

แต่คนๆนั้นเป็นคนหยาบช้ามาแต่เดิม เหมือนดังผ้าขี้ริ้ว ถึงจะสกปรกถึงจะดำอีก
ก็ไม่เป็นไร ข้าก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้เขาเป็นไปตามกรรมที่เขาก่อไว้เอง
ถึงไม่ได้พูดอะไร

เจ้าก็อย่าน้อยใจไปเลย ควรจะดีใจมากกว่า ที่ข้อผิดพลาดของเจ้ามีคนเห็น
และคนที่เห็นแล้วยังมาชี้แนะให้เจ้าเดินไปในทางที่ถูกที่ควร แสดงว่าผ้าของเจ้ายังขาวอยู่
ควรที่จะได้รับการชำระให้สะอาด นี่ควรจะเป็นเรื่องที่น่าดีใจไม่ใช่หรือ?”

         

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #71 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 21:22:04 »





๖๑.๑๑ หนทางแห่งความสำเร็จ

ชายหนุ่มคนหนึ่งอยากจะแสวงหาหนทางแห่งความสำเร็จ เขาได้ยินมาว่า
มีผู้รู้ท่านหนึ่งเป็นผู้มีปัญญามาก รู้ว่าอะไรคือหนทางแห่งความสำเร็จ
มีหลายคนได้รับความสำเร็จเมื่อได้รับคำแนะนำจากผู้รู้ท่านนี้
ดังนั้นเขาจึงอยากจะไปหาผู้รู้ท่านนี้ตามคำเล่าลือ แล้วจะขอคำชี้แนะ
หลังจากต้องแสวงหาด้วยความยากลำบากอยู่นาน ที่สุดก็หาจนเจอ

ชายหนุ่ม : ท่านผู้รู้ครั้บ ท่านจะสอนให้ข้าพเจ้าทำอะไรบ้าง
หรือเตรียมเงื่อนไขอะไรบ้าง ถึงจะประสบผลสำเร็จ
ผู้รู้ : “เจ้าอยากจะประสบความสำเร็จหรือ? งั้นตามข้ามา”

ผู้รู้พูดเสร็จ ก็ไม่ได้สนใจว่าชายหนุ่มนั้นจะมีปฏิกิริยาอะไร เดินลิ่วๆ
ไปที่ชายหาด ชายหนุ่มนั้นเพื่อจะหาหนทางแห่งความสำเร็จ
ก็เดินตามหลังไปติดๆ เดินไป เดินไป จนถึงชายหาด
ผู้รู้ล่อให้ชายหนุ่มนั้นเดินลงไปในทะเลยิ่งเดินก็ยิ่งลึกลงไปในทะเล
จนน้ำลึกลงมาถึงที่อกแล้ว มองดูแล้ว ถ้าเดินต่อไปอีกต้องท่วมมิดหัวแน่

ผู้รู้นั้นอยู่ๆก็กดหัวของชายหนุ่มนั้นให้จมลงไปในน้ำ
ชายหนุ่มนั้นต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต เพื่อให้รอดพ้นจากอันตราย
แต่ผู้รู้นั้นก็ยังกดไม่ปล่อยผ่านไปอีกชั่วครู่ ถึงปล่อยมือ
หนุ่มนั้นรีบโผล่ขึ้นเหนือน้ำ หายใจลึกๆอยู่หลายครั้ง

แล้วจึงตะโกนด่าว่า “ไอ้แก่ เจ้าจะกดให้ข้าจมน้ำตายหรือ?”
“หากปณิธานของเจ้าที่มุ่งหวังความสำเร็จ เหมือนความมุ่งมั่นที่จะหายใจ
ของเจ้าเมื่อสักครู่ เจ้าก็เดินเข้ามาบนเส้นทางแห่งความสำเร็จแล้ว” ผู้รู้ตอบ



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #72 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 17:42:31 »



             

