.เครื่องปั้นดินเผาและเครื่องถ้วยความหมายของเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องถ้วย เครื่องปั้นดินเผาและเครื่องถ้วยมีความหมายใกล้เคียงกัน บางครั้งมีผู้นำคำทั้งสองนี้มาใช้แทนก็มี แต่ที่จริงแล้วทั้งสองคำมีที่มาแตกต่างกัน
เครื่องปั้นดินเผา หมายถึง สิ่งของต่างๆ ที่เกิดจากการนำดินมาปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ แล้วนำไปเผาไฟในเตาเผาให้เนื้อดินสุกเพื่อให้มีความแข็ง คำนี้ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “เซรามิก” (ceramic) ซึ่งหมายถึง ดินเผา ต่อมาได้มีการนำดินอื่นนอกจากดินเหนียวสีดำมาใช้ในการปั้นด้วย เพื่อให้เนื้อดินมีคุณภาพดีขึ้น เช่น ดินขาว เคโอลิน (kaolin) และแร่ฟันม้าหรือเฟลด์สปาร์ (feldspar) ดังนั้น จึงมีนักวิชาการบางคนเปลี่ยนจากการใช้คำว่า “เครื่องปั้นดินเผา” เป็น “เครื่องปั้นเผา” โดยตัดคำว่า “ดิน” ออก แต่คนส่วนใหญ่ยังคงนิยมเรียกว่า เครื่องปั้นดินเผา ตามที่ใช้กันมาแต่เดิม เพราะสื่อความหมายเป็นที่เข้าใจกันทั่วไป
ส่วน เครื่องถ้วย เป็นเครื่องปั้นดินเผาที่ประเทศต่างๆ รับเอาวิธีการทำมาจากจีน โดยชาวจีนรู้จักการทำเครื่องปั้นดินเผาคุณภาพดีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เมื่อประมาณ ๑,๔๐๐ ปี มาแล้ว เป็นเครื่องปั้นดินเผาชนิดที่มีเนื้อแข็งแกร่งและนำไปเคลือบให้ผิวมันเป็นเงางาม ทำเป็นภาชนะต่างๆ แต่ที่ส่งไปขายในต่างประเทศมักเป็นพวกถ้วย ชาม จาน ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก ขนส่งได้สะดวก ประเทศไทยก็ได้ซื้อเครื่องปั้นดินเผาชนิดนี้จากจีน รวมทั้งได้รู้จักวิธีการทำเครื่องปั้นดินเผาชนิดเคลือบจากช่างจีนตั้งแต่สมัยสุโขทัยด้วย ไทยเรียกเครื่องปั้นดินเผาชนิดนี้ว่า เครื่องถ้วย ในภาษาอังกฤษมีคำที่มีความหมายใกล้เคียงกับเครื่องถ้วยว่า ไชน่าแวร์ (chinaware) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ไชน่า (china) แปลตามศัพท์ว่า “ของที่ทำขึ้นในประเทศจีน” ทั้งนี้เนื่องจากในสมัยที่ชาวยุโรปเดินเรือมาค้าขายกับจีนในพุทธศตวรรษที่ ๒๔ นั้น สินค้าจีนที่สำคัญซึ่งส่งไปขายในทวีปยุโรปอย่างหนึ่ง คือ ถ้วยชามทำด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว ซึ่งเป็นต้นแบบให้ชาวอังกฤษและฝรั่งเศสนำไปพัฒนาเครื่องปั้นดินเผาของตนให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับเครื่องถ้วยของไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีนตั้งแต่ในสมัยสุโขทัยกระถางปลูกต้นไม้ที่เป็นเครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อดินไม่เคลือบ แตกหักง่ายและซึมน้ำ
การแบ่งประเภทของเครื่องปั้นดินเผา เครื่องปั้นดินเผาแยกออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะของเนื้อดินที่เผาแล้ว และการเคลือบผิวหรือไม่เคลือบ โดยมีชื่อเรียกแต่ละประเภท ดังนี้
๑.เครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อดิน หรือ เครื่องดินเผา เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า เอิร์ทเทินแวร์ (earthenware) เป็นเครื่องปั้นดินเผาซึ่งนำดินที่ปั้นแล้วไปเผาที่อุณหภูมิ ๘๐๐–๑,๑๕๐ องศาเซลเซียส การเผาในอุณหภูมิไม่สูงมากทำให้เนื้อดินไม่แข็งแกร่ง เปราะหักได้ง่ายและซึมน้ำ เครื่องปั้นดินเผาชนิดนี้ไม่มีการเคลือบ เป็นเนื้อดินล้วน ๆ มีสีแดงหรือสีน้ำตาลแดง
