แสดงกระทู้
|
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 117
|
21
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / อาณาจักร ” มายาโบราณ ” ที่ซ่อนในป่าหลายร้อยปี ด้วยเทคฯ สุดล้ำ!
|
เมื่อ: 23 เมษายน 2567 16:11:41
|
ภาพถ่ายทางอากาศแทบไม่สื่อถึงขนาดที่แท้จริงของซีบันเชในคาบสมุทรยูกาตานของเม็กซิโก ไลดาร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ ที่ลบเรือนยอดไม้ออกด้วยเทคนิคดิจิทัล แสดงภาพเมืองมายาแห่งนี้ที่แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่ถึง 20 ตารางกิโลเมตร กระถางที่ใช้เผายางไม้ในพิธีกรรมต่างๆ ทำเป็นภาพเทพเจ้าแห่งยมโลกของชาวมายา พบที่โฮลมุล เมืองโบราณมายา ในกัวเตมาลา อาณาจักร ” มายาโบราณ ” ที่ซ่อนในป่าหลายร้อยปี ด้วยเทคฯ สุดล้ำ! โลกที่ชาวมายาโบราณ สร้างขึ้นซุกซ่อนอยู่กลางผืนป่ามาหลายร้อยปี ตอนนี้เทคโนโลยีปฏิวัติวงการกำลังเผยความยิ่งใหญ่ และความซับซ้อนอันน่าตื่นตะลึง
สองนักโบราณคดี ซึ่งเป็นนักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิกทั้งคู่ ใช้เวลารวมกันหลายสิบปีทำงานในผืนป่าของอเมริกากลาง ความร้อนและความชื้นสาหัสสากรรจ์ รวมถึงการเผชิญสัตว์ป่าอันตรายและโจรติดอาวุธ คือส่วนที่แยกไม่ออกจากการค้นพบขุมทรัพย์ของโลก มายาโบราณ อารยธรรมที่รุ่งเรืองอยู่หลายพันปีก่อนจะอันตรธานไปอย่างเป็นปริศนา ใต้ผืนป่าอันรกชัฎ
ด้วยเหตุนี้ จึงดูเหมือนเป็นเรื่องย้อนแย้งที่การค้นพบครั้งใหญ่ที่สุดของพวกเขาจะเกิดขึ้นตอนนั่งล้อมวงหน้าคอมพิวเตอร์ที่สำนักงานติดแอร์ในนิวออร์ลีนส์ ขณะที่เพื่อนร่วมงานของเขา ฟรันซิสโก เอสตราดา-เบลลี มองอยู่ มาร์เชลโล กานูโต จากมหาวิทยาลัยทูเลน เปิดภาพถ่ายทางอากาศของป่าผืนหนึ่งทางเหนือของกัวเตมาลา ตอนแรกหน้าจอไม่แสดงภาพอะไรนอกจากยอดไม้ แต่ภาพนี้ถ่ายด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ (LIDAR ย่อมาจาก Light Detection And Ranging) โดยอุปกรณ์ไลดาร์ที่ติดตั้งบนเครื่องบินจะยิงเลเซอร์ลงมานับพันๆ ล้านครั้ง จากนั้นจึงวัดส่วนที่สะท้อนกลับมา เลเซอร์พัลส์เพียงน้อยนิดที่ทะลุทะลวงหมู่ไม้ลงไปให้ข้อมูลมากพอจะประกอบรวมเป็นภาพของพื้นป่าเบื้องล่างได้
ด้วยการคลิกเมาส์ไม่กี่ครั้ง กานูโตก็ลอกพืชพรรณออกด้วยวิธีดิจิทัลเพื่อเผยให้เห็นภาพสามมิติของพื้นดิน ภูมิภาคห่างไกลจากศูนย์กลางประชากรใดๆ ที่พวกเขามองอยู่นั้นเคยเชื่อกันว่าไม่มีผู้อาศัยเป็นส่วนใหญ่ ต่อให้เป็นช่วงที่อารยธรรมมายาเจริญถึงขีดสูงสุดเมื่อกว่า 1,100 ปีก่อนก็ตาม
แต่ทันใดนั้น สิ่งที่เคยดูเหมือนเชิงเขาทั่วไปกลับเต็มไปด้วยร่องรอยทั้งที่เกิดจากอ่างเก็บน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น พื้นที่เพาะปลูกแบบขั้นบันได และคลองชลประทาน สิ่งที่เคยปรากฏเป็นภูเขาลูกเล็กๆ ที่จริงคือพีระมิดขนาดใหญ่ ด้านบนเป็นอาคารประกอบพิธีกรรม ชุมชนหลายแห่งที่นักโบราณคดีหลายรุ่นสันนิษฐานว่าเป็นเมืองหลวงของภูมิภาคกลับเป็นแค่ย่านชานเมืองของมหานครยุคก่อนโคลัมบัสที่ใหญ่โตกว่ากันมากและไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่ เชื่อมถึงกันด้วยทางหลวงเรียบยกระดับ
ทอมัส แกร์ริสัน หุ้นส่วนโครงการผู้เห็นข้อมูลนี้ในช่วงเวลาเดียวกัน ตั้งข้อสังเกตว่า “ผมคิดว่าเรากำลังรู้สึกแบบเดียวกันกับตอนที่นักบินอวกาศมองผ่านกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลครั้งแรก และได้เห็นว่า ห้วงอวกาศว่างเปล่าทั้งหมดเหล่านั้นจู่ๆ ก็เต็มไปด้วยดวงดาวและดาราจักรครับ นี่คือผืนป่ากว้างใหญ่ที่ทุกคนคิดว่าเกือบจะว่างเปล่า แต่แล้ว พอลอกต้นไม้ออกไปก็เห็นร่องรอยของมนุษย์อยู่ทุกหนแห่ง”
การใช้ไลดาร์กำลังปฏิวัติงานโบราณคดีมายา ไม่เพียงนำนักวิจัยไปสู่ตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นไปได้ แต่ยังเอื้อให้พวกเขาเห็นภาพใหญ่ของภูมิทัศน์โบราณ การสำรวจด้วยไลดาร์หลายสิบครั้ง รวมถึงโครงการสำคัญเมื่อปี 2018 ที่เปิดตัวในนิวออร์ลีนส์โดยได้ทุนจากมูลนิธิเพื่อวัฒนธรรมและมรดกธรรมชาติของกัวเตมาลา หรือปากูนัม (Pacunam) พลิกภาพจำที่ยึดถือกันมายาวนานของอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในภูมิภาคที่น่าอยู่น้อยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไปแล้วสมาชิกทีมขุดสำรวจ คลารา อะเล็กซานเดอร์ ตรวจสอบหลุมศพใกล้โฮลมุลที่ถูกโจรขุดสมบัติพังเข้าไป ขณะที่ไลดาร์เปิดเผยให้เห็นวิหาร หลุมฝังศพ และสิ่งปลูกสร้างยุคมายาอื่นๆ ที่ไม่รู้จักก่อนหน้านี้หลายพันแห่ง เช่นเดียวกับที่พบหลักฐานการลักลอบขุดค้นอย่างกว้างขวางด้วย “แทบไม่มีทางพูดเกินความจริงถึงขอบเขตที่ไลดาร์สร้างความตื่นตัวให้วงการโบราณคดีมายาได้เลยครับ” นักโบราณคดีชาวกัวเตมาลา เอ็ดวิน โรมัน-รามิเรซ บอกและเสริมว่า “เราจะต้องออกไปขุดค้นเพื่อทำความเข้าใจผู้สร้างอาคารเหล่านี้เสมอครับ แต่เทคโนโลยีนี้กำลังเผยให้เราเห็นชัดลงไปว่า ต้องขุดที่ไหนและอย่างไร”
ที่ผ่านมา เรื่องสำคัญที่เราค้นพบจากเทคโนโลยีนี้ คือการพลิกแนวคิดที่ว่าพื้นที่ต่ำในดินแดนมายาเป็นภูมิทัศน์ที่มีประชากรอาศัยอยู่เบาบาง และมีนครรัฐปกครองตัวเองกระจายอยู่ไม่กี่แห่ง การสำรวจด้วยไลดาร์แต่ละครั้งทำให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่า มายาคืออารยธรรมที่มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันในขอบเขตและความซับซ้อนน่าตื่นตะลึง เป็นมหานครที่ประชากรหลายล้านเป็นเกษตรกร นักรบ และนักสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่พิเศษเกินกว่าที่ใครเคยนึกภาพไว้
สำหรับกัวเตมาลา ซึ่งยากจนทางเศรษฐกิจ แต่มั่งคั่งทางวัฒนธรรมและขุมทรัพย์เชิงนิเวศ การค้นพบเหล่านี้นำมาซึ่งความเป็นไปได้ที่น่าตื่นเต้น แหล่งโบราณคดีใหม่ๆ หลายแห่งอาจกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม เอื้อให้ประเทศกรุยทางทางที่ยั่งยืนออกจากความยากจนได้ แต่สำหรับเอสตราดา-เบลลี และโรมัน-รามิเรซ ตลอดจนนักโบราณคดีและนักอนุรักษ์ชาวกัวเตมาลาอื่นๆ ภาพจากเทคโนโลยีล้ำยุคนี้ยังตีแผ่การพัฒนาที่น่ากังวลมากกว่าด้วย นั่นคือร่องรอยที่เห็นได้ชัดของโจรปล้นสมบัติ คนตัดไม้เถื่อน พวกกว้านซื้อจับจองที่ดิน และพวกลักลอบขนยาเสพติดที่ยึดครองป่าฝนใหญ่อันดับสองที่เหลืออยู่ในทวีปอเมริกา ชาวกัวเตมาลาจำนวนไม่น้อยกลัวว่าพวกเขาอาจแพ้เดิมพันในการเร่งปกป้องภูมิทัศน์และขุมทรัพย์ความเสี่ยงสูงต่างๆ เหล่านั้นมรดกวัฒนธรรมสำคัญที่สุดส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในเขตสงวนชีวมณฑลมายา (Maya Biosphere Reserve) ซึ่งผนวกรวมทั้งอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่สัมปทานป่าไม้ที่อนุญาตให้ชาวบ้านตัดไม้และเก็บผลิตผลจากป่าอื่นๆได้ เขตสงวนชีวมณฑลซึ่งประกอบด้วยพื้นที่ราวหนึ่งในห้าของกัวเตมาลาเป็นที่อยู่ของเสือจากัวร์และนกมาคอว์แดง รวมถึงนก ผีเสื้อ สัตว์เลี้อยคลาน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ อีกหลายร้อยชนิด
ป่าดิบชื้นในอเมริกากลางแทบไม่เคยเผยความลับที่ฝังอยู่ออกมาง่ายๆ ในช่วงกลางศตวรรษที่สิบเก้า นักเขียนชาวอเมริกัน จอห์น ลอยด์ สตีเวนส์ กับเฟรเดอริก แคเทอร์วูด เพื่อนศิลปินชาวอังกฤษ ออกสำรวจเมืองมายาที่ถูกทิ้งร้างบางส่วนในคาบสมุทรยูกาตานของเม็กซิโก คำบรรยายและภาพวาดพีระมิดและพระราชวังในดงไม้รกเรื้อของทั้งคู่ ดึงดูดนักวิจัยอื่นๆ ให้ตามเข้าไป แต่หลังจากขุดสำรวจอยู่หลายสิบปี นักโบราณคดีก็เจาะหน้าต่างบานเล็กๆ เข้าสู่โลกของมายาได้ไม่กี่บานเท่านั้น
เมื่อปี 2009 นักโบราณคดีสองสามีภรรยา ไดแอนและอาร์เลน เชส ซึ่งปัจจุบันทำงานที่มหาวิทยาลัยฮิวสตัน พยายามลองทำสิ่งใหม่ที่การากอล เมืองโบราณในเบลีซที่พวกเขาขุดสำรวจกันมาตั้งแต่ปี 1985 เครื่องสแกนไลดาร์ที่เดิมใช้ในงานอุตุนิยมวิทยาและติดตามเทห์ฟ้า ได้รับการติดตั้งบนอากาศยานเพื่อช่วยทำแผนที่และสำรวจมากขึ้นเรื่อยๆ“ตอนเริ่มโครงการ เราคิดว่าการากอลเป็นแค่กลุ่มพีระมิดกับวิหารไม่กี่หลังเท่านั้น” อาร์เลน เชส บอกและเสริมว่า “แต่พอใช้ไลดาร์สำรวจพื้นที่รอบนอก เราพบว่าที่จริงแล้วนี่คือเมืองขนาดใหญ่ที่มีการวางผังอย่างละเอียดซับซ้อนครับ”
ข้อค้นพบของทั้งคู่ทำให้นักโบราณคดีคนอื่นๆ ตื่นตัวกับศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ เมื่อปี 2021 การขุดสำรวจที่อิงข้อมูลของปากูนัมให้ผลน่าทึ่งแม้กระทั่งในตีกัล (Tikal) แหล่งโบราณคดีใหญ่ที่สุดของกัวเตมาลา เมืองนี้ใหญ่กว่าที่เคยคิดกันก่อนหน้าอย่างน้อยสี่เท่า และบางส่วนก็ล้อมรอบด้วยคูขนาดใหญ่และกำแพงป้องกันที่ทอดยาวหลายกิโลเมตร สิ่งที่เผยให้เห็นยังมีพีระมิดขนาดใหญ่และกลุ่มสิ่งปลูกสร้างที่เห็นได้ชัดว่าเป็นที่ตั้งของชุมชนจาก เตโอตีอัวกัน มหาอำนาจโบราณที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกกว่า 1,250 กิโลเมตร
“การพบโบราณสถานสำคัญใหม่ๆ ใจกลางตีกัล ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีการศึกษาอย่างกว้างขวางครอบคลมที่สุดแห่งหนึ่งในพื้นที่มายา ตอกย้ำว่าไลดาร์กำลังเปิดประตูบานใหม่ๆ” โรมัน-รามิเรซ ผู้อำนวยการโครงการโบราณคดีตีกัลใต้ บอกและเสริมว่า “เรากำลังค้นพบหลายสิ่งที่เราไม่มีทางนึกภาพออก แม้กระทั่งตอนที่เราเดินอยู่บนนั้นก็ตาม”
เรื่อง ทอม ไคลน์ส ภาพถ่าย รูเบน ซัลกาโด เอสกูเดโร แปล ศรรวริศา เมฆไพบูลย์NATIONAL GEOGRAPHIC ฉบับภาษาไทย
|
|
|
22
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / อับดุล คาริม จากข้ารับใช้ สู่ “มิตรแท้คู่ใจ” ราชินีวิกตอเรีย จวบจนวาระสุดท้าย
|
เมื่อ: 20 เมษายน 2567 13:26:50
|
ผู้เขียน - สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์ เผยแพร่ - ศิลปวัฒนํรรม วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ.2567
อับดุล คาริม ชาวอินเดีย ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็น “ข้ารับใช้” สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และได้รับการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วเป็น “มุนชี” หรือพระอาจารย์ เป็นราชเลขาธิการในพระองค์ ทั้งยังเป็น “มิตรแท้” คู่พระทัย “ราชินีวิกตอเรีย” ถึง 14 ปี จวบจนลมหายใจสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ
แต่ทำไมราชวงศ์อังกฤษถึงลบชื่อเขาออกจากประวัติศาสตร์ ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน?