๖๒. ภูเขาพระอาทิตย์

มีพี่น้องคู่หนึ่งกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก สองพี่น้องดำรงชีวิตอยู่มา
อย่างยากลำบาก พวกเขาหาเลี้ยงชีพด้วยการตัดฟืนไปขายในเมือง แต่พวก
เขาก็ไม่รู้สึกเคืองแค้นในโชคชะตา ซ้ำยังเป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานทั้งวัน
ตั้งแต่เช้ายันมืด คนพี่ดูแลเอาใจใส่น้อง คนน้องรักและเคารพในตัวพี่
แม้ชีวิตจะอยู่อย่างฝืดเคือง แต่ทั้งสองก็มีความสุขตามอัตภาพ

หัวรุ่งของวันหนึ่ง ทั้งสองฝันว่า เจ้าแม่กวนอิมมาบอกว่า “ที่ๆไกลจากที่นี่ไป
มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อว่า “ภูเขาพระอาทิตย์” บนภูเขามีทอง เหลืองอร่ามเต็มไป
หมด พวกเจ้าสามารถไปเอามาได้ แต่พวกเจ้าต้องระวัง เพราะจะเจออุปสรรค
และอันตรายตลอดทาง และอีกอย่างที่สำคัญคือ บนภูเขาจะมีอุณหภูมิสูงมาก
พวกเจ้าจะต้องนำทองเอาจากภูเขาก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ถ้าหากรอให้พระ
อาทิตย์ขึ้นแล้ว พวกเจ้าจะโดนเผาจนตาย”

เมื่อตื่นขึ้นมาทั้งสองรู้สึกดีใจมาก ปรึกษากันสักพัก ก็ตกลงใจจะเดินทางทันที
ตลอดทางเจอสัตว์ร้าย พายุฝนกระหน่ำ และอุปสรรคต่างๆนานา แต่ด้วย
ความร่วมแรงร่วมใจของทั้งสอง ที่สุดก็เดินทางถึงภูเขานั้น

ขณะนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น คนพี่รีบเก็บทองก้อนที่มีขนาดใหญ่แล้วรีบลง
จากเขาทันที แต่คนน้องเก็บแล้วเก็บเล่าจนเต็มถุงแล้วก็ยังไม่ยอมรามือ
แม้จะยังจำได้ว่า เจ้าแม่ได้เตือนแล้วว่า ให้ลงจากเขาก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น
ก็ไม่สนใจ ได้แต่คิดในใจว่า “ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่จะพบทองมากมายอย่างนี้
ขอเก็บให้พอใจเถอะ” คิดแล้วก็เก็บต่อไปอีก

พระอาทิตย์เริ่มขึ้นมาจากขอบฟ้า อุณหภูมิก็สูงขึ้นเรื่อยๆ คนน้องจึงรีบแบกทอง
ลงจากเขา แต่ทองนั้นหนักเหลือเกิน เขาลากทองนั้นอย่างทุลักทุเล หกล้มไปตลอดทาง
ที่สุดความร้อนจากแสงอาทิตย์ก็เผาเขาจนตายอยู่บนภูเขานั้น

ส่วนคนพี่เมื่อได้ทองมา ก็นำทองไปขายได้เงินมาไปลงทุนค้าขาย
เก็บหอมรอมริบจนกลายเป็นเศรษฐี

     

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #73 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 17:46:11 »



         

๖๓. จดหมายของแม่

พระอาจารย์ท่านหนึ่งขณะที่ยังเป็นสามเณร เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม
พูดจาฉะฉาน ได้พบกับฮ่องเต้หลายครั้ง และได้รับพระราชทานรางวัลมา
ทุกครั้ง ของที่ได้รับพระราชทานมา สามเณรนั้นจะส่งกลับไปให้มารดา
เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญู แต่มารดาตอบจดหมายกลับมาว่า