๒. เครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อหิน หรือ เครื่องถ้วยหิน เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า สโตนแวร์ (stoneware) เป็นเครื่องปั้นดินเผาซึ่งนำดินที่ปั้นแล้วไปเผาที่อุณหภูมิ ๑,๒๐๐ – ๑,๓๐๐ องศาเซลเซียส ความร้อนค่อนข้างสูงทำให้เนื้อดินมีความแข็งแกร่ง ไม่ซึมน้ำ เนื้อดินมีสีเทาหรือสีน้ำตาล หลังจากเผาแล้วอาจนำไปเคลือบผิวหรือไม่เคลือบก็ได้ หากเคลือบต้องนำกลับมาเผาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้น้ำเคลือบละลายติดแน่นอยู่บนผิวของภาชนะเป็นเนื้อเดียวกัน การเคลือบผิวดินเผาด้วยน้ำเคลือบ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า เกลซ (glaze)เครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อหินที่เคลือบน้ำเคลือบให้มีผิวมัน
เนื้อดินแข็งแกร่ง ไม่ซึมน้ำ
เครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อกระเบื้อง
ใช้ดินเนื้อละเอียด มีลักษณะบางแต่แข็งแกร่ง
๓.เครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อกระเบื้อง เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า พอร์ซเลน (porcelain) เป็นเครื่องปั้นดินเผาซึ่งนำดินที่ปั้นแล้วไปเผาที่อุณหภูมิ ๑,๓๐๐–๑,๕๐๐ องศาเซลเซียส เนื้อดินมีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ หากมีความบางและโปร่งแสง เมื่อเคาะมีเสียงดังกังวาน นักวิชาการบางคนเรียกว่า เครื่องถ้วยเปลือกไข่ ซึ่งถือเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่มีคุณภาพดีมากและมีราคาแพง เครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อกระเบื้องนี้ต้องนำดินเนื้อละเอียด ซึ่งส่วนมากเป็นดินขาวเคโอลินมาปั้น เมื่อเผาแล้วเนื้อดินจะเป็นสีขาว หลังจากนั้นจึงนำไปเคลือบให้เป็นสีและลวดลายต่างๆ ตามที่ต้องการภาพเขียนสีที่ผาแต้ม จ.อุบลราชธานี
เขียนภาพตุ้มซึ่งเป็นเครื่องมือประมง เรียงๆ กัน
พัฒนาการของเครื่องปั้นดินเผาในประเทศไทย
ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน มีการทำเครื่องปั้นดินเผาตั้งแต่เมื่อประมาณ ๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว โดยอาจแบ่งออกได้เป็นสมัยต่างๆ อย่างคร่าวๆ รวม ๕ สมัย คือ
๑. สมัยก่อนประวัติศาสตร์
๒. สมัยก่อนตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
๓. สมัยสุโขทัย
๔. สมัยอยุธยา
๕. สมัยธนบุรีและสมัยรัตนโกสินทร์ ภาชนะเขียนลายด้วยสีแดงคล้ายลายก้นหอย
เอกลักษณ์ของเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
สมัยก่อนประวัติศาสตร์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หมายถึง ช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่รู้จักการใช้ตัวอักษรบันทึกเรื่องราวต่างๆ ให้คนรุ่นหลังได้ทราบ มีการดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ การเก็บของป่า และการเพาะปลูกอย่างง่ายๆ อาศัยอยู่ตามถ้ำ หรือที่ราบลุ่มแม่น้ำ เป็นครอบครัวหรือเป็นชุมชนเล็กๆ นักวิชาการแบ่งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ออกเป็นยุคใหญ่ๆ ๒ ยุค คือ ยุคแรกเรียกว่ายุคหิน ยุคที่สองเรียกว่ายุคโลหะ
ในยุคหินมนุษย์รู้จักการนำหินมาใช้เป็นเครื่องมือต่างๆ ในการดำรงชีวิต ในตอนแรกยังไม่รู้จักวิธีการตกแต่งหินให้มีความคม หรือให้เป็นรูปร่างต่างๆ เพื่อการใช้งาน เรียกว่า ยุคหินเก่า ต่อมาก็รู้จักการตกแต่งหินบ้างเล็กน้อย เรียกว่ายุคหินกลาง และเมื่อรู้จักตกแต่งหินอย่างละเอียดประณีตขึ้นแล้ว ก็เรียกว่า ยุคหินใหม่
ส่วนยุคโลหะนั้น เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์รู้จักการนำโลหะบางชนิดที่หาได้ง่าย และไม่ต้องผ่านกรรมวิธีที่ยุ่งยากในการถลุง มาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เริ่มด้วย ยุคทองแดง ต่อมาก็เป็น ยุคสัมฤทธิ์ (สำริด) ซึ่งมนุษย์รู้จักการนำทองแดงมาผสมกับดีบุกเป็นโลหะผสมชนิดแรกที่มนุษย์ทำขึ้น ยุคโลหะที่จัดเป็นยุคใหม่สุดคือ ยุคเหล็ก ซึ่งต่อมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์
