Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« เมื่อ: 30 กันยายน 2559 17:33:56 » |
|
.หวงเฟยหงปรมาจารย์กังฟูที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์จีน "หวงเฟยหง" ในสำเนียงจีนกลาง หรือ "หว่องเฟฮง" ในสำเนียงกวางตุ้ง เป็นปรมาจารย์กังฟูที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์จีน มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีจากภาพยนตร์กำลังภายใน ในฐานะที่เป็นวีรบุรุษต่อสู้เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีชาวจีนจากการคุกคามของชาวตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม และญี่ปุ่น เช่นเดียวกับ หงซีกวน และ ฮั่วหยวนเจี๋ย เขาเกิดเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ค.ศ.๑๘๔๗ ตรงกับปีที่ ๒๕ ในรัชสมัยฮ่องเต้เต้ากวงแห่งราชวงศ์ชิง (บ้างว่าเกิดเมื่อปี ค.ศ.๑๘๕๖ ตรงกับปีที่ ๖ ในรัชสมัยฮ่องเต้เสียนเฟิง) ที่หมู่บ้านหลูเจ้า ใกล้ภูเขาสีเฉียว เมืองฝอซาน มณฑลกวางตุ้ง เป็นบุตรของหวงฉีอิง ผู้นอกจากจะเป็นแพทย์แผนโบราณที่ได้รับการยกย่องนับถือ ยังเป็นปรมาจารย์กังฟู และเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม "๑๐ พยัคฆ์กวางตุ้ง" ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
อย่างไรก็ตาม อาจารย์คนแรกที่ถ่ายทอดวิทยายุทธ์กำลังภายในให้หวงเฟยหงกลับมิใช่บิดา แต่เป็นลู่อาไฉ ผู้เป็นสหายร่วมสำนักเส้าหลินกับวีรบุรุษกังฟู หงซีกวน ลู่อาไฉถ่ายทอดวิชามวย "หงฉวน" ที่มีกระบวนท่ามีชื่ออย่าง "หมัดพยัคฆ์ดำ-กระเรียนขาว" ให้เขา และนอกจากได้ลู่อาไฉเป็นอาจารย์ ในวัยเยาว์ หวงเฟยหงยังได้ร่ำเรียนวิชาหงฉวนจากหลำฟกซิง รวมถึงการสั่งสอนเพิ่มเติมจากหวงฉีอิง ผู้เป็นบิดา ส่วนอาวุธที่เขาถนัดและเชี่ยวชาญที่สุดคือกระบองไม้ไผ่ หรือไม้พลอง กับสามง่าม
วัยเด็กครอบครัวของหวงเฟยหงฐานะยากจน ต้องตระเวนรอนแรมไปเปิดการแสดงวิชาฝีมือและขายยาตามท้องถนน ช่วงชีวิตวัยเยาว์ของเขาจึงเป็นระยะเวลาของการฝึกฝนวิชาต่อสู้ป้องกันตัว พร้อมไปกับการศึกษาสืบทอดวิชาแพทย์จากบิดา
ผ่านมาถึงยุคสร้างชื่อ หวงเฟยหงสร้างวีรกรรมลือลั่น ๒ ครั้ง ในช่วงเวลาที่เขาเปิดโรงเรียนสอนกังฟูทั้งที่ยังเป็นแค่วัยรุ่นคนหนึ่ง เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อเขาอายุ ๑๖ ปี ชาวตะวันตกกลุ่มหนึ่ง คิดกิจกรรมสร้างความบันเทิงให้ตัวเอง โดยฝึกฝนสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดจนดุร้ายกระหายเลือด จากนั้นเปิดเวทีท้าประลองให้ชาวจีนสู้กับสุนัข ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลมูลค่าสูง แต่หากพลาดพลั้งบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ถือเป็นคราวเคราะห์ ไม่มีผู้ใดรับผิดชอบ รายการนี้เป็นเรื่องโจษจันเกรียวกราว ผู้คนจำนวนมากเข้าประลอง ซึ่งล้วนแต่พ่ายแพ้ โชคดีก็แค่บาดเจ็บ แต่จำนวนไม่น้อยต้องตายอย่างไร้ค่า หวงเฟยหงจึงเข้าประลองเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีจีน เขาชนะอย่างง่ายดายด้วยกระบวนท่า "ฝ่าเท้าไร้เงา" ไม้ตายประจำตัว
เหตุการณ์ที่ ๒ คือ เมื่อครั้งที่ท่าเรือฮ่องกงเพิ่งเปิดทำการ หวงเฟยหงในวัย ๒๑ ปี ไม่อาจทนเห็นชาวบ้านผู้ไร้หนทางต่อสู้ถูกพวกอันธพาลรุมรังแก เขายื่นมือเข้าขัดขวางด้วยการใช้กระบองไม้ไผ่เป็นอาวุธบุกเดี่ยวสู้กับฝ่ายตรงข้ามจำนวนหลายสิบคน กลายเป็นศึกตะลุมบอนอันลือลั่น (บริเวณที่เกิดเหตุดังกล่าว ปัจจุบันคือสวนสาธารณะที่ถนนฮอลลีวู้ด บนเกาะฮ่องกง) ผลการต่อสู้เขาอัดนักเลงบาดเจ็บไปหลายคน แต่ขณะเดียวกันตัวเขาเองก็ไม่อาจอยู่ในฮ่องกงได้อีกต่อไป ต้องเดินทางกลับกวางเจา
ช่วงชีวิตของหวงเฟยหงที่รู้จักแพร่หลายมากที่สุด ผ่านการบอกเล่าของภาพยนตร์จำนวนหลายเรื่อง คือชีวิตช่วงวัยประมาณ ๓๐ ปี เขาเป็นปรมาจารย์กังฟู และเป็นเจ้าของร้านขายยาและสถานพยาบาลเป่าจือหลิน ที่กลายเป็นตำนานคู่กับชื่อหวงเฟยหง ด้วยเหตุที่ให้การรักษาผู้เจ็บป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสำหรับผู้ยากไร้ บ่อยครั้งเป็นการเยียวยาพยาบาลโดยไม่คิดเงิน วิชาแพทย์ของหวงเฟยหงได้รับการยกย่องไม่น้อยหน้าวิชาการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อกระดูก ตำรับยาเฉพาะประจำตระกูล หรือการรักษาโดยวิธีการฝังเข็มถึงช่วงปี ค.ศ.๑๘๘๘ ครั้งเขาเป็นแพทย์ เปิดร้านขายยาและสถานพยาบาลเป่าจือหลิน วันหนึ่ง นายพลหลิวหยงฟู่ ผู้บัญชาการกองธงดำ ประสบอุบัติเหตุขาหัก ได้รับการรักษาโดยหวงเฟยหงจนกระทั่งหายดี เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างบุคคลทั้งสอง หลิวหยงฟู่ชักชวนเขาเข้าเป็นหมอประจำกองทัพ ทั้งให้ฝึกวิชาต่อสู้ป้องกันตัวให้เหล่าทหารด้วย และต่อมาทั้งคู่ก็ได้เข้าร่วมสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นที่บุกรุกรานเกาะไต้หวัน
หวงเฟยหงผ่านการแต่งงานทั้งหมด ๔ ครั้ง มีลูก ๑๐ คน ภรรยา ๓ คนแรก เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เขาโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุแห่งเคราะห์ร้ายของคนที่ตนรักและตัดสินใจว่าจะไม่แต่งงานอีก แต่แล้วในปี ค.ศ.๑๙๐๓ เขาได้พบกับสาวน้อยวัย ๑๖ ชื่อ มอกไกวหลาน (หรือ ม่อกุ้ยหลาน) ต่างตกหลุมรักซึ่งกันและกันจนนำไปสู่การแต่งงานในที่สุด
บั้นปลายชีวิตหวงเฟยหง เกิดเหตุการณ์สะเทือนจิตใจเขาอย่างรุนแรง เดือนมีนาคม ๑๙๒๔ เกิดเหตุจลาจลในย่านการค้าของกวางเจา ห้างร้านจำนวนมากถูกทำลายเสียหายยับเยิน รวมทั้งร้านเป่าจือหลินที่ถูกเผาวอด และก่อนหน้านั้น หว่องฮอนซัม บุตรชายคนโตของหวงเฟยหง เสียชีวิตในการทะเลาะวิวาทกับแก๊งค้ายาเสพติด (ข้อมูลบางแหล่งแย้งต่างกันมาก แต่ที่น่าจะถูกต้องที่สุดคือ เหตุดังกล่าวเกิดใน ค.ศ.๑๘๙๐) การสูญเสียบุตรชาย ทำให้หวงเฟยหงประกาศไม่ถ่ายทอดวิชาฝีมือให้แก่ลูกหลานของตน จะสอนให้เฉพาะลูกศิษย์เท่านั้น
หวงเฟยหงเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ค.ศ.๑๙๒๔ สิริอายุได้ ๗๖ ปี หลังจากนั้น มอกไกวหลานพร้อมด้วยลูกศิษย์ ๒ คน คือ หลินจี้หลง และ ตั่งเซาขิ่ง พากันอพยพไปยังฮ่องกง ตลอดชีวิตหวงเฟยหงมีลูกศิษย์ ๑๘ คน (ตั่งเซาขิ่งเป็นคนเดียวที่เป็นผู้หญิง) ว่ากันว่าคนที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาในทุกด้าน ทั้งวิชากำลังภายใน วิชาแพทย์ และการเชิดสิงโต คือ เหลิงฟุน แต่โชคร้ายที่ศิษย์เอกรายนี้เสียชีวิตตั้งแต่อายุเพียง๒๐ ต้นๆ ส่วนศิษย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดคือ หลินซื่อหลง
ต่อมาหลินซื่อหลงได้เปิดสำนักขึ้นที่ฮ่องกงและเขียนตำราหมัดมวยที่สำคัญหลายเล่ม รวมทั้งเป็นผู้มีบทบาทในการถ่ายทอดเผยแพร่วีรกรรมของอาจารย์
หลังจากหวงเฟยหงเสียชีวิต เรื่องราวของเขาก็ได้รับการนำมาถ่ายทอดเป็นนวนิยายตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับ และเป็นที่นิยมในวงกว้าง มีการแต่งเติมสีสันเพิ่มจินตนาการต่างๆ มากมาย จนกระทั่งเรื่องราวของหวงเฟยหงกลายเป็นตำนานพิสดารในวัฒนธรรมร่วมสมัย
กระทั่ง ค.ศ.๑๙๔๙ เรื่องราวเกี่ยวกับหวงเฟยหงได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรก ในชื่อ Huang Fei-hong zhuan: Bian feng mie zhu โดยมี กวานตั๊กฮิง ผูกขาดรับบทเป็นหวงเฟยหงถึง ๗๗ เรื่อง (กินเนสส์บุ๊กบันทึกไว้ว่า เขาเป็นนักแสดงที่รับบทเป็นตัวละครเดิมมากที่สุดในโลก) ถึงขั้นว่าในชีวิตจริงมีผู้คนจำนวนมากเรียกขานเขาว่า อาจารย์หวง
จนถึงปัจจุบัน เรื่องราวของหวงเฟยหงถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และซีรีส์มาแล้วนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพยนตร์ชุด Once Upon a Time in China ที่มีอยู่ด้วยกันถึง ๖ ภาค ตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๙๑-๑๙๙๗ นักแสดงผู้รับบทหวงเฟยหงคือ หลี่เหลียนเจี๋ย และ จ้าวเหวินจั๋ว เป็นนักแสดงผู้รับบทหวงเหยฟงในภาคที่ ๔ และภาคที่ ๕ และในแบบซีรีส์ หนังสือพิมพ์ข่าวสดร้อยตรี ยอด สังข์รุ่งเรือง ทหารผ่านศึกสงครามโลก ๑ ภาพที่ปรากฏแก่สายตาท่านผู้อ่านขณะนี้ คือ อนุสาวรีย์ขนาดกะทัดรัด อยู่บริเวณหน้าโรงละครแห่งชาติ และภาพถัดมา คือ ร้อยตรี ยอด สังข์รุ่งเรือง ทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ ๑ คนสุดท้ายของไทยที่เสียชีวิตลงเมื่อ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๖ ครับ ไม่ต้องเล่าย้อนประวัติศาสตร์ให้เสียเวลาครับ…สรุปว่าฝรั่งในยุโรปแข่งกันเป็นใหญ่ แค้นฝังหุ่นกันมานาน แบ่งเป็น ๒ พวกชัดเจน เกิดการลอบสังหารบุคคลสำคัญของออสเตรีย จนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สงครามระเบิดขึ้น วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๕๗ ตรงกับรัชสมัยในหลวง ร.๖ ในช่วงแรกสยามประกาศวางตัวเป็นกลางไม่สนับสนุนฝ่ายใด
๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ หลังจากทางการสยามเฝ้ามองสถานการณ์ในยุโรปที่เค้ารบกันมาราว ๓ ปี รัฐบาลจึงตัดสินใจประกาศสงครามกับเยอรมัน กระทรวงกลาโหมประกาศรับสมัครชายหนุ่มเพื่อไปทำสงครามในยุโรป มีคนมาสมัคร ๑,๓๘๕ คน คัดแล้วเหลือ ๑,๒๘๔ คน
นายทหารหนุ่ม ๓ ท่านจากสยามที่ไปฝึกเป็นนักบินรบมาจากฝรั่งเศสคือ พันตรีหลวงศักดิ์ศัลยาวุธ (สุนี สุรรณประทีป) ร้อยเอกหลวงอาวุธสิขิกร (หลง สินศุข) และร้อยโททิพย์ เกตุทัต ผู้มีความคุ้นเคยกับกองทัพฝรั่งเศสเป็นอย่างดี จึงทำหน้าที่เป็นมันสมองวางแผนการส่งกองทหารไปร่วมรบในฝรั่งเศส
พลตรีพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ผู้บัญชาการกองพลที่ ๔ ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นหัวหน้าทูตทหารออกเดินทางเป็นส่วนล่วงหน้าไปฝรั่งเศสเพื่อเตรียมการเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๐ ส่วนนายทหารชั้นรองลงไป มีพันโทพระทรงสุรเดช พันโทหม่อมเจ้าฉัตรมงคล พันตรีหม่อมเจ้าอมรทัต เป็นผู้ช่วยหัวหน้าทูตทหาร
มีนายทหารประสานงานอีก ๘ นาย คือ ร้อยเอกสาย บุณณะภุม ร้อยโทเมี้ยน โรหิตเศรนี ร้อยตรี ม.ร.ว.ตัน สนิทวงศ์ ร้อยตรีกมล โชติกเสถียร ร้อยตรีเภา เพียรเลิศ ร้อยตรีภักดิ์ เกษสำลี ร้อยตรีชั้น ช่วงสุคนธ์ และร้อยตรีวัลย์
กองทหารอาสาจากสยามที่ผ่านการฝึกเบื้องต้นแล้ว (กำลังส่วนใหญ่) ออกเดินทางด้วยเรือจากท่าราชวรดิษฐ์เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๑ โดยเรือศรีสมุทรและเรือกล้าทะเลลำเลียงทหารอาสาไปส่งที่เกาะสีชัง เรือเดินสมุทรชื่อเอ็มไพร์ของฝรั่งเศสลำเลียงทหารกล้าออกจากน่านน้ำสยาม เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๑ ใช้เวลาเดินทาง ๔๑ วัน ถึงเมืองมาแซลล์ จากนั้นกองทหารจากสยามแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
ทหารอาสาที่เป็นหน่วยบินทหารบกจากสยามยังไม่พร้อมบินรบ กองทัพอากาศฝรั่งเศสจับฝึกให้ใหม่ แยกเป็นนักบินฝึกทิ้งระเบิดไปที่ เมืองเลอโครตัว (Le Crotoy) ฝึกบินลาดตระเวนไปที่เมืองชับแปลลาแรนน์ (Chapelle – La – Reine) ฝึกบินทำการรบไปที่เมืองปิออกซ์ (Piox) และฝึกพลปืนประจำเครื่องบินที่เมือง บิสคารอส (Biscarosse)
โรงเรียนการบินกองทัพฝรั่งเศสฝึกและทดสอบเด็กหนุ่มจากสยาม ผลปรากฏว่าผ่านเกณฑ์เป็นนักบิน ๙๕ นาย พอฝึกจบหลักสูตรได้ ๑ สัปดาห์ กำลังจะออกทำการรบซะหน่อย เยอรมันดันยอมแพ้สงคราม
ส่วนทหารเหล่าขนส่งและทหารเสนารักษ์ของสยามถูกส่งไปในสนามรบทางตะวันตกของฝรั่งเศสทันทีโดยไม่ต้องฝึกไม่ต้องหัด ถือว่าเป็นมืออาชีพ ทหารเสนารักษ์จากสยามได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธภูมิอาค์กอนน์ (Argonne) และชองปาญญ์ (Champagne) ที่กำลังสู้รบและสูญเสียอย่างหนัก สงครามโลกครั้งที่ ๑ รบราฆ่าฟันกันในยุโรปนาน
๔ ปี เมื่อสงครามยุติลงเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๔๖๑ คาดว่ามีคนตายไปราว ๔๐ ล้านคน ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรที่ชนะสงครามรวมทั้งทหารเหล่าขนส่งและและหน่วยบินของสยาม ได้รับเกียรติไปเดินสวนสนามเท่ระเบิดที่ปารีส ลอนดอน และบรัสเซลล์ (สวนสนามฉลองชัยชนะใน ๓ เมือง) พร้อมธงชัยเฉลิมพล หลังเสร็จพิธีอวดธงไทยใน ๓ ประเทศ กองทหารอาสาจากสยามเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๔๖๒ ในหลวง ร.๖ เสด็จมาต้อนรับกำลังพล
ทหารเสนารักษ์จากสยามต้องถอนตัวออกจากฝรั่งเศสเดินทางกลับมาตุภูมิเป็นหน่วยสุดท้าย ฝรั่งเรียกว่า First In – Last Out สงครามยุติลงแล้ว แต่ทหารที่บาดเจ็บที่ต้องดูแลต่ออีกจำนวนมหาศาล เป็นที่น่าเสียดายที่ทหารเสนารักษ์หมวดนี้เลยไม่ได้ไปเดินสวนสนามฉลองชัยชนะลอดใต้ประตูชัยในกรุงปารีส
ข้อมูลที่ได้เพิ่มเติมอีกประการหนึ่งจากต่างประเทศคือ หมวดทหารเสนารักษ์จากสยาม แต่ไม่ทราบจำนวนและไม่มีรายละเอียด น่าภูมิใจนะครับ
พันเอกพระเฉลิมอากาศ (สุนี สุวรรณประทีป) นายทหารที่สำเร็จหลักสูตรการบินจากฝรั่งเศสเป็น ผบ.กองทหารอาสา กองทหารที่ส่งไปร่วมรบในครั้งนี้ แบ่งเป็น ๒ กอง และ ๑ หมวดพยาบาล คือ
๑.กองบินทหารบก (ปัจจุบัน คือกองทัพอากาศ) มี พ.ต.หลวงทยานพิฆาต (ทิพย์ เกตุทัต) เป็น ผบ.กองบิน
๒.กองทหารบกรถยนต์ (ปัจจุบัน คือกรมการขนส่งทหารบก) มี ร.อ.หลวงรามฤทธิรงค์ (ต๋อย หัสดิเสวี) เป็น ผบ.กองบิน
๓.หมวดพยาบาล มี ร.ต.ชุ่ม จิตต์เมตตา เป็น ผบ.หมวด
ในกองบินใหญ่แต่ละกอง มีนายทหาร นายสิบ และพลทหาร นักบิน ช่างเครื่องยนต์ แพทย์และพลพยาบาล ประมาณ ๑๓๕ คน รวมทั้ง ๓ กองบินใหญ่ มีกำลังพลประมาณกว่า ๕๐๐ คน
กองทหารบกรถยนต์ (เหล่าทหารขนส่ง) มีกำลังพลทั้งหมดประมาณ ๘๕๐ คน แบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ๘ กอง แต่ละกองมีนายทหาร นายสิบ และพลทหาร ประมาณ ๑๐๐ คน
รายชื่อของทหารอาสายังคงเก็บรักษาไว้ในสมุดขนาดมหึมาในห้องสมุด กระทรวงกลาโหมครับ (ตามภาพ) และหนึ่งในนั้นทหารอาสาคือ พลทหาร ยอด สังข์รุ่งเรือง
ย้อนอดีตกลับไปครั้งเมื่อกระทรวงกลาโหมประกาศรับทหารอาสาไปร่วมรบ เด็กหนุ่มชื่อนาย ยอด สังข์รุ่งเรือง อายุประมาณ ๒๐ ปี จากจังหวัดพิษณุโลก เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาสมัครไปรบในยุโรป พลทหาร ยอด ได้รับคัดเลือกให้ไปทำงานในกองบินทหารบก เมื่อขึ้นบกที่ฝรั่งเศส พลทหาร ยอด ถูกส่งไปทำงานในตำแหน่งช่างเครื่องของหน่วยบินฝรั่งเศส ที่เมืองยีงกีร์รัง และต่อมาย้ายไปที่เมืองอาร์วอย ปฏิบัติงานอยู่ ๑ ปี สงครามจึงยุติลง
วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๔๖๒ เรือเดินสมุทรกลับถึงสยาม กำลังพลทุกนายรวมทั้งพลทหาร ยอดฯ ได้มีโอกาสเข้ารับพระราชทานเหรียญสมรภูมิจากพระหัตถ์ของในหลวง ร.๖ จากนั้นปลดประจำการเป็นทหารกองหนุน พลทหาร ยอด สร้างเนื้อสร้างตัวใน ต.ท่าโพธิ์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ทำนาด้วยความขยัน มานะ อุตสาหะ จนได้รับเลือกเป็นชาวนาดีเด่นและได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๒ ต.ท่าโพธิ์ ต่อมาอีก ๓ ปีได้รับตำแหน่งเป็นกำนัน ต.ท่าโพธิ์ และได้รับเลือกเป็นกำนันดีเด่น ปฏิบัติงานจนอายุครบ ๗๐ ปี จึงได้ลาออกจากกำนัน
สงครามโลกครั้งที่ ๑ ยุติลงไปแล้ว ๘๐ ปี รัฐบาลฝรั่งเศสติดตามตรวจสอบหาทหารจากทุกประเทศที่เคยเข้าไปร่วมรบช่วยฝรั่งเศสกู้ชาติ เพื่อขอมอบอิสริยาภรณ์ ทางราชการไทยตรวจสอบแล้วพบว่ามีทหารผ่านศึกสงครามโลกที่ ๑ ชื่อ ยอด สังข์รุ่งเรือง เหลืออยู่ที่ จ.พิษณุโลกเพียงคนเดียว
ฯพณฯ เจอร์ราด โคสต (Gerard Coste) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนของ ฯพณฯ ฌากส์ ชีรัก ปธน.ฝรั่งเศส ได้เดินทางไปมอบเครื่องอิสริยาภรณ์เลจิย็องด็อนเนอร์ (de la Legion d’ honneur) ระดับชั้นอัศวิน (Chevalier) ของรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งมอบให้แก่นักรบสมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๑ ที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกประเทศ เพื่อตอบแทนความดีงาม พลทหาร ยอด สังข์รุ่งเรือง เป็นทหารไทยเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ และมีอายุครบ ๑๐๐ ปีพอดีในพุทธศักราช ๒๕๔๒
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศร้อยตรี แก่ พลทหาร ยอด สังข์รุ่งเรือง เป็นกรณีพิเศษ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ โดยพิธีในค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พิษณุโลก
ร้อยตรี ยอด สังข์รุ่งเรือง เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๖ เมื่ออายุ ๑๐๔ ปี พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก - มติชนออนไลน์Gordon Ramsay กอร์ดอน แรมเซย์- เชฟรวยสุดในโลก เหลือเชื่อไหมล่ะ!! เชฟปากจัดอารมณ์ร้ายอย่าง “กอร์ดอน เจมส์ แรมเซย์” มีรายได้รวยอู้ฟู่เท่ากับศิลปินดังระดับโลก “บียอนเซ่ โนวส์” ปี ๒๐๑๖ ทั้งคู่ได้รับการจัดอันดับจากฟอร์บส์ให้เป็นคนดังอันดับที่ ๓๔ จาก ๑๐๐ ของโลกที่มีรายได้สูงสุด โดยหาเงินเข้ากระเป๋าเป็นกอบเป็นกำถึง ๕๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งคู่ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง ยกเว้นสิ่งเดียวคือความขยันและมุ่งมั่นทำงานหนักเพื่อถีบตัวเองสู่ความสำเร็จ “บียอนเซ่” เคยให้สัมภาษณ์กับฟอร์บส์ว่า ในอุตสาหกรรมเพลง ฉันยังไม่เคยเจอใครทำงานหนักเท่าฉันสักคน!! นางไม่ได้โม้เกินจริง เพราะเป็นเจ้าแม่โปรเจกต์เบอร์ต้นๆ แถมเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตไม่หยุดหย่อน เฉพาะอัลบั้มล่าสุด “Lemonade” นางจัดคอนเสิร์ตไปแล้ว ๑๙ โชว์ โดยแต่ละโชว์ทำเงินไม่ต่ำกว่า ๓.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งขยันทั้งอึดขนาดนี้จะไม่ให้รวยยังไงไหว นี่ไม่นับรวมค่าตัวถ่ายโฆษณาแบรนด์ดังระดับโลก เช่น ลอรีอัล, เป๊ปซี่ และ Topshop
ในฐานะเชฟคนเดียวที่ติดโผ ๑ ใน ๑๐๐ คนดังของโลกที่มีรายได้สูงสุดในปี ๒๐๐๖ “กอร์ดอน แรมเซย์” สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง เพราะไม่ได้ก้มหน้าก้มตาอยู่ในครัวอย่างเดียว แต่ยังโลดแล่นออกมาทำรายการทีวีของตัวเองจนฮิตฮอตเรตติ้งกระฉูด กวาดรายได้เข้ากระเป๋ามหาศาล เชฟขั้นเทพได้เงินเดือนจากการถ่ายรายการเอพิโสดละ ๔๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐฯ ปีหนึ่งถ่าย ๕๑ ตอน บวกลบคูณหารมีเงินเข้ากระเป๋าปีละเหนาะๆ ๒๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผลจากความดังของรายการ Hell’s Kitchen, The F Word, Ramsay’s Kitchen Nightmares, Master Chef, Master Chef Junior และ Hotel Hell ยังต่อยอดทำมาหากินได้อีกสารพัด ไหนจะพรีเซ็นเตอร์โฆษณา, ทำตำราอาหาร, ออกผลิตภัณฑ์เครื่องครัว และขายไลเซนส์ร้านอาหาร “เรสเตอรองต์ กอร์ดอน แรมเซย์” ที่ครองมิชลินสตาร์ถึง ๑๖ ดวง เจ้าพ่อโปรเจกต์ยังไม่หยุดแค่นี้ เพิ่งออกเกมบนมือถือชื่อว่า “Gordon Ramsay Dash” ดูดเงินจากสาวกหลายล้านคน
กว่าจะมีวันนี้ ชีวิตของ “แรมเซย์” ต้องปากกัดตีนถีบอย่างหนัก เขาเกิดในสกอตแลนด์ เติบโตมาในครอบครัวบ้านแตก ที่มีแต่ความสิ้นหวัง พ่อของเขาติดเหล้าหนัก ชอบอาละวาดทุบตีลูกเมีย แม่เป็นพยาบาล ส่วนพี่สาวและน้องชายก็ติดเฮโรอีนตั้งแต่วัยรุ่น พออายุ ๑๖ เขาเก็บข้าวของออกจากบ้านเพื่อไปแสวงหาอนาคต
ก่อนจะค้นพบตัวเองว่าอยากเป็นเชฟอาชีพ “แรมเซย์” ใฝ่ฝันอยากเป็นนักฟุตบอล เขาได้รับเลือกร่วมทีมเยาวชนของวอร์วิคเชียร์และมีโอกาสเข้าฝึกซ้อมคัดตัวกับสโมสรฟุตบอลแรงเยอร์สของสกอตแลนด์ แต่ก็ถูกดับฝันตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะบาดเจ็บสาหัสที่เข่า จนสุดท้ายต้องออกวิ่งไล่หาความฝันใหม่อีกครั้ง
ตอนอายุ ๑๙ ปี “แรมเซย์” ตัดสินใจสมัครเข้าเรียนการบริหารจัดการโรงแรม ที่วิทยาลัยนอร์ท ออกซ์ฟอร์ดเชียร์ เทคนิเคิล คอลเลจ โดยได้รับทุนจากสโมสรโรตารี่ เขาเริ่มต้นอาชีพเชฟด้วยการเป็นผู้ช่วยเชฟที่โรงแรมวร็อกซ์ตัน เฮาส์ โฮเต็ล แต่ดันไปแอบกิ๊กกับเจ้าของโรงแรม เลยถูกไล่ออก ต้องเก็บกระเป๋าหนีมาตั้งหลักใหม่ที่กรุงลอนดอน เขาทำงานกับร้านอาหารหลายระดับ จนมีโอกาสลืมตาอ้าปากเมื่อได้ทำงานกับเชฟขาโหด “มาร์โค ปิแอร์ ไวท์” ที่ร้านดัง “Harveys” เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่ ๒ ปีเศษ ก็เอือมระอากับความโมโหร้ายของเจ้านาย เลยเบนเข็มไปหางานทำในปารีส โดยวาดฝันว่าจะพัฒนาฝีมือแบบก้าวกระโดด โอกาสสำคัญในชีวิตมาถึงเมื่อเขาได้ทำงานกับเชฟมิชลินสตาร์ของฝรั่งเศสหลายคน หนึ่งในนั้นที่เขายกย่องเป็นครูคือ “กาย ซาวอย”
ทักษะการทำอาหารชั้นสูงแบบฝรั่งเศส ทำให้ “แรมเซย์” กลายเป็นเชฟหนุ่มเนื้อหอมฉุย ทันทีที่กลับมาลอนดอน เขาได้รับข้อเสนอจาก “มาร์โค ปิแอร์ ไวท์” ให้ร่วมหุ้นเปิดร้านอาหารแห่งใหม่ชื่อ “Aubergine” แต่ด้วยความฝันที่อยากเป็นเถ้าแก่ ภายหลัง “แรมเซย์” ขอถอนหุ้นออกมาเปิดร้านอาหารของตัวเองคือ “Restaurant Gordon Ramsay” เพียงเวลาสั้นๆ เขาก็สร้างสถิติเป็นเชฟสกอตแลนด์คนแรกของโลกที่ได้มิชลิน ๓ ดาว