สิ่งที่เจ้าส่งมานั้นเป็นของพระราชทาน แม่ย่อมรู้สึกชื่นชมยินดี
แต่เมื่อตั้งแต่แรก ที่ตั้งใจจะให้เจ้าบวชเรียน ก็เพื่อจะให้เจ้าเป็นผู้ที่
ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง เพื่อให้หลุดพ้นจากความเป็นทุกข์กับ
เกียรติยศชื่อเสียงเงินทอง หากว่ายังหลงชื่นชอบอยู่กับสิ่งจอมปลอม
แบบโลกๆ ก็เท่ากับเป็นการผิดไปจากความตั้งใจแต่แรกของแม่
หวังว่าเมื่อได้อ่านจดหมายของแม่แล้ว ลองไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วน
“อะไรคือการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง”   “อะไรคืออาจารย์ของฟ้าดิน”

หลังจากที่สามเณรนั้น ได้อ่านจดหมายจากมารดา ก็ได้ตั้งใจปฏิบัติ
ตนเป็นบรรพชิตที่ประพฤติธรรมเผยแพร่ธรรมะและฉุดช่วยผู้คน
ดังคัมภีร์ที่กล่าวไว้ว่า “หวังจะให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากทุกข์
ไม่ได้เพื่อหวังวิงวอนให้ตัวเองสุขสงบ”

หลังจากนั้น สามเณรท่านนั้นก็ฝากคนไปแจ้งข่าวกับมารดาว่า
หน้าร้อนปีนี้ จะขอลากลับไปเยี่ยมแม่ มารดาก็ส่งจดหมายตอบมาว่า
“เมื่อแม่ส่งเจ้าไปบวชเรียน เจ้าก็กลายเป็นคนของศาสนา
เป็นคนของเหล่าเวไนย ไม่ใช่เป็นคนของแม่เพียงคนเดียวแล้ว

ต่อจากนี้ไป เจ้าควรจะเป็นบุตรของพุทธะ
กตัญญูต่อครูอาจารย์ ใกล้ชิดพระรัตนตรัย
ไม่ควรจะนึกถึงแม่แต่เพียงผู้เดียว
ความคิดที่จะกลับบ้านในหน้าร้อนนี้ ยกเลิกเสียเถิด

         

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #74 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 17:50:24 »



           

๖๓. ๑ ความหอมของดอกเหมยฮวา

เช้าวันหนึ่งของฤดูหนาว เศรษฐีคนหนึ่งก็เหมือนกับที่เคยปฏิบัติทุกวัน
ผ่านการนอนอันอบอุ่นมาทั้งคืน เมื่อกินอาหารเช้าอันอุดมสมบูรณ์แล้ว
ก็จะเดินเล่นอยู่ในสวนที่มีอาณาเขตกว้างขวาง
ก็เหมือนกับเศรษฐีทั่วๆไปที่เช้าขึ้นมาก็เดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้
เพราะนั่นคือสิ่งที่แสดงถึงฐานะและลักษณะของเศรษฐี

ในสวนอันกว้างใหญ่นั้นเศรษฐีไม่เคยปลูกดอกไม้ด้วยตัวเอง พวกเขาได้แต่เสพสุข
จากผลสำเร็จอันยากลำบากของคนสวน ชมดอกไม้ก็เหมือนกับการตรวจงานในชีวิตประจำวัน
เศรษฐีเห็นดอกไม้ในสวนบานสะพรั่ง ก็ดีใจที่สามารถมีสวนอย่างนี้ได้

ขณะที่กำลังเดินชมเพลินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู เศรษฐีคนนั้นก็เปิดประตูสวนออกไป
เห็นขอทานใส่เสื้อผ้าขาดๆคนหนึ่ง ยืนตัวหนาวสั่นท่ามกลางลมหนาวด้านนอกขอทานนั้นพูดขึ้นว่า
“คุณท่าน ทำบุญทำทานให้กับคนยากด้วยเถิด ขออะไรกินสักหน่อยได้มั้ย?”