การแบ่งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ออกเป็นยุคต่างๆ นี้ เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในที่ต่างๆ ของโลก ขึ้นอยู่กับระดับความเจริญก้าวหน้าของคนในท้องถิ่นว่ามีเร็วช้าประการใด
เครื่องปั้นดินเผาที่ถือได้ว่ามีอายุเก่าแก่ที่สุดที่พบในประเทศไทย จัดอยู่ในยุคหินกลางของสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุระหว่าง ๗,๐๐๐–๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว แหล่งที่พบอยู่ที่ถ้ำผี ในเขตอำเภอเมืองฯ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ลักษณะเป็นเศษภาชนะเนื้อดินเผาสีแดง มีทั้งผิวเรียบและผิวขัดมัน ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ โดยอาจใช้เชือกพันไม้แล้วตีให้เป็นริ้วรอยลงบนเนื้อดินก่อนนำไปเผา (บน) หม้อสามขา พบที่ จ.กาญจนบุรี สมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปี
(ล่าง) พาน และ หวด พบที่ จ.กาญจนบุรี สมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐
เครื่องปั้นดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ขึ้นชื่อมากและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก คือ เครื่องปั้นดินเผาที่บ้านเชียง ในเขตอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี มายุระหว่าง ๑,๗๐๐–๕,๖๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งจัดอยู่ในยุคโลหะ โดยพบเครื่องปั้นดินเผานี้รวมอยู่ในหลุมฝังศพ มีหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่เป็นหม้อชนิดต่างๆ คือ หม้อก้นกลม ปากหม้อผาย และหม้อมีเชิง เป็นภาชนะผิวเรียบและตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ บางชิ้นเขียนลายด้วยสีแดงหรือสีน้ำตาล โดยเฉพาะลายเขียนสีเป็นรูปวงกลมม้วนคล้ายลานก้นหอย ถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียงนี้
การพบเครื่องปั้นดินเผาที่บ้านเชียงนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรได้รับมอบเศษภาชนะเครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสีจากราษฎรในพื้นที่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ หลังจากนั้นจึงมีการศึกษาของกรมศิลปากรเพื่อทราบรายละเอียดมากขึ้น ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปที่บ้านเชียง และทอดพระเนตรการขุดค้นของเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากร ผลจากการขุดค้นครั้งนั้น ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากรกับมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียของสหรัฐอเมริกา ในการศึกษาวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีที่บ้านเชียงและมีการเผยแพร่ไปทั่วโลก ทำให้ทราบกันว่าแหล่งอารยธรรมบ้านเชียงเป็นโบราณสถานเก่าแก่ที่สำคัญมากแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้คณะกรรมการมรดกโลกแห่งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก ประกาศให้แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงเป็นมรดกโลก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕
นอกจากที่ถ้ำผีและบ้านเชียง ยังพบภาชนะเครื่องปั้นดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง เช่น จังหวัดกาญจนบุรี พบที่ตำบลช่องสะเดา ในเขตอำเภอเมืองฯ และตำบลจระเข้เผือก ในเขตอำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดลพบุรี พบที่ตำบลบัวชุม และตำบลหนองยายโต๊ะ ในเขตอำเภอชัยบาดาล จังหวัดขอนแก่น พบที่ตำบลบ้านภูเวียง ในเขตอำเภอภูเวียง และจังหวัดนครศรีธรรมราช พบที่ตำบลนบพิตำ ในเขตกิ่งอำเภอนบพิตำ เครื่องปั้นดินเผาที่พบในที่ต่างๆ ดังกล่าวนี้ จัดอยู่ในยุคหินใหม่ทั้งหมด(บน) ภาชนะดินเผาสีดำขัดมัน อายุระหว่าง ๓,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ ปี
(ล่าง) ภาชนะดินเผาตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ อายุระหว่าง ๓,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ ปี
เครื่องปั้นดินเผาที่ขุดพบรวมอยู่ในหลุมฝังศพ
สมัยก่อนตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี หลังจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์สิ้นสุดลงแล้ว ก็ย่างเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่มีการบันทึกหลักฐานเรื่องราวต่างๆ เป็นลายลักษณ์อักษร มีการตั้งถิ่นฐานอยู่กันเป็นแว่นแคว้นและอาณาจักรต่างๆ ซึ่งในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน มีแว่นแคว้นและอาณาจักรโบราณอยู่หลายแห่งเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาต่างๆ กัน หรือเหลื่อมล้ำเวลากัน ก่อนที่จะตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.๑๗๙๒
นักประวัติศาสตร์ศิลปะได้แบ่งช่วงเวลาก่อนตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีออกเป็นสมัยต่างๆ ตามชื่อของแว่นแคว้นหรืออาณาจักรที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้น และนำมาใช้กับการพัฒนาการของเครื่องปั้นดินเผาด้วย โดยแบ่งออกเป็นสมัยย่อยต่างๆ คือ สมัยทวารวดี สมัยศรีวิชัย สมัยหริภุญไชย และสมัยลพบุรี หม้อดินเผาก้นกลม ศิลปะทวารดี
พานดินเผา ศิลปะทวารวดี อายุระหว่าง ๑,๕๐๐-๑,๙๐๐ ปี
(บน ซ้าย-ขวา)ชามทรงกระบอกก้นกลมปาด เนื้อดินสีดำ และ ชามทรงกลมปากกว้างม้วนก้นสอบ ศิลปะทวารวดี
(ล่าง) ตะเกียงน้ำมันดินเผา
เครื่องปั้นดินเผาสมัยทวารวดีมีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒–๑๖ หรือประมาณ ๑,๕๐๐–๑,๙๐๐ ปีมาแล้ว อาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางความเจริญอยู่ในบริเวณภาคกลางของประเทศไทยปัจจุบัน แต่มีอาณาเขตขยายไปถึงบางส่วนของภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ด้วย นักโบราณคดีทำการขุดค้นพบเครื่องปั้นดินเผาสมัยทวารวดีในที่ต่างๆ หลายแห่ง มีทั้งที่ปั้นด้วยดินเนื้อหยาบและดินเนื้อละเอียด แต่ไม่มีการเคลือบ ลวดลายที่ตกแต่งบนผิวของภาชนะมีหลายอย่างที่พบมากเป็นลายเชือกทาบ ลายขูดขีดเป็นเส้นหลายเส้นขนานกัน หรือเป็นตารางสี่เหลี่ยม นอกจากนี้ มีลายกดทับเป็นรูปสัตว์หรือดอกไม้ บางชิ้นมีการระบายด้วยสีแดง สีขาว หรือสีดำ ลงบนผิวของภาชนะ รูปแบบของภาชนะที่พบมีหลากหลายขึ้นกว่าเครื่องปั้นดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่สำคัญได้แก่ หม้อ ชาม พาน ตะเกียง ตะคัน คนที และคนโท๑.ตะคันดินเผา ๒.หม้อมีเชิงปากผาย ศิลปะศรีวิชัย
๓.คนที ๔.คนโท
หม้อ มีหลายแบบ คือ หม้อก้นกลม หม้อมีสันก้นตื้น และหม้อมีสันก้นลึก การใช้หม้อส่วนใหญ่เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์พืชและน้ำกินน้ำใช้
ชาม เป็นภาชนะรูปกลม ปากกว้างม้วน ก้นลึกสอบลงไป มีทั้งก้นกลมและก้นตัดปาด เพื่อสะดวกในการตั้งวาง
ตะเกียง เป็นตะเกียงใส่น้ำมันเพื่อใช้จุดไฟให้แสงสว่าง รูปร่างแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ หัวตะเกียงเป็นรูปกลมแบนสำหรับใส่น้ำมัน ส่วนพวยตะเกียงที่ยื่นต่ออกมาจากตัวตะเกียงใช้สำหรับสอดใส่เชือกที่ใช้เป็นไส้จุดไฟ
ตะคัน คือ ตะเกียงขนาดเล็ก มีรูปร่างคล้ายจานเล็กที่เรานำมาใช้ใส่น้ำจิ้ม หรือคล้ายถ้วยตะไล มีลักษณะเตี้ย กลม ปากบานเรียบ หรือจับเป็นจีบเล็กๆ จีบเดียวหรือเป็นปากหยักโดยรอบสำหรับไว้พาดไส้ตะเกียง ตะคัน บางอันมีรูปร่างเป็นจานเชิงสูงก็มี