เส้นทางความสำเร็จและรวยระเบิดของ “แรมเซย์” เปิดอ้าซ่าส์ ในปี ๒๐๐๔ เมื่อเขาสยายปีกมาเป็นเจ้าพ่อรายการทีวี มีซีรีส์ดังเรตติ้งกระฉูดถึง ๒ รายการคือ Ramsay’s Kitchen Nightmares ออกอากาศทางช่อง ๔ และ Hell’s Kitchen ออนแอร์ทาง ITV1 ดังระเบิดขนาดที่สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์มาซื้อลิขสิทธิ์เพื่อไปทำในฝั่งอเมริกา
จากหนุ่มบ้านแตกโตมากับความรุนแรงในครอบครัว จนมีนิสัยก้าวร้าวขี้โมโหติดตัว ทุกวันนี้เขาคือต้นแบบของคนสู้ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ชะตากรรม. ...... มิสแซฟไฟร์ Warren Buffett วอร์เรน บัฟเฟตต์ – นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือต้นแบบของนักลงทุนวีไอพีทั้งโลก และตัวอย่างความสำเร็จที่นักลงทุนต่างใฝ่ฝันอยากเดินตามรอย “เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา”
ชีวิตของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีแง่มุมให้เขียนถึงมากมายไม่รู้จบ ไม่ว่าจะในแง่ของปรัชญาการลงทุน หรือรูปแบบการใช้ชีวิตที่ประหยัดมัธยัสถ์ และความเป็นเศรษฐีนักบุญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่นักลงทุนทั้งโลกพยายามเสาะแสวงหาคือ การเจาะลึกเพื่อเรียนรู้เคล็ดวิชาการลงทุนในแบบของบัฟเฟตต์ ซึ่งถูกเก็บงำเป็นความลับสุดยอดเฉพาะคนในครอบครัว
เมื่อหลายปีก่อน ศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์ที่เก็บงำมานานถูกนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนครั้งแรก โดยอดีตลูกสะใภ้ “แมรี่ บัฟเฟตต์” ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวที่มีโอกาสร่วมวงฟังหลักการลงทุนจากคุณป๋าบัฟเฟตต์อย่างใกล้ชิด ภายใต้เงื่อนไขที่กำชับแล้วกำชับอีกว่า ห้ามนำเรื่องราวของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ออกไปเผยแพร่เด็ดขาด
“แมรี่” กล้าจับปากกาเขียนถึงคุณพ่อสามีคนดัง ก็เมื่อพ้นจากสภาพคนในครอบครัวไปแล้วตั้งแต่ปี ๑๙๙๓ ปรัชญาการลงทุนสำคัญของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ที่เธอค้นพบ มีอยู่ ๒ อย่างคือ ความโง่เขลาและความมีวินัย ความโง่เขลาในที่นี้หมายถึงความโง่เขลาของคนอื่น คนธรรมดาทั่วไปมักมีจิตใจอ่อนไหวไปตามกระแสแตกตื่นของฝูงชน ทำให้ตกเป็นเหยื่อความแปรปรวนทางอารมณ์ได้ง่าย ความตื่นตระหนกของแมงเม่านี่เองที่เป็นพลังขับเคลื่อนตลาดหุ้นให้วิ่งขึ้นลง ขณะเดียวกันก็สร้างกำไรมหาศาลให้นักลงทุนที่มีวินัยสูงอย่างคุณป๋าบัฟเฟตต์
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์คือ การลงทุนด้วยมุมมองของการร่วมทำธุรกิจ คิดเสมือนว่าเราเป็นหุ้นส่วนจริงๆ คุณป๋าพูดเสมอว่าจะลงทุนก็ต่อเมื่อดูเข้าท่าสำหรับการร่วมธุรกิจเท่านั้น ป๋าจะลงทุนระยะยาวในบริษัทใดๆ ก็ต่อเมื่อสามารถคาดการณ์ถึงผลกำไรในอนาคตของบริษัทนั้นได้อย่างน่าเชื่อถือ ซึ่งบริษัทที่จะเข้าข่ายนี้มักดำเนินธุรกิจที่มีศักยภาพดีเยี่ยมอยู่แล้ว ทำให้สร้างกระแสเงินสดได้มาก สามารถนำไปใช้เพื่อลงทุนในธุรกิจใหม่ หรือขยายธุรกิจเดิมให้มีกำไรงอกงามยิ่งขึ้น
แล้วจะดูยังไงว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพดีเยี่ยม “บัฟเฟตต์” แนะนำลูกหลานว่า ให้สังเกตจากสถิติอัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นที่สูงอย่างต่อเนื่อง ผลกำไรที่แข็งแกร่งและความเป็นธุรกิจสินค้าผูกขาด คุณป๋าจะชอบหุ้นที่มีลักษณะผูกขาดทางธุรกิจมากเป็นพิเศษ การมองหาธุรกิจชั้นเลิศในความคิดของป๋า จะต้องเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป มีตราสินค้าที่แข็งแกร่ง เป็นที่ต้องการของตลาด ธุรกิจสื่อสารมวลชนที่ผู้ผลิตต้องใช้บริการต่อเนื่อง เพื่อจูงใจผู้บริโภค และธุรกิจให้บริการที่ผู้บริโภคต้องใช้บริการอยู่เป็นประจำ
ถึงแม้คุณป๋าไม่เคยสนใจว่า ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์จะมีแนวโน้มอย่างไร และไม่เคยใช้เครื่องมือการคาดการณ์แนวโน้มตลาดของนักวิเคราะห์ ไม่เคยดูกราฟราคาหุ้น และมักย้ำเสมอว่า ให้ความสำคัญแต่เพียงความเป็นไปของธุรกิจที่สนใจเข้าไปลงทุน แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว คุณป๋าก็เหมือนนักสะสมผู้ช่ำชองที่มีมาตรฐานของราคาที่ยินดีจ่ายเพื่อความคุ้มค่า เพราะราคาที่จ่ายซื้อหุ้นจะเป็นตัวกำหนดอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในอนาคต ยิ่งซื้อหุ้นได้ราคาต่ำเท่าไหร่ ก็มีโอกาสได้รับอัตราผลตอบแทนสูงขึ้นเท่านั้น
ประเภทบ้าของถูกไปเหมาเข่งหุ้นถูกๆ มากองไว้เต็มพอร์ต นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่บอกเลยว่า มันคือเศษขยะที่ไม่มีคุณค่าพอต่อการเสียเวลาฟูมฟัก แบบนี้ไม่เข้าข่ายฉลาด ...... มิสแซฟไฟร์ Brigitte Macron & Emmanuel Macron บริจิตต์ มาครอง สร้างประเด็นฮอตให้ฮือฮา เมื่อฝรั่งเศสมีสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนใหม่อายุมากถึง ๖๔ ปี ไม่ได้แก่หง่อมจนทำลายสถิติโลกเพียงอย่างเดียว แต่ “บริจิตต์ มาครอง” ยังสร้าง “ตำนานกินเด็ก” ให้สาวแก่ทั้งโลกมีความหวัง เพราะนางแก่กว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของฝรั่งเศส “เอ็มมานูเอล มาครอง” ถึง ๒๕ ปี เรียกว่าเป็นแม่ลูกกันได้สบายๆ
เรื่องราวรักต่างวัยของคนคู่นี้ได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลกมากกว่านโยบายบริหารประเทศซะอีก โดยประธานาธิบดีอายุน้อยที่สุด วัย ๓๙ ปี ของฝรั่งเศส แอบหลงรักครูมัธยมของตัวเองตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี หลังสบตาปิ๊งกับครูคนสวยในคลาสการละคร จนเกิดดราม่ารักต้องห้าม ถูกพ่อแม่ของฝ่ายชายกีดกันอยู่นาน แต่สุดท้ายฝ่ายหญิงก็ตัดสินใจหย่าจากสามี ทิ้งลูกทั้ง ๓ คน เพื่อมาอยู่กินกับลูกศิษย์วัยเอ๊าะ ถ้าเป็นประเทศอื่นก็คงโดนสับเละไปแล้ว และกดดันไม่ให้ขึ้นมาเสนอหน้าในทำเนียบรัฐบาล แต่สำหรับฝรั่งเศส ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนของนักรัก เรื่องราวรักต้องห้ามทำนองนี้กลับกลายเป็นของโรแมนติกยั่วใจ
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอลเชิดชูยกย่องเมียแก่มาก ถึงกับประกาศว่า ถ้าไม่มีบริจิตต์ผมก็คงมาถึงจุดนี้ไม่ได้ เพราะเธอคือแรงบันดาลใจ และเป็นกุนซือคนสำคัญ ที่ผลักดันให้ผมลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ผมยอมรับว่าครอบครัวเราอาจไม่ใช่ครอบครัวปกติเหมือนคนอื่น แต่ครอบครัวเราก็ไม่เคยขาดความรัก
ตั้งแต่อดีตมา ในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสไม่เคยขาดสีสันจากเหล่าสุภาพสตรี ดังข้ามศตวรรษก็ต้อง “พระนางมารีอังตัวเนตต์” พระมเหสีสุดรักของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ มีชื่อในประวัติศาสตร์ว่าเป็นตัวการร้ายทำให้ราชวงศ์ฝรั่งเศสล่มสลาย เพราะผลาญเงินภาษีของประชาชนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ส่งผลให้รัฐบาลต้องขูดรีดประชาชนหนักขึ้น จนนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ยิ่งประชาชนอดอยากยากแค้นเท่าไหร่ พระนางก็ยิ่งเป็นที่เกลียดชังทวีคูณเท่านั้น ครั้งหนึ่งมีผู้กราบทูลว่า ขณะนี้ประชาชนไม่มีขนมปังจะกินแล้ว พระนางกลับตอบอย่างไร้เดียงสาว่า ก็ให้พวกเขากินเค้กแทนสิ
อีกหนึ่งสุภาพสตรีที่มีความสำคัญยิ่งกับประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสคือ “โจเซฟีน” หญิงสาวที่ “จักรพรรดินโปเลียน” รักมากที่สุด เธอแต่งงานตั้งแต่อายุน้อย เพราะต้องหาเงินจุนเจือครอบครัว แต่สามีถูกประหารชีวิตในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส หลังจากนั้นก็ตกเป็นเมียน้อยของผู้นำปฏิวัติฝรั่งเศส ก่อนจะโดนทอดทิ้งไม่ไยดี กระทั่งมาพบรักกับ “นโปเลียน” วีรบุรุษสงครามของแดนน้ำหอม และมีวาสนาดีได้เป็นถึงจักรพรรดินี กระนั้น แม่ม่ายลูกสองอย่าง “โจเซฟีน” ถูกบีบให้หย่าขาดจากนโปเลียน เพราะไม่สามารถปั๊มทายาทให้ราชวงศ์โบนาปาร์ต การตัดสินใจดังกล่าวทำให้นโปเลียนเศร้าโศกเสียใจมาก แม้จะมีพระชายาองค์ใหม่ที่ให้กำเนิดพระโอรสได้ แต่นโปเลียนก็ยังแอบไปมาหาสู่โจเซฟีนเสมอ จนวาระสุดท้ายของนาง
ในแวดวงการเมืองของฝรั่งเศสยุคใหม่ก็มีสุภาพสตรีใจเด็ดอย่าง “อองรีแอตต์ กายโลซ์” ภริยาไฮโซของนายกรัฐมนตรีโฌแซฟ กายโลซ์ ที่ยอมเป็นฆาตกรเพื่อปกป้องสามีสุดที่รัก เหตุการณ์สะเทือนขวัญดังกล่าวเกิดขึ้นในปี ๑๙๑๔ เมื่อสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งบุกเดี่ยวกราดยิงบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์เลอ ฟิกาโร เพื่อแก้แค้นแทนสามีที่โดนขุดคุ้ยหาเรื่องโจมตีทางการเมือง สร้างตำนานลือลั่นเฟิร์สต์เลดี้คนเดียวในประวัติศาสตร์โลกที่เป็นฆาตกร
ฝรั่งเศสยังเป็นประเทศแรกในโลกที่มีสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งเคยแก้ผ้าถ่ายรูปโป๊โชว์เนื้อหนังมังสา เธอคือเฟิร์สต์เลดี้ไฟแรงสูง “คาร์ลา บรูนี ซาร์โกซี” ภริยาสุดแซ่บของประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ที่สร้างวีรกรรมรักร้อนๆ ไว้เพียบตามประสาสาวไฟแรงสูง ขนาดแต่งงานมีลูกด้วยกันแล้ว คาร์ลายังบ่นดังๆว่า เซ็กซ์เสื่อมตั้งแต่สามีเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะงานยุ่งจนไม่มีเวลาส่งการบ้าน ไม่ร้อนแรงเหมือนสมัยแอบกินกัน ...... มิสแซฟไฟร์
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 กรกฎาคม 2561 10:35:51 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2561 16:14:33 » |
|
ส่องชีวิตสุดเว่อร์วัยรุ่นพันล้าน ยิ่งเกิดมารวยยิ่งไร้สาระ?! เกิดเป็นกุมารเศรษฐีจะทำตัวไร้สาระยังไงก็ได้ เพราะถึงจะปาร์ตี้ข้ามวันข้ามคืน ไม่ทำงานทำการอะไร พ่อแม่ก็มีเงินให้ใช้ไม่ขาดมือ พาไปส่องชีวิตสุดเว่อร์ของ ๕ เศรษฐีพันล้านอายุน้อยที่สุดในโลก เพื่อให้ยาจกอย่างพวกเราตาร้อนกัน
แต่ละบิลเลียนแนร์ที่ติดทำเนียบเศรษฐีพันล้านของโลก อายุไม่เกิน ๒๗ ปี มีทั้งที่คาบช้อนทองมาเกิด ใช้ชีวิตไม่เป็นแก่นสาร และคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยมันสมองตัวเองจนได้ดี
เปิดตัวกันแบบสวยและรวยมาก ด้วยพี่น้องตระกูลแอนเดอร์เซน “แคทธารินา” และ “อเล็กซานดร้า” ทายาทของ “โยฮัน แอนเดอร์เซน” นักอุตสาหกรรมและนักลงทุนผู้มั่งคั่งของนอร์เวย์ สืบทอดเชื้อสายมาจากตระกูลเศรษฐีและนักการเมืองเก่าแก่แดนไวกิ้ง เมื่อ ๑๐ ปีก่อน ทั้งคู่ได้ลิ้มลองสถานภาพความเป็นเศรษฐีโลกครั้งแรก หลังพ่อโอนหุ้นทั้งหมดของ “Ferd” กลุ่มธุรกิจโฮลดิ้งคอมปานีใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์ ส่งผลให้พี่น้องคู่นี้มีสินทรัพย์ในครอบครองคนละไม่ต่ำกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจากการจัดอันดับของฟอร์บส์ปีล่าสุด ไฮโซคนน้องมีสินทรัพย์ ๑,๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นแท่นเป็นเศรษฐีพันล้านอายุน้อยที่สุดในโลก ด้วยวัย ๒๑ ปี ขณะที่ไฮโซคนพี่ได้อันดับสอง บิลเลียนแนร์อายุน้อยสุดในโลก มีสินทรัพย์ ๑,๑๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
วัยรุ่นพันล้านอันดับสามของโลกมีชื่อว่า “กุสตาฟ แมกนาร์ วิทซอว์” เป็นทายาทเจ้าของธุรกิจเพาะเลี้ยงปลาแซลมอนรายใหญ่ที่สุดของโลกสัญชาตินอร์เวย์ “Salmar” เขารวยขึ้นในชั่ว ข้ามคืนเมื่อพ่อยกหุ้น ๔๗% ของกิจการให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนและก็เพราะคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด กุสตาฟจึงใช้ชีวิตเต็มที่แบบไม่แตะเบรกเขาชอบสูบซิการ์ ดื่มไวน์แพงๆ และเล่นกอล์ฟ ชอบแต่งแบรนด์เนมหัวจดเท้าไปดูแฟชั่น แถมคลั่งการสักและปาร์ตี้
รวยตั้งแต่อายุน้อยๆเป็นเบอร์ ๔ ของโลก แต่ใช้ชีวิตอย่างมีแก่นสารก็มีตัวอย่าง เขาคือ “จอห์น คอลลิสัน” วัยรุ่นพันล้านชาวไอริช ที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยลำแข้งตัวเอง โดยร่วมกับพี่ชายก่อตั้ง “Stripe” บริษัทฟินเทคให้บริการด้านธุรกรรมการเงินทางอินเตอร์เน็ต เมื่อปี ๒๐๑๐ ปัจจุบันพี่น้องคู่นี้มีสินทรัพย์ในครอบครอง
คนละ ๑,๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนเงินทุนพัฒนาธุรกิจจากแคปิตอลจี, กูเกิล และเจเนอรัล คะตะลิสต์ พาร์ทเนอร์ส เช่นเดียวกับคนดังในวงการไฮเทคส่วนใหญ่ “จอห์น” ดร็อปเรียนจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดกลางคัน เพื่อมาบุกเบิกธุรกิจ Stripe ซึ่งเขาก็ตัดสินใจถูกจริงๆ เพราะอายุแค่ ๒๗ ปี ก็มีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไว้บินร่อนไปมาระหว่างอังกฤษกับอเมริกา รายนี้เป็นตัวอย่างของวัยรุ่นพันล้านที่ฉลาดใช้ชีวิตอย่างมีจุดหมาย
เบอร์ห้าของโลกทั้งหล่อทั้งมีกึ๋น แอบเชียร์มานาน จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก “อีวาน สปีเกล” ซีอีโอหนุ่มชาวมะกัน เขาคือผู้ก่อตั้งแอพพลิเคชั่นยอดนิยมแห่งยุค “Snapchat” เริ่มต้นพัฒนาธุรกิจตั้งแต่ยังไม่จบจากสแตนฟอร์ด และใช้เวลาไม่ถึง ๕ ปี จากโมเดลธุรกิจที่รายงานหน้าชั้นเรียน ก็กลายเป็นบริษัทมูลค่าสูงถึง ๑๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หนุ่มคนนี้ขึ้นทำเนียบบิลเลียนแนร์ครั้งแรกเมื่อปี ๒๐๑๔ ขณะที่ปัจจุบันเขามีสินทรัพย์ในครอบครองกว่า ๓,๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นเศรษฐีพันล้านอายุน้อยที่มั่งคั่งที่มั่งคั่งที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกไปแล้ว แถมยังเท่สุดๆเพราะเพิ่งแต่งงานกับซุปเปอร์โมเดลระดับโลก “มิแรนด้า เคอร์” เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ผ่านมา ความฟุ่มเฟือยอย่างเดียวในชีวิตของเขาคือ การซื้อรถเฟอร์รารี่สีแดง และบ้านหลังละ ๑๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นของขวัญให้ตัวเอง. ….. มิสแซฟไฟร์รี ซอล-จู ภริยาผู้นำเกาหลีเหนือ เบื้องหลังความสำเร็จของผู้นำโลก ล้วนแต่มีผู้หญิงเป็นแรงสนับสนุนสำคัญ โดยเฉพาะผู้นำประเทศชั้นนำของโลก แต่ละคนก้าวสู่ความเป็นหนึ่งได้ ก็เพราะแรงผลักดันของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่อยู่ข้างกาย ตรงกันข้ามหลังบ้านที่เหยาะแหยะเลอะเทอะก็อาจเป็นตัวฉุดรั้งทำลายภาพลักษณ์ผู้นำ
ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ หนึ่งในเฟิร์สต์เลดี้ที่ได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลกคือ “รี ซอล-จู” ภริยาของผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ “คิม จอง-อึน” เธอเป็นอดีตนักร้องประสานเสียงคณะประชาชนเกาหลี ปัจจุบันอายุ ๒๘ ปี มีบุตรสามคน ตามรายงานข่าวของสื่อเกาหลีใต้ระบุว่า มาดามแต่งงานกับผู้นำคิมตั้งแต่อายุ ๒๐ ต้นๆ เธอแต่งตัวสวยทันสมัย ไม่เหมือนสาวเกาหลีเหนือเฉิ่มเชยทั่วไป แถมมีบุคลิกยิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยล้างภาพความโหดเหี้ยมใจดำของผู้นำ สูงสุดเกาหลีเหนือได้มากทีเดียว
กระนั้น ถ้าล้วงลึกเข้าไปในดินแดนปริศนาลึกลับดำมืดของเกาหลีเหนือ ซึ่งโดดเดี่ยวตัวเองจากนานาชาติ ประชาชนโสมแดงจำนวนมากกลับไม่ชอบหน้าสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนปัจจุบัน เพราะไม่พอใจที่เห็น “คุณนายคิม” ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยติดแบรนด์เนม ในขณะที่คนเกาหลียังอดอยากยากจน โดยแบรนด์โปรดของมาดามคิมก็มีตั้งแต่ชาแนล ไปจนถึงดิออร์ ยังมีกระแสวิจารณ์จากคนเกาหลีเหนือด้วยว่า มาดามคิมทำตัวไม่เหมาะสมจะเป็นภริยาผู้นำ เพราะมักนุ่งกระโปรงสั้นออกงาน แถมไม่ทำการทำงานอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ คนละเรื่องกับอดีตเฟิร์สต์เลดี้ มารดาของผู้นำคนปัจจุบัน ที่ใส่เครื่องแบบทหารหญิงทุกครั้ง เมื่อต้องเคียงข้างสามีปรากฏกายต่อสาธารณชน
ความอึมครึมเป็นเรื่องปกติของเกาหลีเหนือ แม้แต่ประวัติความเป็นมาของ “มาดามคิม” ก็คลุมเครือไม่ชัดเจน อายุของมาดามถูกฟรีซไว้ที่ ๒๘ มาหลายปีแล้ว เช่นเดียวกับจำนวนบุตรที่เดี๋ยวเพิ่มเดี๋ยวหด ล่าสุด คอนเฟิร์มจากหน่วยข่าวกรอง เกาหลีใต้ว่า มาดามมีลูก ๓ คน คาดว่าสองคนโตเป็นผู้หญิง ส่วนคนสุดท้องที่เพิ่งคลอดยังไม่รู้ชัดว่าเป็นเพศชายหรือหญิง
พื้นเพของ “มาดามคิม” ระบุกันว่าเกิดในครอบครัวชนชั้นสูง พ่อเป็นอาจารย์ และแม่เป็นหมอ เคยไปร่ำเรียนร้องเพลงถึงประเทศจีน ก่อนจะกลับมารับใช้แผ่นดินเกิด ส่วนทั้งคู่จะพบรักกันยังไงบอกชัดๆ ไม่ได้ เพราะบางกระแสระบุว่าคู่นี้แต่งงานกันเมื่อปี ๒๐๐๙ และมีลูกทันทีในปีถัดมา ขณะที่ข่าวบางกระแสรายงานว่า ทั้งคู่สบตาปิ๊งกันครั้งแรกในงานคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิกเมื่อปี ๒๐๑๐
ข่าวลือกับเกาหลีเหนือเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะทุกครั้งที่มาดามคิมหายหน้าหายตาไปจากวงสังคม ไม่ปรากฏตัวผ่านสื่อ ก็มักเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ จากที่เคยออกงานถี่ๆ มีภาพข่าวเผยแพร่ไปทั่ว และมักอยู่ข้างผู้นำคิมทุกครั้งที่มีการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงในงานสำคัญๆ ของชาติบ้านเมือง แต่ช่วงระยะ ๒-๓ ปีมานี้ มาดามคิมเริ่มหายหน้าหายตาไปจากสื่อบ่อยขึ้นเรื่อยๆ โดยปรากฏตัวให้เห็นเพียงปีละครั้งสองครั้ง ปีนี้ก็เพิ่งเห็นออกงานกับสามีครั้งเดียว ไปร่วมงานฉลองความสำเร็จการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นอย่างหรูหราฟู่ฟ่าในโรงละครแห่งหนึ่ง ปลุกให้เกิดกระแสข่าวลือว่าบัลลังก์ของฮูหยินใหญ่อาจกำลังสั่นคลอน เพราะไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายไว้สืบสกุล
เห็นหงิมๆ แบบนี้ แต่สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของเกาหลีเหนือ ก็เคยสวมวิญญาณเมียหลวงลวงสังหารมาแล้ว โดยเมื่อหลายปีก่อนเดลี่เมล์รายงานว่า เธออาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคำสั่งยิงเป้าประหารชีวิตนักร้องชื่อดังแฟนเก่าของผู้นำเกาหลีเหนือ “ฮยุน ซองวุล” พร้อมนักแสดงและคนวงการบันเทิงอีก ๑๑ ราย เนื่องจากจับได้ว่าเป็นกิ๊กกับสามีมานาน โดยข้อหาที่ยัดเยียดให้คือเผยแพร่คลิปลับส่วนตัว ละเมิดกฎหมายสื่อลามกอนาจาร
แม้จะมีผู้หญิงอยู่เยอะ ซุกกิ๊กไว้มากมาย แต่ “รี ซอล-จู” ก็เป็นฮูหยินหนึ่งเดียวที่ได้รับการยกย่องออกหน้าออกตาทางสังคมจนถึงขณะนี้ ถ้าปั๊มลูกชายไว้สืบสกุลสำเร็จ ใครหน้าไหนก็มาแย่งตำแหน่งเมียหลวงไปไม่ได้. ….. มิสแซฟไฟร์ภาพจาก : เว็บไซต์ .isanook.comจง ชิงโหวจากภารโรงสู่มหาเศรษฐีโลก เขียนถึงเศรษฐียุคใหม่ที่รวยลัดรวยเร็วมาเยอะ ทำให้นึกถึงเจ้าสัวยุคเก่า ที่ต้องปากกัดตีนถีบวิ่งสู้ฟัด กว่าจะมีโอกาสนับเงินล้าน เชิดหน้าชูตาเป็นมหาเศรษฐี
หนึ่งในเจ้าสัวยุคเก่าของแดนมังกร ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกต้องยกให้ “จง ชิงโหว” เจ้าสัวผู้ก่อตั้ง “หังโจว วาฮาฮา กรุ๊ป” บริษัทผลิตเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆของจีน “เจ้าสัวจง” ได้รับการจัดอันดับจากฟอร์บส์ให้รวยสุดเป็นอันดับ ๑๖๐ ของโลก ด้วยสินทรัพย์ในครอบครองกว่า ๙,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่สื่อท้องถิ่นยกให้เป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ และรวยสุดอันดับที่ ๓๕ ของโลก โดยเคลมว่ามีสินทรัพย์จริงมากกว่า ๒ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปีนี้ “เจ้าสัวจง” อายุครบ ๖ รอบ แต่ยังเตะปี๊บดังไปสามบ้านแปดบ้าน และไม่มีวี่แววจะวางมือธุรกิจ มีเพียงลูกสาวคนเดียว “เคลลี่ จง” เข้ามาช่วยงานพ่อ โดยมอบหมายให้เป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของกลุ่มธุรกิจ กว่าจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ “เจ้าสัวจง” ก็ผมหงอกแล้ว เขาเริ่มสร้างตัวจากศูนย์จริงๆ หรือเรียกว่าติดลบด้วยซ้ำเพราะเกิดในครอบครัวยากแค้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ต้องอดมื้อกินมื้อ ไม่เคยมีโอกาสเรียนหนังสือ วิ่งสู้ฟัดทำงานแลกค่าแรงถูกๆในเหมืองเกลือ พอโตหน่อยก็มาเป็นภารโรงในโรงเรียนละแวกใกล้บ้าน เก็บหอมรอมริบจนมีเงินทุนก้อนเล็กๆ เปิดร้านขายน้ำขายขนมในโรงเรียนตอนอายุ ๔๑ ปี
“ผมไต่เต้าขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของสังคม ก่อนหน้านี้ไม่มีแม้กระทั่งค่าอาหารและเสื้อผ้า” เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงชีวิตลำเค็ญในวัยเด็ก แต่ด้วยความขยันอดทนมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้โชคชะตา ทำให้เด็กชายขอบจนๆจากเมืองซู่เชียน มณฑลเจียงซู ลืมตาอ้าปากได้ และได้รับโอกาสสำคัญเป็นผู้จัดจำหน่ายนมและเครื่องดื่ม