เศรษฐีนั้นบอกให้ขอทานรอสักเดี๋ยว แล้วก็เดินเข้าไปในครัว ยกอาหารอันร้อนกรุ่นมา
ชามหนึ่ง ขณะที่เศรษฐีนั้นจะยกให้กิน ขอทานนั้นพูดขึ้นว่า
“คุณท่าน ดอกเหมยฮวาบ้านท่าน ช่างหอมกรุ่นเสียจริงๆ”
พูดจบแล้วก็ รับอาหารนั้น ขอบคุณแล้วเดินจากไป

เมื่อได้ยินคำพูดของขอทานนั้น เศรษฐีนั้นนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วคิดว่า
“ขอทานยังรู้จักชื่นชมดอกไม้หรือ? และสิ่งที่ยิ่งทำให้เศรษฐีประหลาดใจคือ
ปลูกดอกเหมยฮวาในสวนมาสิบกว่าปี แล้วก็เดินชมสวนอยู่ทุกวัน
ทำไมถึงไม่เคยได้กลิ่นของดอกเหมยฮวาเลย

ดังนั้น เขาจึงเดินไปใต้ต้นเหมยฮวา แล้วก็พยายามทำจิตให้สงบนิ่งและอ่อนโยน
จากนั้นก็ค่อยๆสูดดมกลิ่นของดอกเหมย แล้วเขาก็ได้กลิ่นหอม ใสเย็นอ่อนๆ
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้กลิ่นของดอกเหมย เขาตื้นตันจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

***** สิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต คือการรู้จักชื่นชม แต่ไม่ใช่การยึดครองอยู่ *****

         

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #75 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 17:54:58 »



 

๖๓. ๒ สุดท้ายของชีวิต กายไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเอง

ฉันคือน้ำ ที่ไหลมาจากบนยอดเขาลงมาสู่ด้านล่าง
ผ่านป่าเขาลำเนาไพร ผ่านโขดหิน
บางครั้งคดเคี้ยว บางครั้งก็ราบเรียบ
บางครั้งก็เป็นน้ำขุ่น บางครั้งก็เป็นน้ำใส
บางครั้งนอนนิ่งๆอยู่กลางหุบเขา แล้วก็ไหลเอื่อยๆไปอย่างช้าๆ

เมื่อมีอุปสรรค ฉันก็อดทนที่จะรอคอย
เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวาง ฉันก็มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น
ไม่รู้ผ่านวันเดือนปีไปแล้วเท่าไหร่
สุดท้ายก็กลับไปที่ทะเลชีวิต
นึกว่าจะกลับถึงบ้านแล้ว

แต่ใครจะคิดว่า กลับโดนแสงแดดแผดเผาจนกลายเป็นไอน้ำ
กลายเป็นเมฆขาวลอยอยู่บนท้องฟ้า
แล้วต้องล่องลอยไปตามลม ไปยังที่ๆไม่รู้จัก
กายฉันเหน็ดเหนื่อย ใจฉันอ่อนล้า
ไม่รู้ไปถึงไหนถึงจะได้เจอแหล่งพักพิง

แล้วช่วงเวลานั้น ฟ้ามืดมิด หมอกแน่นหนา
ก้อนเมฆเปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีดำ
ทำให้ฉัน ซึ่งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอยู่แล้ว
กลายเป็นอ่อนแอลงไปยิ่งกว่า

ฉับพลันนั้น เมฆดำเริ่มจะรั่วไหลไปอย่างบ้าคลั่ง
ฝนนั้นคือน้ำตา ฝนนั้นคือความทุกข์ ฝนนั้นส่งเสียงร้องไห้
คร่ำครวญกลางสายลม สายฝนเทกระหน่ำ พรั่งพรูอย่างไม่ยอมหยุด
พื้นโลกได้รับความชุ่มชื้น สรรพสิ่งงอกงามเติบโต

ที่แท้ ……
นั่นไม่ใช่ความทุกข์ยากอุปสรรค
แต่เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทำให้เกิดความชุ่มฉ่ำ
สลายตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นเติบโตและมีความสุข

ฉันรู้แล้วว่า …….
สุดท้ายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่กายของตนเอง
แต่อยู่ที่เพื่อสรรพสิ่งที่มี