จากดินแดนอาณานิคม สู่ “ใจกลาง” จักรวรรดิอังกฤษ
โมฮัมเหม็ด อับดุล คาริม (Mohammed Abdul Karim) เป็นชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลาม เกิดเมื่อ ค.ศ.1863 ในยุคที่อินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษแล้วเรียบร้อย คาริมในวัยหนุ่มทำงานเป็นเสมียนในเรือนจำกลางเมืองอัครา รัฐอุตตรประเทศ ซึ่งนักโทษที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการทอพรมผืนงาม
ปี 1886 เรือนจำได้นำนักโทษและผลงานการทอพรมไปจัดแสดงที่เซาธ์ เคนซิงตัน ในอังกฤษ แม้คาริมจะไม่ได้เดินทางไปด้วย แต่ได้ช่วย จอห์น ไทเลอร์ (John Tylor) ผู้อำนวยการเรือนจำ จัดการการเดินทาง และยังช่วยเลือกของที่จะนำไปทูลเกล้าฯ เป็นของขวัญถวายแด่ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ซึ่งทรงเป็น “จักรพรรดินีนาถแห่งอินเดีย” ด้วยอีกตำแหน่ง
ราชินีวิกตอเรีย ไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนอินเดีย แต่ทรงสนพระทัยดินแดนตะวันออกแห่งนี้ จึงทรงมีรับสั่งให้ไทเลอร์จัดหาชาวอินเดีย 2 คน มาเป็นข้ารับใช้ใน “พระราชพิธีกาญจนาภิเษก” เฉลิมฉลองที่พระองค์ทรงครองราชย์ครบ 50 ปี ในปี 1887
อับดุล คาริม และโมฮัมเหม็ด เบิกช์ (Mohammed Buksh) คือผู้ได้รับการคัดเลือก และการเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนครั้งนี้เอง ที่นำคาริมเข้าสู่แวดวงราชวงศ์อังกฤษแบบที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
ทั้งคู่เดินทางมาถึงอังกฤษในเดือนมิถุนายน ปี 1887 และหลังจากพระราชพิธีซึ่งจัดขึ้นวันที่ 20-21 มิถุนายน ผ่านพ้นไปอย่างเรียบร้อย คาริมและเบิกช์ก็มาเป็นข้ารับใช้ในราชินีวิกตอเรีย
ชราบานี บาซู (Shrabani Basu) นักข่าวที่ค้นพบเรื่องราวของคาริม ระหว่างเข้าชมตำหนักออสบอร์น (Osborne House) ที่ไอล์ออฟไวต์ (Isle of Wight) ในปี 2003 นำสู่การค้นหาเบาะแสที่ร่วงหล่น รื้อฟื้นหลักฐานต่างๆ ขึ้นมา แล้วถ่ายทอดเป็นหนังสือ “Victoria & Abdul: The True Story of the Queen’s Closest Confidant” บอกเล่าจุดเริ่มต้นมิตรภาพระหว่างราชินีวิกตอเรียกับคาริมว่า
หลังพระราชพิธีกาญจนาภิเษกไม่นานนัก ราชินีซึ่งขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ 68 พรรษา เสด็จไปประทับ ณ ตำหนักออสบอร์น ซึ่งเป็นตำหนักฤดูร้อน ที่นี่คาริมวัย 24 ปี สร้างความประทับใจแก่ราชินีวิกตอเรีย ด้วยการปรุงแกงกะหรี่ไก่กับดาลและข้าวพิลาฟถวายพระองค์ ซึ่งโปรดอย่างยิ่ง
ความที่พระองค์ทรงสนพระทัยวัฒนธรรมอินเดีย จึงทรงให้คาริมสอนภาษาอูรดู เพื่อจะได้สื่อสารกับเขาได้ รวมทั้งทรงสอบถามเรื่องวิถีชีวิตของผู้คนในอินเดียจากคาริมด้วย อับดุล คาริม “มิตรแท้คู่ใจ” ราชินีวิกตอเรีย
“เขาคุยกับพระองค์ในแบบเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่แบบข้าราชบริพารกับราชินี ในขณะที่ทุกคนรวมถึงพระราชโอรสและพระราชธิดารักษาระยะห่างกับพระองค์ แต่ชายหนุ่มชาวอินเดียผู้นี้กลับใสบริสุทธิ์ เขาเล่าให้พระองค์ฟังเกี่ยวกับอินเดีย ครอบครัวของเขา และรับฟังเมื่อราชินีทรงเล่าถึงครอบครัวของพระองค์” บาซู บอกถึงเหตุผลที่ทำให้คาริมเป็นคนโปรดของราชินีแห่งอังกฤษอย่างรวดเร็ว
จากข้ารับใช้ ในระยะเวลาไม่นานนักคาริมก็เลื่อนขั้นเป็น “มุนชี” (Munchi) หรืออาจารย์ จากนั้นก็เป็นเสมียน ให้คำแนะนำเรื่องเกี่ยวกับอินเดียถวายราชินีวิกตอเรีย ได้รับเงินเดือนเดือนละ 12 ปอนด์ ก่อนจะเลื่อนขั้นขึ้นไปอีกเป็นราชเลขาธิการในปี 1888
ราชินีวิกตอเรีย โปรดให้ “มุนชี” ตามเสด็จไปยังหลายประเทศในยุโรป พระราชทานเกียรติยศมากมาย ทรงให้คาริมพำนักที่พระตำหนักฟร็อกมอร์ คอตเทจ (Frogmore Cottage) ภายในเขตพระราชฐานพระราชวังวินด์เซอร์ พระราชทานรถม้าส่วนตัว และโปรดให้คาริมกลับเมืองอัครา เพื่อพาภรรยามาพำนักที่อังกฤษกับเขา
ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังทรงรับสั่งให้จิตรกรฝีมือดีวาดภาพของคาริมไว้ประดับตกแต่งอีกด้วย เช่น ปี 1887 ทรงให้ ลอริตส์ เรกเนอร์ ทูเซ็น (Laurits Regner Tuxen) จิตรกรชาวเดนมาร์ก วาดภาพคาริมเต็มตัวในรูปแบบสีน้ำมัน
ปี 1888 ทรงให้ รูดอล์ฟ สโวโบดา (Rudolph Swoboda) จิตรกรชาวออสเตรีย วาดภาพสีน้ำของคาริมครึ่งตัวในเครื่องแต่งกายแบบอินเดีย จากนั้น ปี 1890 รับสั่งให้ ไฮน์ริช ฟอน แองเจลี (Heinrich von Angeli) จิตรกรวาดภาพเหมือนชาวออสเตรีย วาดภาพคาริมครึ่งตัวในรูปแบบสีน้ำมันขึ้นมาอีกภาพ
ในจดหมายที่ราชินีวิกตอเรียทรงมีถึงจักรพรรดินีเฟรเดอริก พระราชธิดาองค์โตของพระองค์ ระบุว่า “เขา (จิตรกร) ไม่เคยวาดภาพชาวตะวันออกคนใดมาก่อนเลย และถึงกับตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา… ฉันคาดว่าต้องออกมาดีมากๆ เป็นแน่”
เมื่อแองเจลีวาดภาพเสร็จ ตอนแรกพระราชินีไม่ทรงชอบ เพราะคิดว่าภาพดูมืดเกินไป แต่ต่อมาภาพวาดคาริมฝีมือแองเจลีก็ไปประดับอยู่ที่พระตำหนักฟร็อกมอร์ คอตเทจภาพวาดอับดุล คาริม โดย แองเจลี (ภาพ : https://www.rct.uk/collection/406915/the-munshi-abdul-karim-1863-1909)
มิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษกับชายหนุ่มชาวอินเดีย ยังปรากฏผ่านจดหมายที่ราชินีวิกตอเรียทรงมีถึงคาริม ทรงลงท้ายจดหมายว่า “แม่ที่รักของเธอ” หรือไม่ก็ “เพื่อนสนิทที่สุดของเธอ” และบางฉบับก็มีรอยประทับจุมพิตปรากฏอยู่ด้วย
“บางโอกาส พระองค์ถึงขั้นประทับรอยจุมพิตลงในท้ายจดหมาย ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นการกระทำที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก” บาซู บอกกับ BBC และบอกด้วยว่า เธอคิดว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวมีมิติที่ซ้อนทับกันอยู่ คือเป็นความสัมพันธ์แม่-ลูก ที่ผูกระหว่างความเป็นชายหนุ่มชาวอินเดียกับผู้หญิงที่ขณะนั้นมีอายุ 60 กว่าปีเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม มิตรภาพระหว่างราชินีวิกตอเรียกับคาริม สร้างความไม่พอใจ (และอาจเลยเถิดไปถึงขั้นอิจฉาริษยา) ให้ข้าราชบริพารในราชสำนักที่แวดล้อมสมเด็จพระราชินี ไม่ว่าจะเป็นการพระราชทานเหรียญตราเกียรติยศ การจัดให้คาริมร่วมโต๊ะอาหารเดียวกับพวกเขา ที่ถือว่าเป็น “ชนชั้นสูง” และถือว่าชาวอินเดียเป็นพวกคนป่าเถื่อน ไม่มีอารยะ ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านั้นได้
ปลายทศวรรษ 1890 ราชินีวิกตอเรียทรงมีพระพลานามัยย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จวบจนวาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ ทรงมีพระราชประสงค์ให้คาริมเป็นหนึ่งในผู้ร่วมไว้อาลัย ร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์และพระสหายกลุ่มเล็กๆ ของพระองค์
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้ทรงดำรงตำแหน่ง “จักรพรรดินีนาถแห่งอินเดีย” สวรรคตเมื่อวันที่ 22 มกราคม ปี 1901 พระชนมพรรษา 81 พรรษา
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด (Price Edward) รัชทายาท ที่ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้คาริมเข้าเคารพและดูพระบรมศพเป็นคนสุดท้ายก่อนปิดหีบพระบรมศพ
แต่หลังจากนั้น พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 รับสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าค้นพระตำหนักฟร็อกมอร์ คอตเทจ ที่คาริมและครอบครัวพำนัก ทรงให้นำจดหมายที่พระราชมารดาของพระองค์เขียนติดต่อกับคาริมออกมาเผาทิ้งทุกฉบับ และทรงมีพระราชบัญชาให้คาริมและครอบครัวเดินทางกลับอินเดียทันที ส่วน เจ้าหญิงเบียทริซ (Princess Beatrice) พระราชธิดาในราชินีวิกตอเรีย ก็รับสั่งให้ทำลายหลักฐานที่พระราชมารดาทรงบันทึกถึงคาริมให้สิ้นซาก
อับดุล คาริม ใช้ชีวิตอย่างสงบที่ คาริม ลอดจ์ เมืองอัครา บนที่ดินที่ราชินีวิกตอเรียพระราชทานให้ เขาได้รับเงินบำนาญจากอังกฤษ และจากไปเมื่อวันที่ 20 เมษายน ปี 1909 ขณะอายุ 46 ปี เรื่องราวของเขาและราชินีแห่งอังกฤษถูกนำมาเล่าขานผ่านหนังสือ รวมทั้งภาพยนตร์เรื่อง Victoria & Abdul (2017) ปลุกประวัติศาสตร์ยุคนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ภาพวาดอับดุล คาริม โดย ลอริตส์ เรกเนอร์ ทูเซ็น ( Wikimedia Commons)
|
|
|
23
|
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / พระแสนแซว่ พระพุทธรูปที่ถูกตอกตะปูเย็บปาก ?!?
|
เมื่อ: 20 เมษายน 2567 11:50:35
|
พระแสนแซว่ พระพุทธรูปที่ถูกตอกตะปูเย็บปาก ?!? ผู้เขียน - วิภา จิรภาไพศาล เผยแพร่ - ศิลปวัฒนธรรม วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ.2567
หากกล่าวถึงเศียรพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ผู้อ่านจำนวนไม่น้อยมักนึกถึง “เศียรธรรมิกราช” ที่มีความสูงประมาณ 2 เมตร พบที่วัดธรรมิกราช พระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา นอกจากเศียรธรรมิกราชแล้ว ยังพบเศียรพระขนาดใหญ่อื่นๆ อีก เช่น เศียร “พระแสนแซว่” เชียงใหม่ ซึ่งมีเรื่องเล่าแปลกๆ ว่า ที่พระโอษฐ์ของท่านมีตะปูตอกอยู่
ศ.ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์ อธิบายเรื่องนี้ไว้ใน “เศียรพระแสนแส้ : พระพุทธรูปที่ถูกตรึงพระโอษฐ์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่” (ศิลปวัฒนธรรม, ฉบับเดือนกรกฎาคม 2545) ไว้ดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่และสั่งเน้นคำโดยผู้เขียน)
เศียรพระแสนแซว่ (แสนแส้) ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ เป็นเศียรพระพุทธรูปสำริด สูง 1.70 เมตร ถ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มองค์ (พระพุทธรูปนั่ง) จะสูงประมาณกว่า 6 เมตร เทียบสัดส่วนได้กับพระศรีศากยมุนีประดิษฐานในวิหารพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำริดที่สมบูรณ์และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (สูง 8 เมตร)
ประวัติความเป็นมาของเศียรพระพุทธรูปองค์นี้ กล่าวว่า แต่เดิมพบที่วัดยางกวง (วัดร้างใกล้กับประตูเมืองเชียงใหม่) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามขึ้นนั้น พระองค์ได้มีพระราชดำริให้รวบรวมและอัญเชิญพระพุทธรูปที่เป็นงานช่างชั้นเยี่ยม มีรูปแบบต่างๆ กันทั้งในและต่างประเทศ และมีขนาดที่ใกล้เคียงกัน มาประดิษฐานรอบพระระเบียงพระอุโบสถ โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นผู้ดำเนินการ
ด้วยเหตุนี้เองจึงได้มีการอัฐเชิญเศียรพระแสนแซว่จากเมืองเชียงใหม่มาในคราวเดียวกันนี้ด้วย แต่ไม่ปรากฏในทะเบียนประวัติพระพุทธรูปรอบพระระเบียงวัดเบญจมบพิตรฯ แต่อย่างใด
เมื่อคราวที่ให้มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครขึ้นในปี พ.ศ.2469 ได้มีการรวบรวมโบราณวัตถุจากที่ต่างๆ มาจัดแสดง เศียรพระแสนแซว่จึงได้ย้ายมาจัดแสดงในคราวเดียวกันนี้ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2515 กรมศิลปากรได้จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ขึ้น ตามโครงการจัดตั้งมีนโยบายให้นำโบราณวัตถุที่เป็นของภาคเหนือนำกลับไปจัดแสดงด้วย ดังนั้นเศียรพระแสนแซว่จึงได้กลับคืนมาสู่ล้านนาอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน
“พระแสนแซว่” บางครั้งเข้าใจเป็น “พระแสนแส้” หรืออาจเขียนตามภาษาพูดเป็น “แสนแซว่” หรือ “แสนแสว้” ตามศัพทานุกรมภาคเหนือใช้ “พระแสนแซว่” ในภาษาถิ่นภาคเหนือไม่มีความหมาย ส่วนคำว่า “แซว่” ตามภาษาถิ่นหมายถึง สลักหรือกลอนที่ใช้ยึด หรือเชื่อมวัสดุหลายๆ ชิ้นเข้าด้วยกัน
การที่มีคำว่า “แสน” มาประกอบหมายถึงจำนวนนับ ดังนั้นคำว่า “แสนแซว่” จึงหมายถึงสลักหรือกลอนจำนวนเป็นแสนๆ ซึ่งเป็นวิธีการของชาวล้านนาในการใส่จำนวนนับ เช่น หมื่น แสน ล้าน นำหน้าคำเพื่อเป็นการบอกขนาด เช่น พระเจ้าฝนแสนห่า พระเจ้าล้านทอง พระเจ้าเก้าตื้อ และพระแสนแซว่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้กับตำแหน่งผู้ปกครอง หรือทหารอีกด้วย เช่น พระเจ้าแสนเมืองมา หมื่นด้ามพร้าคด แสนหล้า เป็นต้น
ด้วยเหตุที่พระแสนแซว่มีขนาดใหญ่มาก ในการหล่อจึงต้องแยกเป็นส่วนๆ แล้วนำมาประกอบเข้าด้วยกันโดยใช้แซว่หรือสลักเป็นจำนวนมากนับเป็นแสนๆ จึงเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “แสนแซว่” (เป็นคำที่คนรุ่นหลังกำหนดเรียกขึ้นตามขนาดของพระพุทธรูปที่ต้องประกอบด้วยชิ้นส่วนหลายชิ้น)
เศียรพระแสนแซว่ในปัจจุบันนี้ยังมีผู้ศรัทธามากราบไหว้อยู่เสมอ ในขณะที่ผู้เขียน [ศ.ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์] เป็นภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ นั้น ได้มีผู้มีเกียรติท่านหนึ่งมาขอพบและบอกว่า พระโอษฐ์ของพระแสนแซว่ถูกตะปูตอกตรึงไว้หลายปีแล้วจึงมีความประสงค์จะขอโอนตะปูออก
ผู้เขียน [ศ.ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์] ได้ตรวจสอบดูก็ปรากฏว่ามีตะปูตอกอยู่จริงทั้งริมพระโอษฐ์บนและล่างในลักษณะของการตอกเพื่อปิดพระโอษฐ์ไว้
แต่ในขณะนั้นก็ไม่ได้สอบถามประวัติและไม่ได้ดำเนินการอะไร ต่อมาจึงได้พยายามค้นหาประวัติความเป็นมาโดยเฉพาะในทะเบียนประวัติพระพุทธรูปรอบระเบียงพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรฯ ก็ไม่พบว่ามีปรากฏว่ากล่าวถึง
เท่าที่ปรากฏหลักฐานคือทราบจากคำบอกเล่าเท่านั้น โดยผู้เขียน [ศ.ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์] ได้ข้อมูลจากคุณพายัพ บุญมาก อดีตหัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ได้รับฟังเรื่องราวจากญาติผู้ใหญ่ของท่านที่มีอายุในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 6 เล่าถึงความเป็นมาของพระแสนแซว่ และสาเหตุของพระแสนแซว่ถูกตะปูตรึงพระโอษฐ์ว่า
เมื่อคราวสร้างวัดเบญจมบพิตรฯ นั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพผู้ทรงรวบรวมพระพุทธรูปจากแหล่งต่างๆ มาประดิษฐานรอบพระระเบียงพระอุโบสถ ได้อัญเชิญเศียรพระแสนแซว่จากวัดยางกวง จังหวัดเชียงใหม่ลงมาด้วย แต่ปรากฏว่าไม่สามารถนำเข้าประตูพระระเบียงได้ หรืออาจจะมีเฉพาะพระเศียรเมื่อตั้งแล้วอาจไม่เข้ากับพระพุทธรูปองค์อื่นๆ จึงให้ประดิษฐานไว้ใต้ต้นไม้นอกพระระเบียงนั้น
สาเหตุที่พระโอษฐ์ของพระแสนแซว่ถูกตอกตะปูเกิดขึ้นในราวรัชกาลที่ 6 สมัยที่มีการเล่นหวย ก ข สภาพของผู้เล่นหวยคงไม่แตกต่างจากที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน คือการบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอให้ถูกหวย และมีผู้มาขอหวยกับเศียรพระแสนแซว่ด้วย
และเป็นที่เรื่องลือมากว่าใบ้หวยแม่นและมีผู้ถูกอยู่เสมอ เป็นเหตุให้เจ้ามือหวยเดือดร้อนจึงได้นำตะปูมาตอกเย็บพระโอษฐ์เพื่อไม่ให้ใบ้หวยอีกต่อไป ตะปูที่ตอกจึงติดมาจนถึงทุกวันนี้
|
|
|
24
|
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / Re: พระเครื่อง
|
เมื่อ: 17 เมษายน 2567 18:06:38
|
เหรียญหลวงพ่อหรุ่นเหรียญรุ่นแรก พ.ศ.2460 หลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก พระเกจิดัง สมุทรสงคราม ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 สิงหาคม 2566 เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2566
กาลสมัยผ่านมาลุ่มน้ำแม่กลองถือเป็นแหล่งสรรพวิชา มากด้วยพระเกจิอาจารย์ นับเนื่องจากอดีตถึงปัจจุบัน ไม่เคยขาดหาย
แต่ถ้าให้กล่าวถึงพระเกจิอาจารย์ที่เป็นจุดหมายปลายทางของพระธุดงค์สมัยก่อน วัดช้างเผือก ถือเป็นแหล่งรวมพระธุดงค์มากมายหลายรูป
เนื่องจากมีพระเกจิอาจารย์ผู้มากวิชาโดดเด่น ด้านการทำน้ำมนต์ และวิชามหาอุตม์ นั่นก็คือ พระอธิการรุฬ หรือหลวงพ่อหรุ่นนั่นเอง