เมื่อฟ้าเปิดเขาก็มองเห็นช่องทางสร้างฐานะ จึงไปหยิบยืมเงินครูวัยเกษียณมา ๑๔๐,๐๐๐ หยวน เป็นทุนก้อนแรกเปิดบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายนมบรรจุขวดของตนเอง โดย “เจ้าสัวจง” ตั้งชื่อแบรนด์ว่า “วาฮาฮา” หมายถึงเสียงหัวเราะของเด็กๆ สินค้าที่สร้างชื่อให้เขาในช่วงแรกคือ นมช่วยย่อยอาหาร วางตลาดปี ๑๙๘๘ ได้รับเสียงตอบรับคึกคักจากพ่อแม่ที่เผชิญปัญหาลูกหลานกินขนมมากเกินไปจนท้องอืดและกินข้าวกินปลาไม่ลง
สื่อจีนยกย่อง “เจ้าสัวจง” เพราะเป็นคนบ้างาน เด็ดเดี่ยวชัดเจน ตัดสินใจเร็ว และไม่ฟังเสียงใคร เมื่อรัฐบาลจีนเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาร่วมทุนได้ เขาจึงไม่รีรอจะจับมือเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัทนมยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส “Groupe Danone” ลงทุนร่วมกันถึง ๗๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้แบรนด์วาฮาฮามีกำลังผลิตมากเป็นที่หนึ่งของภูมิภาค เขายังสยายปีกไปกว้านซื้อโรงงานผลิตอาหารเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บ นอกจากจะดังเรื่องนมแล้ว ธุรกิจของเขาแตกไลน์ออกไปเยอะสู่การผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด, น้ำแร่, น้ำอัดลม, น้ำชา, อาหารกระป๋อง, น้ำผักผลไม้, โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป, เสื้อผ้าเด็ก, ยาสีฟัน และแชมพู เรียกว่าสินค้าอุปโภคบริโภคแทบทุกชนิดในจีนอยู่ในกำมือของวาฮาฮา กรุ๊ป โดยสินค้าโกยรายได้มหาศาลคือ น้ำอัดลมยี่ห้อฟิวเจอร์ โคล่า ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจวาฮาฮา เป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของจีน และใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก รองแค่โคคา-โคล่า, เป๊ปซี่ และแคดเบอร์รี่ โดยวาฮาฮา กรุ๊ป มีสาขาทั่วประเทศ ๑๖๐ สาขา ผลิตสินค้าป้อนตลาดจีนกว่า ๑๕๐ ชนิด
จากคนขายน้ำอัดลมจนๆในโรงเรียน เขาผงาดขึ้นเป็นมหาเศรษฐีโลก เข้าไปนั่งอยู่ในสภาประชาชนจีนและสภาที่ปรึกษาการเมืองอันทรงอิทธิพล เพราะถือคติไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำงานหนัก!! เขาก็เหมือนเจ้าสัวยุคเสื่อผืนหมอนใบจำนวนมาก ถึงแม้จะรวยเป็นพันล้าน แต่ก็ใช้ชีวิตสมถะติดดิน เขายังใส่เสื้อแจ็กเกตตัวเก่าแทนสูทแพงๆ เพราะเชื่อเสมอว่า ตราบใดที่คนทั่วไปไม่สามารถบอกได้ว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่ราคาพันหยวน หรือร้อยหยวน แล้วเขาจะเสียเงินซื้อของแพงๆ ทำไมให้โง่
ก็เพราะสุขภาพซื้อไม่ได้ เขาจึงปฏิเสธการกินอาหารเหลา แต่ชอบกินผักกับเต้าหู้ ชอบที่สุดคือลงไปกินอาหารในโรงอาหารร่วมกับพนักงานทั่วไป เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า การออกกำลังกายอย่างเดียวของเขาคือการออกสำรวจตลาด และงานอดิเรกก็มีแค่สูบบุหรี่กับดื่มชา เรื่องฟุ้งเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยวไม่มีทางได้กินเงินเจ้าสัว.มิสแซฟไฟร์ - นสพ.ไทยรัฐ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 พฤศจิกายน 2561 09:43:39 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2561 13:32:27 » |
|
สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร๑๕ ก.พ.๒๔๘๑ น้อมรำลึกทูลกระหม่อมหญิงแหม่ม เจ้าฟ้าหญิงผู้นำสมัย ชาววังออกพระนามว่า "ทูลกระหม่อมฟ้าหญิง" แต่บ้างก็ออกพระนามว่า "ทูลกระหม่อมหญิงแหม่ม" มีพระพักตร์คล้ายกับชาวตะวันตก และโปรดฉลองพระองค์อย่างสตรีตะวันตก
วันนี้ของ ๘๐ ก่อน คือวันที่ชาวไทยโศกสลด เมื่อต้องสูญเสียเจ้าฟ้าหญิงผู้นำสมัย นายพันเอกหญิง สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ไปด้วยโรคพระวักกะพิการเรื้อรัง ยังความโศกเศร้าแก่คนไทยทั้งประเทศ
วันนี้ในอดีตจึงขอร่วมน้อมรำลึกถึงพระองค์อีกครั้ง สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ประสูติเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๒๗ เป็นพระราชธิดาลำดับที่ ๔๓ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และยังเป็นพระขนิษฐาร่วมพระมารดาของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร มกุฎราชกุมารพระองค์แรกของสยาม และเป็นเชษฐภคินีของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เมื่อพระชนม์ครบหนึ่งเดือน ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ พระราชบิดา พระราชทานพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี” หากชาววังออกพระนามว่า "ทูลกระหม่อมฟ้าหญิง"
แต่บ้างก็ออกพระนามว่า "ทูลกระหม่อมหญิงแหม่ม" เนื่องจากทรงไว้พระเกศายาวประบ่าตั้งแต่ทรงพระเยาว์ กับมีพระพักตร์คล้ายกับชาวตะวันตก และโปรดฉลองพระองค์อย่างสตรีตะวันตก เรียกได้ว่าทรงนำสมัยมาตั้งแต่วัยเยาว์เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ฉลองพระองค์อย่างชาวตะวันตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ( จากซ้ายไปขวา) เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร, สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา และกรมหลวงสงขลานครินทร์ พระอนุชา แต่เนื่องจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถทรงสูญเสียพระราชธิดาทั้งสองพระองค์ใน พ.ศ.๒๔๓๐ พระองค์ทรงปรารภจะมีพระราชธิดา จึงทรงขอประทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี (ขณะพระชนมายุเพียง ๔ ชันษา) จากสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวีให้เป็นพระราชธิดาในปลายปี พ.ศ.๒๔๓๑ โดยมีนางจันทร์ ชูโต เป็นพระพี่เลี้ยง
พระองค์จึงเรียกสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถว่า "เสด็จแม่" และเรียกสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวีว่า "สมเด็จป้า"
ช่วงปี ๒๔๓๖ ทรงได้รับการศึกษาจากโรงเรียนราชกุมารีที่ตั้งอยู่ในพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ร้ำเรียนการวิชามากมาย ขณะเดียวกันก็ยังได้รับการกวดขันจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถอย่างสมัยใหม่ ทั้งการศึกษา, การแต่งกาย, แนวคิด และการปฏิบัติพระองค์
จนทูลกระหม่อมหญิงแหม่ม มีพระชนม์ ๑๒ พระชันษา พระราชบิดาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีโสกันต์ พระราชทานพระสุพรรณบัฏเฉลิมพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี
ต่อมาในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ พระองค์ได้การสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร
ในรัชกาลนี้ พระองค์ได้รับพระราชทานพระยศทางทหาร ซึ่งล้นเกล้ารัชการลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ พระราชทานตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษกรมทหารม้าที่สอง มีพระยศเป็นนายพันเอก ซึ่งเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์เองก็เคยรับสั่งกับเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตว่า เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ให้จัดงานแบบทหารด้วย โดยรับสั่งว่า "ฉันเป็นทหาร"
อย่างไรก็ดีในทางหนึ่ง สิ่งที่พระองค์ทรงสนพระทัยเป็นพิเศษ พระองค์โปรดปรานฉลองพระองค์กระโปรง และตัดพระเกศาอย่างชาวตะวันตก ทั้งยังทรงเป็นผู้ริเริ่มการนุ่งผ้าถุงเป็นพระองค์แรก โดยการดัดแปลงผ้าซิ่นธรรมดาให้เป็นผ้าถุงสำเร็จเพื่อความสะดวกสบายในการนุ่ง
นอกจากนี้ พระองค์ถือเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่ทรงนำสมัยในเรื่องการแต่งกาย ฉลองพระองค์ของเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ถือเป็นฉลองพระองค์เจ้านายที่ทันสมัยและเก๋ไก๋ที่สุดในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้งหนึ่ง พระพี่เลี้ยงหวน หงสกุล ได้บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความว่า "...ท่านโปรดทรงหนังสือฝรั่ง ทรงรับแมคคาซีนนอก แม้แต่แบบเสื้อก็สั่งนอก แม่ (พระพี่เลี้ยงหวน) ก็เป็นผู้เย็บให้ทรงคนเดียว บางครั้งก็ทรงเลือกแบบเอง แล้วให้ฝรั่งห้างยอนแซมสันตัด แต่เป็นชื่อของแม่ และวัดตัวแม่เอง ไม่ต้องลอง นำไปถวายก็ทรงพอดีเลย ถ้าเป็นเสื้อแม่ ฝรั่งเรียกราคาตัวละ ๘๐ บาท ถ้าเป็นฉลองพระองค์เขาก็เรียกราคาแพงกว่านั้น ต่อมาเมื่อเย็บได้เก่งแล้ว ภายหลังก็ไม่ต้องจ้างฝรั่งเย็บ"
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ก็ทรงกล่าวถึงพระองค์ใน เกิดวังปารุสก์ ความว่า "...ทูลหม่อมอาหญิงท่านทั้งงามทั้งเก๋ ข้าพเจ้าชอบไปเฝ้าท่านบ่อย ๆ... "
พระองค์ไม่โปรดเครื่องประดับชิ้นใหญ่ แม้จะทรงมีเครื่องประดับจำนวนมากก็ตาม แต่โปรดเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่เหมาะสมกับฉลองพระองค์ในแต่ละชุด ซึ่งเด็กๆ ในพระอุปถัมภ์ พระองค์ก็ไม่ทรงปล่อยให้เชย หม่อมเจ้าพิไลยเลขา ดิศกุลทรงเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า เมื่อโรงเรียนราชินีมีงานออกร้านขายของนั้น โปรดให้หม่อมเจ้าพิไลยเลขามาช่วยขายของให้เจ้านายต่างประเทศ รับสั่งให้ถอดเครื่องเพชรที่แต่งอยู่ออกให้หมด เหลือเพียงจี้เพชรอย่างเดียว แล้วตรัสว่า "เด็กฝรั่งเขาไม่แต่งเพชรมากๆ "
รวมทั้งนางข้าหลวงของพระองค์ถูกกล่าวถึงว่า "...ไม่มีข้าหลวงตำหนักใดจะสวยเก๋ทันสมัยเท่าข้าหลวงของสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์..."
พระราชกรณีกิจที่สำคัญสำหรับประเทศไทย สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ทรงเล็งเห็นความสำคัญกับการศึกษาของสตรีไทย เช่น ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์ของโรงเรียนราชินี การก่อสร้างโรงเรียนราชินีบน และทรงจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ (ต่อมาคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์) เป็นต้น
และท้ายที่สุดในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพ็ชร์บุรีราชสิรินธร จนถึงรัชกาลปัจจุบัน
ช่างน่าเศร้าใจที่เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ทรงมีพระโรคประจำพระองค์ คือ พระวักกะพิการเรื้อรัง (ไตพิการเรื้อรัง) เคยเสด็จไปทรงรับการผ่าตัดที่ต่างประเทศถึง ๒ ครั้ง และพระอาการของพระองค์กลับกำเริบขึ้น จนวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๑ มีพระอาการหนักมากจนน่าวิตก
ที่สุด พระองค์สิ้นพระชนม์ที่วังคันธวาส ถนนวิทยุ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๑ เวลา ๒๓.๑๕ นาฬิกา ด้วยพระอาการสงบ ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพารตลอดจนผู้ใกล้ชิด นับเป็นพระราชธิดาองค์สุดท้ายของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีที่สิ้นพระชนม์
ในการนี้สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี เสด็จไปงานพระราชทานเพลิงพระศพด้วยพระองค์เอง ซึ่งก่อนหน้านี้สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ ไม่เคยเสด็จไปงานพระราชทานเพลิงพระศพพระราชโอรสธิดาพระองค์ใด เนื่องจากคติโบราณที่ห้ามบิดามารดาเผาศพบุตร มิฉะนั้นต้องเผาอีก
กระทั่ง พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๔ ณ ท้องสนามหลวง ขอขอบคุณเว็บไซต์ คมชัดลึก - (ที่มาของเรื่อง)เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ในวัยทำงาน เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี “พวกเรา นักกีฬา ใจกล้าหาญ เชี่ยวชาญ ชิงชัย ไม่ย่นย่อ คราวชนะ รุกใหญ่ ไม่รีรอ คราวแพ้ ก็ไม่ท้อ กัดฟันทน” (สร้อย) อึม อึม อึม อึม กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลศ ทำคนให้เป็นคน ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล"
คนไทยรู้จักเพลงนี้ดี คือ “เพลงกราวกีฬา” แต่จะมีกี่คนที่จำได้ว่าเพลงนี้ ผู้ประพันธ์คือ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ในนามปากกาว่า “ครูเทพ” เพื่อจูงใจให้นักกีฬารู้จักการแพ้ชนะและรู้จักการให้อภัย
วันครูที่ผ่านมา หลายคนอาจนึกถึงครูเทพผู้ที่เป็นเหมือนครูของครูผู้นี้ หากแต่ในวันนี้เมื่อ ๗๕ ปีก่อน คือวันที่ท่านได้ลาโลกไปด้วยอาการหัวใจวาย รวมอายุได้ ๖๗ ปี จึงขอรำลึกถึงเรื่องราวของท่านอีกครั้ง
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เกิดเมื่อวันที่ ๑ ม.ค.๒๔๑๙ ที่บ้านหลังศาลหัวเม็ด ตำบลสะพานหัน กรุงเทพฯ นามเดิม สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นบุตรคนที่ ๑๘ ในจำนวนพี่น้อง ๓๒ คน ของพระยาไชยสุรินทร์ (เจียม เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงเกษตรและพระคลังในสมัยรัชการที่ ๕ แต่เป็นบุตรคนโตของมารดาชื่อยู่
ชีวิตพลิกผัน เพราะเมื่ออายุได้ ๘ ปี บิดาถึงแก่กรรม ส่งผลให้ฐานะครอบครัวตกต่ำลง มารดาจึงหารายได้ทางเย็บปักถึกร้อย ขณะที่ท่านเองก็ช่วยมารดาเย็บรังกระดุมอีกแรง
เมื่ออายุ ๑๒ ปี ได้เรียนหนังสือด้วยวิธีต่อหนังสือที่โรงเรียนวัดบพิตรพิมุข สอบได้ประโยคหนึ่ง ในปี พ.ศ.๒๔๓๑ แล้วเรียนที่โรงเรียนพระดำหนักสวนกุหลาบสอบไล่ได้ประโยคสอง ต่อมาสอบไล่ได้ชั้น ๕ ภาษาอังกฤษตามหลักสูตรหลวง ปี พ.ศ.๒๔๓๒ เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนผึกหัดอาจารย์ ปี พ.ศ.๒๔๓๕ จนได้รับประกาศนียบัตรครูสอบไล่ได้ที่ ๑ ของผู้สำเร็จวิชาครูรุ่นแรก ได้รับพระราขทานรางวัล เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๗
ทางกระทรวงธรรมการได้คัดเลือกส่งไปศึกษาเพิ่มเติมที่ประเทศอังกฤษ จนได้รับรางวัลประกาศนียบัตรวิชาครูของอังกฤษ จากโรงเรียนฝึกหัดครูเบอโรโรค ที่ตำบลไวสลเวิฟ ใกล้กับกรุงลอนดอน เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๑
จากนั้นท่าน เข้ารับราชการเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๕ ในกระทรวงธรรมการ เป็นนักเรียนสอบในโรงเรียนตัวอย่าง จนได้เป็นครูผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่โรงเรียนฝึกหัดครู เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๗ เมื่อกลับมาจากประเทศอังกฤษก็ได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๙ โดยได้บรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้ายเป็น เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐
อย่างไรก็ดี ท่านยังมีความสามารถในด้านการงานประพันธ์ โดยนอกจากบรรดาแบบเรียนที่ท่านออกแบบแล้วเช่น – แบบเรียนอนุบาล, แบบเรียนวิชาครู, ตรรกวิทยา, เรขาคณิต, พีชคณิต, แบบสอนอ่านธรรมจริยา, สุขาภิบาลสำหรับครอบครัว, สมบัติผู้ดี
ท่านยังมีงานประพันธ์อีกมากมาย โดยครั้งแรก เมื่ออยู่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ โดยออกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์เขียนด้วยลายมือ คือหนังสือ “สัปดาหะการ”
ขณะเมื่อเป็นนักเรียนฝึกหัดอาจารย์ ได้ออกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ชื่อ “วิทยาจารย์” โดยเป็นทั้งบรรณาธิการและทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และจัดตั้งสามัคยาจารย์สมาคมหนังสือ “วิทยาจารย์” ได้โอนเป็นของสามัคยายาจารย์สมาคมและเจริญรุ่งเรืองมาจนปัจจุบัน
นอกจากนี้ หลังจากที่กลับมาจากประเทศอังกฤษ ได้ร่วมกับ น.ม.ส.แม่วัน และเพื่อนๆ ออกหนังสือรายเดือนชื่อ “ลักวิทยา” เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๘ เป็นหนังสือพิมพ์รายเดือนฉบับแรกที่เน้นสารบันเทิง โดยนำวิทยาการจากต่างประเทศมาเผยแพร่ ทำได้เพียง ๒ ปีเศษ ต้องเลิกเพราะผู้จัดทำไม่สามารถปลีกเวลามาดูแลได้
๑ ก.พ.๒๔๘๖ รำลึก "ครูเทพ"นายกองโท เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ภาพจาก vajiravudh.ac.th แต่ต่อมาก็มีหนังสือพิมพ์ “ทวีปัญญา” มีพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มและเป็นบรรณาธิการ ชาวคณะ “ลักวิทยา” แม้จะอยู่ได้ไม่นานนัก แต่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้เขียนเรื่องประโลมโลก ส่วนบทประพันธ์ได้เขียนไว้ด้วยเหมือนกันโดยใช้นามปากกา “เขียวหวาน” ผลงานใน “ลักวิทยา” และ “ทวีปัญญา” มีความสำคัญต่อวรรณกรรมไทยปัจจุบัน เช่น เรื่องสั้น “คุณย่าเพิ้ง” ได้รับยกย่องว่าเป็นเร่องสั้นไทยยุคบุกเบิกที่ดีที่สุด ในขณะที่รับราชการและเมื่พันราชการออกมาแล้วก็ยังได้เขียนบทประพันธ์ต่างๆ ไว้มากมาย นามปากกาที่รู้จักกันทั่งไปคือ “ครูเทพ” รวมทั้งยังเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกร้อยกรองไทยปัจจุบันคนสำคัญ
อนึ่ง ความสามารถทางด้านการประพันธ์ ซึ่งถือว่าท่านเป็นคนสำคัญท่านหนึ่งของประเทศไทย หากแบ่งเป็นความเรียงร้อยแก้วและบทร้อยกรอง อาจแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้
๑.แบบเรียน มีตั้งแต่แบบเรียนอนุบาล แบบเรียนวิชาครู ตรรกวิทยา เรขาคณิต พีชคณิต แบบสอนอ่านธรรมจริยา สุขาภิบาลสำหรับครอบครัว สมบัติผู้ดี และอื่นๆ อีกมาก ๒.โคลง –กลอน แต่งไว้เป็นจำนวนมาก และไดรับการรวบรวมตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “โคลงกลอนของครูเทพ” ๓.บทความ ว่าด้วยการศึกษา จรรยา การสมาคม เศรษฐกิจและการเมือง และปรัชญา โดยใช้นามปากกาว่า “ครูเทพ” บ้าง “เขียวหวาน” บ้าง ๔.ละครพูด แต่งขึ้นรวม ๔ เรื่อง ได้แก่ บ๋อยใหม่ แม่ศรีครัว หมั้นไว้ และตาเงาะ ….. ที่มา - เว็บไซต์คมชัดลึกศพของซีอุยถูกเก็บรักษาไว้ที่โรงพยาบาลศิริราช โดยยังคงถูกเรียกชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "พิพิธภัณฑ์ซีอุย" ภาพจาก : img.tnews.co.thซีอุย แซ่อึ้ง"มนุษย์กินคน “อย่าดื้อ อย่าซน ระวัง” ซีอุย “จะมากินตับ”คำขู่พ่อแม่กรอกหูลูกยุคเจนเอ๊กซ์ เขาเป็นมนุษย์กินคน ฆาตกรต่อเนื่อง เป็นคดีประวัติศาสตร์โด่งดังสร้างสความสยดสยองให้คนไทย
"ซีอุย"สร้างความสยดสยองให้สังคมไทยเมื่อ ๕๐ ปีก่อน ด้วยการฆ่าโหดถึง ๗ ศพ ในระยะเวลาต่อเนื่อง ๕ ปี คือระหว่างปี ๒๔๙๗ ถึงปี ๒๕๐๑ ซึ่งถูกจับขณะกำลังพยายามเผาทำลายศพรายสุดท้ายที่จังหวัดระยอง ทำให้มีการสืบสวนขยายผลย้อนหลังไปถึงพฤติกรรมโหด ในลักษณะเดียวกันอีก ๖ ราย ผลสุดท้ายคดีจบลงที่ศาลอุทธรณ์ ด้วยโทษประหารชีวิต
ซีอุย มีชื่อจริงว่าหลีอุย แซ่อึ้ง แต่คนไทยเรียกเพี้ยนเป็นซีอุย เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๐ ที่เมืองซัวเถาโดยเป็นลูกคนที่ ๓ จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๑๒ คน ของนายฮุนฮ้อกับนางไป๋ติ้ง แซ่อึ้ง ในครอบครัวยากจนที่ทำการเกษตร เมื่อยังเป็นเด็กและเป็นวัยรุ่นซีอุยมีส่วนสูง ๑๕๐ เซนติเมตรเท่านั้น จึงมักถูกรังแกอยู่เสมอ จนกระทั่งมีนักบวชรูปหนึ่งได้ให้คำแนะนำว่า ถ้าอยากจะมีร่างกายแข็งแรงต้องกินเนื้อหรืออวัยวะมนุษย์คำสอนนี้ได้ฝังอยู่ในใจซีอุยมาเสมอ
ซีอุยวัย ๑๘ ปีถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ประจำอยู่หน่วยรบทหารราบที่ ๘ ในขณะที่จีนและญี่ปุ่นทำสงครามกันอยู่ ซีอุยถูกส่งไปรบในสมรภูมิพม่าแนวสนามรบตามรอยต่อตะเข็บชายแดนของจีน เป็นเวลาถึงหนึ่งปีเต็มที่ซีอุยต้องเผชิญกับความลำบากและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตลอดอาหารก็ขาดแคลน ขณะที่เพื่อนทหารก็ทยอยตายไปเรื่อยๆ
ว่ากันว่า จากการสู้รบ ซีอุยจึงได้ลิ้มรสชาติเนื้อมนุษย์เป็นครั้งแรก เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ซีอุยถูกปลดจากการเป็นทหาร ด้วยความแร้งแค้นยากจน ซีอุยถูกเพื่อนๆ ชักชวนให้เข้ามาหางานทำในประเทศไทย โดยหลบหนีเข้าเมืองมาด้วยการเป็นกรรมกรรับจ้างในเรือขนส่งสินค้าชื่อ “โคคิด” เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๔๘๙ ด้วยการหลบซ่อนมาเป็นเวลา ๓ สัปดาห์เต็ม ขึ้นฝั่งที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร
ซีอุย ต้องหลบซ่อนตัวในโรงแรมห้องแถวเล็กๆ แห่งหนึ่ง ต่อมาได้เดินทางไปยังอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เพื่อไปหาญาติ ที่นั่น ซีอุยทำงานด้วยการรับจ้างทำสวนผักและรับจ้างทั่วไปเป็นเวลานานถึง ๘ ปีเต็ม ก่อนที่ซีอุยจะก่ออาชญากรรม
ตามคำบอกเล่า ซีอุยได้จับเด็กมาผ่าเอาตับมากินโดยเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยได้ฆ่าเด็ก ๓ รายแรก ที่อำเภอทับสะแกจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก่อนที่จะหลบหนีไปโดยรถไฟและก่อเหตุอีกที่งานฉลองตรุษจีนที่บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐมเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ สุดท้ายถูกจับได้หลังจากคดีฆาตกรรมในจังหวัดระยองซึ่งถูกพบ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๑ ซึ่งมีเพียงเหยื่อรายแรกและเป็นรายเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ เป็นเด็กผู้หญิงอายุ ๘ ขวบ