         

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #76 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 17:57:59 »



   

๖๓. ๓ นิทานไม่จำเป็นต้องมีตอนจบตามมาตรฐาน

สมัยเมื่อเรายังเรียนหนังสือ เวลาเรียนต้องให้อาจารย์บอกคำตอบที่ถูกต้อง
เวลาสอบ ก็ย่อมจะต้องมีคำตอบที่ถูกต้อง
ดูหนัง ดูละคร ก็จะต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนไหนเป็นคนดี
หรือคนร้าย สุดท้ายนางเอกหรือพระเอกจะได้อยู่ด้วยกันหรือเปล่า?
คนร้ายจะตายหรือเปล่า? ไม่มีตอนจบ ก็คือไม่มีคำตอบ พวกเราก็จะไม่เข้าใจ
นี่คือธรรมเนียมที่เป็นมาตรฐานที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ

ดังนั้นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือ พวกเราจะต้องได้คำตอบที่ถูกต้องและสะใจตัวเองที่สุด
คนดีย่อมจะดีถึงที่สุด คนร้ายไม่มีจิตใจ ใจดำชนิดที่ไม่มีสีอื่นผสมอยู่เลย
คนร้ายต้องลงเอยอย่างเลวร้าย คนดีจะต้องได้รับผลดีตอบสนอง
มีคำตอบมาอย่างชัดเจน ไม่ต้องเปลืองสมองคิดแต่อย่างไร
แต่จริงๆแล้ว ชีวิตจริงของคนเรามีเรื่องราวมากมายที่มักจะไม่ได้คำตอบ

คนที่น่ารำคาญในบริษัท เมื่อกลับถึงบ้านอาจจะเป็นพ่อที่ดีของลูก
เพราะว่าเขาต้องให้สิ่งดีที่สุดแก่ลูกของเขา เลยจำเป็นต้องชิงดีชิงเด่นกับ
ผู้อื่นในบริษัท เพื่อจะได้นำเงินเดือนที่สูงขึ้นไปซื้อของที่ดีให้กับลูกของเขา
แล้วคุณจะบอกว่าเขาเป็นคนดีหรือคนชั่ว?

คนสูงอายุคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบ แต่ก็เป็นมะเร็ง
แล้วคุณจะบอกว่า นี่คือการลงเอยของคนดีหรือคนร้าย?

เรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตคน
นิสัยคนเรามีมากมายสับสน วุ่นวายไปหมด
พวกเราต้องผ่านประสบการณ์ ผ่านเรื่องราวมาร้อยแปด
จึงจะเข้าใจสิ่งต่างๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ชีวิตที่แท้จริงจะต้องเดินไปประสบพบเห็นเองถึงจะเข้าใจถึงแก่นแท้
คนอื่นจะพูดอย่างไร ก็คงอยู่ในของเขตที่จำกัด
นี่คือชีวิต บางเรื่องราวเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือก บางสิ่งเราก็อาจจะควบคุมได้
นิทานก็เหมือนกับชีวิต ซึ่งตอนจบไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่คนตั้งไว้

           

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #77 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 18:02:12 »



     

๖๓. ๔ เมล็ดพันธุ์ที่สลายไป

เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ต้นหนึ่ง บังเอิญหล่นลงมายังพื้นดิน
แล้วเมล็ดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นแม่ของตัวเอง
เป็นต้นไม้พันปีต้นหนึ่ง ลำต้นยืนอยู่อย่างมั่นคงสง่าผ่าเผย
ตัดกับด้านหลังซึ่งเป็นฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ไพศาล
ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของแม่ตัวเอง