“หลวงพ่อหรุ่น พุทธสโร” วัดช้างเผือก อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
ช่วงบั้นปลายชีวิต จัดสร้างวัตถุมงคลที่ระลึกและแจกให้ผู้ที่มาร่วมบุญ ทุกรุ่นล้วนแต่ได้รับความนิยม
“เหรียญรุ่นแรก” ได้รับความนิยมอย่างสูงไปด้วย
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2460 เพื่อแจกในงานศพของท่านเอง มีพระเกจิชื่อดังสมัยนั้นปลุกเสกเป็นจำนวนมาก อาทิ หลวงพ่อคง ธัมมโชโต วัดบางกระพ้อม, หลวงพ่อบ่าย ธัมมโชโต วัดช่องลม, หลวงพ่อแก้ว พรหมสโร วัดพวงมาลัย, หลวงพ่อช่วง อินทโชติ วัดปากน้ำ, หลวงพ่อใจ อินทสุวัณโณ วัดเสด็จ และลูกศิษย์อีกเป็นจำนวนมาก
มีเนื้อเงินและเนื้อทองแดง สร้างน้อยมาก
ด้านหน้า ขอบเหรียญมีลายกนก ตรงกลางมีรูปเหมือนนั่งขัดสมาธิเต็มองค์ห่มจีวรลดไหล่ พาดสังฆาฎิ มีอาสนะรองรับ ระบุปี “พ.ศ.๒๔๖๐”
ด้านหลัง ด้านบนสุด เขียนคำว่า “วัดช้าง” ถัดลงมาเป็นยันต์ ความว่า “อะระหัง อะสัง วิสุโล ปุสะพุภะ”
แม้จะเป็นเหรียญตาย แต่ก็หายากหลวงพ่อหรุ่น พุทธสโร
อัตโนประวัติ เกิดเมื่อปี พ.ศ.2372 ที่บ้านไผ่ขวาง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี บิดาชื่อ นายรุ่ง มารดาชื่อ นางล้อม มีอาชีพทำนาและค้าขาย
ครอบครัวฝ่ายมารดาเป็นชาวบางช้าง จ.สมุทรสงคราม บ้านใกล้กับวัดบางจาก เป็นญาติกับหลวงพ่ออ้น วัดบางจาก ศิษย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม
ต่อมาบิดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือไทยและขอม ที่สำนักวัดประตูสาร มีพระอาจารย์ภู่เป็นครู เรียนจนจบอ่านออกเขียนได้
พ.ศ.2492 อายุครบบวช จึงเข้าพิธีอุปสมบทที่วัดประตูสาร มีพระอาจารย์ภู่ วัดประตูสาร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดี กับพระอาจารย์อ่วม วัดไทร เป็นพระคู่สวด ได้รับฉายาว่า พุทธสโร
ศึกษาพระปริยัติธรรม ท่องบทสวดมนต์จนจบ จำพระปาฏิโมกข์แม่นยำ ซึ่งถือว่าหาอาจารย์ที่แคล่วคล่องในระดับนี้ได้ยากมากสมัยนั้น
นอกจากนี้ ยังสนใจเรื่องธุดงควัตร จึงไปศึกษากับพระอาจารย์แสวง วัดบางปลาม้า ออกธุดงค์ไปหลายแห่งฝึกพลังจิตจนแก่กล้า
พรรษาที่ 6 เดินทางมาในงานศพนางแจ่ม ซึ่งเป็นยายที่บ้านใกล้วัดบางจาก จึงได้รู้จักกับพระอุปัชฌาย์เอี่ยม วัดบางจาก
หลวงพ่อเอี่ยม จึงชวนให้มาอยู่ด้วยกัน ต่อมาบิดาเสียชีวิตลง มารดาจึงชวนกันอพยพกลับมาอยู่ที่บางจาก ก็เลยมาจำพรรษาที่วัดบางจาก
ชอบออกธุดงค์แบกกลดเข้าป่าเป็นประจำ ได้ศึกษาพุทธาคม สมุนไพร แพทย์แผนโบราณ จากพระอาจารย์ในป่าลึก ได้รับความรู้ต่างๆ มากมายจนเป็นที่พึ่งของภิกษุ สามเณร และชาวบ้านในแถบนั้น
ต่อมาวัดช้างเผือกว่างเจ้าอาวาสลง ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาส ด้วยวัดช้างเผือกในขณะนั้นกำลังชำรุดทรุดโทรมอย่างมาก พอมาอยู่ที่วัดช้างเผือก ก็เริ่มบูรณปฏิสังขรณ์พัฒนาวัดเรื่อยมา มีพระและชาวบ้านมาขอเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยเป็นจำนวนมาก
เกิดความนิยมในหมู่พระสงฆ์ที่ออกธุดงค์ทั้งหลายว่า ต้องมาปักกลดที่วัดช้างเผือกเพื่อศึกษาวิชาด้วย จนทำให้พื้นที่ของวัดแน่นขนัดไปด้วยกลดจำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านมาให้รักษาโรคแทบทุกวัน คนถูกผีเข้าเจ้าสิงก็มาให้รดน้ำมนต์กันจนแน่นวัด จนเป็นที่รู้จักกันทั้งลุ่มน้ำแม่กลอง
ได้รับการถ่ายทอดวิชาทำผงวิเศษ 108 จากหลวงพ่ออ้น วัดบางจาก
หลวงพ่อหรุ่นเป็นพระที่มีเมตตาไม่ปิดบังวิชา ใครมาขอเรียนด้วยก็ยินดีสอนให้ จึงมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เช่น หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม, หลวงพ่อหรีด วัดเพลง, หลวงพ่อห่วง วัดท่าใน และหลวงพ่อแช่ม วัดจุฬามณี เป็นต้น
มรณภาพอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่อปี พ.ศ.2458 สิริอายุ 86 ปี พรรษา 66 •เหรียญหล่อพิมพ์เศียรโล้น หลวงพ่อบ่ายเหรียญหล่อพิมพ์เศียรแหลม หลวงพ่อบ่ายเหรียญหล่อโบราณ หลวงพ่อบ่าย วัดช่องลม ยอดพระเกจิลุ่มแม่กลอง ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 สิงหาคม 2566 เผยแพร่ - วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2566
พระเกจิอาจารย์สายลุ่มน้ำแม่กลอง อาวุโสรองจากหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย คือ “หลวงพ่อบ่าย ธัมมโชโต” วัดช่องลม ต.บ้านปรก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม วัตถุมงคลได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
เป็นทั้งน้องและศิษย์ของหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย และเป็นสหธรรมิกที่สนิทสนมกันมากกับหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม พระเกจิชื่อดังในยุคเดียวกัน
สร้างวัตถุมงคลไว้หลายชนิด ล้วนเป็นที่นิยมและเสาะแสวงหาอย่างสูง อาทิ เหรียญรูปเหมือน และเครื่องรางของขลังต่างๆ
แต่ที่ได้รับความนิยมได้แก่เหรียญหล่อ สร้างปี พ.ศ.2460 คือ “เหรียญหล่อโบราณพิมพ์เศียรโล้น”
เหรียญหล่อพิมพ์เศียรโล้น หลวงพ่อบ่าย ลักษณะเป็นรูปใบสาเก หล่อแบบเป้าประกบหน้า-หลัง มีหูในตัว สร้างด้วยเนื้อโลหะผสมแก่ทองเหลือง จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
ด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิ ห่มจีวรเฉียงพาดสังฆาฏิ มีอาสนะรอง องค์พระมีตัวอุ แทนเกศเปลวเพลิง จึงเป็นที่มาของชื่อพิมพ์ มีรูปพญานาคอยู่ทางด้านซ้าย-ขวา องค์พระ ใต้พญานาค มีอักขระขอม ส่วนด้านล่างใต้อาสนะเป็นตัวอักษร อ่านว่า “วัจชังลม”
ด้านหลัง บนสุดมีอักขระขอมตัวอุ ใต้ตัวอุมีการผูกยันต์หัวใจพญาเสือโคร่ง “ภูภิภุภะ” และอักขระยันต์อื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีอีกเหรียญหล่อโบราณที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ “เหรียญหล่อโบราณพิมพ์เศียรแหลม”
เหรียญดังกล่าว สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2460 เช่นเดียวกัน มีลักษณะเป็นรูปใบสาเก หล่อแบบเป้าประกบหน้า-หลัง มีหูในตัว สร้างด้วยเนื้อโลหะผสมแก่ทองเหลือง
ด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิ ห่มจีวรเฉียงพาดสังฆาฏิ มีอาสนะรอง มีรูปพญานาคอยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาขององค์พระ ใต้พญานาค มีอักขระขอม ส่วนด้านล่างใต้อาสนะเป็นตัวอักษรอ่านว่า “วจชง”
ด้านหลัง บนสุดมีอักขระขอมตัวนะ ใต้ตัวนะมีพระคาถา 4 แถวเรียงลงมา อ่านว่า “กิ ริ มิ ทิ” “กุ รุ มุ ทุ” “เก เร เม เท” “กึ รึ มึ ทึ” ส่วนด้านล่วงสุดเป็นตัวอักษร “อ”
เป็นอีกวัตถุมงคลที่ได้รับความศรัทธาและเชื่อมั่นในพุทธาคมหลวงพ่อบ่าย ธัมมโชโต
ชีวประวัติ หลวงพ่อบ่าย ได้รับการบันทึกเป็นหลักฐานน้อยมาก แต่เท่าที่สืบค้นมาได้ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 8 ปีระกา ตรงกับพุทธศักราช 2404 ที่บ้านครก อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี
เป็นเด็กกำพร้าซึ่งพระอาจารย์เกตุ วัดทองนพคุณ จ.เพชรบุรี พี่ชายหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย ได้นำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
เมื่ออายุ 10 ปี ศึกษาภาษาไทยและภาษาบาลีจากพระอาจารย์คล้ำ วัดสวนทุ่ง ก่อนบรรพชาเป็นสามเณร
อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ อุปสมบทที่วัดทองนพคุณ มีหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์พุก วัดสวนทุ่ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เกตุ วัดทองนพคุณ เป็นอนุสาวนาจารย์
อยู่จำพรรษาที่วัดทองนพคุณ จ.เพชรบุรี
ด้านการศึกษาวิทยาคมนั้นเรียนกับหลวงพ่อพุก วัดสวนทุ่ง และพระอาจารย์เกตุ วัดทองนพคุณ อีกทั้งยังได้เรียนเพิ่มเติมจากหลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม พร้อมกับเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานและพุทธาคมควบคู่กันไปด้วย ท่านจึงมีความใกล้ชิดกับหลวงพ่อแก้วเป็นอย่างยิ่ง
ปี พ.ศ.2437 ไปธุดงค์ที่จังหวัดสระบุรี เพื่อไปนมัสการพระพุทธบาทและพระพุทธฉาย โดยมีพระภิกษุติดตามไปด้วย 4 รูป คือ อาจารย์ไปล่ พระยา พระพลอย และโยมอุปัฏฐากหนึ่งคน ออกเดินทางในราวเดือน 12
เมื่อไปถึงและนมัสการพระพุทธบาทและพระพุทธฉายแล้ว พักแรมอยู่ประมาณเดือนเศษ ก่อนเดินทางต่อไปที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อไปนมัสการพระแท่นดงรัง ในราวเดือน 4 กลางเดือน พักแรมอยู่ที่พระแท่นดงรัง 7 วัน
ครั้นเสร็จภารกิจแล้ว ก็เดินกลับวัดช่องลม การไปธุดงค์ในครั้งนี้เป็นเวลา 4 เดือนเศษ
ขณะนั้นได้เป็นเจ้าอาวาสวัดช่องลม แทนหลวงปู่แก้ว ซึ่งย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพวงมาลัย ในปี พ.ศ.2445
พ.ศ.2470 จึงย้ายที่ตั้งวัดใหม่ เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งวัดช่องลม เดิมติดโค้งน้ำของแม่น้ำแม่กลอง ทำให้เกิดน้ำกัดเซาะตลิ่งพังไปทุกปี จนท้ายที่สุดน้ำกัดเซาะพังจวนจะถึงกุฏิ จึงย้ายมาตั้งในพื้นที่ปัจจุบัน
การก่อสร้างหรือการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะต่างๆ นั้นไม่เคยบอกใคร ไม่เคยเรี่ยไรนอกวัด เมื่อชาวบ้านรู้ข่าวว่าจะทำอะไร ก็จะมีผู้คนจำนวนมากมายมาร่วมทำบุญ บางรายถวายอิฐบ้าง บางรายถวายไม้บ้าง บางรายถวายกระเบื้องบ้าง บางรายไม่มีทรัพย์ก็เอาแรง บางรายถวายปัจจัยบ้าง สุดแต่ว่าใครมีอะไรก็นำมาตามกำลังศรัทธา
มีความประสงค์จะสร้างพระพุทธฉาย (ถ้ำไห) ซึ่งรับเป็นประธานฝ่ายสงฆ์
ด้วยการบอกบุญกับชาวบ้านขอไหต่างๆ และก่อสร้างโดยพระสงฆ์ ขอร้องให้จางวางสอน (หลวงประดิษฐ์ไพเราะ) เป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง และสร้างแพะไว้หน้าถ้ำ 1 ตัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหลวงพ่อบ่าย
ต่อมาในปี พ.ศ.2484 เกิดสงครามโลก พวกโจรมิจฉาชีพตัดหัวแพะ และถอดเอาตรีที่ปักยอดเจดีย์ไปเกือบหมด เพื่อหวังทรัพย์ จึงเหลืออยู่แต่ยอดบนๆ ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ถือเป็นพระเกจิคณาจารย์ชื่อดังที่มีวิทยาคมเข้มขลังในยุคนั้น ได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ในงานหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธฯ เมื่อปี พ.ศ.2481 และงานพุทธาภิเษกใหญ่แทบทุกงาน
วัตถุมงคลที่จัดสร้างล้วนแต่มีพุทธคุณโดดเด่น เป็นที่ปรารถนา ทั้งประเภทเครื่องรางของขลัง เหรียญหล่อโบราณ พระพิมพ์ พระผง ฯลฯ
มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันอาทิตย์ แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 4 มกราคม 2485
สิริอายุ 81 ปี พรรษา 60 •
|
|
|
25
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ยาดมไทย ใครๆ ก็ทำได้
|
เมื่อ: 16 เมษายน 2567 17:23:19
|
ยาดมไทย ใครๆ ก็ทำได้ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 เมษายน 2567 เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ.2567
ซอฟต์เพาเวอร์ จะหมายความอย่างไรแน่ยังไม่มีข้อสรุป แต่ก็กำลังเป็นความหวังสร้างเศรษฐกิจไทย
ยาดมไทยนับเป็นซอฟต์เพาเวอร์หรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ต่างชาติหลายภาษามาไทยนิยมซื้อกลับไปใช้และเป็นของฝาก คนไทยเองก็พกพาสูดดมกันทั่วไปทุกภาค
ถ้าว่ากันตามเกณฑ์กระทรวงวัฒนธรรม ที่ประกาศมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมระดับจังหวัดและระดับชาติ ก็ต้องบอกว่า ยาดมไทยยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน มีที่ใกล้เคียงที่ได้รับการขึ้นทะเบียนไว้แล้วตั้งแต่ปี 2556 คือ “ยาหม่อง” ในประเภท : การแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้าน
ทางกระทรวงวัฒนธรรมให้ความรู้ไว้ว่า แต่ก่อนที่ผลิตยาหม่องออกมาขายนั้น บรรดานายห้างและร้านค้าได้จ้างลูกจ้างชาวพม่า (ซึ่งแสดงว่าไทยรับเอาแรงงานเพื่อนบ้านมานานแล้ว) ออกมาเดินเร่ขายตามบ้าน ชาวบ้านพากันเรียกยาขี้ผึ้งกันทั่วไปว่า “ยาหม่อง” เรื่อยมา
วิธีการปรุงยาหม่องแต่ดั้งเดิมนั้น จะใช้สมุนไพรหลายชนิดแล้วแต่สูตร แต่ก็มีสรรพคุณได้ทั้งยาทาและยาดม จึงพบสมุนไพรที่ใช้กันส่วนมากเป็นพวกให้น้ำมันหอมระเหยหรือมีกลิ่นหอมเย็น เช่น พิมเสน การบูร เกล็ดสะระแหน่ น้ำมันระกำ น้ำมันกานพลู น้ำมันอบเชย เป็นต้น และนำมาผสมในตัวขี้ผึ้งเพื่อให้เป็นเนื้อยาหม่อง
โดยในอดีตก็มักใช้ขี้ผึ้ง หรือไขสัตว์ต่างๆ ในปัจจุบันก็ใช้ตัวช่วยทันสมัยหาได้ง่ายจำพวกพาราฟินและวาสลีนในการทำยาหม่อง และมีสูตรผสมตามแต่จะต้องการสรรพคุณ เช่น แก้แมลงสัตว์กัดต่อย ใช้นวดแก้ปวดเมื่อย ฯลฯ และยาหม่องยังใช้สูดดมแก้วิงเวียน คัดจมูกได้ด้วย เข้าข่าย 2 in 1 นั่นเอง
สําหรับ “ยาดมไทย” มีดีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในมุมยาสมุนไพรยาดมช่วยให้ลมทั่วร่างกายเดินได้สะดวก สูดยาดมที่ไรช่วยให้จมูกโล่ง สมองโล่ง หายใจไม่ติดขัดออกซิเจนในเลือดก็เดินดี ช่วยให้การสูบฉีดโลหิตดีขึ้น ก็ทำให้หทัยวาตะหรือลมเลี้ยงหัวใจเดินคล่อง
ยาดมจึงช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า หายง่วงและมึนงง และช่วยให้มีภูมิต้านทานโรคดีเพราะเลือดลมเดินดีด้วย
ตามภูมิปัญญาไทยเราร่ำรวยสูตรยาดม คนที่สนใจยาดมชื่อโบราณก็น่าจะเคยได้ยินยาดมส้มโอมือ ซึ่งเป็นพันธุ์หนึ่งของส้มมะงั่ว หรือสูตรยาดมผิวส้ม 8 อย่างก็มี
ในครั้งนี้ขอเสนอสูตรยาดมที่ทางมูลนิธิสุขภาพไทยนำสูตรจากการเผยแพร่ของศูนย์ข้อมูล คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นำมาปรับประยุกต์และนำไปอบรมให้นักเรียนโรงเรียนประชานิเวศน์แผนกมัธยม และสอนให้เด็กในชุมชนในกรุงเทพฯ 2-3 แห่ง เพื่อทำไว้ให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายใช้พึ่งพาตนเอง
สูตรยาดมทั่วไปแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ประเภทเป็นน้ำหรือของเหลว และที่เป็นสมุนไพรบดใส่ถุงในกระปุกให้สูดดม สูตรยาดมที่ทางมูลนิธินำไปสอนให้ทำเองนั้น เป็นการผสมผสานให้เป็นยาดมที่มาจากสมุนไพรบดผสมกับสารให้กลิ่นหอม จึงได้ยาดมที่มีของเหลวผสมในสมุนไพรแห้งด้วย
ส่วนประกอบที่ใครๆ ก็ทำได้ ให้นํากระวาน 1 ผล โป๊ยกั๊ก 1 ผล กานพลู 5 ดอก อบเชย 1 ช้อนชา ลูกผักชี 1 ช้อนชา พริกไทยดำ 1 ช้อนชา สมุนไพรแห้งเหล่านี้หาซื้อตามร้ายขายวัตถุดิบยาไทย เคล็ดลับคือ ควรตำหรือบดให้เป็นชิ้นเล็กๆ จะดีกว่าไม่บด สมุนไพรที่ละเอียดจะให้กลิ่นหอมหรือกลิ่นเฉพาะตัว หอมนวลเวลาสูดดม สัดส่วนที่กล่าวไว้เมื่อบดหรือตำแล้ว คลุกให้เข้ากัน ใส่ภาชนะไว้ก่อน
ส่วนประกอบจำพวกที่ผสมแล้วจะเป็นของเหลว คือ ใช้การบูรและพิมเสน อย่างละ 1 ช้อนชา ผสมในกระปุกปากกว้างมีฝาปิด คนเข้ากันจะเป็นของเหลว แค่การบูรและพิมเสนก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้ามีทุนทรัพย์ก็สามารถเติมสมุนไพรที่มีราคาแพงขึ้นได้อีก 2 ชนิด จะช่วยกลิ่นดียิ่งขึ้น คือ เติมเมนทอล 2 ช้อนชา ผสมลงไปเป็นของเหลว เมื่อละลายเข้ากันดีแล้ว เติมน้ำมันยูคาลิปตัสสัก 3 ม.ล. ปิดฝาไว้
สูตรสมุนไพรนี้ สามารถแบ่งสมุนไพรแห้งที่บดแล้วลงไปในขวดเล็กขนาด 7 ม.ล. ได้ถึง 3 ขวด จากนั้นก็เทน้ำมันสมุนไพรที่เป็นของเหลวที่เตรียมไว้ลงไปในขวดเล็กๆ ทั้ง 3 ขวด เคล็ดลับอีกประการคือ ให้หาผ้ากอซหรือสำลีเล็กๆ ขนาดพอดีกับปากขวด ปิดไว้จะช่วยให้กลิ่นอยู่นานขึ้น บางคนไม่ชอบกลิ่นพิมเสนการบูรจะไม่ใส่ก็ได้ และสารให้กลิ่นเหล่านี้ไม่ควรสูดดมถี่และมากไป จะทำให้ระคายเคืองจมูกได้ เด็กเล็กไม่ควรใช้