วันนี้ในอดีต ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๑ เผยโฉมหน้ามนุษย์กินคน นายซีอุย แซ่อึ้ง ในหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย หลังถูกจับได้ที่จังหวัดระยอง ซีอุยยอมรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือ ๗ คดี และจิตแพทย์ลงความเห็นว่า ซีอุยไม่ได้เป็นบ้า เขาถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๒ ที่เรือนจำบางขวาง กรุงเทพมหานคร
ย้อนรอย คำสารภาพของซีอุยปรากฏอยู่ในบันทึกเท่าที่ปรากฏในปัจจุบันมีอยู่ ๓ ฉบับ คือ คำให้การวันที่ ๓๐ มกราคม, ๓๑ มกราคม และ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ สำเนาทั้งหมดนี้มีอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อัยการไทย และปรากฏเป็นคำสัมภาษณ์ของหนังสือพิมพ์รายวันในสมัยนั้นตีพิมพ์กันต่อเนื่องหลายฉบับ
ตามตำนานซีอุยได้เล่าถึงเหตุการณ์ในคดีสุดท้ายก่อนถูกจับ ไว้ในบันทึกคำให้การวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๐๑ ว่า วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๐๑ เวลาประมาณบ่าย ๓-๔ โมงเย็น ขณะที่ซีอุยกำลังรดน้ำผักอยู่ในสวนของนายอิ๊ดเจี๊ยก ตำบลเนินพระ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เด็กชายสมบุญ บุณยกาญจน์ เดินมาขอซื้อผักกับซีอุย ๑ บาท ซีอุยจึงออกอุบายให้ไปจับนกในสวนยางพารา ซึ่งเด็กชายสมบุญก็ยินยอมไปแต่โดยดี
ซีอุยพาเด็กเดินผ่านบ้าน แล้วแวะหยิบมีดด้ามเขาควายสำหรับตัดผัก ซึ่งเสียบไว้กับข้างฝาติดไปด้วย ทั้งคู่เดินเข้าไปในสวนยางพารา ห่างจากบ้านไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๔๐ ก้าว เด็กชายสมบุญเริ่มมีอาการขัดขืนไม่ยอมไป ซีอุยจึงใช้มือทั้งสองโอบเด็ก อุ้มไปอีกราว ๔๐ ก้าว จึงปล่อยให้ยืน
ขณะนั้นเด็กชายสมบุญไม่ร้องหรือดิ้นรนขัดขืน ซีอุยจึงใช้มือกดหัว ให้ล้มนอนหงาย แล้วจึงใช้มือซ้ายปิดปากและจมูก แล้วใช้มีดแทงคอใต้ลูกกระเดือกจนหลอดลมขาดสิ้นใจตาย ซีอุยจึงเริ่มใช้มีดผ่าท้องตั้งแต่สะดือจนถึงหลอดลม แล้วตัดเอาหัวใจกับตับออกมากองไว้บนใบไม้ จากนั้นก็เคลื่อนย้ายศพเด็กมาซ่อนไว้ก่อน ส่วนหัวใจกับตับนั้น นำกลับมาล้างที่บ้าน ใส่กะละมังไว้ในตู้กับข้าว เพื่อจะเก็บไว้กิน
รอจนกระทั่งมืด ซีอุยจึงอุ้มศพเด็กมาวาง หาเศษไม้มาสุม เพื่อจะเผาทำลายหลักฐาน ระหว่างนี้เองที่นายนาวา บุณยกาญจน์ พ่อของเด็กชายสมบุญ ซึ่งออกมาตามหาลูกชายที่หายไปตั้งแต่ตอนบ่าย จนมาถึงที่เกิดเหตุ นายนาวาฉายไฟพบซีอุยกำลังเอากิ่งไม้แห้งทิ้งลงบนกองไม้ จึงแลเห็นศพของเด็กชายสมบุญอยู่ใต้กองไม้นั้นนั่นเอง นายนาวา กับนายเสงี่ยม ม่วงแสง จึงช่วยกันจับซีอุยมัด แล้วให้คนมาแจ้งความ
คำให้การระบุว่าระหว่างการจับกุม ไม่มีการต่อสู้ขัดขืน ซึ่งตรงกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น“ข้าฯ ไม่ได้ต่อสู้ และไม่มีอาวุธอะไร และมีดที่ข้าฯ ทำร้ายเด็ก ข้าฯ เอาไว้บนฝาตุ่มในบ้าน”(คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ : พยานโจทย์ติดตามมาแบบทันท่วงที จำเลยก็ยังชักมีดออก ทำกิริยาจะต่อสู้ จึงถูกตี และจับมัดไว้ได้)
เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงที่เกิดเหตุ ก็พบศพมีสภาพถูกแทงที่คอ และรอยผ่าตั้งแต่สะดือแหวะอกขึ้นมาถึงคอ จากนั้นจึงพากันไปค้นบ้านของซีอุย พบหัวใจกับตับสดๆ ใส่กะละมังเก็บไว้ในตู้กับข้าว
การดำเนินการจับกุมเป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่มีการขัดขืน ซีอุยให้การว่าวางมีดไว้บนฝาตุ่มบ้าน เมื่อซีอุยถูกจับในลักษณะคาหนังคาเขา พร้อมพยานวัตถุ การดำเนินการสืบสวนคดี “มนุษย์กินคน” จึงเริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้น
ที่น่าสังเกตก็คือการสอบปากคำและข่าวในหนังสือพิมพ์ มุ่งประเด็นที่จะ “สรุป” ให้ซีอุยเป็นผู้ต้องหาในทุกคดีก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการทางศาล ทั้งที่คำให้การและคำสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ที่ปรากฏนั้นมี “จุดสำคัญ” ที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างเห็นได้ชัด
เหนืออื่นใด ก็มีความเชื่อของคนร่วมสมัยในพื้นที่เกิดเหตุ รวมถึงคนทั่วไปบางส่วนที่เชื่อว่า ซีอุยมิได้เป็นฆาตกรตัวจริง แต่ฆาตกรตัวจริงเป็นลูกชายของบุคคลที่มีอิทธิพลสูงในท้องที่ ที่ซีอุยรับสารภาพไปอาจเป็นไปได้ว่าถูกเจ้าหน้าที่เกลี้ยกล่อมว่าให้รับสารภาพไปแล้วจะได้รับการลดหย่อนโทษ เนื่องจากซีอุยไม่มีญาติมิตรที่ให้การช่วยเหลือได้ รวมถึงการไม่เจนจัดในการสื่อสารภาษาไทย
ซีอุยถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๒ ต่อมาวันที่ ๒๗ กันยายน ปีเดียวกัน ทางมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (ศิริราช) ได้ทำเรื่องขอซีอุยมาทำการศึกษา เพื่อหาเหตุแห่งความวิปริตผิดมนุษย์ โดยเก็บไว้ที่ตึกกายวิภาคร่างของซีอุยเป็นอาจารย์ใหญ่ให้กับนักศึกษาแพทย์ สอนศีลธรรมให้กับสังคม แต่กาลเวลาไม่เคยเอ่ยถึงความยุติธรรมแม้ซักครั้ง
ปัจจุบันร่างของซีอุยยังคงอยู่ภายในโรงพยาบาลศิริราช ที่พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ อาคารอดุลเดชวิกรม หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “พิพิธภัณฑ์ซีอุย”….. ที่มา - เว็บไซต์คมชัดลึก
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 กรกฎาคม 2561 10:37:39 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 06 มีนาคม 2561 13:31:34 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 กรกฎาคม 2561 10:38:20 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 22 มีนาคม 2561 15:39:59 » |
|
พระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย แห่งสหราชอาณาจักร วาดโดยวินเทอร์ฮอลเทอร์ 'สมเด็จย่าแห่งยุโรป' ( Grandmother of Europe) สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย แห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ครองสหราชอาณาจักร ในช่วงระหว่าง ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๐ – ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๔ พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๖๒ ณ พระราชวังเค็นซิงตัน, ลอนดอน เป็นพระราชธิดาในเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเคนต์ (Duke of Kent) พระราชโอรสในพระเจ้าจอร์จที่ ๓ (King George III) แห่งสหราชอาณาจักร กับพระนางชาร์ลอตต์แห่งเมคเลินบวร์ค-ชเตรลิทซ์ (Charlotte von Mecklenburg-Strelitz)
พระเจ้าจอร์จที่ ๓ นั้น ทรงมีโอรสหลายองค์ แต่เจ้าฟ้าราชกุมารแห่งพระเจ้าจอร์จ ทิวงคตในเวลาไล่เลี่ยกันหมดทุกองค์ ราชบัลลังก์อังกฤษจึงตกเป็นของเจ้าหญิงวิคตอเรีย
เจ้าหญิงวิคตอเรียได้รับราชสมบัติอังกฤษในวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๓๘๐
ในอดีตนั้น ประเทศอังกฤษเรียกว่า แคว้นอังกฤษ เป็นประเทศอันเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ซึ่งประกอบด้วยสี่ประเทศ คือ ประเทศอังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์ รูปแบบการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แบบรัฐสภา เมืองหลวง คือ กรุงลอนดอน ตำแหน่งของเจ้าหญิงวิคตอเรียเมื่อราชาภิเษก จึงเรียกว่า Queen of the United Kingdom of Great Britain and Ireland and Empress of India
วัยเยาว์ : เจ้าหญิงวิคตอเรียได้รับการเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดจากพระมารดา พระนางถูกจำกัดอิสรภาพอยู่มาก กล่าวกันว่าในทุกครั้งที่ต้องเดินออกมาจากห้องนอน จะต้องมีคนจับมือไปจนถึงที่หมาย ห้องนอนจะต้องมีคนคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา พระราชมารดากับพระนางจึงเป็นเหมือนขมิ้นกับปูน เมื่อขึ้นครองราชย์นั้น พระราชินีนาถวิคตอเรียรับสั่งให้จัดหมู่ห้องสำหรับพระราชทานพระราชมารดาที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม โดยให้จัดให้ไกลที่สุดจากที่ประทับของพระองค์ ที่พระราชินีนาถไม่โปรดพระราชมารดาก็เพราะเรื่องที่บังคับพระองค์ต่างๆ นานา และที่สำคัญที่สุดคือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในเชิงชู้สาวกับ เซอร์จอห์น คอนรอย ซึ่งเป็นข้าราชบริพารในราชสำนัก
ดัชเชสแห่งเค้นท์ พระราชมารดาเสียพระทัย และเคยว่าถ้าลูกมีครอบครัวมีลูกมีเต้าแล้วลูกก็จะรู้สึกเหมือนพระราชมารดา แต่พระสมเด็จพระราชินีนาถเป็นคนรักเดียวใจเดียว จึงมิทรงรู้สึกอะไรเหมือนพระราชมารดา เมื่ออภิเษกสมรสกับพระสวามี คือเจ้าชายอัลเบิร์ต (Prince Consort Albert of Saxe-Coburg-Gotha) พระโอรสพระองค์ที่สองของแอนสท์ที่ ๑ ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา และเจ้าหญิงหลุยส์แห่งซัคเซิน-โกทา-อัลเทินบูร์ก นั้น พระองค์ก็ทรงทำตามเหตุผลข้อเดียวเท่านั้น คือ ความรัก ทรงพบกับเจ้าชายอัลเบิร์ต พระโอรสองค์ที่ ๒ ของพระบิดา ซึ่งเป็นเจ้าเยอรมันที่มีดินแดนไม่ใหญ่โตนัก การเป็นโอรสองค์ที่ ๒ ตามกฎหมายของประเทศฝรั่งทั้งหลาย ซึ่งสืบเค้ามาจากสมัยกลาง ถือว่าโอรสองค์ที่ ๒ และ ๓ ๔... ต่อไปย่อมไม่ได้มรดกของพระราชบิดามากนัก ที่ดินจะต้องตกเป็นของโอรสองค์โต โอรสองค์ที่ ๒ และ ๓ ๔ ..... จะได้ก็แต่ของที่พระราชบิดามอบให้ ดังนั้น เจ้าชายอัลเบิร์ตจึงไม่ใช่เจ้าชายผู้ร่ำรวยหรือมีอำนาจ หากแต่ว่าเมื่อพระราชินีนาถวิคตอเรียทอดพระเนตรเห็นเจ้าชายหนุ่มน้อยผู้มีพระพักตร์งาม พระวรกายสูงสง่า พระเกศาสีทองและเป็นเงาวับ ผู้เสด็จมาเยี่ยมเยียนพระองค์นั้น พระองค์ก็ไม่มีพระหทัยจะมอบชายอื่นอีกเลยดังนั้น ก่อนที่เจ้าชายจะทูลลากลับบ้านเมืองที่แคว้น (Saxe-Coburg-Gotha) พระราชินีนาถวิคตอเรียก็ทรงตัดพระทัยข่มความอายที่ผู้หญิงที่เป็นพระราชินีนาถ ในฐานะพระประมุขเท่านั้นจะต้องทำ นั่นคือทรงกล่าวสู่ขอเจ้าชายอัลเบิร์ตอภิเษกสมรสด้วยพระสุรเสียงสั่น เจ้าชายทรงเข้าใจเรื่องทั้งหลายอยู่แล้ว จึงไม่ปล่อยให้พระราชินีนาถทรงอุทธัจต่อไป การอภิเษกสมรสของทั้งสองได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และทรงมีพระจริยวัตรปฏิบัติต่อกันอย่างหวานชื่นตลอดพระชนมชีพของเจ้าชาย ทั้งพระราชินีและเจ้าชายมีโอรสธิดาร่วมกันเก้าพระองค์ ทรงมีพระนัดดาหลายสิบพระองค์ แต่ละองค์แยกย้ายกันไปอภิเษกสมรสกับราชวงศ์ต่างๆ สายพระโลหิตสืบทอดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ทั่วยุโรป จนพระนางได้รับสมญานามว่า "สมเด็จย่าแห่งยุโรป" หรือ (Grandmother of Europe) และที่โดดเด่นมากคือพระนัดดาที่ต่อมาทรงเป็นจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ ๒ แห่งเยอรมนี
ในยุคสมัยของพระนางเจ้าวิคตอเรีย อังกฤษขยายอาณานิคมไปได้กว้างไกล เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีการวางรากฐานบริษัทสัญชาติอังกฤษในที่ต่างๆ ทำให้เกิดการแผ่ขยายอำนาจของอังกฤษในรูปของการตั้งบริษัทสัญชาติอังกฤษเพื่อทำการค้า สร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นอย่างมาก งานที่ทำชื่อเสียงให้รัชกาลของพระราชินีนาถวิคตอเรีย ได้แก่ งานจัดแสดงสินค้านานาชาติครั้งแรก การสร้างหอประชุมใหญ่สำหรับพระนคร การสร้างพิพิธภัณฑสถานสำหรับจัดแสดงวัตถุจากทุกมุมโลกที่อยู่ในเครือจักรภพของอังกฤษ พระราชภารกิจของพระราชินีนาถลุล่วงไปได้ด้วยดีก็เพราะมีเจ้าชายพระสวามีอยู่เบื้องหลัง พระราชินีนาถวิคตอเรียเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติตั้งแต่พระชนมายุยังน้อย เพียง ๑๘ พรรษา ทั้งมิได้ทรงเรียนวิชาการเมืองการปกครองมาจากผู้ใด การหวังพึ่งพวกมุขมนตรีและนักการเมืองก็พึ่งได้แต่เพียงระดับหนึ่ง แต่ผู้ที่ปรารถนาดีต่อพระองค์ตลอดเวลาก็คือเจ้าชายอัลเบิร์ตผู้เป็นพระสวามีนั่นเอง เจ้าชายอัลเบิร์ตผู้มีพระสิริโฉมงดงามเหมือนเทวรูป แต่กลับเป็นผู้มีอุปนิสัยเอาการเอางาน เป็นผู้ที่ช่างคิดช่างตรอง และมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล โดยไม่มีเรื่องอิสตรีมายุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย พระราชินีนาถวิคตอเรียจึงได้ทรงเรียนงานจากเจ้าชาย จวบจนเมื่อเจ้าชายอัลเบิร์ตสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคไทฟอยด์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๔ พระชนม์ได้ ๔๑ ปี สร้างความโทมนัสอย่างแสนสาหัสให้กับสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียซึ่งได้ทรงตกอยู่ในสภาพการไว้ทุกข์กึ่งถาวรและฉลองพระองค์เป็นสีดำตลอดพระชนม์ชีพที่เหลือ ทรงมีชีวิตอย่างเรียบง่ายในพระราชวังในชนบท มีข้าราชบริพารที่จงรักภักดีและสุนัขเป็นคู่พระทัย พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงการปรากฏองค์ในที่สาธารณะและไม่ค่อยเสด็จเข้ากรุงลอนดอนในอีกหลายปีต่อมา การหลบพระองค์จากสาธารณชนทำให้มีพระนามเรียกเล่น ๆ ว่า "แม่หม้ายแห่งวินด์เซอร์"
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเสด็จสวรรคต ณ ตำหนักออสบอร์น บนเกาะไอล์ออฟไวต์ ในช่องแคบอังกฤษ ด้วยอาการเส้นพระโลหิตแตกในสมองเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๔ สิริพระชนมพรรษา ๘๑ พรรษา ครองสิริราชสมบัติได้ ๖๓ ปีเศษ อ้างอิง : - majorcineplex.com - board.postjung.com - th.wikipedia.org - ราชินีในความทรงจำ นิตยสาร สกุลไทย สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ ๑ แห่งอังกฤษภาพโดย แอนโตนิส มอร์ ค.ศ.๑๕๕๔ พระราชินีนาถแมรี่ที่ ๑ แห่งอังกฤษ พระราชินีนาถแมรี่ที่ ๑ มีพระราชประวัติเกี่ยวพันกับพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๑ โดยพระราชินาถแมรี่ที่ ๑ ทรงครองราชย์ก่อน เพราะเป็นพระพี่นางของพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๑ ความจริงแล้วในประเทศอังกฤษ ในบรรดาพระราชินีนาถ ผู้ครองราชย์ด้วยพระองค์เองมิได้ตามพระสวามีนั้น พระราชินีนาถแมรี่ที่ ๑ ทรงนับว่าเป็นพระองค์แรก โดยทรงครองราชย์ระหว่าง ค.ศ.๑๕๕๓-๑๕๕๘ สวรรคตไว เพราะมีพระสุขภาพไม่ดีนัก
พระราชสมัญญาที่ติดพระองค์ ใครๆ ก็รู้จักทั่วไปคือ Bloody Mary หรือแมรี่มือเปื้อนเลือด หรือแมรี่กระหายเลือด เพราะพระองค์ต้องการสนับสนุนพวกคาทอลิกขึ้นในประเทศอังกฤษอีก หลังจากที่ประเทศอังกฤษได้กลายเป็นประเทศโปรเตสแตนต์แล้วตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระราชบิดา คือ พระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ ในสมัยของพระนางเจ้าแมรี่ที่ ๑ การไล่ล่าฆ่าฟันระหว่างคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์เป็นไปอย่างรุนแรกมาก คฤหาสน์บางแห่งก็ทำเป็นมีฝาผนังสองชั้น พวกพระคาทอลิกซึ่งแอบอยู่ในหลืบฝาจะได้ออกมาทำพิธีให้ศาสนิกซึ่งอยู่ในคฤหาสน์ อีกฝ่ายหนึ่งคือพวกโปรเตสแตนต์ก็ต้องซ่อนตัวอีกเช่นกัน ผู้คนฆ่าฟันกันด้วยเรื่องถือคนละศาสนาจนเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า ข้างพระนางเจ้าแมรี่ที่ ๑ ก็มิได้ทำพระองค์เป็นกลางให้สมกับที่เป็นผู้เป็นใหญ่ แต่เข้ากับพวกคาทอลิกเรื่อยไป ขุนนางที่ทรงเรียกหามาใช้สอยก็โปรดแต่ขุนนางที่เป็นคาทอลิก
พระราชินีนาถแมรี่ที่ ๑ เป็นพระราชธิดาองค์แรกของพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ (ทรงมีราชินี ๖ องค์ ) พระราชินีนาถแมรี่ที่ ๑ เป็นราชธิดาของพระมเหสีองค์แรก คือเจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งอรากอน เนื่องจากทรงสูงศักดิ์มาก ทางฝ่ายพระราชมารดาซึ่งเป็นเจ้าหญิงสเปน พระราชบิดาและพระราชมารดาจึงพยายามจะหาคู่ให้เจ้าหญิงดีๆ เพื่อจะได้ให้พระเขยขวัญที่เหมาะสมกับพระยศศักดิ์ พระองค์ไม่สวยงามนัก แต่รักการเรียนและทรงฉลาดเฉียบแหลม พระราชมารดาทรงดูแลการศึกษาเองและมีผู้ช่วยสอนเป็นหญิงมีตระกูลระดับดยุค
เจ้าหญิงเริ่มโชคไม่ดีตั้งแต่ตอนได้หมั้นกับพระจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Roman Emperor) คือพระเจ้าชาร์ลที่ ๕ ซึ่งเวลานั้นเป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑ แห่งสเปนด้วย น่าคิดว่าพระคู่หมั้นคงไม่ได้รักไม่ได้ถนอมเจ้าหญิงเลย เพราะบงการให้เจ้าหญิงเดินทางไปเฝ้าถึงสเปน และให้เอาสินสอดจำนวนมากไปด้วย เมื่อทางฝ่ายเจ้าหญิงไม่ปฏิบัติตาม พระองค์ก็ตีห่างจากเจ้าหญิงโดยไปหาพระคู่หมั้นใหม่
เจ้าหญิงแมรี่ได้รับเป็นรัชทายาทบัลลังก์อังกฤษตั้งแต่ ค.ศ.๑๕๒๕ และกำลังจะมองหาคู่อภิเษกใหม่ ชีวิตของพระองค์ก็ดูเหมือนถล่มทลายลงเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อสมเด็จพระราชบิดาทรงเลิกร้างกับสมเด็จพระราชมารดา โดยพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ ทรงอ้างว่า พระนางแคทเธอรีนแห่งอรากอนเคยแต่งงานกับเจ้าชายที่เป็นพระเชษฐาของพระองค์มาก่อน เมื่อมาแต่งงานกับพระองค์จึงถือว่าทรงทำผิดกฎทางสายเลือด (Incest) พระองค์จึงขอหย่าโดยส่งคำร้องไปที่พระสันตะปาปา คำขอหย่านี้ได้รับการตอบรับจากนักกฎหมายในประเทศอังกฤษ แต่พระสันตะปาปาไม่พระราชทานพระอนุญาต ใน ค.ศ.๑๕๓๔ พระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ จึงตัดสัมพันธ์กับกรุงโรม และทรงตั้ง The Church of England ขึ้นในประเทศอังกฤษ เรื่องนี้กระทบกระเทือนเจ้าหญิงแมรี่มาก เพราะถ้าบิดา มารดา ทำผิดกฎเกี่ยวกับสายเลือด (Incest) สิ่งที่เกิดขึ้นแก่ลูกก็คือกลายเป็นลูกนอกสมรส พระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn) พระราชินีใหม่ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ ประสูติพระราชธิดาทรงพระนามว่า เอลิซาเบธ (เจ้าหญิงน้อยๆ องค์นี้ต่อมาคือพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๑) พระนางแอนน์ โบลีน ทรงร้ายสุดสุดกับเจ้าหญิงแมรี่ มีการห้ามเรียกพระองค์ว่าเจ้าหญิง ห้ามเฝ้าพระราชบิดาและพระราชมารดา และบังคับให้เจ้าหญิงทำตนเป็นนางกำนัลของเจ้าหญิงเอลิซาเบธซึ่งเพิ่งเกิดใหม่ เจ้าหญิงแมรี่ไม่มีโอกาสได้พบพระราชมารดาอีกเลย ถึงแม้ว่าทรงแอบเขียนจดหมายถึงกันอย่างลับๆ
พระนางแอนน์ โบลีน ทรงเกลียดชังเจ้าหญิงแมรี่อย่างมากมาย แต่เจ้าหญิงได้รับมรดกความกล้าหาญมาจากพระราชมารดา และความดื้อรั้นจากพระราชบิดา ทำให้พระองค์ไม่ยอมรับว่าทรงเป็นลูกนอกสมรส และไม่ยอมไปบวชชีเมื่อถูกบังคับ
ต่อมา พระนางแอนน์ โบลีน ผู้ผยองทำให้พระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ กริ้ว และทรงสั่งให้บั่นพระศอนาง พระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ ทรงหันมาทอดพระเนตรพระราชธิดาองค์โตอีกครั้ง แล้วทรงมีข้อเสนอว่าพระองค์จะยกโทษให้เจ้าหญิงแมรี่ ถ้าเจ้าหญิงจะยอมรับว่าพระราชาเป็นหัวหน้าของ The Church of England และถ้าเจ้าหญิงจะยอมรับว่าพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ทรงมีความสัมพันธ์กันแบบปีนกฎเกี่ยวกับสายเลือด (Incest) ในตอนแรกเจ้าหญิงปฏิเสธ แต่แล้วก็ทรงยอมตามคำขอของพระราชบิดา เมื่อพระจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ ๕ ทรงขอร้องอีกพระองค์หนึ่ง ต่อมาเจ้าหญิงแมรี่ก็ทรงเสียใจการตัดสินพระทัยเรื่องนี้ เงาแห่งความเป็นลูกนอกสมรสติดตรึงแน่นกับพระองค์แทบจะแกะไม่ออก เจ้าชายที่มาติดพันพระองค์ แล้วก็หายพระพักตร์ไปองค์แล้วองค์เล่า จัดว่าพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ ทรงก่อกรรมทำเข็ญไว้กับพระราชธิดาองค์โตไม่ใช่น้อย แต่พระองค์ก็หันมาทำดี แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหญิงแมรี่ทรงเป็นแม่ทูนหัว (Godmother) ของเจ้าชายเอ็ดวาร์ด พระโอรสองค์ใหม่ซึ่งประสูติจากพระราชินี ลำดับที่ ๓ คือ เลดี้เจน ซีเมอร์ (Jane Seymour)
เมื่อทรงเจริญพระชันษาเต็มที่ เจ้าหญิงแมรี่จัดว่าเป็นเจ้าหญิงองค์สำคัญนับทั้งในอังกฤษและบนภาคพื้นทวีปยุโรป แต่ถึงในวัยสาวเจ้าหญิงแมรี่ก็ทรงมีพระรูปโฉมอย่างธรรมดา แต่ทรงมีเสียงเพราะ และรับสั่งได้หลายภาษา ต่อมาเมื่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ ทรงมีพระราชินีลำดับที่ ๔ คือ แคทเธอรีน โฮวาร์ด (Catherine Howard) พระองค์ทรงเรียกพระราชธิดาองค์โตกลับเข้าราชสำนัก และโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ในลำดับของการสืบสันตติวงศ์โดยให้ลำดับต่อจากเจ้าชายเอ็ดวาร์ด ฝ่ายเจ้าชายเอ็ดวาร์ดทรงครองราชย์ต่อจากพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ ใน ค.ศ.๑๕๔๗ พระองค์พระชนมายุน้อยเกินไปและเชื่อแต่การยุยงของขุนนางที่ต้องการให้พระองค์ออกหน้าในการสนับสนุนพวกโปรเตสแตนต์ พระองค์ให้เลิกการสวดมนต์ด้วยภาษาละตินและให้สวดด้วยภาษาอังกฤษแทน แต่เจ้าหญิงแมรี่ก็ทรงให้สวดในภาษาละตินต่อไปในโบสถ์ส่วนพระองค์ การขัดแย้งกับพระเจ้าเอ็ดวาร์ดครั้งนี้ทำให้เจ้าหญิงแมรี่ทรงหวั่นๆ ว่าพระศอจะถูกคมขวานหรือไม่ โชคยังดีที่พระเจ้าเอ็ดวาร์ดสวรรคตไว ถึงคราวที่เจ้าหญิงทรงได้ราชสมบัติ เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแมรี่ที่ ๑ ในเวลานั้นพระองค์ทรงมีพระชันษาได้ ๓๗ ปี และทรงมีพระบุคลิกกล้าหาญและตรงไปตรงมาคล้ายสมเด็จพระราชบิดา