“แม่ แม่ ทำไมแม่ถึงยืนได้อย่างยิ่งใหญ่บนพื้นโลก? เมล็ดพันธุ์ถาม
ต้นไม้ผู้เป็นแม่พูดกับลูกอย่างปรานีว่า
“นี่ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ แต่มันเป็นสิ่งที่เติบโตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
เมล็ดพันธุ์ทุกเม็ดของเรา เพียงแค่มีความสมบูรณ์แข็งแรง
ดูดน้ำ รับฝน และรับแสงแดด ก็จะเติบโตได้เองตามธรรมชาติ
แต่ก็ต้องทนผ่านประสบการณ์จากลมแรงฟ้าคะนอง ผ่านฤดูกาลต่างๆ
ลูกเอ๋ย วันหนึ่งเจ้าก็จะเติบโต และสูงใหญ่เท่าแม่”
เมล็ดพันธุ์นั้นยังรู้สึกงงงวยต่อชีวิตในอนาคต

“ แต่ แม่ครับทำอย่างไรลูกถึงจะตั้งลำต้นได้อย่างมั่นคง ลูกต้องทำอย่างไร?”
“ลูกรักของแม่ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือเจ้าจะต้องย่อยสลายตัวเองก่อน
ทำตัวเองให้หลอมละลายอยู่ในดิน หลังจากนั้นก็แตกยอดอ่อนออกมา
กลายเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ขอให้เป็นต้นไม้ วันหนึ่งเจ้าก็จะเหมือนแม่เอง
รับรู้ความสุขจากท้องฟ้า สายลมและแสงแดด”

“แม่ครับ ลูกต้องย่อยสลายไป มันน่ากลัวนะแม่ และถ้าหากลูกหลอมละลาย
ปนอยู่ในดินแล้ว ไม่ได้โตมาเป็นต้นไม้ แล้วกลายเป็นดิน แล้วลูกจะทำอย่างไรครับ?
แล้วไม่ต้องอยู่ในดินที่มืดมิดเปียกชื้นตลอดไปหรือ?
อย่างนี้เป็นการเสี่ยงภัยเกินไปแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า ขอให้ลูกเหลือเมล็ดพันธุ์สักครึ่ง อีกครึ่งโตเป็นต้นไม้ดีกว่า”
ผู้เป็นลูกตั้งใจว่าจะทำอย่างนั้น ขอเลือกครึ่งหนึ่งสลายไป อีกครึ่งหนึ่ง
หลอมรวมลงดิน เพื่อความสบายใจในความปลอดภัยของตัวเอง

ผู้เป็นแม่ถอนใจยาว ทุกๆปีนางจะเกิดเมล็ดพันธุ์ขึ้นมากมาย แต่มีเพียง
เมล็ดพันธุ์เม็ดสองเม็ดเท่านั้นที่จะยอมย่อยสลาย แล้วเติบโตเป็นต้นไม้
ส่วนพวกที่บังเอิญหล่นลงมา ปล่อยให้ตัวเองเน่าเปื่อย แล้วก็กลายเป็นดิน
สูญสลายหายไปจริงๆ

         

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 23.0.1271.95 Chrome 23.0.1271.95


ดูรายละเอียด
« ตอบ #78 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 18:06:19 »



         

๖๔. หาตัวตนของตัวเองที่หายไป

มีพระรูปหนึ่งบวชเรียนผ่านไป 20 พรรษาแล้ว ก็ยังไม่บรรลุธรรม
จิตใจจึงรู้สึกว้าวุ่นและกระวนกระวาย

วันหนึ่งพระอาจารย์ ใช้ให้ไปทำธุระที่ข้างนอกที่ต้องใช้เวลาถึง 1 ปี
เขาคิดในใจว่า “ต้องใช้เวลานานขนาดนี้ ตัวเองก็ปฏิบัติธรรมไม่มี
ความก้าวหน้าอะไร นี่ไม่ใช่เป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
หรือ “ เลยทำให้จิตใจมีแต่ความทุกข์กังวล

พระอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกัน ได้ยินเพื่อนมาปรับทุกข์
เลยพูดปลอบว่าข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า ขณะที่เดินทางไปนั้น
ข้าอาจจะพอแนะนำอะไรที่เกี่ยวกับการภาวนาได้บ้าง”
พระรูปนั้นได้ยินแล้วดีใจมาก แล้วทั้งสองก็เดินทางไปด้วยกัน