สมุนไพรในยาดมสูตรนี้หาได้ง่ายทั่วไป ทั้งกระวาน กานพลู อบเชย ลูกผักชี พริกไทยดำ แต่คงมีคนสงสัยว่า โป๊ยกั๊ก นี่เป็นสมุนไพรจีนมาได้อย่างไร ก็คงเพราะวัฒนธรรมผสมผสานไทยจีน หมอยาไทยเองก็เรียกว่าจันทน์แปดกลีบ ตามลักษณะรูปดาวแปดแฉก และชื่อ โป๊ยกั๊ก (โป๊ย = แปด, กั๊ก = แฉก) ซึ่งก็มีการนำมาใช้ตามสรรพคุณตำรายาไทยด้วยคือ ผลใช้ขับลม ขับเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย แก้ไอ แก้เกร็ง ต้านเชื้อแบคทีเรีย น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค คลายกล้ามเนื้อเรียบ แก้ปวดท้อง ขับลม แก้ไอ ขับเสมหะ ขับน้ำนม เพิ่มการไหลเวียนโลหิต
และยังมีการใช้น้ำมันหอมระเหยจากจันทร์แปดกลีบนี้ผสมในยาผงชนิดหนึ่งใช้แก้อาการหืดหอบ น้ำมันหอมจากโป๊ยกั๊กจึงมีกลิ่นช่วยระบบทางเดินหายใจได้และช่วยการไหลเวียนเลือด จึงเป็นกลิ่นหอมที่ดีในยาดมนั่นเอง
กิจกรรมครอบครัวทำยาดมไทยติดตัวติดบ้านได้ง่ายๆ แต่สำหรับ “ยาดมไทย” แม้ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาชาติ แต่ก็เป็นซอฟต์เพาเวอร์สร้างมูลค่าการตลาดวงการสมุนไพรนับพันล้านแล้ว •คอลัมน์ โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง https://www.matichonweekly.com/column/article_760031
|
|
|
28
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / 5 สูตรหมักผมด้วยมะกรูด ลดผมร่วง ห่างไกลปัญหารังแค
|
เมื่อ: 10 เมษายน 2567 14:47:54
|
โบกมือลาปัญหารังแคด้วย ‘มะกรูด’ สมุนไพรพื้นบ้านที่มักนิยมนำมาเป็นส่วนผสมในการใช้บำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาอาการคันหนังศีรษะ ปัญหารังแค และลดผมร่วงได้ ยิ่งถ้านำมาผสมกับส่วนผสมดีๆ จากธรรมชาติอื่นๆ ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลบำรุงเส้นผมมากยิ่งขึ้น โว้กบิวตี้รวม 5 สูตรหมักผมด้วยมะกรูดที่ทำได้ง่าย งบน้อย ผมสวยไม่ไกลเกินเอื้อมไว้ที่ด้านล่างนี้แล้วน้ำมันมะกอก + มะกรูดเพียงแค่คั้นน้ำมะกรูดใส่ลงในภาชนะที่เตรียมเอาไว้ จากนั้นใส่น้ำมันมะกอกลงไป 3 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน เเล้วนำมาชโลมให้ทั่วเส้นผมเเละหนังศีรษะ หมักทิ้งไว้ 30 นาทีขึ้นไป เเล้วล้างออกด้วยการสระผมตามปกติ สูตรนี้จะทำให้เส้นผมนุ่มลื่น ไม่พันกัน ลดอาการคันที่ศีรษะ ปัญหารังแค และหนังศีรษะหลุดลอกอัญชัน + มะกรูดเริ่มจากการต้มน้ำจนเดือดแล้วใส่ดอกอัญชัน 10-15 ดอกลงไป ปิดฝาทิ้งไว้ให้เย็น ตักดอกอัญชันทิ้ง แล้วคั้นน้ำมะกรูดผสมลงไป จากนั้นนำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง ก่อนจะใช้หมักผมแนะนำให้ล้างผมให้สะอาดก่อน 1 ครั้ง จึงค่อยนำน้ำมะกรูดที่ได้ชโลมให้ทั่วเส้นผมและหมักทิ้งไว้ 30 นาที ล้างออกด้วยการสระผมตามปกติ สูตรนี้จะช่วยบำรุงเส้นผมให้ดกดำ เงางาม มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้นกะทิ + มะกรูดสูตรหมักผมด้วยกะทิผสมน้ำมะกรูด จะช่วยทำให้เส้นผมแข็งแรง แลดูมีน้ำหนัก นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาผมหงอกก่อนวัยได้อีกด้วย เพียงแค่ใช้มะกรูด 3-4 ผล ต้มแล้วคั้นเอาแต่น้ำพักไว้ และนำกะทิสดที่คั้นเองหรือซื้อแบบกล่องก็ได้ นำทั้งสองมาผสมในปริมาณเท่ากัน คนให้เข้ากัน จากนั้นล้างผม 1 รอบเช็ดให้แห้งหมาดๆ นำส่วนที่ผสมไว้มาชโลมให้ทั่วศีรษะหมักไว้ 30 นาที แล้วสระผมทำความสะอาด มอบผลลัพธ์ผมนุ่มสลวย ไม่พันกัน ทั้งยังมีกลิ่นหอมให้ติดเส้นผมอีกด้วยน้ำซาวข้าว + มะกรูดเริ่มจากการนำมะกรูด 2-3 ผล เผ่าไฟให้มีกลิ่นหอมแล้วคั้นเอาแต่น้ำมะกรูด จากนั้นนำมาผสมกับน้ำซาวข้าวครึ่งถ้วย คนให้เข้ากันทิ้งไว้ประมาณ 5–10 นาที ชโลมให้ทั่วศีรษะแล้วล้างออกตามปกติ สูตรนี้จะช่วยทำให้รู้สึกเบาสบายศีรษะ แก้ปัญหาหนังศีรษะคัน รังแคลดลง แถมยังแก้ปัญหาเชื้อราบนหนังศีรษะได้อีกด้วยน้ำส้มสายชู + มะกรูดบอกลาปัญหารังแคด้วยสูตรนี้ เพียงแค่นำน้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำมะกรูดเผาไฟ 3 ลูก คนให้เข้ากัน แล้วหมักทิ้งไว้บนศีรษะประมาณ 15 นาที กรดในน้ำส้มสายชูจะช่วยทำให้เส้นผมเงางาม คืนสภาพเส้นผมที่แห้งและแตกปลายให้กลับมีสุขภาพดีขึ้น แถมยังกำจัดปัญหารังแคให้หมดกังวลอีกด้วย
|
|
|
30
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / พญารากดำ หรือ หญ้ารักนา
|
เมื่อ: 09 เมษายน 2567 14:04:46
|
พญารากดำ หรือ หญ้ารักนา ที่มา - คอลัมน์โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2567 เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ.2567
เมื่อกล่าวถึงสมุนไพรชื่อ “พญารากดำ” จะพบว่าในเมืองไทยของเรามีพืชที่เรียกว่า พญารากดำ ไม่น้อยกว่า 4 ชนิด
แต่ละชนิดมีลักษณะแตกต่างกันไป มีชื่อวิทยาศาสตร์ที่แสดงว่าเป็นคนละชนิด ได้แก่
1) Ludwigia octovalvis (Jacq.) P.H.Raven หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า หญ้ารักนา หรือเทียนน้ำ สมุนไพรชนิดนี้อยู่ในวงศ์ Onagraceae ซึ่งมีชื่อในภาษาไทยว่า วงศ์พญารากดำ
2) Diospyros defectrix H.R.Fletcher พญารากดำหรือมะเกลือกา
3) Diospyros variegata Kurz พญารากดำหรือดำดง ดงดำ ดีหมี อีดำ พลับดำ น้ำจ้อย
และ 4) Huberantha cerasoides (Roxb.) Chaowasku พญารากดำหรือกระเจียน สะบันงาป่า ค่าสามซีก
หากค้นหาฟังสรรพคุณของผู้รู้หรือพลิกตำรายาไทย รวมถึงมีผู้สนใจศึกษาวิจัยกันบ้างนั้น ก็จะกล่าวถึงพญารากดำที่เป็นไม้ยืนต้น แต่ในวันนี้จะขอนำเสนอ พญารากดำ ที่มาจากวงศ์พญารากดำ (Onagraceae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ludwigia octovalvis (Jacq.) P.H.Raven หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า หญ้ารักนา มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า Mexican primrose-willow, Narrow-leaf Water Primrose, Seedbox, Mexican Primrose Willow
ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่มีการกระจายอยู่ทั่วไปในประเทศไทย จึงมีชื่อเรียกตามท้องถิ่นหลากหลายชื่อ เช่น หญ้ารักนา (ภาคเหนือ) พญารากดำ (นราธิวาส) ตับแดง (ภาคใต้) เทียนน้ำ (ตรัง ปัตตานี) เป็นต้น
พญารากดำ หรือ หญ้ารักนา เป็นพืชล้มลุก อายุหลายปี สูง 60-120 เซนติเมตร
ใบออกแบบเรียงสลับ ใบแคบรูปไข่ถึงรูปใบหอก ปลายแหลม ยาว 1-15 เซนติเมตร กว้าง 1-4 มิลลิเมตร สีเขียวเข้ม
ดอกมีขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร กลีบดอกรูปหัวใจ 4 กลีบ สีเหลือง บางและร่วงง่าย กลีบเลี้ยงเป็นหลอดยาว
ผลเป็นทรงกระบอก ยาว 20-45 มิลลิเมตร กว้าง 2-8 มิลลิเมตร
หญ้ารักนามีลักษณะคล้ายกับต้นเทียนนามากแต่เทียนนามีใบกว้างกว่า
ในประเทศมาเลเซียนิยมนำใบหญ้ารักนามาชงเป็นชา แต่ไม่มีหลักฐานว่าใช้เป็นเครื่องดื่มหรือใช้เป็นยา
และใช้เป็นยาพื้นบ้านรักษาอาการที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารไม่ปกติ เช่น ท้องร่วง (diarrhea) และ บิดมีตัว (dysentery)
ในฐานข้อมูลสมุนไพรของพืชในเขตร้อนกล่าวว่า พญารากดำหรือหญ้ารักนาเป็นสมุนไพรมีฤทธิ์ขับลม เป็นยาระบาย และขับพยาธิ ใช้ในการรักษาโรคท้องร่วง โรคบิด โรคทางระบบประสาท ซึ่งถือว่ามีคุณสมบัติในการระงับปวดและใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ เพื่อใช้รักษาอาการปวดรูมาติก
นอกจากนี้ เมื่อนำใบมาขยี้จะมีลักษณะเป็นเมือก ใช้เป็นยาพอกรักษาอาการปวดต่างๆ รวมถึงอาการปวดหัว อัณฑะอักเสบ (orchitis) และต่อมน้ำเหลืองบวม ใช้เป็นยารักษาแผลในจมูก
และหญ้ารักนายังสามารถใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ เพื่อให้มีประจำเดือน นอกจากนี้ ยังใช้แก้อาการคันด้วยการนำมาต้ม และใช้น้ำยาอุ่นๆ มาล้างส่วนที่คัน เช่น อาการคันที่เท้า
ฐานข้อมูลสมุนไพรของฟิลิปปินส์ กล่าวถึงการใช้หญ้ารักนาเป็นยาสมานแผล ขับลม ขับปัสสาวะ และยาฆ่าแมลง
มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นคุณสมบัติลดไข้ สารต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านเบาหวาน ในบรรดาชนเผ่าต่างๆ ในเกาะลูซอนตอนเหนือ
มีการใช้สารสกัดจากใบรักษาโรคอีสุกอีใส นำทั้งต้นมาบดแล้วนำไปแช่ในบัตเตอร์มิลก์ (Buttermilk) ใช้แก้ท้องเสียและบิด นำทั้งต้นไปทำเป็นยาต้มใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ยาขับลม ยาระบาย แก้อาการท้องอืด กินแก้ไอเป็นเลือดและระดูขาว
นำใบมาบดเป็นยาสมานแผล ใช้พอกบริเวณที่ปวดหรืออักเสบ รากใช้รักษาโรคผิวหนัง
ในอินเดีย ใช้ใบเป็นยาทาภายนอกกับแผลเปื่อย โดยเฉพาะกลากที่เป็นมานาน ในกลุ่มชาวทมิฬ ในอินเดีย ใช้น้ำที่คั้นจากใบบรรเทาอาการไอและเป็นหวัด ในเขตทูบาล (Thoubal) ของรัฐมณีปุระ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ชุมชนเมเตอิ (Meitei) และ ลอย (Loi) นำทั้งต้นมาต้ม เพื่อให้ได้สารสกัดมาดื่มเพื่อรักษาโรคเบาหวาน
ในรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย น้ำใบใช้รักษาอาการไข้ที่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว และลดต่ำลงมาเป็นปกติ (intermittent fever)
ในเขต Tinsukia รัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย ชุมชนชาติพันธุ์นำต้นพญารากดำหรือหญ้ารักนามาผลิตเป็นครีมสมุนไพรแก้เชื้อราที่นิ้วเท้า
การใช้ของประเทศต่างๆ อีกจำนวนมาก เช่น ชาว Keffi ในไนจีเรียใช้รากในการรักษาโรคผิวหนัง โดยนำรากมาต้มให้ได้สารสกัด นำน้ำที่ได้มาดื่มวันละ 3 ครั้งเพื่อรักษาอาการที่ผิวหนัง ในเซนต์ลูเซีย (Saint Lucia) ใช้เป็นยาขับระดู (emmenagogue)
นอกจากนี้ ยังใช้เป็นยาขับพยาธิปากขอโดยนำมาต้มและใช้ล้างเท้า ในประเทศไนจีเรีย เนื้อพืชจะถูกต้มและใช้เป็นยาระบายและขับพยาธิ ในชวา (อินโดนีเซีย) ใช้รักษาแผลเน่าเปื่อยที่จมูก ในเวียดนามใช้ต้นสดเป็นอาหารเลี้ยงหมู
ในปัจจุบันมีการศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณของพญารากดำหรือหญ้ารักนาเป็นจำนวนมาก เช่น การใช้เป็นยาลดไข้ พบว่ามีคุณสมบัติเทียบเท่าพาราเซตามอล ยาแก้ท้องร่วง สารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน สรรพคุณปกป้องตับ สารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านแบคทีเรีย สารต้านเบาหวาน คุณสมบัติเป็นยาแก้ไอ สารชะลอวัยและอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
พญารากดำหรือหญ้ารักนาที่มีอยู่ทั่วไปในไทยแลนด์นี้ จัดว่าเป็นวัชพืชชนิดหนึ่ง เหตุนี้หรือไม่ที่เรามองข้ามและให้ความสนใจน้อยมาก ในขณะที่ภูมิปัญญาจากรอบบ้านเรามีการใช้ประโยชน์อย่างมาก
พญารากดำหรือหญ้ารักนา คือสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ปลูกง่าย ต้นทุนต่ำ แต่สรรพคุณมากเหลือ •
|
|
|
32
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / เสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2 ไทย-จีนพากันล่ำซำ ได้โอกาสปล้นทองที่ซ่อนตามวัด
|
เมื่อ: 09 เมษายน 2567 13:23:07
|
ภาพวาดลายเส้นซากโบราณสถานปรักหักพังที่อยุธยา (สันนิษฐานว่าคือวัดพระราม) (ภาพจากบันทึกการเดินทางของอ็องรี มูโอต์)บันทึกฝรั่งชี้ เสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2 ไทย-จีนพากันล่ำซำ ได้โอกาสปล้นทองที่ซ่อนตามวัด ผู้เขียน - กานต์ จันทน์ดี เผยแพร่ - วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ.2567
การเล่าประวัติศาสตร์สมัย เสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2310 พม่าย่อมตกเป็นผู้ร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อพม่าได้ชัยชนะแล้วก็เปิดฉากเผาและปล้นเอาทรัพย์สมบัติของกรุงศรีฯ ไปเป็นอันมาก คนไทยจำนวนหนึ่งถึงขนาดร่ำลือกันไปว่า ทองที่หุ้มเจดีย์ชเวดากองนั้นก็เป็นทองที่ปล้นไปจากอยุธยา
อย่างไรก็ดี เจดีย์ชเวดากองสร้างขึ้นก่อน “เสียกรุงศรีอยุธยา” หลายร้อยปี (นักประวัติศาสตร์คาดว่าน่าจะสร้างขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6-10) และประเพณีหุ้มทองเจดีย์ก็อาจมีมานานแล้วก็ได้ แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ พม่าคงจะร่ำรวยขึ้นพอควรจากการปล้นกรุงศรีฯ ในครั้งนั้น
ในขณะเดียวกัน คนที่รวยขึ้นผิดหูผิดตาก็ไม่ได้มีแต่ฝ่ายพม่าเท่านั้น บาทหลวงฝรั่งเศส เล่าว่า หลังสงครามครั้งนี้ ไทย-จีน ก็พากันล่ำซำขึ้นไม่น้อย เพราะได้โอกาสปล้นวัดวาซึ่งถือเป็นแหล่งรวมความมั่งคั่งจากศาสนิกผู้ศรัทธาเมื่อครั้งบ้านเมืองยังดี
จดหมายของมองซิเออร์คอร์ ถึงมองซิเออร์มาธอน ลงวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.1769 (พ.ศ.2312) บอกเล่าถึงสภาพบ้านเมืองครั้งนั้นว่า พอสงครามสิ้นสุดลง เศรษฐกิจก็ฝืดเคือง ข้าวยากหมากแพงเป็นอันมาก
“ค่าอาหารการรับประทานในเมืองนี้แพงอย่างที่สุด เวลานี้ข้าวสารขายกันทะนานละ 2 เหรียญครึ่ง คนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างนั้นถึงจะหมั่นสักเพียงไร ก็จะหาซื้ออาหารรับประทานแต่คนเดียวก็ไม่พอ”
ฝรั่งต่างชาติจึงต้องใช้ชีวิตอย่างอัตคัด โดยเฉพาะ “พวกที่อ้างตัวว่าเป็นโปรตุเกสนั้นดูเหมือนจะเดือดร้อนยิ่งกว่าคนอื่นมาก เพราะพวกนี้ไม่ละความเกียจคร้านหรือลดหย่อนความหยิ่งของตัวเลย ร้องแต่ว่าทุนไม่มีจึงไม่ได้ทำการไร นอกจากนอนขึงอยู่บนเสื่อตั้งแต่เช้าจนเย็น ส่วนพวกเข้ารีตของเรานั้นพอจะเอาตัวรอดได้ เขาไม่ได้รบกวนใครแต่ทำมาหาเลี้ยงชีพของตัวเองไป”
ส่วน พวกไทย-จีน นั้นเห็นจะไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไหร่ เพราะมีวัดเป็นที่พึ่ง คนกลุ่มนี้จึงหันเข้าหาวัด แต่มิได้หวังจะหาที่พึ่งทางธรรม หรือหาข้าวก้นบาตรประทังชีวิต กลับมุ่งหาทรัพย์สินที่ถูกซุกซ่อนตามวัด ไม่ว่าจะถูกฝังดิน ใส่เจดีย์ หรือเก็บซ่อนไว้ในองค์พระ ดังความที่มองซิเออร์คอร์ ท่านเล่าว่า
“ฝ่ายพวกจีนและพวกไทยเห็นว่าการเลี้ยงชีพเป็นการฝืดเคือง จึงได้หันเข้าหาวัดโดยมาก เพราะพวกไทยด้วยความเชื่อถืออะไรของเขาอย่าง 1 ได้เอาเงินและทองบรรจุไว้ในองค์พระพุทธรูปเป็นอันมาก เงินทองเหล่านี้บรรจุไว้ในพระเศียรก็มี ในพระอุระก็มี ในพระบาทก็มี และตามพระเจดีย์ต่างๆ ได้บรรจุไว้มากกว่าที่แห่งอื่น ท่าน [มองซิเออร์มาธอน] คงจะคาดไม่ถูกเป็นแน่ว่าพวกไทยได้เอาเงินทองที่ซุกซ่อนไว้เป็นจำนวนมากมายสักเท่าไร”
“ในพระเจดีย์องค์เดียวเท่านั้นได้มีคนพบเงินถึง 5 ไห และทอง 3 ไห ผู้ใดที่ทำลายพระพุทธรูปลงแล้วไม่ได้เหนื่อยเปล่าจนคนเดียว เพราะฉะนั้นโดยเหตุที่พวกจีนมีความหมั่นเพียรและเป็นคนชอบเงินมาก ประเทศสยามจึงยังคงบริบูรณ์อยู่เท่ากับเวลาก่อนพม่ายกเข้ามาตีกรง ทองคำเป็นสิ่งหาง่ายจนถึงกับหยิบกันเล่นเป็นกำๆ”
และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว เจดีย์ที่ถูกทุบทำลายก็ถูกทำเป็น “เตาหลอม” โลหะมีค่าเสียเลย มองซิเออร์คอร์ยังบอกว่า “ตามถนนหนทางเต็มไปด้วยถ่านและเศษทองแดง และตามทางเดินดำยิ่งกว่าปล่องไฟเสียอีก พระราชธานีของเมืองไทย ตลอดทั้งวัดวาอารามและบ้านของเรากับค่ายโปรตุเกสเหมือนกับเป็นสนามอันใหญ่ที่มีแต่คนขุดคุ้ยพรุนไปหมดทั้งนั้น”
ด้วยเหตุนี้ คงกล่าวได้ไม่ผิดว่า แม้พม่าจะถือเป็น “จำเลย” ตัวหลักในการสร้างความเสียหายให้กับกรุงศรีอยุธยา แต่จริงๆ แล้วยังมีจำเลยอีกกลุ่มที่ถูกมองข้ามมาตลอดก็คือคนท้องถิ่นที่รอดชีวิตมาได้ แต่หมดหนทางหากินจึงหันหน้าเข้าหาวัด (และปล้นเอาทรัพย์สินของวัด) นั่นเองสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 บ้านเมืองถึงคราววิบัติ “ล่มสลาย” บ้านแตกสาแหรกขาด ภาพนี้เป็นจิตรกรรมฝาผนังจัดแสดงภายในอาคารภาพปริทัศน์ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ
|
|
|
33
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / สูตร “ยาดองน้ำผึ้ง” ตามแพทย์แผนไทย เป็นยาอายุวัฒนะ
|
เมื่อ: 07 เมษายน 2567 13:32:44
|