คนที] (เขียนอีกอย่างหนึ่งว่ากุณฑี) เป็นหม้อน้ำหรือกาน้ำรูปกลม ที่ก้นมีเชิง ตั้งกับพื้นได้ คอภาชนะมีลักษณะคอดยาว ผายกว้างออกที่บริเวณปากเพื่อเติมน้ำได้สะดวก ตรงบริเวณส่วนกลางของภาชนะมีพวยยื่นยาวออกมา เพื่อใช้สำหรับรินน้ำออกจากภาชนะ
คนโท (เขียนอีกอย่างหนึ่งว่า กุณโฑ) เป็นหม้อหรือภาชนะใส่น้ำ รูปร่างคล้ายคนทีแต่ไม่มีพวย จึงใช้วิธีรินน้ำโดยยกเอียงให้น้ำไหลออกทางปากของภาชนะ
เครื่องปั้นดินเผาสมัยทวารวดี มีพบอยู่หลายแห่งในจังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐม และราชบุรี ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของเมืองและชุมชนโบราณในสมัยทวารวดี ๑.คนที ศิลปะศรีวิชัย พบที่บ้านปะโอ จ.สงขลา
๒.คนที ศิลปะศรีวิชัย พบที่ จ.นครศรีธรรมราช
๓.หม้อทรงกลมมีเชิง ศิลปะหริภุญไชย อายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๙
เครื่องปั้นดินเผาสมัยศรีวิชัยสมัยศรีวิชัยมีอายุใกล้เคียงกับสมัยทวารวดี ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๘ หรือประมาณ ๑,๖๐๐ – ๒,๒๐๐ ปี มาแล้ว อยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยปัจจุบัน ตั้งแต่จังหวัดระนองลงไปถึงคาบสมุทรมลายู มีเมืองโบราณสำคัญ เช่น เมืองไชยา ตะกั่วป่า ตามพรลิงค์(หรือนครศรีธรรมราช) นักโบราณคดีได้พบแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาหลายแห่งที่ขึ้นชื่อมาก คือ ที่บ้านปะโอ ตำบลม่วงงาม และที่วัดบ้านวัดขนุน ตำบลวัดขนุน ทั้ง ๒ แห่ง อยู่ในอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา โดยพบทั้งเตาเผาและชิ้นเครื่องปั้นดินเผา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ นอกจากบริเวณดังกล่าวแล้ว ยังพบภาชนะเครื่องปั้นดินเผาสมัยศรีวิชัยที่จังหวัดต่างๆ อีกหลายแห่ง เช่น ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง แต่ไม่พบเตาเผา สันนิษฐานว่าอาจเป็นภาชนะที่ส่งไปขายจากแหล่งเตาเผาที่บ้านปะโอและบ้านวัดขนุนก็ได้
เครื่องปั้นดินเผาสมัยศรีชัยมีเนื้อดินค่อนข้างแข็ง สีขาวและสีส้มนวล ไม่มีการเคลือบลายตกแต่งบนภาชนะ มีหลายแบบคล้ายกับเครื่องปั้นดินเผาสมัยทวารวดี รูปแบบของภาชนะก็มีลักษณะคล้ายกัน ได้แก่ หม้อ จาน ชาม พาน คนที และคนโท
๑.คนโท ตกแต่งลวดลายด้วยการขูดขีด
๒.โกศมีฝารูปคล้ายดอกบัว ศิลปะหริภุญไชย
๓.ไหเคลือบสีน้ำตาล ศิลปะลพบุรี อายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘
๔.หม้อไม่เคลือบ ศิลปะลพบุรี อายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘
.๑.คนโทตกแต่งด้วยรูปหัวช้างเคลือบสีน้ำตาล ศิลปะลพบุรีที่แสดงถึงการพัฒนาด้านรูปแบบ
๒.กระปุกรูปนกเคลือบสีน้ำตาลและสีนวล
๓.ภาชนะรูปสัตว์เคลือบ
(บน) คชสีห์เคลือบสีเขียวมะกอก ศิลปะล้านนา
(ล่าง) จานและขวดเคลือบสีขาวนวล ศิลปะล้านนา
(บน) คนทีและจานเคลือบสีเขียวไข่กา เอกลักษณ์เด่นของเครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย
(ล่าง) จานเคลือบสีขาวนวลเขียนลายดอกไม้ และจานลายปลาคู่ใต้เคลือบด้วยสีดำ ศิลปะล้านนา
เครื่องปั้นดินเผาสมัยหริภุญไชยสมัยหริภุญไชย มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๙ ใกล้เคียงกับสมัยศรีวิชัย แต่มีอาณาเขตอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย โดยมีเมืองหริภุญไชยหรือเมืองลำพูนในปัจจุบัน เป็นศูนย์กลางความเจริญ ได้พบแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่สำคัญ ๒ แห่ง ในเขตอำเภอเมืองฯ จังหวัดลำพูน คือ ที่บ้านศรีย้อย ตำบลต้นธง และที่บ้านวังไฮ ตำบลเวียงยองเครื่องปั้นดินเผาสมัยหริภุญไชย ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะจากสมัยทวารวดี และสมัยลพบุรีมาผสมผสานด้วย เพราะอยู่ในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน อีกทั้งตามพงศาวดารก็กล่าวว่าพระนางจามเทวี ซึ่งเป็นกษัตรีองค์แรกของอาณาจักรนี้ ทรงเป็นพระธิดาของกษัตริย์แคว้นละโว้หรือลวปุระ หรือจังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน
เครื่องปั้นดินเผาสมัยหริภุญไชยในระยะแรกมีการตกแต่งด้วยการใช้สีแดง เขียนเป็นลายเส้นหรือการขูดขีดและการกดประทับเป็นลวดลายต่างๆ คล้ายกับเครื่องปั้นดินเผาสมัยทวารวดี ต่อมาจึงมีพัฒนาให้มีลวดลายที่สวยงามมากยิ่งขึ้น อีกทั้งรูปแบบของภาชนะก็ทำด้วยฝีมือที่ประณีตมากยิ่งขึ้น นอกจากหม้อ พาน ตะคัน คนโท ยังมีการทำหม้อบรรจุอัฐหรือโกศ ซึ่งตัวหม้อตกแต่งทำเป็นขอบหลายชั้น ฝาหม้อก็มีลักษณะเป็นชั้นๆ เรียวขึ้นไปจนถึงยอด เป็นรูปคล้ายดอกบัว นอกจากนี้ยังมีการทำพระพุทธรูปดินเผาและแม่พิมพ์ดินเผาที่ใช้ทำพระพิมพ์ด้วย
จากการศึกษาเปรียบเทียบพบว่า เครื่องปั้นดินเผาสมัยหริภุญไชยบางชิ้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องปั้นดินเผาที่พบในภาคกลางของประเทศพม่า โดยอาจได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรศรีเกษตร ซึ่งเจริญขึ้นในช่วงแรกของสมัยหริภุญไชย คือ พุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๔เครื่องปั้นดินเผาศิลปะลพบุรี คนทีรูปบุรุษพนมมือ และจุกภาชนะรูปเทพเจ้าเคลือบสีน้ำตาล
เครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรีสมัยลพบุรีมีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๖–๑๘ มีศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่แคว้นละโว้หรือลวปุระ คือ จังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอมหรือเขมรโบราณที่เข้ามาปกครองบางส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกของประเทศไทย นักประวัติศาสตร์ศิลป์ของไทย เรียกชื่อศิลปะสมัยนี้ว่า สมัยลพบุรี
เครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรีพบอยู่หลายแห่งในจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดสุรินทร์ โดยเฉพาะที่อำเภอบ้านกรวด และอำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ พบแหล่งเตาเผาเป็นจำนวนมาก เครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรีมีทั้งที่เคลือบและไม่เคลือบ แสดงถึงความก้าวหน้าในการทำเครื่องปั้นดินเผาที่มีการเคลือบเพิ่มขึ้นในวิธีในการผลิต เครื่องปั้นดินเผาชนิดที่มีการเคลือบ มีสีต่างๆ ได้แก่ สีน้ำตาล และสีเขียวใสแบบสีน้ำแตงกวา รูปร่างของภาชนะก็มีหลากหลาย ทั้งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ชาม ถ้วย ไห กระปุก ตะคัน คนโท ตลับ และของที่ใช้สำหรับตกแต่ง เช่น ประติมากรรมรูปสัตว์ เป็นรูปช้าง ม้า กระต่าย เต่า ลวดลายบนภาชนะมีทั้งลายเส้นและลายขูดขีดเป็นรูปต่างๆ เช่น ลายกลีบบัว ลายกากบาทชั้นเดียว ลายกากบาทสองชั้น ลายเส้นคดโค้ง ลายคลื่น และลายหวีสับ บางครั้งประดับตกแต่งภาชนะด้วยรูปหัวช้าง หัวม้า หัวกวาง หรือรูปศีรษะคน การปั้นมักขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน โดยสังเกตได้จากลักษณะลายในเนื้อดินปั้นที่ก้นภาชนะ ซึ่งมีลักษณะเป็นวงหมุนเวียนขวา อันเกิดจากการใช้แป้นหมุนอย่างชัดเจน
กล่าวโดยสรุป เครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรีมีการพัฒนาขึ้นมาก ทั้งในด้านรูปแบบและวิธีการผลิต จนเกือบทัดเทียมกับเครื่องปั้นดินเผาในสมัยสุโขทัย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะการทำเครื่องถ้วยของจีนเข้ามาเผยแพร่(ซ้าย บน-ล่าง) ไหเคลือบสีเขียวมะกอก และ ช้างศึกพร้อมแม่ทัพ ควาญท้าย จาตุรงคเสนาถือปืน