ขณะที่เดินทางไปด้วยกัน พระที่ไปเป็นเพื่อนมักจะคุยและมีเรื่องสนุกทั้งวัน
เหมือนกับจะลืมปณิธานที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น พระรูปนั้นรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
จึงร้องขอให้เพื่อนช่วยเหลือเรื่องการปฏิบัติธรรม

“ไม่ใช่ข้าไม่ช่วยเหลือเจ้า แต่ข้าช่วยเจ้าไม่ได้จริงๆ ตลอดการเดินทาง สิ่งที่
เจ้าจะต้องทำเองมี 5 อย่าง”
“5 อย่างมีอะไรบ้าง?”
“ฉัน ดื่ม ถ่ายหนัก ถ่ายเบา นอน”

ขณะที่เพื่อนพูดจบ พระรูปนั้นเข้าใจได้โดยฉับพลับ ที่สุดเขาก็รู้แจ้งแล้ว
จากคำพูดไม่กี่คำทำให้รู้จัก “ตัวตนของตัวเอง”
ดังนั้นเขาจึงเดินทางต่อไปตามลำพัง ไม่ต้องการเพื่อนไปด้วยอีกแล้ว

หนึ่งปีผ่านไป เมื่อเขากลับมาถึงวัด ทันทีที่พระอาจารย์เห็นหน้าก็พูดกับเขาว่า
“ในที่สุดเจ้าก็หาตัวตนที่แท้จริงของเจ้าได้แล้ว”

นึกถึงตลอด 20 ปีที่ผ่านมาตัวเองช่างไม่เดียงสาเสียจริงๆ
ทุกอย่างก็คิดจะพึ่งพิงแต่อาจารย์ นึกว่าหากห่างไกลจากอาจารย์แล้ว
จะภาวนาไม่ได้ จนทำให้การรู้แจ้งล่าช้าไปมาก
หลังจากการชี้แนะของกัลยาณมิตร จนได้ค้นพบตัวตนของตนเอง
และเมื่อรู้ว่ารากเหง้าของการภาวนาล้วนแต่ต้องอาศัย
“รู้เอง ทำเอง เห็นเอง” ตนเองถึงได้เริ่มต้นเดินไปสู่
“วิถีแห่งการรู้แจ้ง”

         

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.56 Chrome 24.0.1312.56


ดูรายละเอียด
« ตอบ #79 เมื่อ: 26 มกราคม 2556 14:47:15 »



         

๖๔. ๑ หมั่นพิจารณาถึงอนิจจัง

มีชายหนุ่มคนหนึ่งอยากจะเข้าใจชีวิตให้แจ่มแจ้ง
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะเดินทางออกไปดูโลกกว้าง
ขณะที่เดินไปถึงอีกหมู่บ้านหนึ่ง เจอเพื่อนและภรรยาของเพื่อน
ซึ่งตั้งครรภ์อยู่ จากการคะยั้นคะยอด้วยความมีน้ำใจของเพื่อน
จึงตัดสินใจอยู่พักชั่วคราว

แต่ใครจะรู้ว่า เพียงแค่ชั่วข้ามคืน เมื่อเพื่อนของเขาออกไปทำงานข้างนอก
ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้ภรรยาของเพื่อนต้องเศร้าโศก เสียใจ
ไม่เป็นอันกินอันนอน และตรอมใจจนทำให้ต้องคลอดลูกก่อนกำหนด

ชั่วเวลา “การเกิด กับ การตาย” ที่ได้เห็น ทำให้ชายหนุ่มนั้นเห็นถึงความไม่
เที่ยง ความไม่เที่ยงทำให้คนต้องตาย และก็เป็นความไม่เที่ยงที่ทำให้เกิด
อนิจจังทำให้คนเป็นทุกข์ แล้วก็เป็นอนิจจังที่พาความสุขมาให้
วินาทีนี้ ไม่รู้ว่า อนิจจังนี้ พาความทุกข์หรือพาความสุชมาให้เขา