สูตร “ยาดองน้ำผึ้ง” ตามแพทย์แผนไทย เป็นยาอายุวัฒนะ ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กุมภาพันธ์ 2567 คอลัมน์ - โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง เผยแพร่ - วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567
หลักวิชาการปรุงยาของการแพทย์แผนไทยได้กล่าวไว้ถึง 28 วิธี ซึ่งหนึ่งในนั้นมีการดองยาสมุนไพรด้วย
ซึ่งการดองยาทำได้ เช่น ดองด้วยสุราที่เรามักคุ้นเคย ดองด้วยเกลือก็ได้ ดองด้วยน้ำมูตรหรือน้ำปัสสาวะก็กล่าวไว้ และดองด้วยน้ำผึ้งที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย
การดองยาเป็นวิธีการสกัดเอาตัวยาจากสมุนไพรออกมาอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับการชงด้วยน้ำร้อน การต้มเดือดหรือต้มเคี่ยว โดยใช้น้ำเป็นการสกัดตัวยาหรือสารสำคัญออกมานั่นเอง
การดองด้วยสุราหรือแอลกอฮอล์ การดองด้วยน้ำผึ้งก็เป็นการค่อยสกัดเอาตัวยาอออกมา
และที่น่าสนใจของศิลปะการปรุงยาแต่ดั้งเดิมก็คือมีการใช้น้ำผึ้งดองกับสมุนไพรที่มีรสขมบ้าง รสฝาดบ้าง เพื่อให้กินยาง่ายขึ้น
และในเวลาเดียวกัน น้ำผึ้งก็เป็นสมุนไพรในตัวเอง มีสรรพคุณที่กล่าวถึงในการใช้ทั้งบำรุงสุขภาพและเรื่องความงาม ย้อนกลับไปได้นับพันปี
เช่น นางคลีโอพัตราแห่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์ อารยธรรมลุ่มน้ำแยงซีเกียงของจีนก็ใช้ ในดินแดนชมพูทวีปอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ การแพทย์อายุรเวทรู้จักใช้น้ำผึ้งผสมผงอบเชยเป็นยาบำรุงร่างกายที่ดีมานานหลายศตวรรษแล้ว เป็นต้น
ภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทยและประสบการณ์การใช้ของชาวบ้านจำนวนไม่น้อย รู้จักใช้น้ำผึ้งเป็นทั้งอาหารและยาสมุนไพร โดยเฉพาะใช้เป็นยาบำรุงกำลัง โดยเฉพาะช่วยฟื้นฟูร่างกายแก้อ่อนเพลีย มีการแนะนำให้กินน้ำผึ้งแท้ๆ วันละ 1 ช้อนโต๊ะก่อนนอนทุกวัน สัก 7 วัน ช่วยบำรุงร่างกาย (ผู้ที่เสี่ยงเบาหวานไม่ควรใช้)
ภูมิปัญญาไทยเรายังนำน้ำผึ้งไปดองสมุนไพรที่น่าสนใจอีกหลายชนิด
แต่ก่อนที่จะไปถึงสูตรยาดองนั้น ขอเพิ่มเติมเรื่องน้ำผึ้งต่ออีกนิด
นํ้าผึ้งมาจากผึ้ง ผึ้งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ในการจัดอนุกรมวิธาน ผึ้ง เป็นแมลงที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ Hymenoptera รวมกันกับพวกมด ต่อ แตน
ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จำแนกผึ้งออกเป็น 7 วงศ์ (family) อย่างเป็นทางการ ได้แก่ Andrenidae Apidae Colletidae Halictidae Megachilidae Melittidae และ Sternotritidae
ดังนั้น ผึ้งที่บินอยู่ทั่วโลกก็อาจอยู่คนละวงศ์
สำหรับในประเทศไทยที่เราคุ้นเคยนั้น ผึ้ง (Honeybee) ที่ให้น้ำหวานเรากินอยู่ในวงศ์ Apidae สกุล Apis ตัวอย่างที่เราได้ยินบ่อยๆ เช่น ผึ้งหลวง (Apis dorsata frabicius) ผึ้งมิ้ม (Apis florea) ผึ้งโพรง (Apis cerana) ผึ้งพันธุ์ (Apis mellifera) ซึ่งเข้าใจว่านำมาจากต่างประเทศจนกลายเป็นผึ้งที่อยู่ในไทยแล้ว เป็นต้น
ปัจจุบันมีการพูดถึงน้ำผึ้งชันโรง น้ำผึ้งชนิดนี้มาแรงแซงโค้งที่กล่าวถึงสรรพคุณและราคาแรงเช่นกัน นักวิชาการอธิบายว่า ชันโรง (Stingless Bee) เป็นแมลงจำพวกผึ้งที่ไม่มีเหล็กใน จึงปลอดภัยไม่โดนต่อย
กล่าวกันว่าชันโรงจะมีความสัมพันธ์และวิวัฒนาการที่ใกล้ชิดกับผึ้ง (honey bee), ผึ้งหึ่ง (bumble bee) และผึ้งกล้วยไม้ (orchid bee)
ทั่วโลกพบชันโรงประมาณ 500 ชนิด ในประเทศไทย มีรายงานว่า ชันโรง สกุล Tetragonula พอที่จะจำแนกได้แล้วประมาณ 30 ชนิด อาศัยอยู่ทุกภาคของประเทศและมีความแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นด้วย
ซึ่งชื่อเรียกแต่ดั้งเดิม เรียก “ชันโรง” ภาคเหนือเรียก ขี้ตังนี ขี้ตัวนี หรือ ขี้ย้าแดง ภาคใต้เรียก แมลงอุง ทางอีสานเรียก แมลงขี้สูด ภาคตะวันออกเรียก ตัวตุ้งติ้ง เป็นต้น
นํ้าผึ้งจากผึ้งชนิดใดก็นำมาดองยาสมุนไพรได้ทั้งหมด
แต่ในเวลานี้เราจะต้องช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมเพื่อให้ผึ้งอยู่ได้ ก็จะได้น้ำผึ้งแท้ไม่ปลอมปนนำมาดองสมุนไพร
ที่นิยมกันทั่วไปมักจะดองกล้วยน้ำว้ากับน้ำผึ้ง กินเนื้อกล้วยวันละลูกและดื่มน้ำผึ้งด้วยวันละ 1 ช้อนชา ท่านว่าเพิ่มพลังกายบำรุงกำลังอย่างดี
วิธีดองไม่ยุ่งยาก นำกล้วยน้ำว้าสุกปลอกเปลือกออก จะใช้ทั้งลูกหรือหั่นกล้วยเป็นชิ้นๆ ลูกหนึ่งหั่นสัก 3-4 ชิ้นก็ได้ ใส่ในโหลที่มีฝาปิด เทน้ำผึ้งให้ท่วมกล้วย ปิดฝาไว้ แต่หมั่นเปิดฝาเพื่อถ่ายเทอากาศ เพื่อไม่ให้กลายเป็นการหมักไวน์
บางท่านแนะนำให้ใช้ผ้าขาวบางปิดฝาโหลมัดผ้ากันสิ่งสกปรก แต่ยังให้อากาศถ่ายเทได้
ตามตำราให้ดองน้ำผึ้ง 1 เดือน บางคนที่ใจร้อน ดองสัก 1 สัปดาห์ก็พออนุโลมนำมากินได้
สูตรที่ 2 บอระเพ็ดดองน้ำผึ้ง นำเถาบอระเพ็ดมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ยาวสัก 1 นิ้วหรือใครจะหั่นเล็กกว่านี้ก็ได้ แล้วผึ่งให้แห้ง
บางท่านก็นำน้ำผึ้งมาดองเลย แต่ถ้าจะไล่ความชื้นในน้ำผึ้งออกบ้าง ก็นำน้ำผึ้งตั้งไฟอ่อนๆ เคี่ยวไล่น้ำออก ทิ้งไว้ให้เย็น นำบอระเพ็ดที่เตรียมไว้ ใส่ลงในโหลประมาณครึ่งโหล ใส่น้ำผึ้งให้ท่วมยา
ปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ 3 เดือน อย่าให้ถูกแดด
นำน้ำผึ้งที่ดองแล้วมากินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 1 แก้ว กินวันละ 2-3 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ เพื่อบำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ
ตำรับยาพื้นบ้านอินเดียที่คนไทยก็นำมาดองกินเช่นกัน และเป็นที่รู้จักกันในครัวเรือนชาวอินเดีย คือ ชิงช้าชาลี (Tinospora baenzigeri Forman) ซึ่งเป็นไม้เถาเลื้อยพัน เถามีปุ่มเล็กน้อย และมีรสขม
ซึ่งหมอยาไทยถือว่าชิงช้าชาลีมีสรรพคุณเทียบเคียงกับบอระเพ็ด จึงมีการนำมาใช้ทดแทนกันได้
สูตรสุดท้ายที่ขอแนะนำ กระชายเหลืองดองน้ำผึ้ง
ให้นำแขนงรากกระชายสด (กระชายเหลือง) จำนวนเท่าอายุของผู้ใช้ ล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง และใช้วิธีการดองเหมือนบอระเพ็ด
ยาดองน้ำผึ้งไทยไร้แอลกอฮอล์ ดองสมุนไพรได้หลากหลาย เช่น ยอ มะขามป้อม สมอไทย และสูตรตรีผลา เป็นหนึ่งในซอฟต์เพาเวอร์สมุนไพรไทย •
|
|
|
34
|
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / Re: เครื่องรางของขลัง
|
เมื่อ: 07 เมษายน 2567 13:24:37
|
พระปิดตา พ่อท่านมุ่ยพระปิดตาน้ำนมควาย วัตถุมงคล ‘พ่อท่านมุ่ย’ พระเกจิชื่อดังปากพนัง ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 มกราคม 2567 คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ.2567
“พ่อท่านมุ่ย จันทสุวัณโณ” หรือ “พระครูนิโครธจรรยานุยุต” วัดป่าระกำเหนือ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม ชาวใต้ให้ความเลื่อมใสศรัทธา
หนึ่งในพระเกจิอาจารย์ในพิธีพุทธาภิเษก จตุคามรามเทพรุ่นแรก ปี 2530 พระเครื่องและวัตถุมงคลแต่ละชนิดแต่ละรุ่น เช่น พระปิดตา พระพิมพ์ประทานพร ลูกอม จะปลุกเสกเดี่ยว
พระเครื่องที่โด่งดัง เป็นที่นิยมกันมากและหายาก คือ “พระปิดตาน้ำนมควาย” สร้างจำนวนไม่มาก
รุ่นแรก มีทั้งพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ ซึ่งพิมพ์ใหญ่จะเป็นที่นิยมมากกว่า
พระปิดตาน้ำนมควายรุ่นแรกนั้น กรรมวิธีการสร้างพิถีพิถัน และสร้างยากมาก ขั้นแรก จะทำแท่งดินสอที่จะนำมาเขียนอักขระ โดยทำจากข้าวเม่าตำผสมกับสมุนไพรและมวลสารต่างๆ ตามตำราโบราณ ปั้นเป็นแท่งใช้เขียนอักขระลงบนกระดานชนวนพร้อมบริกรรมคาถาไปด้วย แล้วลงอักขระทำผงปถมังด้วยนะต่างๆ จนผงทะลุกระดานชนวน
ในครั้งแรกๆ ผงหายไปหมด จึงไปปรึกษากับพ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก ซึ่งเป็นสหธรรมิก ได้รับคำแนะนำให้ใช้ใบกล้วยทองลงอักขระยันต์ผูกธรณีรองรับ จึงจะได้ผงปถมัง จากนั้นก็เพียรสร้างผงวิเศษเป็นเวลาหลายปีเก็บไว้ ก่อนจะนำมาสร้างเป็นพระเครื่อง โดยใช้น้ำนมควายเป็นตัวประสาน
พ่อท่านมุ่ยบอกว่า “น้ำนมวัว น้ำนมควาย ชุบเลี้ยงคนบนโลกนี้มานานแล้ว เป็นสัตว์ที่มีคุณต่อมนุษย์”
ด้วยเหตุที่น้ำนมควาย มีความข้นกว่าน้ำนมวัว จึงใช้น้ำนมควายเป็นตัวประสาน ขั้นตอนในการเคี่ยวน้ำนมควายนั้นก็พิถีพิถัน ขั้นแรกก็ต้องนำก้อนเส้าที่จะใช้ทำเตามาลงอักขระบนก้อนเส้าทุกก้อน ฟืนก็ใช้ไม้มงคลต่างๆ และลงอักขระทุกท่อน ภาชนะที่จะใช้เคี่ยวน้ำนมควาย แม้แต่ไม้พายที่จะใช้ในการเคี่ยวก็ต้องลงอักขระทุกชิ้น ขณะเวลาเคี่ยวก็ต้องบริกรรมคาถาตลอดการเคี่ยวจนเสร็จ
เมื่อน้ำนมควายข้นดีแล้ว จึงนำมาคลุกเคล้ากับผงปถมังที่เขียนไว้ โดยมิได้ผสมปูนหรือสิ่งอื่นใดเลย เป็นเนื้อผงปถมังล้วน เมื่อเหนียวดีแล้ว จากนั้นจะกดลงบนพิมพ์ และตกแต่งที่ด้านหลังทุกองค์ ทุกขั้นตอนจะทำผู้เดียวตลอดทุกองค์ หลังจากนั้นจึงมาทาแล็กเกอร์บ้าง เชลแล็กบ้าง ในส่วนนี้มีลูกศิษย์มาช่วยทา
หลังจากนั้นจะนำพระไปปลุกเสกเดี่ยวเป็นเวลานาน ส่วนมากก็จะตลอดช่วงเข้าพรรษา แล้วจึงนำมาแจก
จัดเป็นพระปิดตาที่หายาก เนื่องด้วยจำนวนการสร้างที่น้อยพ่อท่านมุ่ย จันทสุวัณโณ
มีนามเดิม มุ่ย ทองอุ่น เกิดเมื่อวันอังคารที่ 4 เมษายน 2442 ที่บ้านป่าระกำ หมู่ที่ 6 ต.ป่าระกำ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช บิดา-มารดาชื่อ นายทองเสน และนางคงแก้ว ทองอุ่น
เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2462 ที่วัดป่าระกำเหนือ อ.ปากพนัง และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูนิโครธจรรยานุยุต เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2498 และในปี พ.ศ.2477 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าระกำเหนือ และเจ้าคณะตำบลป่าระกำ ในปีเดียวกัน
ศึกษาด้านวิปัสสนาธุระกับอาจารย์จืด และอาจารย์ศักดิ์ วัดถ้ำเขาพลู อ.ปะทิว จ.ชุมพร ออกธุดงค์ในป่าลึก แถบจังหวัดชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และราชบุรี เป็นเวลาหลายปี ร่วมกับหลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นสหธรรมิกที่รักใคร่นับถือกันมาก
เป็นพระวิปัสสนาธุระ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นเลิศ นอกจากนั้น ยังมีความรู้ด้านต่างๆ อีกมาก เป็นหมอยาสมุนไพร เป็นผู้รู้เวทมนตร์คาถา เป็นพระนักเทศน์ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เคารพนับถือของคนทั่วไป
เป็นพระเถระที่มากด้วยเมตตาบารมี ประพฤติพรหมจรรย์มั่นคงยาวนานปี ศีลาจารวัตรเรียบร้อย เป็นที่เคารพนับถือ เป็นพระสุปฏิปันโนอีกรูปของนครศรีธรรมราช มีอัธยาศัยโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนทุกระดับชั้น
กล่าวสำหรับคลองใหม่พ่อท่านมุ่ย เป็นคลองขุดอยู่ในพื้นที่ตำบลชะเมา เป็นคลองที่ขุดเชื่อมระหว่างคลองชะเมาที่บ้านโอขี้นาก เชื่อมกับคลองค้อที่บ้านหัวสวน เริ่มขุดเมื่อ พ.ศ.2495 และขุดเสร็จเมื่อ พ.ศ.2497 มีความยาวประมาณ 4 กิโลเมตร ผู้ดำเนินการขุดคลองนี้ คือหลวงพ่อมุ่ยนั่นเอง
ขุดโดยใช้แรงงานคน ส่วนมากเป็นคนในพื้นที่ตำบลชะเมา ต.เกาะทวด อ.ปากพนัง และ ต.เชียรเขา อ.เชียรใหญ่ มีกำนันและผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้รับผิดชอบออกปากคนในหมู่บ้านไปขุด เริ่มแรกคลองมีขนาดกว้าง 2 เมตร ลึก 1 เมตร คนทั่วไปเรียกชื่อคลองนี้ว่า “คลองใหม่พ่อท่านมุ่ย” ตามชื่อของผู้ดำเนินการขุด
คลองใหม่พ่อท่านมุ่ย มีประโยชน์ในด้านคมนาคมระหว่างคลองค้อกับคลองชะเมา แต่เดิมนั้นการเดินทางจากคลองค้อไปคลองชะเมาต้องไปออกทางบ้านเกาะแก ตำบลชะเมา คลองใหม่พ่อท่านมุ่ยจึงช่วยย่นระยะทาง และช่วยให้การเดินทางได้สะดวกรวดเร็วขึ้น สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปบ้านหัวสะพานชะเมา บ้านเสาธง ในหน้าน้ำชาวบ้านเข้าไปหาไม้ในป่าพรุ และล่องแพมาทางคลองนี้ และยังมีประโยชน์ด้านการเกษตรกรรม มีน้ำใช้ เพื่อการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะเพื่อการทำนา เพราะทั้งสองฝั่งคลองนี้เป็นพื้นที่นาทั้งหมด
คลองใหม่พ่อท่านมุ่ยนี้ บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์พระนักพัฒนา ผู้นำและบารมีอย่างแท้จริง เป็นคลองประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจ
มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2535 เวลา 04.46 น. สิริอายุ 93 ปี 1 เดือน 18 วัน พรรษา 73 •
|
|
|
35
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / หมึกไข่แดดเดียวทอด
|
เมื่อ: 03 เมษายน 2567 17:12:07
|
.หมึกไข่แดดเดียวทอดที่มา - คอลัมน์อาทิตย์ละมื้อ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 กุมภาพันธ์ 2567 เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567
หมึกไข่ หรือ ปลาหมึกไข่ นิยมกินกันมากขึ้นเพราะความหนึบอร่อย และยังมีความมันของไข่หมึกมาช่วยเพิ่มรสชาติ สามารถนำมาปรุงร่วมกับวัตถุดิบซีฟู้ดอื่นๆ แบบต้ม ผัด แกงได้หลายรูปแบบ
ที่ได้กินกันบ่อยๆ คือ หมึกไข่สดนึ่งมะนาว
แต่วันนี้ลองเปลี่ยนมาทำหมึกไข่แดดเดียว แล้วทอดให้สุกธรรมดา ก็จะได้รสหอมมัน กินเป็นกับข้าวและกับแกล้มได้เลย
ส่วนประกอบ ปลาหมึกไข่, เกลือ, ซีอิ๊วขาว, ซอสปรุงรส, น้ำมันพืช, ผักกาดหอม, น้ำจิ้ม
วิธีทำ 1. นำหมึกไข่มาล้างน้ำให้สะอาด 2. นำมาหมักเกลือ ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง 3. นำไปตากแดดประมาณ 3-4 ชั่วโมง 4. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืช ไฟกลาง นำหมึกไข่ที่ตากลงไปทอดให้สุกเหลือง 5. ตัดใส่จานเสิร์ฟ พร้อมผักกาดหอม และน้ำจิ้ม
จะเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแบบน้ำจิ้มไก่, ซอสศรีราชา หรือน้ำจิ้มซีฟู้ด ก็ตามแต่ชอบเลย •
|
|
|
36
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / เครื่องแกงไทยแก้โรคด่างขาว ยาดีที่พระบอก
|
เมื่อ: 03 เมษายน 2567 17:06:56
|
เครื่องแกงไทยแก้โรคด่างขาว ยาดีที่พระบอก ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2567 (คอลัมน์ โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง) เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2567
โรคด่างขาวเป็นโรคผิวหนังที่แปลกประหลาด เพราะไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อราที่คันคะเยอเหมือนโรคกลากเกลื้อน หรือเกิดจากเชื้อไวรัสปวดแสบปวดร้อนเหมือนโรคเริม งูสวัด หรือเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคเรื้อน คุดทะราด เป็นต้น
โรคด่างขาว (Vitiligo) เป็นโรคที่เกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสีผิวหนังเมลาโนไซต์ (Melanocytes) หายไป ทำให้หยุดการสร้างเม็ดสีผิวเมลานิน (Melanin) จึงทำให้เกิดเป็นด่างสีขาวขึ้นที่ผิวหนัง เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย สามารถพบได้ที่บริเวณใดในร่างกายก็ได้
ในคนไทยพบได้บ่อยบริเวณปลายมือ ปลายเท้า รอบปาก แม้กระทั่งรอบดวงตา และขยายขนาดได้โดยไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะลุกลามมากน้อยเพียงใด ปัจจุบันพบได้ประมาณ 1% ของประชากรไทย
โดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะมีสุขภาพปกติดี แต่อาจพบโรคด่างขาวกับคนที่เป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12 โรคต่อมหมวกไตทำงานบกพร่อง เบาหวาน โรคแพ้ภูมิตัวเอง เป็นต้น สาเหตุของโรคด่างขาวนั้นยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ หรือโรคแพ้ภูมิ
ดังนั้น ต้องทำใจว่าโรคด่างขาวอาจจะรักษาไม่หายขาด มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ถึง 50%