(ขวา บน-ล่าง) คนทีตกแต่งเป็นลายหินอ่อนสีส้มแดง, จานลายปลา และ ตุ๊กตาม้าศึก
สมัยสุโขทัยสมัยสุโขทัยเริ่มขึ้นเมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีใน พ.ศ.๑๗๙๒ และสิ้นสุดเมื่อกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรสุโขทัย คือ พระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) เสด็จสวรรคตใน พ.ศ.๑๙๘๑ ดังนั้น สมัยสุโขทัยจึงมีอายุในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ถึงตอนปลายของพุทธศตวรรษที่ ๒๐เครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย เรียกกันโดยทั่วไปว่า เครื่องสังคโลก มีผู้สันนิษฐานว่า ชื่อนี้น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า “สวรรคโลก” ซึ่งเดิมเป็นชื่อเมืองศรีสัชนาลัย ที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๘๒๐ ให้เป็นเมืองสำคัญคู่กับกรุงสุโขทัย ต่อมาในสมัยอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเปลี่ยนชื่อเมืองศรีสัชนาลัยเป็นเมืองสวรรคโลก ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสุโขทัย
ส่วนเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย เรียกกันว่าเตาทุเรียง ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าชื่อนี้มาจากที่ใด หรือเพี้ยนมาจากคำใดในสมัยสุโขทัย การทำเครื่องปั้นดินเผามีความเจริญก้าวหน้ามาก นอกจากการผลิตแบบพื้นเมืองแล้ว ยังนำวิธีการผลิตแบบจีนเข้ามาเผยแพร่ด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากมีการติดต่อค้าขายกับจีนมาก พ่อค้าชาวจีนส่งเครื่องปั้นดินเผาที่เรียกว่า เครื่องถ้วยจีน เข้ามาจำหน่าย รวมทั้งช่างชาวจีนก็เดินทางเข้ามาเผยแพร่วิธีการผลิตเครื่องปั้นดินเผาชนิดดี ที่มีเคลือบเป็นสีและลวดลายต่างๆ ให้ช่างปั้นของไทยได้พัฒนารูปแบบและวิธีการผลิตของตน ด้วยเหตุนี้ นักวิชาการบางคนจึงเรียกเครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัยว่า “เครื่องถ้วย” ด้วย ตามที่ได้อธิบายมาแล้วเกี่ยวกับความหมายของเครื่องถ้วยในตอนต้นของเรื่อง
แหล่งผลิตสำคัญของเครื่องสังคโลกมีอยู่ทั้งที่เมืองศรีสัชนาลัยและกรุงสุโขทัย จากการขุดค้นทางโบราณคดีว่ามีที่บ้านป่ายางและบ้านเกาะน้อย ในตำบลหนองอ้อ อำเภอศรีสัชนาลัย ซึ่งอยู่ในเขตโบราณสถานศรีสัชนาลัยปัจจุบัน พบเตาทุเรียงรวมกันว่า ๑๔๐ เตา นับเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สุดในสมัยสุโขทัย ส่วนที่โบราณสถานเมืองสุโขทัยเก่า ได้ขุดพบเตาทุเรียงมากกว่า ๔๐ เตา ที่บริเวณลำน้ำโจน ใกล้วัดพระพายหลวงเตาเผาเครื่องสังคโลก ประเภทก่ออิฐ ที่ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย
เตาทุเรียงที่เมืองศรีสัชนาลัยผลิตเครื่องสังคโลกมีคุณภาพดีกว่าเตาที่เมืองเก่าสุโขทัย โดยใช้ดินปั้นที่เป็นดินเนื้อละเอียด และเผาด้วยอุณหภูมิสูง ส่วนใหญ่เป็นชนิดเนื้อหิน ที่เป็นเนื้อกระเบื้องก็มีบ้าง ที่สำคัญคือ มีการเคลือบทั้งที่เป็นสีเดียว เช่น สีเขียวไข่กา สีขาว สีน้ำตาล และที่มีพื้นสีขาวเขียนด้วยลายบนเคลือบด้วยสีน้ำตาล หรือพื้นสีขาวเขียนลายใต้เคลือบด้วยสีเทาและสีดำ ตกแต่งลวดลายเป็นรูปนก ดอกไม้ ใบไม้ หอยสังข์ งานที่ผลิตมีทั้งที่เป็นชิ้นใหญ่ๆ เช่น ตัวยักษ์ ตัวนาค ตัวมังกร เครื่องประดับอาคาร ส่วนงานชิ้นเล็กๆ ได้แก่ โอ่ง ไห ตุ่ม หม้อ จาน ชาม ถ้วย พาน คนโท คนที ตุ๊กตารูปคนและรูปสัตว์เตาทุเรียงที่เมืองเก่าสุโขทัย ส่วนใหญ่ผลิตเครื่องปั้นดินเผาจากดินเนื้อหยาบ เมื่อเผาให้สุกก่อนนำไปเคลือบ เนื้อดินมีสีเทาหรือสีดำ ผิวค่อนข้างพรุน จึงต้องทาน้ำดินสีขาวรองพื้นก่อนนำไปเขียนลวดลายและเคลือบ งานที่ผลิตจากแหล่งนี้ที่พบมาก คือ จาน ชาม ถ้วย ครก คนโท ตุ้มถ่วงแห ภาชนะประเภทจานและชามมักตกแต่งลวดลายเป็นรูปปลาตัวเดียว หรือรูปปลาคู่หันหัวคนละทางหรือว่ายตามกัน นอกจากนี้มีลายดอกไม้ ใบไม้ และลายจักร