น่าเสียดายที่พระนางเจ้าแมรี่ไม่ทรงมีแนวนโยบายทางการเมืองที่เฉียบแหลม พระองค์ไม่ได้รับความฉลาดทางการปกครองจากพระราชบิดาที่ทรงเป็นไม้เบื่อไม้เบากันเสมอ พระราชมารดาก็ไม่ทรงได้พบกัน ในที่สุดนโยบายของพระองค์ก็เป็นความเชิดชูคาทอลิก พระองค์ทรงหวังที่จะนำประชากรอังกฤษของพระองค์กลับเป็นคาทอลิกใหม่ ทรงนับถือพระสันตะปาปาที่กรุงโรม และพระองค์ทรงหวังจะได้อภิเษกกับกษัตริย์คาทอลิกแห่งสเปน คือ พระเจ้าฟิลิปที่ ๒ ผู้อ่อนชันษากว่าพระองค์ถึง ๑๑ ปี ข้าราชบริพารคนใดกราบทูลห้ามปรามพระองค์ก็ไม่ทรงฟัง พระองค์อภิเษกกับพระเจ้าฟิลิปที่ ๒ จนได้ และทรงทำพระองค์เป็นกษัตริย์คาทอลิกที่ดีอยู่ถึง ๓ ปี ใน ค.ศ.๑๕๕๔ จึงเกิดกบฎของพวกโปรเตสแตนต์ พระนางเจ้าแมรี่ทรงกล่าวปลุกใจคนอังกฤษอย่างกล้าหาญให้รักชาติและช่วยพระองค์ปราบพวกกบฏ ปรากฏว่าการปราบกบฏคราวนี้ มีพวกโปรเตสแตนท์ถูกฆ่าและเผาไฟถึง ๓๐๐ คน นี่เองเป็นที่มาของพระสมัญญาว่าพระองค์เป็น Bloody Mary
ในเรื่องส่วนพระองค์ พระราชินีนาถแมรี่ทรงตกพระโอรสธิดาหลายครั้ง พระองค์สวรรคตในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายาน ค.ศ.๑๕๕๘ แล้วทุกสิ่งที่พระองค์พยายามสร้างหรือเชิดชูก็กลายเป็นภัสมธุลีไปหมด แล้วพระขนิษฐาต่างมารดาคือเจ้าหญิงเอลิซาเบธก็ได้เป็นพระราชินีนาถองค์ต่อไป ... นิตยสารสกุลไทย รายสัปดาห์พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ กับองค์รัชทายาท ภาพจาก : th.wikipedia.orgพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส (Louis XIV de France)พระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในยุโรป พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ (Louis XIV de France-หลุยส์ กาโตร์ซ เดอ ฟร็องซ์) หรือหลุยส์มหาราช (Louis le Grand-หลุยส์ เลอ กร็องด์) หรือสุริยกษัตริยาธิราช (le Roi Soleil-เลอ รัว-โซเลย) ประสูติเมื่อวันที่ ๕ กันยายน ค.ศ.๑๖๓๘ (พ.ศ.๒๑๘๑) เป็นพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส และพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓ แห่งนาวาร์ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของสเปน) เป็นพระราชบุตรของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๓ (Louis XIII) กับราชินีอานน์แห่งออสเตรีย
ทรงครองราชย์เมื่อมีพระชนมายุเพียง ๕ พรรษา สืบราชวงศ์บูร์บง ทั้งทรงมีเชื้อสายราชวงศ์กาเปเตียง เสวยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ค.ศ.๑๖๔๓ และทรงครองราชย์นานถึง ๗๒ ปี นับเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในยุโรป และในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระองค์เป็นช่วงที่ฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางการปกครองแบบรวมอำนาจทั้งแผ่นดินไว้ที่กษัตริย์
พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ มีพระนามเดิมว่า หลุยส์-ดิเยอดองเน (Louis-Dieudonne) ครั้งประทับอยู่ที่พระราชวังแซงต์-แฌร์แม็ง-ออง-เลย์ (๕ พฤศจิกายน ค.ศ.๑๖๓๘) พระนามต่อมาคือ หลุยส์ เลอ กร็องด์ เริ่มใช้วันที่ ๑๔ เมษายน ค.ศ.๑๖๔๓ และพระนาม เลอ รัว-โซเลย ประกาศเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ค.ศ.๑๗๑๕ หลังสวรรคต
พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ไม่กี่เดือนก่อนวันครบพระชนมายุ ๕ พรรษา โดยสมัยนั้นคือช่วง ค.ศ.๑๖๔๘-๑๖๕๒ เกิดกบฏฟรองด์ (Fronde) ต่อต้านอำนาจของกษัตริย์และที่ปรึกษา มีสเปนหนุนหลัง แต่ที่สุดฝรั่งเศสก็ปราบปรามลงได้ และเมื่อหัวหน้าคณะรัฐมนตรี คาร์ดินาล มาซาแร็ง (le Cardinal Mazarin) ผู้บุกเบิกแนวคิดเทวสิทธิราชย์ (กษัตริย์มีสิทธิ์ขาด) พระอาจารย์สอนวิชาการเป็นกษัตริย์ของพระองค์ เสียชีวิตในปี ๑๖๖๑ ก็ไม่ทรงตั้งใครแทนที่ ทรงประกาศว่า จะบริหารประเทศด้วยพระองค์เอง โดยรอให้คณะรัฐมนตรี ๒ คณะ ครบวาระในปี ๑๖๙๑
การบริหารราชการแผ่นดินของพระองค์ได้สร้างอำนาจรัฐภายใต้การควบคุมเบ็ดเสร็จของวังหลวง ทรงลดทอนบารมีของพวกศักดินา ชนชั้นสูง และอัศวินเชี่ยวชาญการรบ ให้มารับใช้พระองค์เช่นเดียวกับสมาชิกในราชสำนักและข้าราชบริพารทั่วไป เป็นการรวบอำนาจมารวมศูนย์ ทำให้พวกเขากลายเป็นชนชั้นสูงที่ต้องใช้สติปัญญามากขึ้น และทรงประสบความสำเร็จในการกล่อมเหล่าขุนนางมาเป็นพวก วิธีการดังกล่าวทำให้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด สืบต่อระบบกษัตริย์ยาวนานก่อนถึงการปฏิวัติฝรั่งเศส
ทั้งนี้ การใช้พระราชอำนาจอันเด็ดขาดของพระองค์ ทำให้ความวุ่นวายต่างๆ หมดสิ้นไปจากฝรั่งเศส (ชั่วระยะหนึ่ง) อาทิ การก่อกบฏของขุนนาง การประท้วงของสภา การจลาจลของชาวนิกายโปรเตสแตนต์ และชาวนา ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาของฝรั่งเศสมานานแล้ว
พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระนางมาเรีย เทเรสแห่งสเปน พระธิดาของพระเจ้าฟิลิปที่ ๔ แห่งสเปน กับพระนางเอลิซาเบธ แห่งฝรั่งเศส ทรงมีพระโอรสธิดารวม ๕ พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายหลุยส์ เลอ กรองด์ โดแฟง หรือ หลุยส์ โดแฟ็งใหญ่แห่งฝรั่งเศส มกุฎราชกุมาร, เจ้าหญิงมารี-เทเรส, เจ้าหญิงอานน์- เอลิซาเบธ, เจ้าชายหลุยส์แห่งฝรั่งเศส และเจ้าหญิงมารี-อานน์
พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ มีพระสนมมากมาย ในจำนวนนั้น รวมถึงหลุยส์ เดอ ลา วาลลิแยร์, อองเจลลิก เดอ ฟงตองจ์, มาดาม เดอ มงต์เตสปอง และ มาดาม เดอ มังเตอนง (ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงอภิเษกสมรสด้วยอย่างลับๆ ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของราชินี ในปี พ.ศ.๒๒๒๗) ในวัยรุ่น พระองค์ได้ทรงรู้จักกับหลานสาวของพระคาร์ดินัลมาซารัง ชื่อมารี มองซีนี ความรักแบบเพื่อนของทั้งสองถูกขัดขวางโดยพระคาร์ดินัล ผู้ประสงค์ให้พระองค์อภิเษกสมรสกับราชนิกูลของประเทศสเปนเพื่อผลประโยชน์ของฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี พระเจ้าหลุยส์ยังทรงมีสัมพันธ์เป็นเวลายาวนานอีกกับเด็กสาวพนักงานซักรีดของพระราชวังลูฟ ด้วยความเจ้าชู้ของพระองค์ ต่อมาภายหลังได้มีรับสั่งให้สร้างบันไดลับไว้มากมายในพระราชวังแวร์ซายเพื่อจะได้สเด็จไปหาพระสนมของพระองค์ได้สะดวก ความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้พวกเคร่งศาสนากลุ่มหนึ่งไม่พอใจ โบสซูเอต์ กับ มาดาม เดอ มังเตอนง จึงพยายามชักชวนให้พระองค์หันกลับมาสู่ความทรงคุณธรรมอีกครั้ง
พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ สวรรคตเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ค.ศ.๑๗๑๕ ด้วยโรคติดเชื้อจากแผลกดทับ ทรงประกาศก่อนสิ้นพระทัยว่า “ข้าจะไปแล้ว แต่รัฐของข้าจะคงอยู่ตลอดไป” รัชสมัยของพระองค์กินเวลา ๗๒ ปี กับ ๑๐๐ วัน พระศพถูกฝังไว้ที่บาซิลิก ซังต์ เดอนี หลุมพระศพนี้ถูกบุกรุกทำลายในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส (๑๗๘๙)
พระราชปนัดดา (เหลนทวด) หลุยส์ ดยุกแห่งอ็องฌู ผู้มีพระชนม์เพียง ๕ ชันษา ครองราชย์สืบต่อ โดยในรัชสมัยของพระองค์ ทรงมีรัชทายาทที่จะสืบต่อราชบัลลังก์ได้ถึง ๓ พระองค์ ได้แก่ พระราชโอรส หลุยส์ โดแฟ็งใหญ่แห่งฝรั่งเศส, พระโอรสของโดแฟ็งใหญ่ คือ หลุยส์ โดแฟ็งน้อย และพระโอรสองค์โตในโดแฟ็งน้อย ได้แก่ เจ้าชายหลุยส์ ดยุกแห่งเบรอตาญ แต่ด้วยพระชนมายุทรงยืนยาวมาก พระโอรสและนัดดาทั้งหมดสิ้นพระชนม์ไปก่อน เหลือเพียงเหลน คือ ดยุกแห่งอ็องฌู ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ แห่งฝรั่งเศส รัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ โดดเด่นด้วยการรังสรรค์วัฒนธรรมชั้นสูงของฝรั่งเศส ภาษาฝรั่งเศสกลายเป็นภาษาของคนชั้นสูง และภาษาทางการทูตในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ และคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ทั้งทรงทำให้ประเทศเกรียงไกรและแผ่ขยายอาณาเขตไปเป็นอันมาก
ลืมไม่ได้ ทรงให้สร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครอง โดยให้สร้างขึ้นที่ชนบทเมืองแวร์ซายส์ ปรับจากเดิมซึ่งเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ ไว้ประทับในยามออกล่าสัตว์ในสมัยพระราชบิดา เป็นพระราชวังโอ่อ่าอลังการ ใช้เงินภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศสทั้งหมด ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ฟรังก์ คนงาน ๓๐,๐๐๐ คน และเวลาสร้าง ๓๐ ปี จึงแล้วเสร็จนับจาก ค.ศ.๑๖๖๑ ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงาม
ภายในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ เป็นต้น รวมทั้งสิ้น ๗๐๐ ห้อง ประดับตระการตาด้วยประติมากรรมแกะสลัก ๑๕,๐๓๔ ชิ้น และจิตรกรรม ๖,๑๒๓ ภาพ อีกส่วนที่สำคัญคือสวนสวยงาม พระราชวังแวร์ซายส์ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ ๓ เมื่อปี ๑๙๗๙
อย่างไรก็ดี การตกอยู่ในภาวะสงครามตลอดเวลาทำให้รัฐต้องขาดดุล และต้องเก็บภาษีอากรจากชาวไร่ชาวนาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
อเล็กซิส เดอ ทอกเกอวิลล์ นักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสได้แสดงความเห็นว่า การที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เปลี่ยนพวกชนชั้นสูงให้กลายเป็นข้าราชบริพารธรรมดา รวมทั้งยังเข้าพวกกับผู้ดีใหม่ที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้แต่ไม่ให้มีอำนาจทางการเมือง มีส่วนผลักดันให้เกิดความไม่มั่นคงในเสถียรภาพทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในเวลาต่อมา และเป็นชนวนก่อให้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสในที่สุด
สำหรับแผ่นดินสยาม พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงครองราชย์ตรงกับช่วงระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จเจ้าฟ้าไชย สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) และสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ (พระเจ้าท้ายสระ) แห่งกรุงศรีอยุธยาพระราชวังแวร์ซายส์ ( Château de Versailles) พระราชวังที่สวยงามและยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ภาพจาก : mashkanta.biz
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 กรกฎาคม 2561 10:46:55 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2561 16:37:16 » |
|
พระนางเอเลนอร์แห่งอากีแตนEleanor of Aquitaine Eleanor of Aquitaine, Queen of France and Queen of England พระนางเอเลนอร์แห่งอากีแตน (Eleanor of Aquitaine) เป็นพระราชินีประเทศฝรั่งเศส ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ จึงออกเสียงพระนามและชื่อแคว้นของพระนางอย่างภาษาฝรั่งเศส ชื่อแคว้นของพระนางในภาษาฝรั่งเศส บางครั้งก็ออกเสียงว่ากุแยน (Guyenne) แต่ชื่อหลังนี้ปัจจุบันไม่ใคร่พบที่ใช้แล้ว
พระนางเอเลนอร์แห่งอากีแตน ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายหลุยส์ พระรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ฝรั่งเศส ต่อมาพระรัชทายาทได้สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา แล้วทรงพระนามว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๗ (ในระหว่าง ค.ศ.๑๑๓๗-๑๑๕๒) ต่อมาทรงหย่าร้างกันแล้วพระนางได้อภิเษกสมรสใหม่กับพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๒ แห่งประเทศอังกฤษ (ระหว่าง ค.ศ.๑๑๕๒-๑๒๐๔) ต่อมา พระนางเอเลนอร์ได้เป็นพระราชชนนีของกษัตริย์แห่งประเทศอังกฤษสองพระองค์คือ พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ (Richard I the Lion-Heart) และพระเจ้าจอห์นผู้ไร้แผ่นดิน (John Lackland) นักประวัติศาสตร์บางท่านคิดว่าพระนางเอเลนอร์ทรงเป็นสตรีผู้มีอิทธิพลที่สุดในศตวรรษที่ ๑๒
อิทธิพลของพระนางเอเลนอร์ส่วนหนึ่งมาจากการที่พระองค์ทรงมีที่ดินขนาดมหาศาล ในศตวรรษที่ ๑๒ ที่ดินถือเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้า (Suzerain) มีข้า (Vassals) เป็นจำนวนมาก การที่มีที่ดินและมีข้าจำนวนมากทำให้มีทรัพย์สมบัติมาก และสามารถเกณฑ์แรงข้าไปรบในสงครามที่เจ้าทำกับเจ้าอื่นๆ เมื่อได้ชัยชนะก็ทำให้เจ้ายิ่งมีอิทธิพลยิ่งขึ้น
ที่ดินขนาดกว้างใหญ่ไพศาลที่พระนางเอเลนอร์ทรงมีนั้น เป็นพระราชมรดกของพระราชบิดาที่ทรงพระนามว่าวิลเลียมที่ ๑๐ พระราชบิดาทรงมีพระยศเป็นดยุคแห่งอากีแตน และทรงเป็นเคานต์แห่งปัวติเอร์ส์ (Duke of Aquitaine and Count of Poitiers) ที่ดินของพระราชบิดาของพระนางเอเลนอร์ในที่ต่างๆ รวมกันแล้วนับว่ากว้างใหญ่กว่าที่ดินในพระราชสมบัติของกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสในเวลานั้นเสียอีก เมื่อพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ พระนางเอเลนอร์ได้รับมรดกที่ดินนั้นๆ ใน ค.ศ.๑๑๓๗ แล้ว ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๗ แห่งประเทศฝรั่งเศสดังกล่าวแล้ว พระนางเอเลนอร์ทรงดำรงตำแหน่งพระราชินีแห่งประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลา ๑๕ ปี ในเวลา ๑๕ ปีนั้น พระนางทรงมีโอกาสทำกิจกรรมหลายอย่างที่สตรีในสมัยของพระองค์ไม่มีโอกาส เช่น พระนางได้ตามเสด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ ๗ ไปในสงครามครูเสดครั้งที่ ๒ (the Second Crusade) ในระหว่าง ค.ศ.๑๑๔๗ ถึง ๑๑๔๙
เรื่องของสงครามครูเสดนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ดังที่มีผู้ดัดแปลงเอาไปเขียนเป็นหนังสือการ์ตูนที่เยาวชนสมัยนี้ได้อ่าน เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อฝรั่งหลายชาติรวมกันเป็นกองทัพไปรบกับแขกคือกองทัพของกษัตริย์คริสเตียนหลายกองทัพ ร่วมมือกันไปตีเอากรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเวลานั้นกษัตริย์ที่นับถือศาสนาอิสลามยึดครองไว้ พวกคริสเตียนเห็นว่าบริเวณกรุงเยรูซาเล็มเป็นสถานที่ประสูติของพระเยซูคริสต์เจ้า ไม่สมควรที่พวกอิสลามจะยึดครอง ในสงครามครูเสดครั้งที่ ๑ เมื่อ ๕๐ ปีก่อนหน้านั้น กองทัพคริสเตียนได้ยึดครองราชอาณาจักรละตินแห่งเยรูซาเล็ม แล้วพวกตุรกีซึ่งนับถือศาสนาอิสลามมาโจมตี
ในระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ ๒ นี้ กองทัพของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๗ ได้ไปพักที่เมืองอันติออค (Antioch) ซึ่งเป็นเมืองของพระเจ้าอาของพระนางเอเลนอร์ พระเจ้าอาองค์นี้มีพระนามว่าเรมองด์แห่งปัวติเอร์ (Reymond of Poitiers)
ธรรมเนียมของเจ้านายฝ่ายสตรีในสมัยนั้นมักเป็นขวัญกำลังใจของอัศวิน หรือถ้าจะคิดอย่างไทยจะเรียกว่าแม่ย่านางประจำใจของอัศวินก็ได้ แต่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์
ก่อนออกรบอัศวินจะมาทำวันทยาวุธแม่ย่านางในท่ามกลางสนามสำหรับประลองยุทธ์ และแม่ย่านางมักจะประทานของที่ไม่มีราคามากแต่มีค่าทางจิตใจ เช่น แพรพันพระศอ หรือดอกไม้ โดยโยนลงไปจากอัฒจันทร์ที่นั่งดูอัศวินอยู่ อัศวินจะรับสิ่งของนั้น นำไปจุมพิต ทำท่าทางยินดี แล้วเอาสอดไว้ในเกราะบังอกของตน แม่ย่านางไม่จำเป็นต้องรักกับอัศวิน และอัศวินก็ไม่จำเป็นต้องคิดในทางชู้สาวกับแม่ย่านาง การทำความเคารพและการโยนผ้าแพรหรือดอกไม้ ถือเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย นี่เป็นธรรมเนียมที่สตรีสูงศักดิ์และอัศวินในสมัยนั้นย่อมรู้
ในการสงครามครูเสดครั้งที่ ๒ นี้ เมื่อกองทัพครูเสด เข้าไปพักในเมืองอันติออค กิจกรรมทำนองการให้เกียรติระหว่างสตรีสูงศักดิ์ (แม่ย่านาง) กับอัศวินคงเกิดขึ้น
พระนางเอเลนอร์เมื่อยังไม่ทรงมีพระชนมายุมาก เป็นผู้ทรงสิริโฉมโสภาค พระจริตกิริยาจับตาจับใจชวนมองไม่รู้เบื่อ เป็นที่สนิทเสน่หาของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๗ ยิ่งนัก พระเจ้าหลุยส์คงจะทรงหึงหวงจนนักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ การสะเทือนอารมณ์ที่เมืองอันติออคเป็นการเริ่มต้นการร้างราระหว่างสองพระองค์ เมื่อกลับมาถึงประเทศฝรั่งเศสแล้วทรงพยายามคืนดีกัน แต่ชีวิตคู่หลังสงครามครูเสดก็ต้องอับปางลง สองพระองค์ทรงหย่าร้างกันในเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๑๕๒
ตามกฏเกณฑ์ของสังคมสมัยกลางในยุโรปที่เรียกว่าสมัยฟิวดัล (Feudal) พระนางเอเลนอร์ได้ที่ดินในแคว้นอากีแตนกลับคืนเป็นของพระองค์ เพราะเป็นพระราชมรดกจากพระบิดาของพระองค์
หลังจากการหย่าร้างกันเพียงสองเดือน พระนางเอเลนอร์ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายเฮนรี แห่งราชวงศ์พลันตาเจเนต (Plantagenet) ซึ่งมียศศักดิ์อัครฐานเสมอกับพระนางเหมือนกัน คือเจ้าชายเฮนรีพลันตาเจเนต เป็นเคานต์แห่งอ็องจู (Anjou) ซึ่งเป็นแคว้นที่อุดมสมบูรณ์ มีทั้งพืชผลการเกษตรและเป็นที่ผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าชายเฮนรีพลันตาเจเนต ยังเป็นดยุคแห่งนอร์มองดี (Normandy) ด้วย
สองปีหลังการอภิเษกสมรส เจ้าชายเฮนรีพลันตาเจเนต ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นพระเจ้าเฮนรีที่ ๒ แห่งประเทศอังกฤษ ที่ดินในพระคลังมหาสมบัติของพระเจ้าเฮนรีที่ ๒ จึงมีทั้งในประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศส คือมีที่แคว้นนอร์มองดีในประเทศฝรั่งเศสด้วย
ในคราวที่อภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๗ แห่งฝรั่งเศส พระราชินีเอเลนอร์ทรงมีพระราชธิดา ๒ องค์ ในครั้งที่อภิเษกสมรสกับพระเจ้าเฮนรีที่ ๒ นั้น พระองค์ทรงมีพระราชโอรส ๕ องค์ พระราชธิดา ๓ องค์ ดูจากจำนวนพระโอรสและพระธิดาแล้ว ไม่น่าสงสัยเลยว่า ทำไมพระนางเอเลนอร์จึงทรงมีอิทธิพลมากนัก เพราะพระโอรสก็แยกย้ายกันไปเป็นพระราชินีและดัชเชสในดินแดนต่างๆ ส่วนมากพระโอรสธิดามักปรึกษาหารือกับพระองค์ พระองค์จึงได้รับสมัญญานามว่า “คุณยายและคุณย่า แห่งทวีปยุโรป” (Grand Mother of Europe)
พระโอรสและพระธิดาของพระนางเอเลนอร์ที่เป็นที่รู้จักกันดีมี เช่น พระโอรสองค์ที่ ๓ คือ เจ้าชายริชาร์ด ซึ่งต่อมาได้ครองราชบัลลังก์อังกฤษ และได้รับพระสมัญญานามว่า พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ (Richard I the Lion-Heart) องค์ผู้นำในสงครามครูเสดครั้งต่อมา
อีกพระองค์หนึ่งคือ เจ้าชายจอฟฟรีย์ ผู้ได้รับพระราชมรดกจากพระราชมารดา คือได้เป็นดยุคแห่งอากีแตน
ส่วนโอรสองค์สุดท้าย คือพระองค์ที่ ๕ ประสูติมาทีหลังเมื่อพระเชษฐาได้รับดินแดนต่างๆ ไปหมดแล้ว พระองค์จึงมีพระสมัญญานามว่า พระเจ้าจอห์นผู้ไร้แผ่นดิน (John Lackland ภาษาฝรั่งเศสใช้ว่า Jean Sans Terre)
ส่วนพระราชธิดามีพระนามว่า มาธิลดา (Matilda) อภิเษกกับดยุคแห่งแซกโซนีและบาวาเรีย (Duke of Saxony and Bavaria) ดินแดนนี้ในปัจจุบันอยู่ในประเทศเยอรมนี พระราชธิดาองค์ที่ ๒ พระนามว่าเอเลนอร์เหมือนพระชนนี ได้อภิเษกกับพระเจ้าอังฟองโซที่ ๘ แห่งคาสตีล์ (Alfonso VIII, King of Castile) ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ในประเทศสเปน พระราชธิดาอีกพระองค์หนึ่ง พระนามว่าโจน (Joan) อภิเษกสองครั้ง ครั้งแรกกับพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ ๒ แห่งซิซิลี (Sicily) และครั้งที่ ๒ กับเคานต์เรม็องที่ ๖ แห่งแคว้นตูลูส (Raymond VI, Count of Toulouse) ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ในประเทศฝรั่งเศส
ระยะเวลาที่พระนางเอเลนอร์คงมีความสุขที่สุด คงจะเป็นในตอนที่ทรงเป็นราชินีแห่งประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงเป็นคู่คิดคู่ปรึกษาของพระเจ้าเฮนรีที่ ๒ ทรงมีความสามารถในการปกครองและยังทรงปกครองดินแดนของพระองค์เองในประเทศฝรั่งเศสเป็นอย่างดีด้วย ราชสำนักของพระองค์ที่ปัวติเอร์ส์ มีชื่อเสียงในการส่งเสริมศิลปะวิทยาการ เป็นศูนย์กลางแห่งการแต่งกวีนิพนธ์ เป็นที่เรียนขนบธรรมเนียมประเพณีการฝึกกิริยามารยาทในราชสำนัก
ในตอนปลายพระชนมชีพ ทรงประสบเรื่องสะเทือนพระทัยหลายเรื่อง พระโอรสกระด้างกระเดื่องกับพระราชบิดา พระนางเอเลนอร์ทรงเข้าข้างพระโอรส เมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ ๒ สวรรคต พระนางเป็นพระหัตถ์ที่สำคัญที่ผลักดินให้พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ได้เข้าพิธีราชาภิเษก และทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเมื่อพระเจ้าริชาร์ดเสด็จไปสงครามครูเสด