โรคด่างขาวไม่ใช่ทั้งโรคติดต่อและโรคอันตราย เพียงแต่ผิวบริเวณนั้นจะขาวกว่าบริเวณอื่น เกิดเป็นรอยด่างดวง อาจจะมีผลในแง่ปมด้อย ความไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะเกรงว่าสังคมรังเกียจ แต่ถึงจะไม่เป็นอันตรายอะไรก็ควรที่จะทาครีมกันแดด หลีกเลี่ยงการรับแสงแดดจัดๆ ในบริเวณที่เป็นดวงขาว เพราะอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังได้
ปัจจุบันมีการรักษาด้วยยาทาผิวที่เป็นด่างขาวไม่มากนัก เช่น กลุ่มยายาคอร์ติโคสเตียรอยด์ หากมีรอยด่างขาวบริเวณกว้างมากต้องใช้วิธีการฉายแสงอุลตร้าไวโอเลต (UV) บางชนิด หรือใช้วิธีการฟอกผิวขาวทั้งตัวไปเลย
บางคนใช้วิธีการสักสีแต้มกลบบนรอยด่างเล็กๆ สำหรับผู้นิยมสมุนไพรบำบัดสามารถเลือกใช้สมุนไพรที่เหมาะสม ที่ต้องไม่มีพิษข้างเคียง ในที่นี้ขอเสนอ 2 ตำรับ ตำรับหนึ่งเป็นยาคนบอก อีกตำรับเป็นยาพระบอก
ตำรับแรกเป็นภูมิปัญญาสมุนไพรชาวบ้านที่ใช้แค่ เหง้าข่ากับน้ำมะนาว ทำเป็นยาพอกรักษาโรคด่างขาว มีวิธีทำยา พอกยาง่ายๆ ดังนี้ นำเหง้าข่าสดมาตำให้ละเอียด แล้วบีบน้ำมะนาวลงไปคลุกเคล้าข่า จากนั้นนำมาพอกบริเวณรอยด่างขาวที่ผิวหนัง
พอกเอาไว้ประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง รอให้น้ำมันข่าซึมซาบลงไปในผิวหนัง แล้วจึงล้างออก โดยการอาบน้ำธรรมดาหรืออาจจะนำน้ำต้มใบตะไคร้มาอาบ เพื่อช่วยบรรเทาความแสบร้อนได้
นํ้ามันหอมระเหยข่า (Galangal Essential Oil) อุดมไปด้วยวิตามินเอและสารแอนติออกซิแดนต์มากถึง 40 ชนิด ช่วยต่อต้านริ้วรอย บำรุงผิวให้อ่อนเยาว์อยู่เสมอ ใช้ทาแก้ลมพิษ แก้ผดผื่นคัน แก้กลากเกลื้อน แมลงสัตว์กัดต่อย พิษแมลงมุม สามารถหยดผสมกับน้ำมันมะพร้าวใช้ทาบริเวณผิวที่มีอาการ
อนึ่ง การใช้ข่าตำพอกแก้โรคทางผิวหนัง มีข้อควรระวังสำหรับบางคนที่แพ้น้ำมันข่า หากเกิดอาการแสบร้อนต้องหยุดใช้ทันที เช่นเดียวกับน้ำมะนาวอันอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ทั้งยังช่วยผลัดเซลล์ผิว ลบเลือนฝ้า กระและจุดด่างดำ ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นด้วย
ควรตำยา พอกยาตามกรรมวิธีดังกล่าววันละ 2-3 ครั้ง ประมาณ 1 อาทิตย์หรือมากกว่านั้น รอจนผิวที่เป็นด่างขาวลอกออก แล้วอาจจะทำซ้ำอีกจนกว่าผิวที่เป็นรอยด่างลอกออกไป หลังจากนั้น ผิวใหม่ก็จะขึ้นมาแทนที่รอยด่างที่ค่อยๆ เลือนหายไป และหลังจากนั้นเป็นปีจะกลับมาเป็นอีก ให้ใช้ตำรับยาพอกข่ากับน้ำมะนาวรักษาซ้ำจนกว่ารอยด่างขาวจะหายขาด หรือทิ้งระยะห่างจากการเป็นซ้ำยาวนานออกไป
ตำรับยาพระบอกเป็นของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท บันทึกไว้ดังนี้
ท่านให้เอาเครื่องแกงเผ็ด (ที่ตำละเอียดแล้ว สดๆ) กับหัวน้ำกะทิ นำมาใส่กระทะตั้งไฟผัดเครื่องแกง (ยังไม่ต้องใส่เนื้อสัตว์) นำอวัยวะที่เป็นโรคด่าง (เช่น ปาก มือ เท้า) รมไอระเหยของเครื่องแกงเผ็ดนั้น จนน้ำแกงเดือดแล้ว จึงหยุดรม ทำอย่างนี้วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันเพียง 7 วัน โรคปากด่าง มือด่าง เท้าด่าง เป็นต้น จะพลันหายไปอย่างน่าอัศจรรย์แล มีสรรพคุณชะงัดนักแล
แถมท่านยังบอกสูตรเครื่องแกงเผ็ด ประกอบด้วยเครื่องปรุงไว้อย่างละเอียดดังนี้ พริกแห้ง (ย่างไฟให้สุก) 10 เม็ด, ตะไคร้ (หั่นให้ละเอียด) 1 ต้น, ข่า 5 แว่น, หัวหอม (ย่างไฟให้สุก) 5 หัว, กระเทียม (ย่างไฟให้สุก) 10 กลีบ, พริกไทยร่อน 10 เม็ด, ใบมะกรูด (หั่นให้ละเอียด) 5 ใบ, กานพลู 3 ดอก, รากผักชี (หั่นให้ละเอียด) 1 ช้อนชา, ลูกผักชี 1 ช้อนชา, ลูกยี่หร่า 1 ช้อนชา, ลูกกระวาน ครึ่งช้อนชา, ลูกจันทน์ ครึ่งช้อนชา, ดอกจันทน์ ครึ่งช้อนชา, ผิวมะกรูด (หั่นให้ละเอียด) ครึ่งช้อนชา, อบเชย ครึ่งช้อนชา, เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) ครึ่งช้อนชา, กะปิ ครึ่งช้อนชา, ส่วนน้ำปลา, น้ำตาลปี๊บ, พริกชี้ฟ้าเขียว-แดง, น้ำส้มมะขามเปียก
กะเอาอย่างละพอสมควร
นํ้ามันหอมระเหยอันอบอวลจากเครื่องแกงสมุนไพรนานาชนิดมีความเข้มข้นพอที่จะช่วยบำบัดเซลล์สีผิวให้กลับเป็นปกติได้ แต่มีข้อควรระวังในการรมไอเครื่องพริกแกง คือ ควรเริ่มจากผิวด่างบริเวณมือ แขน ที่ทำได้สะดวกจนเห็นผลก่อนที่จะทำบริเวณลำตัวและเท้า ส่วนบริเวณใบหน้าต้องมีแว่นปิดตามิดชิดเพื่อไม่ให้เกิดอาการแสบระคายเคืองตา แต่รอยด่างขาวรอบดวงตาจะได้รับน้ำมันหอมระเหยจากเครื่องแกงที่ซาบซึมทางอ้อมจนบำบัดสีผิวรอบดวงตาให้เป็นปกติ
เป็นที่รู้กันว่าโรคด่างขาวรักษายาก ใช้เวลานานและเสียค่าใช้จ่ายมากหากใช้รังสีและเคมีบำบัด เรามีภูมิปัญญาสมุนไพรบำบัดโรคด่างขาวจากประสบการณ์ยาพื้นบ้านและยาดีที่พระท่านบอก ไม่สิ้นเปลื้องเงินทองในการรักษา แถมยังได้เครื่องแกงนำไปทำอาหารสุขภาพต่อได้อีกด้วย •
|
|
|
37
|
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / Re: พระเครื่อง
|
เมื่อ: 03 เมษายน 2567 17:02:27
|
พระกริ่งเจริญพร ยอดนิยม : หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโณ วัดหนองจอก จ.ประจวบฯ ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 เมษายน - 4 พฤษภาคม 2566 เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2566
“หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโณ” หรือ “พระครูนิยุตธรรมสุนทร” วัดหนองจอก ต.ดอนยายหนู อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง
สร้างพระเครื่องวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังไว้มากมายหลายชนิด วัตถุมงคลที่ขึ้นชื่อคือ ปลัดขิก เด่นในด้านเมตตามหานิยม เป็นที่นิยมกว้างขวางในหมู่ทหารและตำรวจ
แต่ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือ “พระกริ่งเจริญพร”
เคยมีคำกล่าวของบรรดานักนิยมสะสมพระเครื่อง กล่าวไว้ว่า “หากพูดถึงต้นแบบพระกริ่งชินบัญชร ต้องหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ แต่หากกล่าวถึงต้นแบบพระกริ่งเจริญพร ต้องหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก”
เมื่อปี พ.ศ.2537 หลวงพ่อยิดอนุญาตให้พระไชยา ปัญญาธโร วัดหนองจอก จัดสร้าง “พระกริ่งเจริญพร พิมพ์อุบาเก็ง” เพื่อหารายได้สมทบทุนการก่อสร้างกุฏิสงฆ์ วัดหนองจอก และก่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรม สำนักสงฆ์ไร่เนิน
จัดสร้างมีเนื้อทองคำ 29 องค์ เนื้อเงิน 3,000 องค์ และเนื้อนวะ 5,000 องค์
ทุกองค์ตอกโค้ดและหมายเลขกำกับทุกองค์ เป็นโค้ดหมายเลขไทย ชุดตัวใหญ่ ทุกเนื้อมีโค้ดแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ที่ฐานด้านหลังพระกริ่ง มีอักษรไทยเขียนคำว่า “กริ่งเจริญพร ยิด จนฺทสุวณฺโณ”
พระกริ่งชุดนี้ หลวงพ่อยิดปลุกเสกตั้งแต่วันที่ 3-9 กรกฎาคม 2537 รวม 7 วัน ที่วัดหนองจอก
ปัจจุบัน แวดวงพระเครื่องวัตถุมงคลในประจวบคีรีขันธ์ กล่าวได้ว่า พระกริ่งเจริญพร หลวงพ่อยิด เป็นที่นิยมและมีความต้องการสูงจากบรรดานักสะสม และเซียนพระต่างพากันกะเก็งว่าจะได้รับความนิยมสูง
อีกทั้งมีพุทธคุณเด่นทั้งด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และแคล้วคลาด ปลอดภัย ราคาเช่าบูชาจึงขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ
นับเป็นวัตถุมงคลอีกรุ่น ที่ควรค่าแก่การเช่าบูชา หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโน
มีนามเดิมว่า ยิด ศรีดอกบวบ เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2476 บิดา-มารดาชื่อ นายแก้วและนางพร้อย ศรีดอกบวบ
อายุ 9 ขวบ บรรพชาในวัดบ้านเกิด ฝึกปฏิบัติสมาธิ ศึกษาอักขระเลขยันต์ ศึกษาพระปริยัติธรรม กระทั่งอายุ 14 ปี จึงสึกออกมาช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพ
อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท โดยมีหลวงปู่อินทร์ วัดยาง เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอธิการหวล เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ศุข วัดโตนดหลวง เพื่อศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติม และยังได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่วิเวกต่างๆ ในหลายพื้นที่ รวมทั้งได้เดินเท้าเข้าไปในฝั่งประเทศพม่า เป็นต้น
จนกระทั่งปี พ.ศ.2487 บิดาล้มป่วย จึงเดินทางกลับมา ลาสิกขาออกมาดูแล และแต่งงานมีครอบครัว
ท้ายที่สุด เมื่อบิดา-มารดาถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.2518 จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทอีกครั้ง ที่วัดเกาะหลัก มีเจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์
อยู่จำพรรษาเป็นพระลูกวัดที่วัดทุ่งน้อย อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
ต่อมาชาวบ้านหนองจอก ต.ดอนยายหนู ทราบข่าวจึงยกที่ดินให้จำนวน 21 ไร่ 2 งาน เป็นพื้นที่ป่า เพื่อให้สร้างวัดขึ้น
ได้รับความศรัทธาจากนายทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ประชาชน เป็นจำนวนมาก ที่เข้ามาขอรับวัตถุมงคล อาทิ ตะกรุด พระเครื่อง ปลัดขิก เนื่องจากเชื่อกันว่า วัตถุมงคลมีพุทธคุณโดดเด่นรอบด้าน เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการพระเครื่อง
วัตรปฏิบัติ ใน 1 ปี หลวงพ่อยิดจะสรงน้ำปีละครั้งเท่านั้น โดยอนุญาตให้ญาติโยมที่เลื่อมใสศรัทธา ใช้แปรงทองเหลืองที่ใช้ขัดเหล็ก ขัดตามตัว แขนขาของท่าน แต่แปรงทองเหลืองไม่ได้ระคายผิวหนังแม้แต่น้อย หลังจากขัดตัวให้ท่านแล้วเสร็จ หลวงพ่อยิดจะมอบวัตถุมงคลให้นำไปบูชากันอย่างทั่วถึง
สำหรับปัจจัยที่ได้รับจากการบริจาค จะนำไปสมทบทุนการศึกษา ทำนุบำรุงศาสนา สังคมและชุมชน จนกลายเป็นประเพณีถือปฏิบัติของหลวงพ่อยิด
แต่ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง จึงมรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2538 สิริรวมอายุ 71 ปี พรรษา 30
แม้จะมรณภาพลง แต่ด้วยความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ชาวบ้านในพื้นที่จึงได้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิพระครูนิยุตธรรมสุนทร (หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโณ) เพื่อบำรุง บูรณะและปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน เป็นทุนภัตตาหาร การศึกษา และพยาบาล พระภิกษุ สามเณร ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน นักศึกษาที่เรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์
ส่งเสริมและสนับสนุนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์
แต่ละปีจะมีการนำดอกผลบริจาคให้กับสาธารณะมาโดยตลอด มอบเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนที่เรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ สงเคราะห์ผู้สูงอายุ บำรุงการศึกษาให้แก่พระภิกษุ สามเณร ที่เล่าเรียนพระธรรมวินัย พร้อมทั้งบำรุงซ่อมแซมถาวรวัตถุวัดหนองจอก ค่าบำรุงการศึกษานักเรียนในเขตอำเภอกุยบุรี จำนวนทั้งสิ้น 26 โรงเรียน
นอกจากนี้ ยังปรับปรุงศาลาอเนกประสงค์หมู่บ้านหนองจอก มอบเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นสื่อการเรียนการสอนให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ค่าอาหารเสริมให้นักเรียน ปรับปรุงห้องสมุดโรงเรียน สนับสนุนงบประมาณในการจัดทำโครงการพัฒนายกระดับคุณภาพกระบวนการจัดการเรียนรู้ เป็นต้น •เหรียญหนุมานแบกพระสาวกเหรียญหนุมานแบกพระสาวก พระโมคัลลานะ-พระสารีบุตร หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 พฤษภาคม 2566 เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2566
พระอุปัชฌาย์คง หรือหลวงพ่อคง ธัมมโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดบางกะพ้อม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
เป็นพระเกจิอาจารย์ลุ่มแม่น้ำแม่กลองอีกรูปที่วัตรปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาไม่แพ้หลวงพ่อแก้ว พรหมสโร วัดพวงมาลัย
วัตถุมงคลโดยเฉพาะเหรียญปั๊มรุ่นแรกปี พ.ศ.2484 นับว่ายอดเยี่ยม จัดอยู่ในชุดเบญจภาคีเหรียญยอดนิยม
เหรียญปั๊มอีกเหรียญที่นิยมมากเช่นกัน คือ เหรียญปาดตาล พ.ศ.2486 ก็เป็นเสาะแสวงหา
ส่วนประเภทเหรียญหล่อก็เป็นที่นิยมกันมาก เพราะสมัยโบราณคนท้องถิ่นนิยมเหรียญหล่อมากกว่าเหรียญปั๊ม
สร้างแจกชาวบ้านและลูกศิษย์อยู่หลายรุ่น ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง คือ เหรียญหล่อหนุมานแบกพระสาวก
สร้างช่วงประมาณปี 2484-2485 ในยุคสงครามอินโดจีน เป็นเนื้อทองผสมแก่ทองเหลือง จำนวนการสร้างไม่ได้บันทึกไว้
เหรียญหนุมานแบกพระสาวก ลักษณะเป็นเหรียญรูปทรงรี มีรูปพระพุทธเจ้าปางประทานพร มีรูปพระโมคัลลานะ-พระสารีบุตร พระอัครสาวกอยู่ด้านซ้ายและด้านขวา ด้านล่างลงมามีรูปหนุมานกางแขนแบกพระอัครสาวกไว้อีกที ส่วนพระบาทของพระพุทธองค์ชิดติดกับศีรษะหนุมาน
ด้านหลังเป็นรูปยันต์ เม อะ มะ อุ และยันต์ นะ มะ พะ ทะ เด่นทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด มีประสบการณ์มากมายมาตั้งแต่อดีต
เหรียญหล่อพิมพ์นี้ หลวงพ่อคง เคยปรารภว่า หนุมานเป็นลูกลมและมีอิทธิฤทธิ์มาก
ปัจจุบันหายากพอสมควร สนนราคาค่อนข้างสูง ของปลอมเลียนแบบก็มีอยู่มาก ถ้าจะเช่าหาควรศึกษาให้ดี หลวงพ่อคง ธัมมโชโต
หลวงพ่อคง ธัมมโชโต เกิดในสกุล จันทร์ประเสิรฐ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2407 ณ ต.บางสำโรง อ.บางคนที จ.สุมทรสงคราม
บิดา-มารดา ชื่อ นายเกตุ และนางทองอยู่ จันทร์ประเสิรฐ
เล่ากันว่าท่านเกิดในเรือนแพ ซึ่งมีความเชื่อกันว่า ถ้าใครถือกำเนิดในห้องเล็กที่ใต้เรือนแพ จะต้องเป็นผู้ชายและครองสมณเพศเป็นพระภิกษุตลอดชีวิต โดยบิดา-มารดาซื้อเรือนนี้มาอีกทอดหนึ่ง
พออายุได้ 12 ปี บรรพชาที่วัดเหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ระหว่างเป็นสามเณรมีความสนใจในวิชาเมตตามหานิยม
กระทั่งอายุได้ 19 ปี ลาสิกขาเพื่อไปช่วยครอบครัวประกอบอาชีพ
ครั้นเมื่อมีอายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดเหมืองใหม่ เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือนสิงหาคม 2427 มีพระอาจารย์ด้วง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการจุ้ย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการทิม วัดเหมืองใหม่ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ธัมมโชโต แปลว่า ผู้รุ่งเรืองในธรรม
จำพรรษาอยู่ที่วัดเหมืองใหม่ คอยอุปัฏฐากรับใช้พระอุปัชฌาย์ ด้วยอุปนิสัยที่รักการศึกษาเล่าเรียน ศึกษาเล่าเรียนทั้งทางคันถธุระ วิปัสสนาธุระกับพระอุปัชฌาย์เป็นพื้นฐาน ต่อมาได้ไปศึกษากับพระเถระชื่อดังในยุคนั้นอีกหลายรูป
ได้ศึกษาคัมภีร์มูลกัจจายน์ ซึ่งเป็นตำราเรียนบาลีไวยากรณ์ในสมัยโบราณ กับอาจารย์นก ซึ่งเป็นอุบาสกในละแวกนั้นเป็นเวลา 13 ปี จนมีความคล่องแคล่วสามารถแปลธรรมบทตลอดจนคัมภีร์ต่างๆ ได้
นอกจากนี้ ยังสนใจการศึกษาวิทยาคม โดยร่ำเรียนกับพระเกจิชื่อดัง เริ่มแรกศึกษาคัมภีร์นี้กับพระอาจารย์ด้วง ซึ่งท่านเชี่ยวชาญการลบผงวิเศษ เป็นที่นับถือในสมัยนั้นต่อมาเล่าเรียนกับหลวงพ่อตาด วัดบางวันทอง พระเถระผู้ที่มีวิทยาคมอันแก่กล้า โดยเฉพาะวิชานะปัดตลอด
อีกทั้งยังได้ไปศึกษากับหลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก ผู้เชี่ยวชาญในพระกัมมัฏฐาน
ในพรรษา 19 เกิดอาพาธ จึงหยุดพักผ่อน หันมาสอนสมถะกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานลูกศิษย์ลูกหา
เอาใจใส่การดูแลก่อสร้างเสนาสนะ เนื่องจากมีฝีมือในเชิงช่าง ในเบื้องต้นซ่อมแซมพอไตรที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมให้มีสภาพที่ดีขึ้น พร้อมกันนั้นก็ปั้นพระป่าเลไลย์ด้วยมือ