เมื่อจัดการงานศพให้เพื่อนแล้ว เขาก็เดินทางต่อไป
และเมื่อเดินทางถึงเมืองๆหนึ่ง เห็นพี่น้องคู่หนึ่ง
คนพี่ซึ่งเดินนำหน้าอยู่ มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขสมหวัง
เหมือนกับประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน
ส่วนคนน้องที่เดินตามมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เหมือนกับถูกบีบคั้นจากโชคชะตาอย่างน่าสงสาร
ชายหนุ่มเห็นฉากชีวิต ลักษณะนี้แล้ว รู้สึกขำอยู่ในใจ

แล้วก็ตัดสินใจพำนักอยู่ในเมืองนี้
เพื่อจะได้พินิจพิจารณาลักษณะของบุคคลต่างๆ
หลังจากเวลาผ่านไปสิบปี ชายหนุ่มนั้นก็เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว

และพี่น้องคนที่เขาเคยพบเมื่อเดินเข้าเมืองครั้งแรก
คนพี่เนื่องจากเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง และ เจ้าสำราญ
ผ่านไปไม่นาน กิจการก็ล้มเหลว
ส่วนคนน้อง เป็นคนจริงจังและซื่อตรง ทำงานทำการด้วยความระมัดระวัง
และรักษาสัจจะ ที่สุดก็ประสบความสำเร็จในชีวิต

ช่วงเวลา “แห่งความสำเร็จและความพ่ายแพ้” ทำให้ชายคนนั้นรู้สึกถึง
การเปลี่ยนแปลงของชีวิต อนิจจัง นำพาความสมหวังมาให้
และอนิจจังก็นำพาความผิดหวังมาให้มนุษย์เรา
วินาทีนี้ เขาไม่รู้ว่า อนิจจังเป็นสิ่งที่ดีหรือเลว

เวลาผ่านไปไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ จากวัยกลางคนก็ล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา
เขาคิดในใจว่า ถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปสู่บ้านเกิด
ช่วงเวลาแห่งการ “จากมา แล้ว กลับไป” ทำให้เขารู้สึกถึงความ
ไม่เป็นแก่นสารของชีวิต ความอนิจจังทำให้คนเป็นหนุ่ม
แล้วก็เป็นความอนิจจัง ที่ทำให้คนแก่ ความไม่เที่ยงทำให้เกิดวันพรุ่งนี้
และเพราะความไม่เที่ยงอาจจะทำให้คนไม่มีวันพรุ่งนี้
วินาทีนั้น เขาไม่รู้ว่า ความไม่เที่ยงเป็นกุศลหรือเลวร้าย

ท่านล่ะ เข้าใจคำว่า ”อนิจจัง” หรือเปล่า? มีความคิดเห็นว่าอย่างไร?
พระท่านกล่าวว่า “ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง” ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อม
จะต้องมีเหตุมีปัจจัยมารวมกันจึงทำให้มีการเกิดและดับ
พวกเราเคยมองเห็นกันบ้างหรือเปล่า? หรือยังคงจะยึดมั่นถือมั่นอยู่กับ
เกียรติยศ ชื่อเสียง ความอยากมีอยากได้อยู่อีก

หากเรามั่นนึกถึงความไม่เที่ยง จิตของเราจะคลายความยึดมั่นถือมั่น
จิตจะไม่พยายามปรุงแต่ง เพ้อฝัน
หมั่นพยายามนึกถึงอนิจจัง จิตจะไม่แข็งทื่อ
จิตจะอ่อนโยน นุ่มนวลควรค่าแก่การใช้งาน
และจะคลายความยึดติดว่านั่นเป็น “ ตัวเราของเรา “
และที่สุดจิตจะ สะอาด สว่าง และ สงบ อย่างไร้ของเขต

ที่มา สมาชิกเว็บบอร์ดชาวเซน ของไต้หวัน



บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  1 2 3 [4] 5   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.269 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 29 กุมภาพันธ์ 2567 15:54:04