พระนางเอเลนอร์ พระชนมายุยืนมาก ทรงพระชันษาเลยแปดสิบปี ทรงเบื่อหน่ายกิจกรรมการเมืองและเสด็จเข้าจำศีลภาวนาที่วัดฟรองเตอโวล์ท์ (Frontevrault) ในแคว้นอ็องจู ทรงเป็นที่รักและนับถือของบรรดาแม่ชีที่ฟรองเตอโวล์ท์ เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ค.ศ.๑๒๐๔ พระรูปปั้น พระนางอิซาเบลที่เมืองกรานาดา พระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ ๑ แห่งประเทศสเปน พระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ ๑ แห่งราชวงศ์ตรัสตามารา ประเทศสเปน เป็นพระราชินีอีกพระองค์หนึ่งที่ทรงมีพระราชประวัติที่น่าสนใจ ควรคู่แก่ความทรงจำ กล่าวคือการราชาภิเษกสมรสของพระองค์กับพระสวามี คือ พระเจ้าเฟร์นันโดที่ ๒ แห่งอารากอน (Aragon) ได้มีผลเป็นประการสำคัญคือทั้งสองได้เป็นขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในการยึดดินแดนสเปนกลับคืนมาจากชาวมัวร์และได้กระทำการรวมดินแดนสเปนเข้าเป็นผืนแผ่นดินเดียวกันได้เป็นครั้งแรก เป็นเหตุให้ประเทศสเปนเจริญขึ้นเป็นประเทศสมัยใหม่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เจริญเป็นมหาอำนาจของยุโรป และมีการดำเนินงานที่นำสมัย เช่น การบุกเบิกเส้นทางเดินเรือไปโลกใหม่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นนักเดินเรือคนหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนเรื่องทุนรอนในการเดินเรือจากพระนาง
พระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ ๑ แห่งสเปน มีพระราชสมภพเป็นเจ้าหญิงแห่งแคว้นคาสตีล (Castile) พระองค์เป็นพระราชธิดาในพระเจ้าจอห์นที่ ๒ แห่งคาสตีล กับพระราชมารดาทรงพระนามว่า อิซาเบลลาแห่งโปรตุเกส ประสูติเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๑๙๙๔ ทรงมีพระราชสมัญญาว่า อิซาเบลลา ผู้เป็นคาทอลิก พระนางจัดได้ว่าเป็นนักปกครองที่ได้รับการกล่าวชื่อในประวัติศาสตร์ พระนางได้ทำให้ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเจริญอย่างมากในสเปน แสดงให้เห็นความเคร่งครัดในการนับถือศาสนาของพระองค์ พระองค์ทรงมีพระเชษฐาและพระอนุชา พระเชษฐาได้ครองราชย์เป็นพระเจ้าเอนริเก ๔ พระอนุชาชื่ออัลฟอนโซ ซึ่งสิ้นพระชนม์ด้วยพระชันษาเพียง ๑๔ ชันษา
เมื่อพระเจ้าฆวนที่ 2 แห่งกัสติยา พระบิดา เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ.๑๙๙๗ พระเจ้าเอนริเกที่ ๔ แห่งกัสติยา พระเชษฐาต่างพระมารดา ได้ขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์ได้เนรเทศพระนางและพระอนุชาไปที่เมืองเซโกเบียและเนรเทศพระมารดาของพระนางอิซาเบลคือ สมเด็จพระราชินีอิซาเบลไปที่เมืองอาเรบาโล เจ้าหญิงอิซาเบลลาทรงมีชีวิตที่เงียบสงบกับพระมารดาและพระศาสนาในวัยเยาว์ แต่พอพระชนมายุได้ ๑๓ ปี พระองค์และพระอนุชาได้ถูกเรียกตัวมาที่พระราชสำนักเพื่อให้อยู่ใต้การคุมพระองค์เข้มงวดขึ้น พระองค์แสดงความฉลาดเฉลียวให้ปรากฏจนพระเชษฐาต่างพระมารดาคือพระเจ้าเอนริเกที่ ๔ รับพระองค์เป็นรัชทายาทใน พ.ศ.๒๐๑๑ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๑๗ ปี ความตายของพระอนุชาอัลฟอนโซ ทำให้เจ้าหญิงอิซาเบลลาได้เป็นพระรัชทายาทแห่งแคว้นคาสตีล แล้วด้วยเหตุที่ทรงอยู่ในวัยเหมาะสมสำหรับการอภิเษก บรรดาเจ้าใหญ่นายโตในคาบสมุทรไอบีเรียจึงชิงกันจะหาคู่ให้เจ้าหญิง เลือกให้ได้ผลประโยชน์กับผู้จัดหามากที่สุด มีเจ้าชายผู้เสนอองค์เข้ามาให้ทรงเลือกถึง ๔ พระองค์ มีพระเจ้าอัลฟอนโซที่ ๕ แห่งประเทศโปรตุเกสองค์หนึ่ง องค์นี้เป็นผู้ท้าชิงที่สำคัญมาก เพราะว่าพระเชษฐาคือพระเจ้าเอนริเกที่ ๔ เป็นผู้หนุนหลัง แต่เจ้าหญิงอิซาเบลลาทรงเลือกพระเจ้าพระเจ้าเฟร์นันโด รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อารากอน ส่วนผู้ท้าชิงชาวฝรั่งเศสนั้นเจ้าหญิงทรงไม่สนพระทัย แล้วเจ้าหญิงอิซาเบลลาก็เสด็จไปเข้าพิธีราชาภิเษกกับพระเจ้าเฟร์นันโดแห่งอารากอน ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๐๑๒ ที่พระราชวังเมืองบายาโดลิคที่อยู่ห่างไกล เรื่องนี้พระเจ้าเอนริเกที่ ๔ ทรงกริ้วมาก และพยายามจะกลับคำที่เคยทรงรับเจ้าหญิงอิซาเบลลาเป็นรัชทายาท รับสั่งตรงๆ ว่า เพราะเจ้าหญิงเสด็จไปอภิเษกกับพระเจ้าเฟร์นันโดโดยไม่รอคำพระราชทานอนุญาต
ถ้าพระเจ้าเอนริเกที่ ๔ ทรงมีพระชนม์ยืนยาวเราก็ไม่ทราบว่าพระชะตากรรมของเจ้าหญิงอิซาเบลลาจะเป็นเช่นไร แต่พระเจ้าเอนริเกที่ ๔ สวรรคตเสียไว คณะผู้เกลียดชังชาวอารากอนก็เลยต้องล้มเลิกการดำเนินการ เจ้าหญิงอิซาเบลลาทรงได้ครองราชย์เป็นพระราชินีอิซาเบลลาแห่งคาสตีล ใน พ.ศ.๒๐๑๗ และต่อมาได้เป็นพระราชินีแห่งอารากอน ใน พ.ศ.๒๐๒๒ จัดว่าครองบัลลังก์อารากอนคู่กับพระสวามี ตามที่มีผู้เขียนพระฉายาลักษณ์ขณะทรงครองบัลลังก์พร้อมกันสองพระองค์ไว้เมื่อพระเชษฐาคือพระเจ้าเอนริเกที่ ๔ สวรรคตนั้น เจ้าหญิงอิซาเบลลาประทับอยู่นอกพระนคร แต่พระองค์มีขุนนางที่มีความสามารถและจงรักภักดี ชาวคาสตีลคอยป้องกันพระองค์ และนายพลเรือเอนริเกซ์ซึ่งสนิทสนมกับพระมารดาของพระเจ้าเฟร์นันโด ก็เข้าข้างพระองค์ ข้างฝ่ายปรปักษ์เสนอพระนามของเจ้าหญิงโจอันเป็นคู่แข่ง เจ้าหญิงโจอันมีผู้สนับสนุนที่สำคัญ ทั้งที่เป็นพระและขุนนาง และมาร์เกส์เดอวิลเลนา พระเจ้าอัลฟอนโซที่ ๕ แห่งโปรตุเกสที่เคยเสนอสาส์นรักก็พลอยสนับสนุนเจ้าหญิงโจอันด้วย พระเจ้าอัลฟอนโซที่ ๕ รีบยกกองทัพมาโจมตีแคว้นคาสตีล แล้วก็รีบประกาศหมั้นกับเจ้าหญิงโจอัน ดังนั้น ระยะสี่ปีแรกที่พระนางอิซาเบลลาได้ครองบัลลังก์คาสตีล แว่นแคว้นของพระองค์จึงเต็มไปด้วยศึกสงคราม ในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๐๒๒ พระเจ้าอัลฟอนโซที่ ๕ แพ้อย่างเด็ดขาด ราชบัลลังก์คาสตีลและอารากอนจึงปกครองโดยพระราชาและพระราชินีหนุ่มสาวที่เป็นทองแผ่นเดียวกัน
สเปนกลายเป็นประเทศหนึ่งเดียว แต่พระราชาและพระราชินีก็ต้องใช้กุศโลบาย ความอดทน และความมานะพยายามอย่างมากที่จะทำให้วงการเมือง การปกครองของประเทศเป็นประเทศที่เป็นหนึ่งเดียวได้จริงๆ พระเจ้าเฟร์นันโดที่ ๒ ใน พ.ศ.๒๐๑๘ ได้ทรงทำพระราชพินัยกรรมยกให้พระนางอิซาเบลลาเป็นพระรัชทายาทของพระองค์ในดินแดนอารากอน และทรงกล่าวด้วยว่าถ้าทำเช่นนั้นชาวอารากอนจะได้รับประโยชน์มาก นอกจากพระราชภาระในการรวมประเทศแล้ว พระราชาและพระราชินีอิซาเบลลายังมีพระราชภาระขับไล่อาณาจักรมุสลิมซึ่งตอนนั้นยังตั้งมั่นอยู่ที่กรานาดา (Granada) สงครามกับพวกมุสลิมผลาญเงินในพระคลังของคาสตีลไปไม่น้อย ในเรื่องสงครามกับมุสลิมนี้สมควรยกย่องพระนางอิซาเบลลาในแง่ที่พระองค์ทรงเป็นธุระเอาใจใส่การจัดการพัสดุ และการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม พระองค์กับพระสวามีทรงตั้งกองบัญชาการการรบที่ซานตา เฟ (Santa Fe) และประทับบัญชาการอยู่ที่ซานตา เฟ จนกระทั่งแคว้นกรานาดายอมแพ้
ขณะที่ประทับอยู่ที่ซานตา เฟ คริสโตเฟอร์โคลัมบัส (Christopher Columbus) ได้ไปเฝ้าพระองค์ ทูลขอความสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการที่จะพากองเรือไปสำรวจหาโลกใหม่ น่าสรรเสริญการมีสายพระเนตรกว้างไกลที่ทำให้พระองค์พระราชทานทุนทรัพย์ให้ตามที่โคลัมบัสขอพระราชทาน หนังสือบางเล่มกล่าวว่าพระองค์เชื่อในอนาคตของการเดินทางไปโลกใหม่มากจนถึงทรงขายเครื่องเพชรเอาเงินให้โคลัมบัส แต่บางเล่มก็ว่าไม่ถึงอย่างนั้น พระราชทานเงินทองที่มีอยู่เฉยๆ เมื่อพบโลกใหม่ ผลประโยชน์ที่ได้จึงผูกกับราชสมบัติของคาสตีลด้วย
เราคงต้องกล่าวว่าพระราชินีนาถอิซาเบลลาทรงมีความคิดอย่างคนสมัยใหม่หลายประการ เช่น พระองค์โปรดเรื่องการจัดการศึกษา พระองค์เองทรงมีพระชนมายุ ๓๐ พรรษาแล้ว เมื่อพระองค์ลงทุนเรียนภาษาละติน แล้วพระองค์ก็เรียนสำเร็จด้วย พระองค์ไม่โปรดการเหยียดเพื่อนมนุษย์ด้วยการลงเป็นทาส เมื่อโคลัมบัสขนชาวอินเดียนแดงจากโลกใหม่มาเป็นทาส พระองค์ก็รับสั่งให้ปล่อยทาสเสียให้หมด สำหรับข้าราชสำนักและผู้ใกล้ชิดมีผู้ที่มองพระองค์เป็นเทพธิดา เพราะมีพระเนตรสีฟ้า พระเกศาสีอ่อน ทรงเครื่องเพชรและฉลองพระองค์อย่างวิจิตร ในขณะเดียวกันก็ทรงเอาใจใส่เรื่องของโบสถ์ สำหรับบางคนพระองค์จึงเหมือนเทพธิดาเสด็จมาเยือนโลก
ชาวคาทอลิกบางคนจากต่างประเทศได้ประกาศให้พระนางอิซาเบลเป็นนักบุญ ด้วยเหตุผลที่ว่าพระนางอิซาเบลได้ทำการปกป้องศาสนาคริสต์ให้คงอยู่ คริสตจักรโรมันคาทอลิกได้ยกย่องพระนางเป็น ผู้รับใช้พระเป็นเจ้า (Servant of God)
พระนางอิซาเบลได้มีการปรากฏชื่อครั้งแรกบนเหรียญของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเหรียญแห่งการระลึกถึงการครบรอบ ๔๐๐ ปีการเดินทางของโคลัมบัสครั้งแรก และในปีเดียวกันพระนางได้เป็นสตรีคนแรกที่ได้ขึ้นบนแสตมป์ของอเมริกาซึ่งอยู่ในชุด Columbian Issue ที่จัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองแด่โคลัมบัสเช่นกัน ภาพพระนางได้ปรากฏในสเปนที่ 15-cent Columbian บนมูลค่า 1 $ และในภาพเต็มซึ่งด้านข้างคือโคลัมบัสและบนมูลค่าอื่น ๆ อีกมากมาย
พระราชินีนาถอิซาเบลลาเสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๐๔๗ (พระชนม ๕๓ พรรษา) ที่มา : - - ราชินีในความทรงจำ โดย สุริยา รัตนกุล : นิตยสารสกุลไทย ฉ.๒๙๖๕ วันที่ ๑๖ ส.ค.๕๔ - วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 กันยายน 2563 15:40:49 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2561 14:57:53 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 กันยายน 2563 15:37:31 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 07 มกราคม 2562 16:27:25 » |
|
พระนางเอลิซาเบธ พระราชมารดา(Queen Elizabeth the Queen Mother) พระนางเอลิซาเบธ พระราชมารดา (Queen Elizabeth the Queen Mother) เป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ ๒ พระนางมีพระราชสมภพในตระกูลขุนนาง ทรงมีพระนามเต็มว่า เลดี้เอลิซาเบธ แอนเจลา มาร์เกอริต โบวส์ ไลออน (Lady Elizabeth Angela Marguerite Bowes Lyon) ทรงเป็นธิดาคนที่ ๙ ของลอร์ดและเลดี้กลามส์ (Lord and Lady Glamis) มีพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๐๐ คือเป็นระยะปลายรัชกาลของสมเด็จพระราชินาถวิคตอเรีย ควรนับว่าพระนางเอลิซาเบธ พระราชมารดา ทรงเป็นคนของศตวรรษที่ ๒๐ อย่างแท้จริง เพราะปีประสูติกาลคือต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ และทรงมีพระชนม์อยู่ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ สวรรคตเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ค.ศ.๒๐๐๒ มีพระชนมายุยืนยาวกว่าใครๆ ในพระราชวงศ์
เนื่องจากเลดี้เอลิซาเบธเป็นลูกคนที่ ๙ และเป็นธิดาคนที่ ๔ ของบิดา มารดา ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางทั้งสองฝ่าย เธอจึงมีชีวิตอย่างแสนสุขสนุกสบาย ไม่มีใครกำหนดบทบาทชีวิตให้ เธอเติบโตที่ปราสาทกลามส์ (Glamis) ของตระกูลซึ่งมีอายุเก่าแก่หลายร้อยปี เป็นปราสาทที่สวยงามใหญ่โต มีบันไดใหญ่กว้างและประดับประดาไปด้วยรูปของบรรพบุรุษ แต่ก็มีต้นโอ๊กใหญ่อยู่ในสวนเคียงข้างบ่อน้ำพุ ซึ่งเป็นที่ที่เลดี้เอลิซาเบธได้เล่นซ่อนหากับพี่น้อง ในฤดูที่อากาศไม่ดีเธอก็มีคฤหาสน์ใหญ่โตอยู่ในเมือง ชีวิตเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่จะมีได้ในสมัยนั้น เธอและน้องชายชื่อเดวิดซึ่งอายุอ่อนกว่าปีหนึ่งมีครูมาสอนให้ที่บ้านในวิชาต่างๆ เช่น ภาษา ดนตรี ประวัติศาสตร์ เธอเป็นเด็กฉลาดหัวไว เรียนได้เร็วแม้ในวิชาที่ยากเช่นวิชาคำนวณ เธอกับน้องชายเต้นรำได้อย่างสวยงาม เมื่อโตขึ้นเธอก็เป็นเด็กที่ผู้ใหญ่มักจำได้และเอ็นดูมาก เพราะดวงตาโตของเธอมีแววสนุกร่าเริงอยู่เสมอ เธอไม่กลัวคนแปลกหน้า และมักหาเรื่องมาสนทนากับแขกได้อยู่เรื่อยๆ เมื่อโตขึ้นเธอช่วยมารดารับแขกได้ดี และคฤหาสน์ของเธอนั้นมักมีอาคันตุกะตระกูลสูงทั้งหญิงและชายมาพักค้างแรมอยู่เสมอ บ้านของเธอมีอุปกรณ์สำหรับให้ความสะดวกกับแขกที่มาพัก มีรถยนต์หลายคัน แม้เป็นระยะแรกที่มีรถเกิดขึ้นในทวีปยุโรปก็ตาม มีม้าอารมณ์ดีสำหรับให้ผู้ใหญ่และเด็กขี่อยู่หลายตัว และงานเลี้ยงน้ำชากับการปิกนิกที่มีมักจะมีอยู่ที่ปราสาทของบรรพบุรุษเธอก็เป็นที่กล่าวขวัญในวงสมาคม ตระกูลของเธอนั้นก็เป็นเจ้าบ้านหญิงที่ใจดีและฉลาดอย่างยิ่ง เลดี้เอลิซาเบธซึมซับอารมณ์ที่ดี ยิ้มง่าย และช่างสนทนามาจากมารดา คนที่เข้ามาใกล้เธอจะได้รับแต่ความเบิกบานใจเสมอ คนที่ประหม่ากระดากอาย เมื่อเข้าใกล้เธอก็ค่อยทุเลาความระวังตัวลง
เลดี้เอลิซาเบธ โบวส์ ไลออน เชื้อสายขุนนางชาวสก๊อตผู้นี้มีชีวิตที่มีความสุข ราวกับไม่รู้ว่ามีความทุกข์อยู่ในโลกนี้ จนกระทั่งเธอมีอายุเข้าวัยรุ่นสาว โลกอันงามสงบของสมัยวิคตอเรียนและสมัยเอดวาร์เดียนก็หายวับไปราวกับเป็นฟองสบู่ เพราะประเทศอังกฤษถูกลากเข้าสู่สงครามใหญ่ซึ่งกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๑ สงครามที่มนุษย์ชาติต่างๆ ที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากัน ไม่รู้เรื่องราวของกันและกัน ต้องถูกดึงให้มาฆ่าฟันกัน บ้างก็ฆ่ากันด้วยปืนใหญ่ บ้างก็ขุดสนามเพลาะและฆ่ากันตายในสนามเพลาะ และแถมยังมีการฆ่าฟันในอากาศยานอีกเป็นครั้งแรก เลดี้เอลิซาเบธได้รับรู้เรื่องสงครามอันร้ายกาจนี้ตั้งแต่เธอมีอายุได้๑๔ ปี ปราสาทกลามส์ของต้นตระกูลเธอเป็นที่ต้อนรับทหารเจ็บป่วยที่เข้ามาพักฟื้น เลดี้เอลิซาเบธอายุน้อยเกินกว่าที่จะได้รับการอบรมให้ทำหน้าที่พยาบาล แต่เธอก็ทำหน้าที่ของเจ้าของบ้าน คือเป็นฝ่ายต้อนรับและคอยให้กำลังใจทหารที่เจ็บป่วย เธอมีความสามารถทำให้ทหารที่ขี้อายรู้สึกสบายขึ้น เธอต้องพบเห็นคนตายจำนวนไม่น้อย และพี่ชายแท้ๆ ของเธอถูกอาวุธเสียชีวิตในสงครามบนดินแดนฝรั่งเศส สงครามโลกเป็นเวลา ๔ ปี ตั้งแต่ ค.ศ.๑๙๑๔-๑๙๑๘ ทำให้สาวน้อยเอลิซาเบธผู้รู้จักแต่ความสุขสำราญ ต้องกลายเป็นกุลสตรีสาวที่ช่างคิดและมีความรู้สึกรับผิดชอบในหน้าที่จนเกินอายุ แต่ภายนอกคนก็ยังเห็นเธอมีรอยยิ้มที่สวยงามราวกับว่าเธอไม่เคยพบกับความเจ็บไข้และความตาย สงครามโลกทำให้เธอเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีความเมตตากรุณาและมีความเห็นอกเห็นใจคนที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือคนที่มีฐานะทางสังคมต่ำ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ สิ้นสุดลงแล้ว งานรื่นเริงและงานสังคมต่างๆ ที่ต้องระงับไว้ในยามสงครามเริ่มมีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เลดี้เอลิซาเบธได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินและพระราชินีในงานออกมหาสมาคมครั้งแรกที่เธอเป็น Debutante (เป็นคำเรียกสาวรุ่นแรกออกสมาคม) ปรากฏว่าเธอเป็นผู้ที่มีหนุ่มมีตระกูลมานิยมชมชอบมาก มีเชื้อพระวงศ์ต่างประเทศและบุตรขุนนางใหญ่มาขอใกล้ชิดเธอเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีชายหนุ่มตระกูลสูงคนหนึ่งที่หลงรักเธออย่างฝังใจ เรียกว่า รักอย่างไถ่ถอนไม่ได้ ชายหนุ่มคนนั้นคือเจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต (Prince Albert) โอรสองค์ที่ ๒ ของพระเจ้าจอร์จที่ ๕ และพระราชินีแมรี
ความเป็นโอรสองค์ที่ ๒ ทำให้เจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ตทรงอยู่ในฉายาของพระเชษฐาตลอดเวลา พระเชษฐาหรือเจ้าฟ้ารัชทายาท (Prince of Wales) ซึ่งมีพระนามลำลองเรียกกันในราชตระกูลว่า David เป็นผู้ที่โก้เก๋ในการออกสมาคม ทรงเป็นผู้นำในกิจการต่างๆ อยู่เสมอ ส่วนเจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ตถึงแม้ว่าจะมีพระพักตร์หล่อเหลาและมีร่างสูงใหญ่แต่ก็ประชวรพระโรคติดอ่าง ทรงเขินอายอย่างมากเวลาพบกับคนแปลกหน้าและพยายามจะหลบไม่ยอมออกสมาคมอยู่เสมอ จะโปรดตรัสก็แต่เฉพาะกับคนสนิทเท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะทรงได้รับการเลี้ยงดูอย่างเข้มงวด และพระบิดามารดาไม่โปรดการแสดงอารมณ์ เจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ตได้พบกับเลดี้เอลิซาเบธในงานเต้นรำแห่งหนึ่ง และหลงรักท่าทีสบายๆ ของหญิงสาวที่พูดกับพระองค์อย่างเป็นมิตร และไม่มีอาการเขินอายหรือพยายามใกล้ชิดกับพระองค์อย่างหญิงสาวทั่วไปที่พยายามเอาใจเจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต เจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ตจึงหลงรักเธอในทันทีเพราะอยู่ใกล้เธอแล้วพระองค์ท่านสบายพระทัย ความเครียดหรืออาการติดอ่างค่อยหายไปเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับเธอ พระองค์จึงตั้งใจว่าชาตินี้จะไม่ยอมแต่งงานกับใครนอกจากเลดี้เอลิซาเบธ โบว์ ไลออน คนนี้เท่านั้น แต่เมื่อพระองค์สารภาพรัก เลดี้เอลิซาเบธกลับตกใจกลัวชีวิตที่จะต้องเป็นสะใภ้หลวง อยู่กับกฎเกณฑ์ของราชสำนัก และเธอคิดว่าจะไม่ได้มีชีวิตสบายๆ อย่างที่เคยมาตลอดตั้งแต่เป็นเด็ก เธอได้ปฏิเสธเจ้าฟ้าชายหลายครั้ง แต่เจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ตก็ทรงพยายามตลอดเวลา ๕ ปี พระเจ้าจอร์จที่ ๕ และพระราชินีก็ทรงพยายามเอาใจเลดี้เอลิซาเบธด้วย เพราะทรงทราบว่าเจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ตหากพลาดไปจากหญิงที่พระองค์รักคนนี้ ก็อาจจะเสียพระทัยจนเสียคน
ในที่สุดเลดี้เอลิซาเบธเห็นใจในความจริงใจของเจ้าฟ้าและยอมเข้าพิธีอภิเษกอย่างหรูหรา ใน ค.ศ.๑๙๒๓ เจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ตสบายพระทัยขึ้น จนยอมไปเรียนวิธีพูดและค่อยๆ หายจากอาการติดอ่าง คู่อภิเษกได้มีราชธิดาสององค์คือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นองค์โต ต่อมาได้เป็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ ส่วนเจ้าหญิงองค์เล็กคือ เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตโรส ขณะที่ครอบครัวของพระโอรสองค์ที่ ๒ คือเจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต ซึ่งได้รับตำแหน่งดยุค ออฟ ยอร์ค (Duke of York) กับเลดี้เอลิซาเบธซึ่งได้เป็นดัชเชสออฟ ยอร์ค กำลังมีความสุข ทางฝ่ายเจ้าฟ้ารัชทายาท Prince of Wales กลับไปชอบกับหญิงที่แต่งงานแล้ว หญิงคนแรกชื่อฟรีดา (Freda) ทางการพระราชวังไม่ยอมให้เจ้าฟ้ารัชทายาทอภิเษกกับหญิงที่หย่าร้างมา ต่อมาเจ้าฟ้ารัชทายาทได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๘ แต่ก็ยืนยันที่จะอภิเษกกับหญิงที่หย่าร้างมาแล้วคนที่สองที่ชื่อ Mrs. Simpson ให้ได้ ครั้นทางพระราชวังขัดข้อง พระเจ้า Edward ที่ ๘ ก็สละราชสมบัติไปแต่งงานกับหญิงที่พระองค์เลือกมากกว่าราชบัลลังก์
พระโอรสองค์ที่ ๒ คือ Duke of York จึงต้องเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นพระเจ้าจอร์จที่ ๖ (King George Vl) พระมเหสีจึงเลื่อนจาก Duchess of York ขึ้นเป็น Queen Elizabeth ระยะนั้นพอดีกับเวลาที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือเยอรมนีกำลังจะรุกรานเกาะอังกฤษ แต่พระเจ้าจอร์จที่ ๖ กับพระราชินีเอลิซาเบธก็ประทับอยู่ในกรุงลอนดอน เพื่อพระราชทานกำลังใจให้คนอังกฤษ ราษฎรอังกฤษจึงรักพระราชาองค์ใหม่กับพระราชินีมากว่าไม่ทรงทอดทิ้งหน้าที่และไม่ทอดทิ้งประเทศ โดยเฉพาะพระราชินีเอลิซาเบธทรงได้รับความรักจากราษฎรมาก เพราะพวกเขารู้อยู่ว่าทรงเป็นขวัญและกำลังพระทัยของพระเจ้าจอร์จที่ ๖
พระเจ้าจอร์จที่ ๖ สวรรคตภายหลังสงครามโลก เจ้าฟ้าหญิงองค์โตจึงได้รับราชสมบัติเป็นพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ ส่วนพระราชินีเดิมจึงได้ตำแหน่งเป็นพระนางเอลิซาเบธ พระราชมารดา
พระราชมารดาทรงมีพระพลานามัยดีเลิศ ทรงทำงานในหน้าที่ของพระองค์อย่างขยันขันแข็ง ทรงรับเป็นประธานองค์การกุศลมากกว่าร้อยองค์การ ทรงทำพระองค์ใกล้ชิดกับราษฎร จึงทรงเป็นเจ้านายที่ราษฎรรักเป็นพิเศษ พระองค์ไม่โปรดแต่งพระองค์ด้วยสีดำหรือสีทึมๆ แบบปารีส แต่มักทรงฉลองพระองค์สีสดใสทุกสี เช่น ชมพู ฟ้าอ่อน เหลือง เขียวอ่อน และไม่ทรงเครื่องเพชรมากมาย เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ร้อยพรรษา ประเทศอังกฤษได้จัดเฉลิมฉลองให้พระองค์อย่างเต็มที่ และพระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์สีชมพูสดใสมาทรงพระสรวลรับเสียงไชโยของราษฎร พระนางเอลิซาเบธ พระราชมารดา ทรงเป็นกุหลาบอังกฤษที่ราษฎรรักและเทิดทูนมาก ที่มา ราชืนีในความทรงจำ นิตยสารสกุลไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 15 มกราคม 2562 15:47:31 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2562 15:20:26 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2562 15:16:08 » |
|