จนกระทั่งพรรษาที่ 21 ในปี พ.ศ.2448 ชาวบ้านใน ต.บางกะพ้อม อาราธนามาเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งในขณะนั้นวัดบางกะพ้อมไม่มีสมภารปกครองวัด และวัดก็อยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม
ฟื้นฟูบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุภายในวัด ซึ่งชำรุดทรุดโทรม ด้วยท่านมีฝีมือในการพัฒนาเป็นทุนเดิม จึงทำให้การสร้างความเจริญให้แก่วัดสำเร็จลุล่วงในเวลาอันสั้น
พ.ศ.2464 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลบางกะพ้อม และแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
แม้จะมีภาระงานปกครองวัด แต่ในเดือน 4 ของทุกปี จะไปปักกลดในป่าช้าข้างวัดเป็นเวลาราว 1 เดือน เรียกกันว่า รุกขมูลข้างวัด ชำระจิตใจให้สะอาด หลังจากยุ่งกับเรื่องราวทางโลกเกือบตลอดทั้งปี
ช่วงบั้นปลายชีวิตอาพาธด้วยโรคชรา เนื่องจากมีงานอยู่หลายอย่างต้องทำ ด้วยเป็นกิจของสงฆ์ ทั้งงานการสร้างพระพุทธรูป การสร้างวัตถุมงคล ทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อน
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2486 ขณะนั่งร้านเพื่อตกแต่งพระขนงพระพุทธรูปประธานองค์ใหม่ เมื่อสวมพระเกตุพระประธานแล้วเสร็จ ก็เกิดอาการหน้ามืด คล้ายจะเป็นลม แต่มีสติดี เอามือประสานในอิริยาบถนั่งสมาธิจนหมดลมถึงแก่มรณภาพในอาการอันสงบ
คณะศิษย์เห็นท่านนั่งอยู่นาน จึงประคองร่างลงมาจากนั่งร้าน จึงรู้ว่ามรณภาพไปแล้ว
สิริอายุ 78 ปี พรรษา 58 • พระสมเด็จฐานสิงห์ หลวงปู่นะ (หน้า) พระสมเด็จฐานสิงห์ หลวงปู่นะ (หลัง) พระสมเด็จฐานสิงห์ หลวงปู่นะ ฐิตปัญโญ วัดหนองบัว จ.ชัยนาท ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 พฤษภาคม 2566 เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2566
พระครูปทุมชัยกิจ หรือ หลวงปู่นะ ฐิตปัญโญ เจ้าอาวาสวัดปทุมธาราม (หนองบัว) ต.หนองบัว อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท จะมีอายุครบรอบ 103 ปี ศิษย์ผู้ใกล้ชิดและผู้เลื่อมใส จะได้ร่วมกันจัดงานมุทิตาจิตฉลองอายุวัฒนมหามงคล เป็นประจำทุกปี
เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูป ทายาทศิษย์พุทธาคมสายหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
ในปี พ.ศ.2531 อนุญาตให้ทางวัดจัดสร้าง “พระสมเด็จฐานสิงห์ หลังรูปเหมือนหลวงปู่นะ (โรยผงตะไบ)” เพื่อหารายได้สมทบทุนบูรณะอุโบสถ
ลักษณะขององค์พระ เป็นพระเนื้อผงพุทธคุณ ด้านหน้าองค์พระ ตรงกลางเป็นรูปนูนพระพุทธรูปนั่งสมาธิบนฐาน 3 ชั้น มีซุ้มครอบแก้ว ฐานชั้นล่างสุด เป็นฐานขาสิงห์ ฝังพระธาตุ 1-3 เม็ด และเส้นเกศาหลวงปู่นะ
ส่วนด้านหลังองค์พระ ตรงกลางเป็นลายเส้นรูปเหมือนนั่งสมาธิเต็มองค์อยู่บนอาสนะ รอบรูปเหมือน มีอักขระขอม นะโมพุทธายะ และด้านล่างเขียนว่า “หลวงพ่อนะ วัดปทุมธาราม (หนองบัว)” พร้อมโรยผงตะไบที่รูปหลวงปู่นะ
พระสมเด็จฐานสิงห์ หลังรูปเหมือนหลวงปู่นะ (โรยผงตะไบ) รุ่นนี้ ปลุกเสกเดี่ยวตลอดไตรมาส (3 เดือน) และเนื้อพระผสมผงพุทธคุณที่นำมาจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป
สำหรับพระสมเด็จฐานสิงห์ ด้วยความที่มีพลังจิตที่แก่กล้า เจตนาการจัดสร้างที่บริสุทธิ์ พุทธคุณจึงโดดเด่นรอบด้าน
ผู้ที่มีพระสมเด็จฐานสิงห์รุ่นนี้ ต่างมีประสบการณ์มากมาย บางรายบูชาแล้วได้โชคลาภเป็นประจำ
นับเป็นพระดีอีกรุ่นหนึ่งของจังหวัดชัยนาท หลวงปู่นะ ฐิตปัญโญ มีนามเดิมว่า โฉม เหล่ายัง เกิดเมื่อวันพุธที่ 6 ธันวาคม 2459 ที่บ้านขุนแก้ว ต.ดงขวาง อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 9 คน ของนายแจกและนางตี่ เหล่ายัง ครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ในวาระแรกเกิด บิดา-มารดาตั้งชื่อให้ว่า “โฉม” ต่อมาเมื่ออายุ 5-6 ขวบ หมอเป้ซึ่งเป็นหมอแผนโบราณ และเป็นผู้มีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์ด้วย เห็นว่าเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นประจำ จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “นะ” อันเป็นมงคลนาม
ส่วนนามสกุล “เหล่ายัง” ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็น “นาคพินิจ”
อายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมา วัดราษฎร์นิธิยาวาส (ดอนปอ) ต.บ่อแร่ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2480
โดยมีพระครูวิจิตรชัยการ (หลวงพ่อเคลือบ) วัดบ่อแร่ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ชั้น เป็นพระกรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สำเนียง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยความตั้งใจ พ.ศ.2481 สอบได้นักธรรมชั้นตรี จากสำนักเรียนวัดราษฎร์นิธิยาวาส (ดอนปอ) พ.ศ.2483 เดินทางไปศึกษาต่อในสำนักเรียนวัดหนองแฟบ อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี สอบได้นักธรรมชั้นโท
พ.ศ.2485 ได้ไปจำพรรษาที่วัดปทุมธาราม (หนองบัว) และในปี พ.ศ.2487 สามารถสอบได้สอบนักธรรมชั้นเอก
ขณะศึกษานักธรรม มีโอกาสศึกษาวิชาการแพทย์แผนโบราณกับพระอาจารย์ศรี วัดหนองแฟบควบคู่ไปด้วย จนมีความรู้ความชำนาญการใช้สมุนไพรรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั่วไปด้วย
ด้วยความเป็นพระหนุ่มที่ทรงความรู้ วิทยฐานะนักธรรมชั้นเอก จึงมีความคิดก่อตั้งสำนักเรียนขึ้นมาใหม่ หลังจากซบเซาขาดหายไปนาน โดยรับหน้าที่เป็นผู้สอนเองทุกชั้น ตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี โท และเอก จึงมีลูกศิษย์ที่เป็นพระภิกษุบริหารกิจการคณะสงฆ์อยู่ในเวลานี้หลายจังหวัด
ระหว่างนั้นหันมาให้ความสนใจศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณเพิ่มเติม และเรียนวิทยาคม เลขยันต์พันคาถาควบคู่กันไป จากตำราที่พระปลัดปั่น เจ้าอาวาสรูปที่ 9 ได้รับมอบจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และพระปลัดปั่น มอบตำราของหลวงปู่ศุขให้
ศึกษาเรียนรู้สรรพวิชาจากในตำราทั้งหมด จนมีความรู้แตกฉานในวิทยาคมอย่างดี เป็นที่พึ่งของชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วย ช่วยเหลือปัดเป่าทุกข์เหล่านั้นด้วยความเมตตา
ด้านงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา จัดเทศนาธรรมเป็นประจำในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ชักชวนประชาชนให้ร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ เวียนเทียนรอบอุโบสถ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อีกทั้งเป็นครูสอนพระธรรมวินัย สำนักเรียนวัดปทุมธาราม (หนองบัว) เป็นครูสอนการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่พระภิกษุ-สามเณร ตลอดจนประชาชนทั่วไป
ด้านการพัฒนาวัด นับตั้งแต่ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปทุมธารามเป็นต้นมา ทำการพัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ ด้วยการสร้างศาลาการเปรียญ โครงสร้างชั้นล่างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ชั้นบนเป็นไม้ หลังคาเป็นกระเบื้องเกร็ด, สร้างอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเก่าที่ชำรุดทรุดโทรม, สร้างฌาปนสถานแบบมาตรฐาน พร้อมเตาเผาอย่างดี, สร้างอาคารปริยัติธรรมภิกษุ-สามเณร ลักษณะทรงไทย คอนกรีตเสริมเหล็ก
นอกจากนี้ ยังสร้างวิหารหลวงปู่ศุข 1 หลัง ลักษณะทรงไทยก่ออิฐถือปูน ช่อฟ้า ใบระกา หน้าบัน ลายใบเทศ ประดับด้วยกระจก
ด้านวัตถุมงคล อาทิ ใบพลูใจเดียว, เหรียญนารายณ์ทรงครุฑ, สมเด็จบัวไขว้ข้างอุ เป็นต้น ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากสาธุชน พ.ศ.2493 เป็นเจ้าอาวาสวัดปทุมธาราม
พ.ศ.2495 เป็นเจ้าคณะตำบลบ่อแร่-หนองขุ่น เขต 2
พ.ศ.2501 เป็นพระอุปัชฌาย์
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2501 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นตรี ในราชทินนามที่ “พระครูปทุมชัยกิจ”
พ.ศ.2514 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท ในราชทินนามเดิม
ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง กลางดึกคืนวันที่ 10 มีนาคม 2563 หลวงปู่นะมีอาการหัวใจหยุดเต้น คณะศิษย์รีบนำส่งโรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร คณะแพทย์พยายามยื้ออาการสุดความสามารถ แต่ด้วยความชราภาพ จึงมรณภาพอย่างสงบในเวลา 05.30 น. วันที่ 10 มีนาคม 2563
สิริอายุ 104 ปี พรรษา 83 •พระหลวงปู่ทวด วัดสะแกหลวงปู่ทวดผงกัมมัฏฐาน หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก พระนครศรีอยุธยา ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 พฤษภาคม 2566 เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2566
สําหรับหลวงปู่ทวด เป็นพระสงฆ์ที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธามากที่สุดรูปหนึ่ง มีการสร้างพระหลวงปู่ทวดในทุกภูมิภาค
ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้แก่ พระหลวงปู่ทวดของวัดช้างให้ จ.ปัตตานี สร้างขึ้นโดยพระอาจารย์ทิม ธัมมธโร
แต่ยังมีพระหลวงปู่ทวดอีกวัดหนึ่ง ซึ่งมีความนิยมสูงและสนนราคาค่อนข้างสูงเอาการ คือ พระหลวงปู่ทวด วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ปลุกเสกโดย “หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ” อดีตพระเกจิที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งเป็นศิษย์สายวัดพระญาติการาม
หลวงปู่ดู่มีความเคารพนับถือหลวงปู่ทวดมาก และมักจะเรียกว่าอาจารย์เสมอๆ เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เมื่อนั่งกัมมัฏฐาน เวลาติดขัดมีปัญหา หลวงปู่ทวดจะมาปรากฏในนิมิต ช่วยแนะนำตลอด ดังนั้น พระเครื่องที่สร้างจึงเป็นพระหลวงปู่ทวดมากมายหลายรุ่น โดยปลุกเสกเดี่ยวทุกครั้ง
ที่รู้จักกันดี คือ เหรียญเปิดโลก สร้างในปี พ.ศ.2532 มีอยู่หลายเนื้อด้วยกัน ทั้งทองคำ เงิน ทองแดง เนื้อตะกั่ว
ส่วนในอีกรุ่นที่เป็นพระเนื้อผงกัมมัฏฐาน ซึ่งสร้างมานานแล้ว สนนราคายังไม่สูงมากนัก หลวงปู่ดู่ที่สร้างในระยะแรกแจกอย่างเดียว จึงไม่ค่อยได้พิถีพิถันเรื่องพิมพ์ทรง
พิมพ์พระหลวงปู่ทวด ด้วยเนื้อผงสีขาวเก็บไว้พิมพ์ละไม่มากนักในแต่ละครั้ง เวลาลูกศิษย์หรือผู้เคารพไปกราบขอขึ้นกัมมัฏฐาน จะได้รับมอบพระเนื้อผงขาว 1 องค์ จึงมักเรียกพระเนื้อผงสีขาวทุกพิมพ์ว่า “พระผงกัมมัฏฐาน”
ด้านหลังบางองค์จะปั๊มตรายางสีน้ำเงินเป็นรูปกงจักร ตรงกลางเป็นตัวอักษร พ. ซึ่งหมายถึง พรหมปัญโญ
พระผงดังกล่าว ค้นพบภายในกุฏิหลวงปู่ดู่หลังมรณภาพแล้ว และกรรมการวัดได้รวบรวมปั๊มตรายางไว้ จากนั้นจึงนำออกมาให้เช่า หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ถือกำเนิดในสกุล “หนูศรี” เกิดวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2447 ตรงกับวันวิสาขบูชา ที่บ้านข้าวเม่า อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายพุดและนางพ่วง หนูศรี
มารดาถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเป็นทารก ต่อมาบิดาจากไปเมื่ออายุเพียง 4 ขวบ จึงอาศัยอยู่กับยาย โดยมีพี่สาวเป็นผู้ดูแล เริ่มศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ
อายุ 21 ปี บรรพชาอุปสมบทที่วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อฉาย วัดกลางคลองบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์
พรรษาแรก ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรม ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าวัดประดู่โรงธรรม กับเจ้าคุณเนื่อง, พระครูชม และหลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น
ด้านการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น และหลวงพ่อเภา ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา รวมทั้งตำรับตำราที่มีอยู่ จากชาดกบ้าง ธรรมบทบ้าง และเดินทางไปหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่ จ.สุพรรณบุรี และสระบุรี
พรรษาที่ 3 เดินธุดงค์จากอยุธยามุ่งตรงสู่สระบุรี กราบนมัสการพระพุทธฉาย และรอยพระพุทธบาท จากนั้นไปยังสิงห์บุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน กระทั่งอาพาธด้วยโรคเหน็บชาจึงพักธุดงค์
ทั้งนี้ ตัดสินใจไม่รับกิจนิมนต์นอกวัด ตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2490 และถือข้อวัตรฉันอาหารมื้อเดียวมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2500 ต่อมาภายหลังในปี พ.ศ.2525 ศิษย์ต้องกราบนิมนต์ให้ท่านฉัน 2 มื้อ
ปีหนึ่งๆ จะออกมาเพื่อลงอุโบสถเพียง 3 ครั้งเท่านั้น คือ วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา และวันโมทนากฐิน
เป็นแบบอย่างของผู้มักน้อยสันโดษ ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีผู้ปวารณาจะถวายเครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ ส่วนใหญ่จะปฏิเสธ คงรับไว้บ้างเท่าที่เห็นว่าไม่เกินเลย อันจะเสียสมณสารูป และใช้สอยพอให้ผู้ถวายเกิดความปลื้มปีติ ก่อนยกให้เป็นของสงฆ์ส่วนรวม ข้าวของต่างๆ ที่เป็นสังฆทาน ถึงเวลาเหมาะควรท่านก็จะระบายออก จัดสรรไปให้วัดต่างๆ ที่อยู่ในชนบทและยังขาดแคลน
ให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนา ถึงกับเมตตาให้ใช้ห้องส่วนตัวที่จำวัดเป็นที่รับรองสานุศิษย์และผู้สนใจได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม
หากลูกศิษย์คนใดสนใจขวนขวายในการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ก็จะส่งเสริม สนับสนุน และให้กำลังใจ ที่สำคัญจะไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติธรรมของสำนักอื่นในเชิงลบหลู่ หรือเปรียบเทียบดูหมิ่น
นอกจากความอดทนอดกลั้นอันเป็นเลิศ ยังเป็นแบบอย่างของผู้ไม่ถือตัว วางตัวเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ยกตนข่มผู้อื่น
ด้านวัตถุมงคล มิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ สร้างหรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่อง ด้วยเห็นประโยชน์ เนื่องจากบุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยวทางใจ เคยปรารภว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล”
พระเครื่องบูชาที่อธิษฐานจิตปลุกเสกให้แล้วปรากฏผลแก่ผู้บูชาในด้านต่างๆ เป็นเพียงผลพลอยได้ แต่กุศโลบายที่แท้จริงคือ มุ่งหวังให้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติภาวนา มีพุทธานุสติ เป็นต้น
รับแขกโปรดญาติโยมไม่ขาดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 จนปลายปี พ.ศ.2532 สุขภาพจึงทรุดโทรมลง แต่ใช้ความอดกลั้นอย่างสูง แม้จะมีโรคมาเบียดเบียนอย่างหนัก ก็สู้ออกโปรดญาติโยมเหมือนไม่เป็นไร บางครั้งถึงขนาดที่ต้องพยุงตัวเอง ก็ยังไม่เคยปริปากให้ใครต้องกังวล
เมื่อวันอังคารที่ 17 มกราคม 2533 จึงมรณภาพลงอย่างสงบ ด้วยโรคหัวใจ สิริอายุ 85 ปี พรรษา 654
|
|
|
38
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / เฉาก๊วย (แท้) และเพื่อนเฉาก๊วย
|
เมื่อ: 01 เมษายน 2567 11:34:25
|
เฉาก๊วย (แท้) และเพื่อนเฉาก๊วย ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 มีนาคม - 4 เมษายน 2567 คอลัมน์ - โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2567
เฉาก๊วยเป็นของหวานที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยกันมานาน ยิ่งอากาศร้อนๆ เฉาก๊วยใส่น้ำแข็งไสก็เป็นหนึ่งในอาหารกินเล่นคลายร้อนที่ดี เดินไปกินร้านไหนๆ ก็บอกว่าเฉาก๊วยของแท้กันทุกร้าน บางเจ้ากล่าวว่าของแท้ต้องมาจากจังหวัดนั้น บางเจ้าว่าของแท้ต้องตัดเป็น 4 เหลี่ยม 6 เหลี่ยมก็มี แล้วเฉาก๊วยแท้ต้องมาจากจีนจริงหรือ?