เครื่องสังคโลกที่นับว่าเป็นเอกลักษณ์เด่นของเครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย คือ เครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อหินเคลือบสีเขียวอ่อนที่เรียกว่า เขียวไข่กา น้ำยาที่เคลือบมีความหนาและมีลักษณะรานเป็นรอยร้าวทั่วไปบนผิวของภาชนะ ภาษาอังกฤษเรียกเครื่องปั้นดินเผาชนิดนี้ว่า เซดาดอน (celadon) ซึ่งมีคนไทยบางคนเรียกทับศัพท์ว่าศิลาดล เครื่องปั้นดินเผาชนิดนี้คล้ายคลึงกับเครื่องถ้วยของจีนสมัยราชวงศ์สุ้งถึงตอนปลายราชวงศ์หยวน เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙–๒๐
เครื่องสังคโลกของสมัยสุโขทัยนอกจากจะใช้ในท้องถิ่น และส่วนต่างๆ ของประเทศไทยแล้ว ยังส่งไปจำหน่ายต่างประเทศด้วย เพราะได้รับความนิยมไม่แพ้เครื่องถ้วยของจีน ได้พบเครื่องสังคโลกที่เกาะสุมาตรา เกาะชวา และเกาะบอร์เนียว ในประเทศอินโดนีเซียที่เกาะสุมาตร เกาะชวา และเกาะบอร์เนียว ในประเทศอินโดนีเซีย เกาะเซบู และเกาะมินดาเนา ในประเทศฟิลิปปินส์ ตลอดจนในประเทศเกาหลีและประเทศญี่ปุ่น นับว่าเครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัย เป็นศิลปะเครื่องปั้นดินเผาที่ขึ้นชื่อมากที่สุดของไทยสมัยโบราณ
หลังจากกรุงสุโขทัยตกอยู่ใต้อำนาจของกรุงศรีอยุธยาแล้ว การผลิตเครื่องสังโคโลกยังคงทำต่อมาจนถึง พ.ศ. ๒๑๒๗ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชขณะดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราชยกทัพไปตีเมืองสวรรคโลก แล้วโปรดให้กวาดต้อนผู้คนมาไว้ที่เมืองพิษณุโลก การผลิตเครื่องสังคโลกจึงสิ้นสุดลง
นอกจากกรุงสุโขทัยและเมืองศรีสัชนาลัยแล้ว การผลิตเครื่องปั้นดินเผาสมัยเดียวกันนี้ ยังมีปรากฏที่แคว้นล้านนาทางภาคเหนือของไทยด้วย โดยมีช่วงเวลาการผลิตอยู่ระหว่างตอนต้นของพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ เริ่มตั้งแต่เมื่อพญาเม็งรายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางการปกครองของแคว้นล้านนา ใน พ.ศ. ๑๘๓๙ จนถึงเมื่ออาณาจักรล้านนาตกอยู่ใต้การปกครองของพม่า ใน พ.ศ. ๒๑๐๑เครื่องปั้นดินเผาล้านนามีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัยมาก ทั้งทางด้านวิธีการผลิตและรูปร่างของสิ่งประดิษฐ์ มีทั้งชนิดเป็นเนื้อดินหยาบและเนื้อดินละเอียด และมีการเคลือบเป็นสีต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นสีเขียวไข่กาเหมือนเครื่องปั้นดินเผาเซลาดอนของสุโขทัยและศรีสัชนาลัย ลวดลายที่ตกแต่งมีทั้งที่เป็นลายดอกไม้ ใบไม้ รูปสัตว์ และรูปขูดขีดเป็นลายเส้น ลายซี่หวี ภาชนะที่ผลิตได้แก่ จาน ชาม ถ้วย กระปุก คนโท ตุ้มถ่วงแห ตุ๊กตารูปคน และรูปสัตว์
แหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาล้านนามีพบอยู่หลายแห่งในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง น่าน และพะเยา ที่สำคัญ มี ๕ แห่ง คือ
๑. แหล่งเวียงกาหลง ในตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
๒. แหล่งสันกำแพง ในตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
๓. แหล่งอินทขิล ในตำบลอินทขิล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
๔. แหล่งวังเหนือ ในตำบลวังเหนือ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง
๕. แหล่งห้วยแม่ต๋ำ ในตำบลแม่กา อำเภอเมืองฯ จังหวัดพะเยา