พระนางจินกู (Jingu) พระนางจินกู (Jingu) เป็นจักรพรรดินีองค์หนึ่งในสมัยโบราณตามตำนานของญี่ปุ่น พระองค์เป็นมเหสีของพระจักรพรรดิชูอัย (Chuai) ซึ่งเป้นพระจักรพรรดิ ลำดับที่ ๑๔ และเป็นพระชนนีของพระจักรพรรดิโอจิน (Ojin) ซึ่งเป็นพระจักรพรรดิ ลำดับที่ ๑๕ พระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้พิชิตดินแดนเกาหลี นักวิชาการกล่าวว่าบางทีพระองค์อาจจะไม่ได้รับยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง แต่พระองค์ปรากฏพระองค์ว่าเป็นรูปจำลองของหัวหน้านักรบสตรีผู้สู้รบอย่างเข้มแข็งคล้ายกับพระจักรพรรดินีฮิมิโกะในสมัยเริ่มประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
เมื่อพระนางจินกูได้เป็นมเหสีของพระจักรพรรดิชูอัยนั้น หนังสือที่เล่าเรื่องราวของญี่ปุ่นชื่อหนังสือนิฮองกิได้ลงบันทึกไว้ว่า พระองค์ได้มีชีวิตอยู่ในราว ค.ศ.๑๖๙ + อีก ๒๖๙ แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นการนำพระองค์ไปวางไว้ในระยะเวลาที่เก่าแก่เกินความจริง พระองค์น่าจะมีพระชนม์อยู่ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๔ มากกว่า เพราะเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ ๔ ดูจะสอดคล้องกับพระราชประวัติของพระองค์มากกว่า นักวิชาการมีความคิดว่าผู้รวบรวมหนังสือโกจิกิ (Kojiki) และหนังสือนิฮองกิ (Nihongi) ทราบดีว่าเคยมีผู้นำสตรีในสมัยโบราณที่ชื่อฮิมิโกะ แล้วนำคุณสมบัติของพระนางฮิมิโกะมาใส่ไว้ในเรื่องพระนางจินกูด้วย เพราะเป็นคุณสมบัติที่เด่นมากของผู้นำสตรีในสมัยโบราณ
การนับเวลาตามปฏิทินของจีนในสมัยโบราณ นับว่า ๑ รอบใหญ่ เท่ากับ ๖๐ ปี คือนับรอบปีนักษัตรรวม ๕ ครั้ง ดังนั้น ถ้าคิดว่าเวลาในสมัยของพระนางจินกูเกิดทีหลังที่กล่าวไว้ในหนังสือนิฮองกิ ๒ รอบใหญ่ คือ ๑๒๐ ปี นั่นก็จะทำให้สมัยของพระนางจินกูเท่ากับ ค.ศ.๑๖๙ จนถึง ๒๖๙-๑๒๐ ปี จึงเท่ากับระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์พอดี นั่นคือเรื่องเมื่อญี่ปุ่นยกทัพเข้าตีเกาหลีและได้เกาหลีใน ค.ศ.๓๙๑ และญี่ปุ่นก็ได้มีอิทธิพลอยู่บนคาบสมุทรเกาหลีต่อไปอีกประมาณ ๒๕๐ ปี โดยมีจุดศูนย์กลางการดำเนินการของญี่ปุ่นอยู่ที่มิมานา (Mimana) ซึ่งอยู่ทางใต้สุดของปลายแหลมคาบสมุทรเกาลีอยู่จน ค.ศ.๕๖๒
ตามที่หนังสือนิฮองกิเล่าไว้ พระนางจินกูได้รับคำทำนายหรือคำสั่งจากเทพเจ้าเป็นระยะๆ สมัยของพระนางจินกูก็เหมือนกับสมัยของพระนางฮิมิโกะ คือพระมหากษัตริย์และราชบัลลังก์ได้รับความนับถือจากประชาชนว่าเป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประทับอยู่ปกปักรักษา กษัตริย์หรือจักรพรรดิจะต้องเป็นผู้ที่รู้ใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และทำตามที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องการ
หนังสือโกจิกิเขียนไว้ว่า คืนหนึ่งพระจักรพรรดิชูอัยพระสวามีและพระจักรพรรดินีจินกูกับอัครมหาเสนาบดีชื่อ ทาเกอชิ สุกุเนะ ได้ให้สร้างลานอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในพระอุทยานของพระจักรพรรดิเพื่อจะให้เป็นที่สำหรับรับคำบัญชาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระจักรพรรดิชูอัยทรงลงมือเป่าขลุ่ยเพื่อเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยพระองค์เอง อัครมหาเสนาบดีก็กล่าวคำขอคำสั่งจากสวรรค์ ส่วนพระจักรพรรดินีจินกูทรงถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าทรง แล้วพระจักรพรรดินีก็กล่าวคำทำนายออกมา ซึ่งอัครมหาเสนาบดีเป็นผู้แปลให้เป็นภาษาญี่ปุ่นที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น อัครมหาเสนาบดีแปลคำกล่าวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า “มีประเทศหนึ่งอยู่ทางตะวันตก ประเทศนี้ร่ำรวยมาก มีทั้งทอง เงิน และสิ่งของที่มีค่าอย่างอื่น เราจะให้ประเทศนี้แก่เจ้า”
พระจักรพรรดิชูอัยเป็นผู้ที่เชื่อยาก จึงไม่เชื่อคำทำนายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีประเทศอะไรอยู่ทางตะวันตกหรอก ท่านคงจะพูดเท็จให้ข้าพเจ้าฟังกระมัง” ในเมื่อพระจักรพรรดิชูอัยกล่าวคำไม่ดีให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ก็สวรรคตไปในทันดี โดยพระจักรพรรดินีไม่ทันได้เตรียมการอะไรทั้งนั้น พระจักรพรรดินีจินกูจึงคิดว่า ถ้าปล่อยให้ข่าวการสวรรคตของพระจักรพรรดิแพร่หลายไปในหมู่ประชาชน ก็อาจจะเกิดการจลาจลขึ้นได้ ดังนั้น พระจักรพรรดินีจินกูจึงเสด็จขึ้นครองราชย์เสียเอง โดยมี อัครมหาเสนาบดี ทาเกอชิ สุกุเนะ เข้าช่วย คนทั้งสองจัดการทำพิธีบูชาเพื่อให้ม่านหมอกแห่งเวทมนต์จางหายไป แล้วพระจักรพรรดินีจินกูจึงทำพิธีขอคำทำนายจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง
คำทำนายก็คงเป็นอย่างเดิม คือมีคำตอบว่ามีประเทศที่มั่งคั่งสมบูรณ์อยู่ทางทิศตะวันตก คราวนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เปิดเผยพระองค์เองว่าพระองค์คือเทพเจ้าอะมาเตระสุผู้เป็นเทพนารีแห่งดวงอาทิตย์ เทพเจ้าอะมาเตระสุตรัสว่าดินแดนทางทิศตะวันตกนี้ ต่อไปผู้ปกครองจะได้แก่พระโอรสของพระจักรพรรดิผู้ปฏิสนธิในเดือนสิงหาคม และขณะนี้กำลังอยู่ในพระครรภ์ของพระจักรพรรดินีจินกู
แล้วเทพนารีแห่งดวงอาทิตย์อะมาเตระสุจึงตรัสบอกวิธีเดินทางไปยังประเทศทางทิศตะวันตกแก่พระจักรพรรดินีและอัครมหาเสนาบดี แล้วจึงตรัสบอกวิธีแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าซึ่งเป็นเจ้าแห่งสวรรค์และเจ้าแห่งโลกมนุษย์ เทพแห่งภูเขา เทพแห่งแม่น้ำ และเทพแห่งมหาสมุทร พระจักรพรรดินีจินกูจึงทำตามคำตรัสของเทพเจ้าอะมาเตระสุ จัดการรวบรวมกำลังทหาร จัดหาเรือ แล้วพระจักรพรรดินีจินกูจึงบัญชาการกองเรือเอง โดยแต่งพระองค์เป็นชายและทำท่าทางอย่างชาย ทรงพากองเรือตัดข้ามมหาสมุทรไป ได้ลมส่งจากเทพเจ้าอะมาเตระสุผู้ประทานพรให้และบรรลุถึงประเทศชื่อซิลลาในเวลาไม่ช้านาน
พระเจ้าแผ่นดินแห่งซิลลาได้ทราบเรื่องว่ามีดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ทางตะวันออกได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระจักรพรรดิจินกูโดยไม่สู้รบ ในขณะนั้นพระกุมารในพระครรภ์ของพระจักรพรรดินีกำลังจะประสูติ พระจักรพรรดินีจินกูจึงทรงหยิบก้อนหินแบนๆ มาก้อนหนึ่ง แล้วทรงผูกก้อนปินนั้นติดกับฉลองพระองค์เพื่อเลื่อนเวลาประสูติออกไป เมื่อเสด็จกลับถึงประเทศญี่ปุ่นแล้ว พระองค์จึงประสูติพระกุมาร เมื่อพระองค์เสด็จถึงชายฝั่งของเกาะกิวชูทางตอนเหนือ การพิชิตเกาหลีครั้งนี้เป็นผลงานของพระจักรพรรดินีจินกูผู้มีอำนาจลึกลับ และมีพระพักตร์และพระวรกายคล้ายแม่มดที่ได้เคยเป็นราชินีปกครองประเทศญี่ปุ่นในสมัยก่อนหน้านั้นขึ้นไป
พระจักรพรรดินีจินกูเป็นนักรบผู้พิชิตได้ดินแดนเกาหลี และเป็นพระราชมารดาของพระจักรพรรดิผู้ครองประเทศญี่ปุ่นต่อมา พระองค์ได้ประคับประคองปกปักรักษาพระโอรสให้พ้นภัยจากพระเชษฐาต่างมารดาและพระโอรสก็ได้เป็นพระจักรพรรดิองค์ต่อมาคือเป็นพระจักรพรรดิโอจินดังกล่าวแล้วในตอนต้น
เรื่องราวที่กล่าวไว้ในหนังสือโกจิกิยังย้ำเน้นเรื่องคุณสมบัติเหมือนแม่มดของพระจักรพรรดินีจินกู โดยกล่าวว่าในปีหนึ่งเดือนเมษายนพระจักรพรรดินีจินกู เสด็จไปเสวยพระกระยาหารบนพื้นหญ้าริมฝั่งแม่น้ำเพื่อสำราญพระอิริยาบถ แล้วพระองค์ก็ดึงด้ายเส้นหนึ่งออกมาจากฉลองพระองค์ท่อนล่าง แล้วพระองค์ทรงบ่วงเบ็ดด้วยเส้นด้ายนั้น แล้วเอาเมล็ดข้าวสุกเป็นเหยื่อ พระองค์สามารถตกปลาเทร้าต์ด้วยเบ็ดพิเศษนั้นได้ หนังสือโกจิกิกล่าวว่าสตรีชาวบ้านในแถบริมแม่น้ำนั้นยังคงตกปลาเทร้าต์ในเดือนเมษายนด้วยเบ็ดที่ทำจากเส้นด้ายข้าวสุกนั้นอยู่ ราชินีในความทรงจำ นิตยสารสกุลไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2562 14:54:15 » |
|
พระนางลิเวีย ดรูซิลลา พระนางลิเวีย ดรูซิลลา (Livia Drusilla) พระนางลิเวีย ดรูซิลลา (Livia Drusilla) เป็นมเหสีของพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันองค์แรก ถ้าเราไม่เรียกพระองค์ว่าเป็นราชินีก็ไม่ทราบจะเรียกว่าเป็นอะไร ธรรมดาภรรยาของจักรพรรดิเราก็ต้องเรียกว่าจักรพรรดินี แต่พระจักรพรรดิไม่ได้ตั้งพระนางให้เป็นจักรพรรดินีแล้วพระองค์ก็ไม่ทรงเรียกพระองค์เองว่าเป็นจักรพรรดิด้วย คนที่เรียนเรื่องพระจักรพรรดิองค์นี้จึงต้องทำความเข้าใจให้ดีว่าเวลาไหนพระองค์เองเรียกตำแหน่งของพระองค์เองว่ากระไร พระนางลิเวีย ดรูซิลลา (Livia Drusilla) เป็นมเหสีของพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันองค์แรก
ถ้าเราไม่เรียกพระองค์ว่าเป็นราชินีก็ไม่ทราบจะเรียกว่าเป็นอะไร ธรรมดาภรรยาของจักรพรรดิเราก็ต้องเรียกว่าจักรพรรดินี แต่พระจักรพรรดิไม่ได้ตั้งพระนางให้เป็นจักรพรรดินี แล้วพระองค์ก็ไม่ทรงเรียกพระองค์เองว่าเป็นจักรพรรดิด้วย คนที่เรียนเรื่องพระจักรพรรดิองค์นี้จึงต้องทำความเข้าใจให้ดีว่าเวลาไหนพระองค์เองเรียกตำแหน่งของพระองค์เองว่ากระไร ทำไมเรื่องชื่อแค่นี้จะต้องทำให้เรื่องมันซับซ้อนด้วย เหตุผลมีอยู่ ถ้าเราพยายามปอกหัวหอมออกทีละชั้นเพื่อหาดูว่า ความจริงของเรื่องนี้เป็นอย่างไร แล้วเราก็จะเข้าใจปมจิตวิทยาของพระจักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโรมันได้ว่าพระองค์ทำให้เรื่องตำแหน่งของพระองค์เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนเพราะเหตุใด พระจักรพรรดิองค์แรกของจักรพรรดิโรมันทรงมีพระนามเดิมเมื่อยังเป็นคนสามัญอยู่ว่า ออคตาเวียน (Octavian) พระองค์มีศักดิ์เป็นหลานชายของ จูลิอุส ซีซาร์ (Julius Caesar) ก็ซีซาร์คนที่เล่นรักกับ พระนางคลีโอพัตราน่ะแหละ อาณาจักรโรมันสมัยที่ซีซาร์ยังมีชีวิตอยู่นั้น มีการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีเจ้านาย แต่มีการแบ่งแยกคนในสาธารณรัฐนี้ออกเป็นคนชั้นสูง (Patricians) กับคนสามัญ (Plebeans) คนชั้นสูงมีอำนาจมาก มีเงินมีทองมาก ดูเผินๆก็เหมือนเป็นเจ้านาย แต่ประชาชนโรมันรังเกียจการมีพระเจ้าแผ่นดิน เพราะติดการเกลียดชังมาตั้งแต่ครั้งที่พระเจ้าแผ่นดินชาวอีทรัสกัน (Etruscan) เคยปกครองกรุงโรมอย่างกดขี่คนโรมัน ดังนั้นถึงแม้เมื่อได้รวมพลังกันขับไล่กษัตริย์ชาวอีทรัสกันหนีจากไปแล้ว แต่ผู้นำชาวโรมันก็ไม่มีใครกล้าตั้งตนเองเป็นกษัตริย์
ในสมัยต่อมา จูลิอุส ซีซาร์ เป็นผู้ที่รบเก่งมากได้พิชิตดินแดนของชาวกอล (ซึ่งต่อมาคือชาวฝรั่งเศส) ได้ทางด้านตะวันตกและยังได้อาณาจักรอียิปต์ทางด้านตะวันออก ซีซาร์เป็นผู้ที่ฉลาดเฉียบแหลม แล้วยังมั่งมีเงินทอง มีอิทธิพลมากจากการที่ตีได้ดินแดนต่างๆ จึงมีสมัครพรรคพวกมาก น่าที่ซีซาร์จะพยายามตั้งตัวเป็นกษัตริย์หรือเป็นจักรพรรดิได้ ซีซาร์จึงพยายามไต่เต้าที่จะเป็นใหญ่ ได้ทำการชิมลางโดยตั้งตนเองเป็นผู้เผด็จการ (Dictator) เมื่อเห็นรัฐสภาไม่ว่ากระไร ก็พยายามไต่เต้าต่อไปโดยตั้งตนเองเป็นผู้เผด็จการตลอดชีพ ไม่มีวาระการดำรงตำแหน่ง สิ่งนี้ก็คือการตั้งตนเองเป็นกษัตริย์หรือเป็นจักรพรรดินั่นเอง เพียงแต่ไม่ระบุตำแหน่งออกมาโดยตรงเท่านั้น คราวนี้วุฒิสมาชิกไม่ยอม วุฒิสมาชิกหลายคนรวมกันแล้วราว ๓๐ คน ได้ทำการสังหาร จูลิอุส ซีซาร์ โดยการแทงข้างหลังในห้องรัฐสภานั่นเอง เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่โด่งดังมาก เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ส่วนออคตาเวียนเป็นหลานชายแท้ๆของ จูลิอุส ซีซาร์ เป็นผู้รับมรดกของซีซาร์ถึงสามในสี่ตามพินัยกรรมของซีซาร์เอง เมื่อเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญนั้น ออคตาเวียนเพิ่งมีอายุได้ ๑๙ ปี เหตุการณ์จึงฝังใจของออคตาเวียนยากที่จะลืมได้ ออคตาเวียนเองก็เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง อยากจะเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน แต่ออคตาเวียนได้บทเรียนจากความตายของซีซาร์ ออคตาเวียนจึงไม่กล้าตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิ เขาพยายามทำความดีและทำผลงานของเขาออกแสดงทีละน้อยให้คนโรมันเห็นว่าเขาเป็นคนที่ชาวโรมันสมควรยกย่องให้เป็นผู้นำ
ที่สุดแล้วเขารบชนะศึกอียิปต์ ซึ่งมี พระนางคลีโอพัตรา กับ มาร์ค อันโตนี เป็นผู้นำอย่างขาวสะอาด กองทัพเรือของอียิปต์แตกอย่างไม่เป็นท่าในการยุทธที่อักติอุม (Actium) ในปี ๒๗ ก่อนคริสต์ศักราช ระหว่างนี้คนโรมันก็เห็นความดีความเก่งของออคตาเวียน และสมัครพรรคพวกของออคตาเวียนก็ตั้งตำแหน่งต่างๆ ที่เป็นตำแหน่งที่ไม่เคยมีอยู่ให้แก่ออคตาเวียนและเขยิบสูงขึ้นเรื่อยๆ เขาได้รับตำแหน่งเป็นกงสุล (Consul) แล้วต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นอิมเพเรเตอร์ (Imperator ซึ่งหมายความว่าเป็นจักรพรรดิในทางทหาร) แล้วต่อมาก็ได้ตำแหน่งปริ๊นเซป (Princeps ซึ่งหมายความว่าเป็นวุฒิสมาชิกผู้มีอาวุโสที่สุด)
ต่อมาเมื่อชนะศึกอียิปต์แล้ววุฒิสภา ก็มอบตำแหน่งออกุสตุส (Augustus ซึ่งแปลว่าเป็นที่นับถือแก่เขา) ออคตาเวียนรักตำแหน่งนี้มากและเขาใช้ตำแหน่งนี้ในการลงนามมากกว่าตำแหน่งอื่น ตั้งแต่ปี ๒๗ ก่อนคริสต์ศักราชก็ไม่มีใครเรียกเขาว่าออคตาเวียนอันเป็นชื่อตัวอีกเลย คงเรียกว่าออกุสตุสในแทบทุกที่
กล่าวโดยสรุปก็คือถึงแม้ว่าออกุสตุสจะฉลาดและมีความยับยั้งชั่งใจมากจนไม่ยอมเรียกตัวเองว่าเป็นจักรพรรดิ (Emperor) แต่ในความจริงแล้วเขาคือจักรพรรดิของชาวโรมัน และนักประวัติศาสตร์ก็เริ่มนับปีแรกของการมีจักรวรรดิโรมัน ในปี ๒๗ ก่อนคริสต์ศักราช และเราก็ควรจะนับว่า พระนางลิเวีย ดรูซิลลา ซึ่งเป็นภรรยาของออกุสตุสว่าเป็นราชินี หรือเป็นจักรพรรดินีคนแรกของจักรวรรดิโรมันนั่นเอง
ลิเวีย ดรูซิลลา มีกำเนิดเป็นชนชั้นสูง (Patrician) บิดาชื่อ มาร์คุส ลิวิอุส ดรูซุส โคลดิอานุส (Marcus Livius Drusus Claudianus) บิดาเป็นบุตรเลี้ยงของกงสุลแห่งกรุงโรม ในปี ๙๑ ก่อนคริสตกาล ลิเวียได้รับการศึกษาอย่างดีและมีความสวยงามอย่างยิ่ง เป็นความงามแบบคลาสสิคเหมือนกับรูปสลักจากหินอ่อน เครื่องหน้าได้สัดส่วนที่นิยมกันว่างามในสมัย และเป็นผู้มีจริตกิริยาเป็นสง่าราวกับว่าเกิดมาเพื่อจะเป็นใหญ่ ลิเวียได้แต่งงานกับสามีคนแรกที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธอคนที่ชื่อ ไทเบอริอุส โคลดิอุส เนโร (Tiberius Claudius Nero) และในปี ๔๒ ก่อนคริสต์ศักราช ได้มีบุตรชายคนแรกให้ชื่อตามบิดาว่า ไทเบอริอุส ในปี ๓๘ ก่อนคริสต์ศักราช เธอกำลังตั้งครรภ์บุตรชายคนที่ ๒ แต่ออคตาเวียนซึ่งขณะนั้นมีเงิน มีอำนาจมาก เพราะได้มรดกจากซีซาร์ดังกล่าวแล้ว ได้หลงรักลิเวียซึ่งเป็นภรรยาของคนอื่นอย่างหัวปักหัวปำ ซึ่งผิดกับนิสัยปกติของเขา ออคตาเวียนเป็นคนสุขุมรอบคอบ ช่างคิดช่างตรอง จะทำอะไรสักอย่างก็คิดแล้วคิดอีก แต่ความรักที่เขามีต่อลิเวียนี้เหมือนไฟไหม้ป่า เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เขาตกหลุมรักถึงอย่างนี้ เขาได้บังคับสามีของลิเวียให้หย่าขาดจากภรรยา และบังคับให้ลิเวียมาแต่งงานกับเขา ออคตาเวียนเป็นคนหนุ่มที่กำลังชาตาขึ้นสูง มีวาสนาบารมี สามีของลิเวียจึงต้องยอมหย่า ลิเวียจึงได้แต่งงานเป็นภรรยาของออคตาเวียน ในไม่ช้าออคตาเวียนก็ได้เป็นกงสุล เป็นอิมเพเรเตอร์ เป็นปริ๊นเซป แล้วได้เป็นออกุสตุส ซึ่งหมายความว่าเขาได้เป็นจักรพรรดิคนแรกของชาวโรมัน
ตลอดเวลาที่ออคตาเวียนได้ขยับตำแหน่งสูงขึ้นๆ จนถึงเป็นจักรพรรดิ เราไม่ทราบว่าลิเวียใช้ตำแหน่งเป็นอะไรแน่ แต่จะตำแหน่งอะไรก็ดูเหมือนไม่มีความสำคัญ ในเมื่อลิเวียเป็นภรรยาคนเดียวของพระจักรพรรดิ เป็นคนที่พระจักรพรรดิรักที่สุด มีอิทธิพลเหนือความคิดของพระจักรพรรดิอย่างมาก ออกรับแขกคู่กับพระจักรพรรดิอยู่เสมอ แต่ลิเวียไม่มีบุตรกับพระจักรพรรดิ จึงพยายามเชิดชูบุตรของตนเองกับสามีเก่าให้สืบราชสมบัติ พระจักรพรรดิก็ไม่มีบุตรคนอื่นอีก จึงรับเลี้ยงเด็กน้อยไทเบอริอุส ลูกติดภรรยาให้เป็นลูกบุญธรรมอย่างเต็มพระทัย
เพื่อแผ้วถางทางให้บุตรของตนได้เป็นจักรพรรดิองค์ที่ ๒ นักประวัติศาสตร์คาดเดาว่าลิเวียต้องหาทางกำจัดคนอื่นให้พ้นทางหลายคนด้วยกัน ในที่สุดพระจักรพรรดิออกุสตุสสวรรคตก่อนลิเวียในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ค.ศ.๑๔ ลิเวียอยู่ต่อมาอย่างสตรีที่มีศักดิ์สูงที่สุดในแผ่นดิน เป็นพระมารดาของพระจักรพรรดิองค์ที่ ๒ คือจักรพรรดิไทเบอริอุส พระนางลิเวียทรงเรียกตำแหน่งของพระองค์ว่า จูเลีย ออกุสตา (Julia Augusta) คือชื่อจูเลียเป็นชื่อของผู้หญิงผู้มีศักดิ์ในสังคมโรมันสมัยนั้น ส่วนออกุสตาเป็นคำเพศหญิงของคำว่า ออกุสตุส ต่อมาในรัชกาลของหลานของพระองค์คือจักรพรรดิโคลดิอุส พระจักรพรรดิได้แต่งตั้งให้พระองค์เป็นเทพเจ้า (Deified) ตั้งรูปหินอ่อนไว้ในวิหารให้คนบูชาอย่างเทพเจ้าองค์หนึ่ง.ราชินีในความทรงจำ นิตยสารสกุลไทย
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 สิงหาคม 2562 14:58:24 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2562 10:51:13 » |
|
ตวนกู ซารา ซาลิม ตวนกู ซารา ซาลิม อิสตรีผู้เลอโฉม พระอัครมเหสีในสุลต่าน นัซริน มูวิซซุดดิน ซะฮ์ แห่งมาเลเซีย และสุลต่านแห่รัฐเประ
ตวนกู ซารา ซาลิม พระนามเดิม ซารา ซาลิม เดวิดสัน (Zara Salim Davidson)
พระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ณ เมืองอีโปะฮ์ รัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย เป็นบุตรคนเล็กจากทั้งหมดสี่คนของดาโต๊ะซาลิม เดวิดสัน (นามเดิม วิลเลียม สแตนลีย์ วอล์กเกอร์ "บิล" เดวิดสัน) ทนายความชาวอังกฤษ กับดาตินชารีฟะฮ์ อาซาลียะฮ์ ไซยิด โอมาร์ ชาฮาบูดิน เชื้อพระวงศ์เกอดะฮ์ พระองค์เป็นพระภาคิไนยของตุนกู อับดุล ระฮ์มัน นายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย และเป็นเหลนของคุณหญิงเนื่อง ฤทธิสงครามรามภักดี เชื้อสายไทย-มอญ ในสายพระราชชนนี พระองค์เป็นลูกครึ่งมาเลเซีย-อังกฤษสืบจากพระราชชนก และมีเชื้อสายแห่งราชวงศ์เกอดะฮ์
สตรีผู้นี้มีพระประวัติที่น่าสนใจมาก แห่งมาเลเซีย ทรงสนพระทัย ด้านภาษาต่างประเทศและกีฬา ทั้งสควอซ เทนนิส และว่ายน้ำ หลังทรงสำเร็จการศึกษาระดับเอจากวิทยาลัยไพรม์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ พระองค์ได้ศึกษาต่อด้านวิศวกรรมเคมี ณ มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม สหราชอาณาจักร จนสำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ ๑ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๘ และได้รับรางวัลนักศึกษาดีเด่นในช่วงปีสุดท้าย จากนั้นทรงเข้าทำงานที่บริษัทอุตสาหกรรมเคมีเปโตรนาสของมาเลเซีย ปัจจุบันทรงเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของบริษัทน้ำมันและแก๊สในกุรงกัวลาลัมเปอร์
ตวนกู ซารา ซาลิม อภิเษกสมรสกับสุลต่านนัซริน ชะฮ์ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ณ พระราชวังอิสกันดารียะฮ์ เมืองกัวลากังซาร์ รัฐเปรัก วันรุ่งขึ้นจึงมีพระราชพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ แล้วจึงโปรดเกล้าฯ สถาปนาซารา ซาลิม เดวิดสัน ขึ้นเป็นเจ้าหญิงพระชายาในมกุฎราชกุมาร (ราจามูดา) เป็นต้นไป ทั้งสองมีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกันสองพระองค์ คือ ราจา อัซลัน มุซซัฟฟาร์ ชาห์ (๑๔ มีนาคม ๒๕๕๑) และ ราจา นาซีรา ซาฟียา (๒ สิงหาคม ๒๕๕๔)
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๐ หลังสุลต่านอัซลัน ชาห์ แห่งเปรัก เสด็จสวรรคต สุลต่านนัซริน ชะฮ์ พระราชโอรสจึงเสวยราชสมบัติสืบมา จึงโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าหญิงซารา พระชายาฯ ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินี (รายาประไหมสุหรี) แห่งเปรักมาตั้งแต่นั้น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 ตุลาคม 2562 10:59:31 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2562 13:44:51 » |
|
เหรียญทองโซลิดัสในรัชสมัยของจักรพรรดินีไอรีนซึ่งบันทึกถึงคำว่า BASILISSH, Basilisseจาก วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี พระนางไอรีน (Irene) แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ ใครบ้างจะคิดว่าการนับถือหรือไม่นับถือรูปเคารพในศาสนาจะเป็นเรื่องที่คนบางยุคบางสมัยถือว่าสำคัญมากจนสามารถเป็นเหตุให้ผู้มีความคิดต่างฝ่ายกันถึงกับต้องจัดกองทัพมารบราฆ่าฟันกัน หรือบางครั้งคนก็อ้างเรื่องนี้เป็นสาเหตุให้แย่งราชสมบัติกัน เรื่องของพระนางไอรีน (Irene) แห่งจักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่เรียกว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์ แสดงให้เราเห็นว่าการนับถือรูปเคารพในศาสนาเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียวในสมัยนั้น พระนางเลือกข้างถูกและได้เป็นจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ เมื่อสวรรคตก็ได้รับการประกาศว่าพระองค์เป็นนักบุญ (Saint) องค์หนึ่ง ซึ่งมีวันเฉลิมฉลองในวันที่ ๙ สิงหาคม ของทุกปี