คงเพราะชื่อ เฉาก๊วย เรียกกันตามภาษาจีน และด้วยการรับรู้มาเนิ่นนานว่า เฉาก๊วยต้องสั่งซื้อนำเข้าหญ้าเฉาก๊วยมาจากเมืองจีน ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจว่าต้นเฉาก๊วยเป็นพืชเฉพาะถิ่นของจีนเท่านั้น แต่ถ้าดูข้อมูลวิชาการจากฐานข้อมูลของสวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิว มีรายงานว่าเฉาก๊วยมีถิ่นกำเนิดในอัสสัม บังกลาเทศ กัมพูชา จีนตอนใต้ ลาว เมียนมา เกาะนิวกีนี ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไต้หวัน เวียดนาม และในประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม เพราะจีนเป็นประเทศที่มีการปลูกและส่งออกเฉาก๊วยมากที่สุด ซึ่งก็ส่งเขามาเมืองไทยมากมายด้วย ต่อมาอินโดนีเซียและเวียดนามมีการปลูกเป็นการค้าเช่นกัน และช่วงนี้เข้าสู่หน้าร้อนและร้อนที่สุด เฉาก๊วยจึงเป็นสมุนไพรทางเลือกอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยการดูแลสุขภาพ ด้วยการรู้จักกินอาหารให้เข้ากับฤดูกาล เฉาก๊วยจึงเป็นทั้งอาหารและยา
เฉาก๊วยมีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า Black cincau หรือ Grass black jelly เดิมมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mesona chinensis Benth. อยู่ในวงศ์กะเพรา หรือวงศ์มินต์ (Lamiaceae)
ต่อมามีการศึกษาทางโมเลกุลเชิงลึก ค้นพบข้อมูลใหม่จึงเปลี่ยนชื่อวิทยาศาสตร์มาเป็น Platostoma palustre (Blume) A.J.Paton เฉาก๊วยเป็นไม้ล้มลุก ประเภทคลุมดิน หรือเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย ขนาดเล็ก สูง 15-100 ซ.ม. ลำต้นกลม เปราะ หักง่าย เป็นพืชเดียวกับสะระแหน่ กะเพรา โหระพา แมงลัก ยี่หร่า และมินต์ ใบมีขนาดใหญ่กว่าใบมินต์ และเรียวแหลมรูปรี แกมรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบสีเขียวสด ดอกมีสีขาว สีแดงอ่อน หรือสีฟ้า คล้ายดอกกะเพรา สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี ขึ้นได้กับสภาพดินทั่วไป ชอบแสงแดด และความชุ่มชื้น พบในธรรมชาติบนที่สูง ปัจจุบันมีการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ
วิธีการสกัดสารออกมาจากต้นเฉาก๊วย ทำได้โดยตัดต้นออกเป็นท่อนสั้นๆ ซึ่งมีใบติดอยู่ด้วย แล้วนำไปต้มน้ำจนเดือดก็จะมีสารที่มีลักษณะคล้ายๆ วุ้นออกมา ซึ่งเป็นสารเคมีที่เรียกว่า เพกติน (Pectin) ซึ่งจัดเป็นสารประกอบจำพวกคาร์โบไฮเดรต พร้อมกับมีส่วนที่เป็นยางออกมาด้วย สารที่ออกมานี้มีสีน้ำตาลเข้มเกือบเป็นสีดำ นี่เองคือที่มาที่เราเห็นเฉาก๊วยมีสีดำก็เพราะมาจากสาร 2 ชนิดนี้นั่นเอง
วิธีทำอีกอย่างหนึ่งจะนำใบเฉาก๊วยแห้ง ผสมกับแป้งมันสำปะหลัง แล้วนำมาต้มให้เดือดก็จะได้เฉาก๊วยออกมาเช่นกัน หรือวิธีทำที่นำต้นเฉาก๊วยตากแห้งแล้วค่อยนำไปต้มให้ได้น้ำสีดำ มีลักษณะเป็นเมือกเล็กๆ จากนั้นนำน้ำต้มเฉาก๊วยไปกรองแล้วไปผสมกับแป้งเท้ายายม่อมหรือแป้งมันสำปะหลัง คนให้เข้ากันแล้วตั้งทิ้งไว้จนเย็น จะได้วุ้นสีดำแบบเฉาก๊วยเช่นกัน
เฉาก๊วย มีสรรพคุณ แก้ร้อนใน ช่วยดับกระหาย ช่วยขับเสมหะ แก้อาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร ช่วยลดไข้ แก้อาการตัวร้อน ลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ลดอาการตับอักเสบ ลดความดันโลหิตสูงและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด บรรเทาอาการหวัด บรรเทาอาการเบื่ออาหาร แก้ปวดท้อง มวนท้อง บรรเทาอาการไขข้ออักเสบ
และในระยะหลังๆ มานี้ยังมีการนำเฉาก๊วยเป็นอาหารให้ผู้ป่วยในระยะให้เคมีบำบัดด้วย เพื่อช่วยบรรเทาอาการข้างเคียง ลดความร้อนในร่างกาย ฯลฯ
ในประเทศจีน แพทย์แผนจีนแนะนำว่าเฉาก๊วยมีสรรพคุณทางยา ที่ดีต่อคนเป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูง
หากนำเฉาก๊วยมาต้มและดื่มเป็นประจำ อาการของโรคจะบรรเทาลงได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องระวังปริมาณน้ำตาลที่เติมลงไปในน้ำเฉาก๊วยด้วย หรือดื่มน้ำเฉาก๊วยที่ใส่น้ำตาลเล็กน้อย หรือไม่เติมน้ำตาลเลยก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
แต่เมื่อค้นคว้าในตำรายาจีน พบว่ายังมีสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า เฉาก๊วย เช่นกัน เขียนเป็นภาษาจีนได้ว่า ??? (Cao guo, Fructus Tsaoko ) เฉาก๊วยชนิดนี้เป็นผลสุกของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lanxangia tsao-ko (Crevost & Lemari?) M.F.Newman & ?korni?k อยู่ในวงศ์ขิงข่า (Zingiberaceae)
พืชนี้คนไทยเรียกว่า “กระวานดำ” มีรสเผ็ด อุ่น มีฤทธิ์สลายความชื้น ขับความเย็น แก้ความเย็นกระทบกระเพาะอาหารและลำไส้ (แก้ความเย็นที่ทำให้ปวด จุกเสียด แน่นท้อง อาเจียน ท้องเสีย) มีฤทธิ์ขับเสมหะ และแก้ไข้มาลาเรีย
ในอินโดนีเซียก็มีการปลูกต้นเฉาก๊วยเป็นการค้าแล้ว แต่ก็พบว่าคนท้องถิ่นนิยมกินวุ้นจากพืชชนิดหนึ่งคล้ายเฉาก๊วย เรียกว่า “Cincau Hijau” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyclea barbata Miers. หรือ เรียกว่า หญ้าวุ้นสีเขียว ( green grass jelly) ซึ่งคล้ายกับเฉาก๊วยที่เรียกว่าหญ้าวุ้นสีดำ (black grass jelly) โดยนำใบสดมาปั่น กรองเอากากออก ปล่อยไว้ประมาณ 5 นาที น้ำที่กรองได้จะกลายเป็นวุ้นสีเขียว ใช้เป็นของหวานเหมือนเฉาก๊วย สรรพคุณก็คล้ายกัน
ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นรายงานพบว่า หญ้าวุ้นสีเขียวของอินโดนีเซียก็คือ “หมาน้อย” ที่เป็นภูมิปัญญาอีสานนำมาสกัดเอาวุ้นมาประกอบอาหารคาวหวานนั่นเอง
แต่เดิมหมาน้อยมีชื่อวิทยาศาสตร์อันเดียวกับพืชที่ภาคกลางเรียกว่า “กรุงเขมา” ใช้ชื่อว่า Cissampelos pareira L. แต่จากการศึกษาในระดับโมเลกุลพบว่า หมาน้อยเป็นพืชที่อยู่คนละสกุลกับกรุงเขมา พืชหมาน้อยมีอย่างน้อย 2 ชนิด Cyclea polypetala Dunn และ Cyclea peltata (Burm.f.) Hook.f. & Thomson และหญ้าวุ้นสีเขียวของอินโดนีเซีย ชนิด Cyclea barbata Miers ก็มีรายรายงานว่าพบในประเทศไทยเช่นเดียวกัน
เมืองไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพของพืชในกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง พืชกลุ่มนี้มีสารเพกตินที่เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ให้พลังงานในปริมาณที่สูงด้วย จึงนำมาใช้ประโยชน์และสร้างโปรดักต์ด้านสุขภาพได้มากมาย
ร้อนปีนี้ยังอีกยาวไกล เฉาก๊วย หมอน้อย หญ้าวุ้นเขียว มีอยู่มากมายในไทยมีสรรพคุณดีเหมาะกับนำมากินในคิมหันตฤดูนี้ •
|
|
|
39
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / ย้อน “พินัยกรรม-คำสั่ง” โจโฉ ทำไมสั่งเสียเรื่องชีวิตบั้นปลายของเมียน้อยตน?
|
เมื่อ: 29 มีนาคม 2567 12:04:51
|
โจโฉ (ภาพโดย Yoshitoshi ศิลปินชาวญี่ปุ่นสมัยศตวรรษที่ 19)ย้อน “พินัยกรรม-คำสั่ง” โจโฉ ทำไมสั่งเสียเรื่องชีวิตบั้นปลายของเมียน้อยตน? ผู้เขียน - เฉิงเสี่ยวฮั่น เผยแพร่ - ศิลปวัฒนธรรม วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2567
ย้อน “พินัยกรรม-คำสั่ง” โจโฉ ทำไมสั่งเสียเรื่องชีวิตบั้นปลายของเมียน้อยตน?
รัชศกเจี้ยนอาน ปีที่ 25 (ค.ศ.220) เดือนอ้าย โจโฉ ยอดคนใจฉกรรจ์ป่วยตาย (15 มีนาคม พ.ศ.763) แต่เขาต่างจากท้าวพระยามหากษัตริย์อื่นตรงที่ไม่เพียงสั่งการเรื่องประเทศชาติไว้เรียบร้อย หากยังสั่งเสียเรื่องชีวิตช่วงหลัง (จากตนตาย) ของเมียน้อยทั้งหลายไว้อีกด้วย
“หนังสือคำสั่งเสีย” ของโจโฉกล่าวว่า “กลางดึกข้ารู้สึกอาการไม่ค่อยดี รุ่งเช้ากินข้าวต้มแล้วเหงื่อออกจึงดื่มน้ำตังกุย…บรรดาอนุภรรยาและศิลปินสาวเหล่านางบำเรอของข้าล้วนเหนื่อยยาก ขอให้ไปอยู่บนหอยูงทองทั้งหมด ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างดี ในห้องโถงกลางบนหอตั้งเตียงนอนยาว 6 ฉื่อ (1 ฉื่อยาว 23 ซม.) ผูกมุ้งม่านสำหรับดวงวิญญาณไว้ ทุกเช้าค่ำเซ่นไหว้ด้วยข้าวสวยและเนื้อแห้ง วัน 1 ค่ำ 15 ค่ำ มีดนตรีฟ้อนรำถวายหน้าม่าน และพวกเจ้า (บุตร) ต้องขึ้นไปบนหอยูงทองบ่อยๆ แล้วมองไปทางสุสานของข้าทางด้านตะวันตก เครื่องหอมที่เหลืออยู่เอาแบ่งให้ฮูหยินทั้งหลาย พวกเมียน้อยที่ไม่มีงานให้ไปหัดเย็บรองเท้าเป็นอาชีพ”
นี่คือ “พินัยกรรม-คำสั่งเสีย” ที่โจโฉเขียนก่อนตาย ในพงศาวดารสามก๊กจี่ ภาควุยก๊ก บทประวัติวุ่ยอู่ตี้ (โจโฉ) บันทึกไว้แต่ตอนต้น ตอนปลายปรากฏในคำนำ “ร้อยแก้วไว้อาลัยวุ่ยอู่ตี้ (โจโฉ)” ของลู่จี (กวียุคราชวงศ์จิ้น) ซึ่งรวมอยู่ในประชุมวรรณกรรมชุด “สรรบทนิพนธ์โดยเจ้าชายจาวหมิง” เล่ม 60 มีคำกล่าวว่า “คนใกล้ตาย วาจาก็ดีงาม”
โจโฉ รบทัพจับศึกใช้เล่ห์เหลี่ยมชิงชัยมาชั่วชีวิต เป็นผู้นำในแผ่นดิน มีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อประวัติศาสตร์ แต่พินัยกรรมฉบับนี้ได้สะท้อนให้เห็นภาพที่ไม่ธรรมดาอีกด้านหนึ่งของโจโฉ
ข้อความตอนนี้ทำให้เราทราบว่า โจโฉรู้ตัวว่าไม่สบายขึ้นฉับพลันในกลางดึก วันรุ่งขึ้นแม้กินข้าวต้มก็เหงื่อออก ร่างกายอ่อนล้ามาก จึงรู้ตัวว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน ในภาวะเช่นนี้ เขาหวังว่าหลังจากตนตายแล้ว “เครื่องหอมที่เหลืออยู่แบ่งให้ภรรยาทุกคน ส่วนเมียน้อยและนางบำเรอที่ไม่มีงานทำให้ไปหัดทำรองเท้าขาย” เป็นที่มาของสำนวนว่า “เฟินเซียงม่ายหลี่ว์-แบ่งเครื่องหอมขายรองเท้า” ซึ่งมีความหมายเชิงอุปมาว่า “เสน่หาอาทร” เหล่าภรรยาเมื่อยามใกล้ตาย (แม้กระทั่งเครื่องหอมที่ยังเหลืออยู่ก็ต้องเอาแบ่งให้ คนที่ไม่มีงานทำก็ให้หัดเย็บรองเท้าเป็นอาชีพเลี้ยงตัวหลังสามีตาย จะได้ไม่ลำบาก แสดงถึงความรักใคร่ห่วงใยอย่างสุดซึ้ง-ผู้แปล)
ในสังคมศักดินา ท้าวพระยามหากษัตริย์นอกจากมีมเหสีเอกแล้วก็มักมีสนมกำนัลหรืออนุภรรยา มากบ้างน้อยบ้าง ส่วมมากจะอายุน้อยกว่าสามี หลังจากสามีผู้เป็นกษัตริย์ล่วงลับไป สนมกำนัลสาวๆ เหล่านี้มักถูกกักอยู่ในตำหนักเย็น มิฉะนั้นก็อาจจะก่อความวุ่นวายแก่ฝ่ายใน ชะตาชีวิตบั้นปลายแสนเศร้า ด้วยตระหนักเรื่องดังกล่าว ก่อนตายโจโฉจึงวางแผนและสั่งการเรื่องชีวิตบั้นปลายของเหล่าเมียน้อยและนางบำเรอไว้เรียบร้อย หวังว่าพวกเธอจะมีอาชีพเลี้ยงตัวได้ ไม่ต้องมีชีวิตบั้นปลายรันทดซ้ำรอยผู้อื่น
ความคิดที่เปี่ยมด้วยอารมณ์มนุษย์ของโจโฉนี้ แสดงให้เห็นเอกลักษณ์บุคลิกหลายมิติของเขา โจโฉมิได้มีเพียงจิตวิญญาณวีรชนผู้ห่วงใยบ้านเมือง แต่ยังมีอารมณ์เสน่หาอาทรที่ลึกซึ้งจริงใจด้วยเช่นกัน ถ้อยคำก่อนตายที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ดังกล่าวของเขา มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อนักวรรณคดี (กวี) และนักประวัติศาสตร์ในยุคหลัง
กวีนิพนธ์บท “หอยูงทอง” ของหลัวอิ่นกวียุคราชวงศ์ถังกล่าวว่า “บนหอเก็บสาวงามไว้ทุกปี เจียงโหนทีโอบด้วยพุ่มพฤกษา วีรชนก็มีวันสิ้นชีวา แต่จักหาคนเมียมได้สักกี่คน” กวีนิพนธ์บท “เพลงริมเจียงโห” ของไต้อวี้ญ่าง ซึ่งหยวนเหมยยกมาอ้างถึงในหนังสือ “สุยหยวนซือฮว่า (อุทยานร้อยกรอง)” เล่ม 9 ก็กล่าวว่า “หนุ่มสาวอาทรเสน่หา ผู้กล้ายิงธนูอ่านหนังสือ” (โจโฉมีครบทั้งสองประการ ยิงธนูคือวิชาฝ่ายบู๊ อ่านหนังสือคือวิชาฝ่ายบุ๋น ซึ่งโจโฉแตกฉานทั้งบุ๋นและบู๊ ทั้งยังเปี่ยมเส่หาอาทรอีกด้วย-ผู้แปล)
|
|
|
40
|
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / “เองยี้” หญิงสาวที่ “โจโฉ” มหาบุรุษแห่งสามก๊ก ต้องหลั่งน้ำตาให้
|
เมื่อ: 27 มีนาคม 2567 16:17:42
|
โจโฉ (ภาพโดย Yoshitoshi ศิลปินชาวญี่ปุ่นสมัยศตวรรษที่ 19)“เองยี้” หญิงสาวที่ “โจโฉ” มหาบุรุษแห่งสามก๊ก ต้องหลั่งน้ำตาให้ ผู้เขียน - กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ - วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2567
“โจโฉ” มหาบุรุษแห่งยุค “สามก๊ก” มีความสามารถทั้งด้านการทหาร เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองได้ดีเยี่ยม ทั้งยังเป็นกวีผู้เป็นเอกในการประพันธ์ ถูกใจสตรีนางหนึ่งนามว่า “เองยี้” และเป็นหญิงสาวผู้นี้เองที่โจโฉต้องหลั่งน้ำตาให้
เองยี้ เป็นนักร้องมีชื่อในนครโลยาง สมัย “สามก๊ก” นอกจากร้องเพลงเพราะแล้ว เองยี้ยังขึ้นชื่อเรื่องความงามอีกด้วย เมื่อนางได้พบกับโจโฉ ทั้งสองก็พึงใจจะอยู่ด้วยกัน
ความที่โจโฉต้องออกศึกอยู่เสมอ เขาจึงพาเองยี้ติดตามไปยังเมืองต่างๆ เพื่อร้องเพลงขับกล่อม ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป หญิงสาวกลับรู้สึกเบื่อหน่าย และคิดว่าโจโฉไม่ได้รักตนเองในฐานะภรรยา
ไม่นานนัก เองยี้ก็เกิดรักใคร่ชอบพอกับนายทหารคนสนิทของโจโฉ
โจโฉไม่ทราบเรื่องนี้ กระทั่งคืนหนึ่งเขาสั่งให้นายทหารคนสนิทผู้นี้ออกตรวจแนวหน้า แต่เพราะนายทหารมัวแต่อยู่กับเองยี้ ทำให้ลืมคำสั่งโจโฉ
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้โจโฉซึ่งเคร่งครัดวินัยทหารโกรธมาก สั่งประหารนายทหารคนสนิท โทษฐานละเลยคำสั่ง เมื่อเองยี้รู้เข้าก็รีบรุดไปพบโจโฉ พร้อมสารภาพถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับนายทหารของโจโฉ
ด้วยความเด็ดเดี่ยว เองยี้บอกโจโฉว่า เป็นความผิดของนางเองที่ทำให้นายทหารคนดังกล่าวละเลยคำสั่ง จึงขอตายแทนนายทหารผู้นั้น
ก่อนตาย เองยี้ขอเวลา 1 เดือน เพื่อฝึกนักร้องสาวมาร้องเพลงขับกล่อมโจโฉแทนตนเอง โจโฉนึกแปลกใจ แต่ก็อนุญาต
เองยี้คัดเลือกหญิงสาวมา 4 นาง และฝึกฝนให้พวกเธอร้องเพลง เมื่อคิดว่าน้ำเสียงดีแล้วก็พาไปพบโจโฉเพื่อขับขานบทเพลงให้ฟัง โจโฉฟังแล้วก็รับว่าพอใช้ได้ เป็นอันหมดหน้าที่ของเองยี้ที่ขอไว้
ก่อนที่ชีวิตเองยี้จะลาลับ โจโฉอนุญาตให้นางได้พบนายทหารคนสนิท แต่เองยี้ปฏิเสธและบอกว่าไม่จำเป็น เพราะไม่มีอะไรต้องพูดจากันอีกแล้ว แต่โจโฉได้เรียกนายทหารผู้นั้นมาพบเพื่อถามความรู้สึก
อย่างไรก็ตาม คำตอบของนายทหารคนสนิทที่ว่าไม่ได้รักเองยี้ แต่เป็นเพราะความสนุกชั่วคราวเท่านั้น ทำให้โจโฉโกรธมาก แต่เพราะรับปากกับเองยี้ไว้ว่าจะไว้ชีวิตนายทหาร โจโฉจึงได้แค่ไล่ออกจากตำแหน่ง
โจโฉเล่าเรื่องดังกล่าวให้เองยี้ฟัง และตัดสินใจจะไม่ประหารนาง แต่เป็นเองยี้ที่บอกว่า ต่อให้นายทหารจะรักหรือไม่รักเธอก็ตาม แต่เธอรักนายทหารคนนั้นมาก เมื่อสัญญาว่าจะตายแทนก็ต้องตาย แล้วเองยี้ก็นั่งลงกราบโจโฉ 4 ครั้ง หมายความว่าเป็นการลาจาก แล้วก็แขวนคอในคืนนั้น
เหตุนี้ โจโฉจึงหลั่งน้ำตาให้ “เองยี้” หญิงสาวที่ไม่ได้ตกแต่งเป็นภรรยา แค่ครั้งหนึ่งครั้งเดียวในชีวิตโจโฉผู้ยิ่งใหญ่
|
|
|
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 117
|
|
|