พระนางไอรีนทรงมีพระราชสมภพที่กรุงเอเธนส์ เมื่อราว ค.ศ.๗๕๒ ในตระกูลสูง ได้เสกสมรสกับพระจักรพรรดิเลโอที่ ๔ (Leo Ⅳ) ต่อมาพระจักรพรรดิเลโอที่ ๔ เสด็จสวรรคตใน ค.ศ.๗๘๐ โอรสของพระนางกับพระจักรพรรดิเลโอพระชนมายุเพิ่ง ๑๐ พรรษาได้ครองราชย์ ต่อมาเป็นพระจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ ๖ (Constantin Ⅵ) พระนางไอรีนซึ่งเป็นสมเด็จพระพันปีพระราชมารดาได้ครองราชย์ร่วมด้วย คือเป็นพระจักรพรรดิร่วม (Co-Emperor) ทรงทำหน้าที่คุ้มครองป้องกันพระจักรพรรดิอายุเยาว์อย่างเต็มที่ เพราะขณะนั้นในราชสำนักและในระบบราชการคนแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายพระจักรพรรดิเป็นผู้นับถือรูปเคารพ อีกฝ่ายหนึ่งมีหัวหน้าเป็นพระโอรสอีกองค์หนึ่งของพระจักรพรรดิเลโอที่ ๔ เกิดกับพระชายาองค์ก่อน พระโอรสองค์สำคัญองค์นี้มีอายุแก่กว่าพระจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ ๖ ทรงพระนามว่า นิเซโฟรุส (Nicephorus) เป็นผู้ต้องการราชบัลลังก์อีกเช่นกัน
เจ้าชายนิเซโฟรุสมีสมัครพรรคพวกเป็นกลุ่มที่ไม่ต้องการกราบไหว้นับถือรูปเคารพ คนพวกนี้รวมกันเป็นคณะไอคอนโนคลาสต์ เพราะไอคอน (Icon) แปลว่ารูปเคารพ และคลาสต์ (Clasts) แปลว่าทำลาย พวกไอคอนโนคลาสต์เป็นไม้เบื่อไม้เมาอย่างแรงกับพวกที่นับถือรูปเคารพ รสนิยมในทางศิลปะของชาวโรมันซึ่งเป็นชาติทหารเก่านั้นนิยมความงามแบบเรียบง่าย มีสง่า ก่อสร้างด้วยหินอ่อน และไม่มีเครื่องประดับตกแต่งรุงรัง
ส่วนในจักรวรรดิโรมันตะวันออกนั้นรสนิยมทางศิลปะเริ่มต้นด้วยการที่พระจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ ๑ พระราชทานทรัพย์สินเงินทองที่พระองค์ตีได้จากเมืองต่างๆ เข้าเป็นศาสนบูชา พระจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ ๑ ทรงรบเก่งมาก ทรัพย์สมบัติที่พระองค์หาได้ก็มีมาก รวมทั้งทรัพย์สมบัติที่พระองค์ให้ริบมาจากโบสถ์วิหารในศาสนาดั้งเดิม ดังนั้น จะเห็นได้ว่าตั้งแต่เริ่มต้นการก่อตั้งจักรวรรดิโรมันตะวันออก ก็มีการประดับตกแต่งศาสนสถานและศาสนวัตถุด้วยแก้วแหวนเงินทองเพชรนิลจินดา การใช้โลหะมีค่า เช่น ทอง และเงินใช้ประดับอย่างไม่ต้องนับ จิตใจของศาสนิกในจักรวรรดิโรมันตะวันออกกลายไปเป็นเคารพและหลงใหลได้ปลื้มกับโลหะมีค่าและเพชรนิลจินดา จนเกือบจะลืมเลือนพระเจ้าและพระบุตร (คือพระเยซู) ไป
วัตถุสำหรับเคารพ (Icon) ที่เคยมีแต่ภาพประดับฝาผนังเป็นภาพเหตุการณ์ในศาสนา และสิ่งของอื่นไม่มาก อย่างเช่น ถ้วย และพานสำหรับใส่ของศักดิ์สิทธิ์ ก็ขยายตัวออกเป็นเรื่องเป็นราวเป็นตุเป็นตะ มีการเที่ยวหาผ้าที่เคยห่อพระศพพระเยซู มีการตามหาชิ้นส่วนของไม้กางเขนที่เคยตรึงพระเยซู อีกทั้งตะปูซึ่งนัยว่าเคยใช้ตอกพระหัตถ์ พระบาท ของพระเยซู บ้างก็ตระเวนหาชิ้นส่วนของมงกุฎหนามที่พระเยซูเคยทรง บางพวกก็หาสิ่งของเกี่ยวกับแม่พระ (พระแม่มารี) และมีการทำรูปแม่พระและพระสาวกด้วย วัสดุมีค่า เช่น งาช้างประดับด้วยไข่มุก และอัญมณีต่างๆ ฯลฯ ประชาชนพากันกลุ้มรุมให้ความสนใจแต่เรื่องวัตถุ จนแทบจะลืมพระเจ้าและคำสอนของพระองค์กันไปเลย
มีนักศาสนาและพระจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันตะวันออกบางองค์มองเห็น ภัยร้ายของการหลงใหลวัตถุ ว่าจะเป็นการกลบความสำคัญของศาสนาที่แท้จริง จึงต่อต้านลัทธิการนิยมรูปเคารพ พวกที่ต่อต้านนี้เรียกว่าคณะไอคอนโนคลาสต์ การต่อต้านอย่างรุนแรงเกิดในระหว่าง ค.ศ.๗๒๕-๘๔๓ มีพระจักรพรรดิองค์หนึ่งเข้าด้วย และทรงห้ามการเคารพบูชารูปเคารพต่างๆ ใน ค.ศ.๗๓๐ นับเป็นชัยชนะของพวกต่อต้าน แต่พวกที่ยังต้องการเคารพบูชารูปเคารพก็ทำการต่อสู้ทั้งบนดินและใต้ดิน ต่อมาประเด็นเรื่องควรเคารพบูชารูปเคารพหรือไม่ถูกนำไปเกี่ยวโยงกับเรื่องทางการเมือง ดังเช่นความพยายามของพวกต่อต้านรูปเคารพที่จะนำเจ้าชายนิเซโฟรุส พระเชษฐาต่างมารดาของพระจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ ๖ มาครองบัลลังก์แทนพระจักรพรรดิ ประเด็นทางศาสนากลายเป็นประเด็นทางการเมือง ความจริงคณะของเจ้าชายนิเซโฟรุสต้องการจะทำรัฐประหารมากกว่าเรื่องต้องการจะทำลายรูปเคารพ
พระจักรพรรดินีไอรีนทรงต่อต้านพวกไอคอนโนคลาสต์อย่างชาญฉลาด ทหารฝ่ายของพระองค์บดขยี้ทหารฝ่ายไอคอนโนคลาสต์ ใน ค.ศ.๗๘๐ เป็นผลสำเร็จ แล้วพระองค์ประกาศให้นับถือรูปเคารพได้ตามเดิม แล้วพระองค์ทรงจัดการให้พระที่เป็นพรรคพวกของพระองค์รูปหนึ่งชื่อทาราสิอุส (Tarasius) ได้รับเลือกเป็นพระสังฆราชแห่งกรุงคอนสแตนนิโนเปิล แล้วพระองค์จัดให้มีการประชุมทางศาสนาเพื่อพิจารณาประเด็นเรื่องการเคารพบูชารูปเคารพ ใน ค.ศ.๗๘๖ แล้วจัดการประชุมทางศาสนาครั้งใหญ่ The Seventh Ecumenical Council การประชุมใหญ่รวมกันทุกนิกายที่เมืองนีเซีย (Nicaea) ซึ่งนับถือกันว่าเป็นเมืองที่สำคัญเพราะได้เคยเป็นสถานที่จัดประชุมใหญ่ทุกนิกายเป็นครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว ในการประชุม ค.ศ.๗๘๗ นี้ นิกายโรมันคาทอลิก (Roman Catholic) ก็มาร่วมประชุมกับนิกายออทอดอกซ์ตะวันออก (Eastern Orthodox) ด้วย ที่ประชุมตกลงให้รักษาการเคารพบูชารูปเคารพไว้ นับว่าพระจักรพรรดินีไอรีนทรงชนะศัตรูทางการเมืองของพระองค์ จักรวรรดิโรมันตะวันออกจึงยังรักษาการเคารพบูชารูปเคารพไว้ได้
พระจักรพรรดินีไอรีนทรงชนะศึกนอกบ้าน แต่พระองค์ก็ต้องทรงยอมพระโอรสของพระองค์เอง เมื่อพระจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ ๖ ทรงเจริญวัยขึ้น ไม่ทรงต้องการให้พระราชมารดามามีพระหัตถ์วุ่นวายทางการเมืองอีก พระโอรสจึงพยายามยึดอำนาจในพระราชวัง แต่พระราชมารดาก็ปราบได้
หลังจากชนะพระโอรสแล้ว พระนางไอรีนได้ครองราชย์เป็นพระจักรพรรดิ (Emperor พระองค์ไม่ใช้คำว่าจักรพรรดินี Empress) อีกเป็นเวลา ๕ ปี มีสิ่งที่น่าสนใจในตอนนี้ คือพระองค์ได้ติดต่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับ พระเจ้าชาร์เลอมาญ (Charlemagne) ซึ่งเป็นพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Roman Empire) ซึ่งตั้งขึ้นมาแทนที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกที่ล่มสลายไปแล้ว การเชื่อมสัมพันธไมตรีเป็นไปอย่างดียิ่ง ใน ค.ศ.๘๐๒ เคยมีแผนการว่าจะมีการอภิเษก พระจักรพรรดิทั้งสององค์เข้าด้วยกัน แต่แผนนี้ได้ล้มเลิกไป แล้วดวงพระชาตาของพระนางไอรีนก็เข้าที่ตกอับ พระองค์ถูกข้าราชการและนายทหารปฏิบัติ เจ้าชายนิเซโฟรุสซึ่งรับตำแหน่งเสนาบดีคลังอยู่ได้ราชสมบัติต่อ พระนางไอรีนถูกเนรเทศไปอยู่บนเกาะปรินกิโป (Prinkipo) แล้วต่อไปได้ถูกเนรเทศไปเกาะเลสโบส (Lesbos) แล้วสวรรคต ณ ที่นั้น ใน ค.ศ.๘๐๓ ชื่อคอลัมน์: ราชินีในความทรงจำ ตีพิมพ์ในนิตยสารสกุลไทยรายสัปดาห์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2562 12:02:23 » |
|
เจ้าหญิง ของ Karl Marx Karl Marx เจ้าพ่อทฤษฎีคอมมิวนิสต์มีชื่อเสียงดังข้ามศตวรรษในฐานะผู้ริเริ่มมีความคิดที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อโลกอย่างมหาศาล แต่ภรรยายอดหญิงของเขาไม่มีคนรู้จักมากนัก ทั้งๆที่เธอมีชีวิตที่น่าสนใจไม่น้อย Karl Marx เป็นนักปรัชญา นักสังคมวิทยา นักหนังสือพิมพ์ นักเศรษฐศาสตร์ และนักปฏิวัติสังคม เกิดในปรัสเซียในครอบครัวชั้นกลาง มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ.๑๘๑๘-๑๘๘๓ เรียนหนังสือที่ University of Bonn และจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย Berlin and Jena เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในลอนดอนในขณะที่พัฒนาความคิดและทฤษฎีร่วมกับเพื่อนนักวิชาการคือ Friedrich Engels
ภรรยาของ Marx ชื่อ Johanna Bertha Julie Jenny von Westphalen มีเชื้อสายเจ้าตระกูล Trier ใน Kingdom of Prussia พ่อของเธอชื่อ Baron Ludwig von Westphalen ซึ่งเป็นลูกหลานของเจ้านาย Prussia และเจ้านายวงศ์ Scottish House of Argyll
คนเรียกเธอสั้นๆว่า Jenny ผู้มีความงดงามเป็นที่เลื่องลือ คู่กับความเฉลียวฉลาด นับแต่เป็นสาวเธอมีชายหนุ่มผู้มีฐานะและครอบครัวคล้ายคลึงกันมาขอแต่งงานมากมาย แต่เธอปฏิเสธหมด เพราะหัวใจได้มอบให้ "เด็กข้างบ้าน" หน้าตาชนิดหาความหล่อไม่ได้ ที่มีอายุอ่อนกว่า ๔ ปี เรียบร้อยแล้ว
เธอเชื่อมั่นในสมองอันเป็นเลิศและความมุ่งมั่นในเป้าหมายของชีวิตตลอดจนวาทะอันตรึงใจของเขา ถึงแม้เขาจะมีฐานะแตกต่างจากเธอมากมาย บรรพบุรุษของ Marx เป็นพระยิว (Rabbis) สืบทอดกันมาหลายชั่วคน ยกเว้นพ่อของเขาที่เปลี่ยนศาสนาเป็น Lutheranism เพราะความจำเป็น
สุภาษิตฝรั่งเศสในเรื่องความรักที่ว่า "The heart has its reason that reason knows nothing of." นั้น ตรงกับกรณีของ Jenny อย่างยิ่ง พ่อแม่เธอห้ามปรามและกีดกัน แต่ทั้งสองแอบหมั้นกันลับๆในปี ๑๘๓๖ ก่อนที่ Marx จะจากไปเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัย Berlin and Jena
อีก ๗ ปีต่อมา Marx ก็กลับมาหา Jenny ที่รอคอยเขาอย่างซื่อสัตย์และพร้อมที่จะแต่งงานกัน เพราะ Baron ผู้พ่อเสียชีวิตไปแล้ว แม่นั้นเห็นใจความรักของเธอจึงยินยอมให้แต่งงานในขณะเธอมีอายุ ๒๙ ปี พร้อมกับให้เงินก้อนใหญ่พร้อมของมีค่า ซึ่งสิ่งนี้แหละที่ช่วยชีวิตทั้งสองไว้ได้มาก
Marx นั้นมีความสุขอย่างยิ่งที่ "เจ้าหญิง" เลือกเขา และประการสำคัญเขาปฏิวัติให้คนเห็นได้สำเร็จเป็นครั้งแรกด้วยการแต่งงานข้ามชนชั้น Jenny เข้าใจดีว่าเธอมิได้แต่งงานกับ ดร.หนุ่มอายุ ๒๕ ปีเท่านั้น หากแต่งกับอุดมการณ์ของเขาซึ่งเธอก็เลื่อมใสด้วย
งานแต่งงานของทั้งสองจัดขึ้นเป็นงานเล็กๆ เนื่องจากครอบครัวฝ่ายหญิงรวมหัวกันไม่มา ยกเว้นแม่และน้องชายของเธอ Jenny ฝันถึงการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยของสามี และเป็นแม่บ้านที่มีความสุข โดยมิได้ตระหนักว่าอุดมการณ์และความเชื่อที่สามีและเธอมีนั้นทำให้มันเป็นไปไม่ได้
Marx ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์และเขียนบทความปลุกเร้าสังคมให้คนยากจนลุกขึ้นมาขับไล่เจ้าและขุนนางที่ร่ำรวย ปฏิกิริยาที่เขาได้รับก็คือหางานทำไม่ได้ ทั้งสองจึงเริ่มชีวิตของความยากจนจนกระทั่งพบเพื่อนมหาเศรษฐีร่วมอุดมการณ์คือ Friedrich Engel ที่ช่วยอุปถัมภ์เขาเป็นเวลายาวนาน
Marx และ Jenny ขณะท้องลูกคนแรก ต้องหนีการไล่ล่าของกษัตริย์ Prussia ที่สั่งให้จับเขาด้วยข้อหาปลุกปั่นล้มล้าง ทั้งสองหนีจากปารีสไปเยอรมนี และปรัสเซีย และจบลงที่ลอนดอน ซึ่งระหว่างนี้ทั้งสองมีลูกด้วยกัน ๓ คน ท่ามกลางความยากจน
Jenny ยืนอยู่ข้างสามีเธอเสมอ ไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งเพื่อกลับไปอยู่กับแม่และครอบครัว มีผู้พบเห็นชีวิตของทั้งสองและบรรยายไว้ว่าทั้งสองอยู่ในบ้านที่เปรียบเสมือนสลัม ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ดีๆ สักชิ้น ของเล่นเด็ก ตะกร้าเย็บผ้า ถ้วยน้ำวางอยู่เกลื่อนกลาดบ้าน เก้าอี้มีอยู่ตัวหนึ่งก็มี ๓ ขา
ไม่ทราบว่า Marx ตั้งใจมีชีวิตอยู่อย่างนี้หรือไม่เพื่อแสดงให้คนเห็นว่าตนเองไม่มีสมบัติพัสถานแต่อย่างใด Jenny ก็ไม่เดือดร้อนและดูจะพอใจสภาพที่เป็นอยู่ ถึงแม้จะเอาเครื่องเงินของครอบครัวซึ่งเป็นสมบัติที่แม่มอบให้ไปจำนำอยู่บ่อยๆก็ตาม
Jenny มีชีวิตที่มีความสุขกับ Marx และครั้งหนึ่งขณะที่กำลังท้องเธอเดินทางไปทั่วยุโรปเพื่อหาทุนสนับสนุนการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์ และในระหว่างที่เธอไม่อยู่ก็ฝากการดูแลสามีและลูกไว้กับแม่บ้านที่จ้างมาคือ Helene Demuth โอกาสนี้ทำให้เกิดเรื่องขึ้น กล่าวคือ Mark ทำสาวคนนี้ท้องและต้องปิดบังกลัว Jenny รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลัวคนอื่นจะเห็นว่าเขาหาประโยชน์จากผู้ใช้แรงงานดังที่เขาโจมตีคนอื่นไว้ อีกทั้งศัตรูของเขาจะชอบอย่างยิ่ง ทางออกก็คือ Engel ยอมรับเองว่าเป็นผลงานของเขาและมอบให้เป็นลูกบุญธรรมของครอบครัวผู้ใช้แรงงานหนึ่งไป ความลับนี้ Jenny ไม่รู้และคนในสมัยต่อมาก็พยายามกลบเกลื่อนเรื่องนี้ว่าไม่เป็นความจริง
เด็กชายคนนี้เป็นลูกคนเดียวของ Marx ที่ได้เห็นการปฏิวัติรัสเซีย ซึ่งพ่อของเขาเป็นสถาปนิก ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะความยากจนและชะตากรรมทำให้ลูก ๖ คน ของทั้งสองเสียชีวิตทั้งหมด ส่วนใหญ่ตายด้วยโรคอันเนื่องมาจากความอ่อนแอของร่างกายที่ขาดสารอาหารตอนท้องและตอนวัยเด็ก รวมทั้งขาดการดูแลที่ดีของแพทย์ด้วย
ลูกสาว ๒ คนแรกตายตอนเป็นทารก คนที่สามเป็นชายตายตอนอายุ ๘ ขวบ ด้วยวัณโรค Marx ซึมเศร้ากับการจากไปของลูกคนนี้ถึง ๒ ปี การจากไปของลูกคนนี้ทำให้ทั้งสองใกล้ชิดและรักกันมากยิ่งขึ้น แต่ถึงจะรักกันมากอย่างไร ในที่สุด Jenny ก็จากไปในวัย ๖๗ ปี ในปี ๑๘๘๑ ด้วยโรคมะเร็งตับ และอีก ๒ ปีต่อมา ลูกคนที่สี่ซึ่งเป็นชายก็จากไปอีกด้วยโรคมะเร็ง
Marx ในภาวะสุดเศร้าและร่างกายอ่อนแอจากการทำงานหนัก การดื่มและสูบบุหรี่อย่างไม่ลดละก็จากไปในที่สุดในปี ๑๘๘๓ ในวัย ๖๕ ปี ส่วนลูกสาว ๒ คนที่เหลือ ก็มีปัญหาชีวิต เนื่องจากได้คู่ที่นำความทุกข์มาให้ ทั้งสองจึงตัดสินใจจากไปพร้อมกันด้วยการใช้ไซยาไนด์ ส่วนคนเล็กสุดก็จบชีวิตตนเองด้วยไซยาไนด์อีกเช่นกัน เมื่อพบว่าสามีโกงเงินของเธอและแอบแต่งงานกับดาราสาว
Jenny มีความรัก Marx เป็นที่สุดอย่างไม่หวั่นไหวในเรื่องใดๆ และเชื่อมั่นในอุดมการณ์ร่วมกัน เธอมีชีวิตที่เสียสละเพื่อความรักและดูจะถูกลืมโดยชาวโลกผู้เลื่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสต์ ชื่อคอลัมน์: "เจ้าหญิง" ของ Karl Marx ตีพิมพ์ในนิตยสารสกุลไทยรายสัปดาห์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 08 กันยายน 2563 19:39:23 » |
|
" Chasing Fireflies in the Sumida River" ภาพเขียนบนผ้าไหม ผลงานของ TEISAI HOKUBA (ภาพจากนิตยสารศิลปวัฒนธรรม) พระนางฮิมิโกะ ในตอนเริ่มต้นประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นนั้น สตรีมีความสำคัญมาก มีราชินีญี่ปุ่นหลายพระองค์ที่เป็นผู้นำในการปกครองประเทศและเป็นผู้นำศาสนาด้วย
พระนางฮิมิโกะ (Himiko) หรือที่หนังสือบางเล่มเขียนว่า พิมิโกะ (Pimiko) เป็นพระราชินีพระองค์แรกที่เป็นทั้งพระราชินีนาถปกครองประเทศญี่ปุ่นและเป็นแม่มดจอมเวทมนต์คาถา ว่ากันว่าคาถาของพระนางนั้นศักดิ์สิทธิ์นัก ป้องกันประเทศไทย และพระนางเป็นผู้สร้างมหาวิหารแห่งอิเส (Ise) เป็นคนแรก มหาวิหารหรือศาลแห่งอิเสแห่งนี้ต่อมามีผู้มาบูรณปฏิสังขรณ์อีกหลายท่านจนยืนยงคงอยู่แม้จนทุกวันนี้
ตามตำนานปรัมปราของญี่ปุ่นพระราชินีฮิมิโกะ เป็นราชธิดาของพระจักรพรรดิซุยนิน (Suinin) ซึ่งครองราชย์ราวๆ ศตวรรษที่ ๑ ดินแดนของพระจักรพรรดิองค์นี้คือดินแดนยามาไต (Yamatai) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแว่นแคว้นวะ (Wa) ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาสามสิบแว่นแคว้นซึ่งรวมกันเป็นหมู่เกาะญี่ปุ่นในตอนนั้น หนังสือปูมพงศาวดารของจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นระยะหลัง (The History of the Latter Han Dynasty) จดไว้ว่าแว่นแคว้นวะ ในราว ค.ศ.๑๔๗-๑๘๙ เป็นเวลา ๔๒ ปี เกิดความไม่สงบและขาดเจ้าผู้ครอง บรรดาผู้นำของแคว้นจึงประชุมกันและตกลงเลือกสตรีขึ้นเป็นราชินีปกครองแคว้นยามาไต ราชินีองค์นั้นคือราชินีฮิมิโกะ เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์เหตุการณ์ในแว่นแคว้นยามาไตก็สงบลง พระราชินีฮิมิโกะทรงปกครองด้วยวิธีที่แปลกประหลาด ที่เข้าใจกันไม่ได้ในสมัยปัจจุบันนี้ เพราะพระองค์ปกครองด้วยวิธีเก็บตัวอยู่ในพระราชวัง ไม่ยอมพบใคร และพระองค์มีวิธีตัดสินพระทัยด้วยการรับคำทำนาย (Oracles) จากเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วพระองค์ก็ถ่ายทอดทุกสิ่งที่พระองค์ต้องการติดต่อกับคนด้วยการผ่านทางอนุชาของพระองค์ อนุชาของพระองค์นี้เป็นผู้ชายคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าพระองค์ได้
หนังสือปูมพงศาวดารของจีนในสมัยราชวงศ์เหว่ย (The History of the Kingdom of Wei) ได้กล่าวถึงพระราชินีญี่ปุ่นฮิมิโกะไว้ว่า พระนางสนพระทัยเรื่องเวทย์มนต์คาถาและเรื่องลี้ลับของพ่อมดหมอผี และพระองค์ก็ปฏิบัติการอย่างแม่มดกระทำด้วย เช่น เข้าสิงหรือสะกดบุคคลต่างๆ พระองค์ดำรงตนเป็นราชินีโสดแม้ว่าจะมีพระชนมายุมากแล้ว อนุชาของพระองค์ที่มีอยู่คนเดียวเป็นผู้ช่วยพระองค์ในการปกครองประเทศ คนที่เคยเห็นพระพักตร์ของพระราชินีฮิมิโกะนั้นได้เห็นเมื่อพระองค์ยังไม่เป็นผู้ปกครองประเทศ พอพระองค์เป็นราชินีแล้วพระองค์แทบจะไม่พบใครเลย พระองค์มีนางสนมกำนัลแวดล้อมพระองค์อยู่ถึงพันคน แต่พระองค์ไว้ใจให้อนุชาเท่านั้นที่จะเชิญพระกระยาหารให้พระองค์ได้ พระราชินีฮิมิโกะประทับในพระราชวังมีค่ายประตูหอรบล้อมรอบ และมีทหารองครักษ์คอยพิทักษ์รักษาอย่างแข็งขัน
เมื่อพระราชินีฮิมิโกะสวรรคต ข้าราชบริพารได้พูนดินเป็นภูเขาสูงมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณร้อยก้าว แล้วข้าราชบริพารทั้งหญิงและชายอย่างละร้อยคนได้ยอมตายตามเสด็จไปใต้เนินดินนั้น แล้วมีพระราชาองค์หนึ่งได้เสด็จมาครองบัลลังก์ แต่ประชาชนไม่ยอมรับพระราชา จึงเกิดจลาจลในแคว้นยามาไต ผู้คนลอบฆ่าฟันกันจนไม่รู้ว่าใครฆ่าใคร ปรากฏว่ามีคนตายในการจลาจลครั้งนี้ถึงพันคน ต่อมาประชาชนได้ยอมรับเด็กสาวอายุสิบสามคนหนึ่งชื่ออิโหยะ (Iyo) เป็นพระราชินีอิโหยะ เป็นพระญาติคนหนึ่งของพระราชินีฮิมิโกะ อิโหยะมีคุณสมบัติแบบเดียวกับพระราชินีฮิมิโกะ คือเป็นแม่มดหมดผีชอบเล่นคาถาอาคม แต่ปรากฏว่าประชาชนยอมรับได้ แสดงว่าในสมัยนั้นนิยมสตรีเป็นผู้ปกครองและเป็นผู้นำศาสนาแบบเล่นคาถาอาคมซึ่งผิดกบประเทศญี่ปุ่นในสมัยต่อมาอย่างสิ้นเชิง เพราะในสมยต่อมานิยมผู้นำที่เป็นบุรุษและเป็นทหาร เรื่องคาถาอาคมพักไว้ที
ท่านผู้อ่านบางท่านคงคิดว่าเรื่องของพระนางฮิมิโกะเป็นเรื่องแปลก และตัวของพระนางเองนั้นเป็นคนแปลกๆ หรืออย่างไร น่าคิดว่าคนคนละสมัยย่อมเข้าใจกันได้โดยยาก ความจริงพระนางฮิมิโกะไม่ใช่คนแปลกประหลาด ในคริสต์ศตวรรษที่ ๒ และที่ ๓ ยังมีราชินีที่เป็นผู้นำศาสนาด้วยแบบพระนางฮิมิโกะอีกหลายองค์ และประเทศญี่ปุ่นยังคงมีราชินีที่ครองราชสมบัติคั่นระหว่างการมีพระราชาเป็นบุรุษอยู่หลายพระองค์ การมีราชินีเช่นนี้ยังมีเรื่อยมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๘ จึงได้เปลี่ยนไปเป็นมีพระจักรพรรดิที่เป็นชายล้วน พระนามของพระจักรพรรดินีที่ครองราชย์ตามลำพังพระองค์ไม่มีพระจักรพรรดิ มีเช่น
- พระจักรพรรดินีซุยโกะ (Suiko) ครองราชย์ ค.ศ.๕๙๒-๖๒๘ - พระจักรพรรดินีโกเกียวกุ (Kogyoku) ครองราชย์ ค.ศ.๖๔๒-๖๔๔ ผู้แต่งบทสวดมนต์สำหรับเรียกฝนแล้วเทพเจ้าโปรดประทานฝนให้ ต่อมาเปลี่ยนพระนามเป็นพระจักรดินีซายเม (Saimei) ครองราชย์ ค.ศ.๖๕๕-๖๖๑ - พระจักรพรรดินีจิโต (Jito) ครองราชย์ ค.ศ.๖๘๖-๖๙๗ - พระจักรพรรดินีเกนเม (Genmei) ครองราชย์ ค.ศ.๗๐๗-๗๑๕ - พระจักรพรรดินีเกนโซ (Gensho) ครองราชย์ ค.ศ.๗๑๕-๗๒๔ หนังสือนิฮอนกิ (Nihongi) อันมีชื่อเสียงได้รวบรวมขึ้นในรัชกาลนี้ - พระจักรพรรดินีโกเกน (Koken) ครองราชย์ ค.ศ.๗๔๙-๗๕๘ องค์นี้ทรงเป็นราชธิดาของพระจักรพรรดิโชมู (Shomu) ผู้ทรงเลื่อมใสในศาสนาพุทธ พระจักรพรรดินีโกเกนต่อมาได้เปลี่ยนพระนามเป็นพระจักรพรรดินีโชโตกุ (Shotoku) ครองราชย์ ค.ศ.๗๖๔-๗๗๐
พระจักรพรรดินีที่กล่าวพระนามมาเป็นตัวอย่างนี้มักจะมีพระคุณสมบัติในแง่เป็นคนทรงที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตามในสมัยอีกหนึ่งพันปีต่อมามีเชื้อพระวงศ์ที่เป็นสตรีอีกสององค์ในสมัยโตกุกาวะ (Tokukawa) ที่ได้ครองราชย์เป็นจักรพรรดินีคือพระจักรพรรดินีเมโช (Meisho) ครองราชย์ ค.ศ.๑๖๒๙-๑๖๔๓ และจักรพรรดินีโกสะกุรามาชิ (Gosakuramachi) ครองราชย์ ค.ศ.๑๗๖๒-๑๗๗๐ แต่ทว่าพระจักรพรรดินีสองพระองค์หลังนี้ได้ขึ้นครองราชย์เพราะมีสายสัมพันธ์กับตระกูลโตกุกาวะ ไม่ใช่เพราะทั้งสองพระองค์มีคาถาอาคมหรืออำนาจลึกลับที่เหนือจริง เพราะศาสนาแบบที่เน้นการติดต่อกับภูตผีปีศาจพ้นสมัยไปแล้วที่มา : พระนางฮิมิโกะ ราชินีในความทรงจำ สุริยา รัตนกุล นิตยสารสกุลไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 15 กันยายน 2563 20:27:19 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กันยายน 2563 20:30:03 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5462
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 106.0.0.0
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2565 13:52:56 » |
|
ภาพวาดในชุดสีชมพูของแอนนา ผลงานเอกของศิลปินดัง Franz Xaver Winterhalter เจ้าหญิงมาเรีย แอนนา เฟรเดอริเก้ แห่งปรัสเซีย แอนนาแห่งปรัสเซีย ภรรยาของชายผู้มีได้เพียงรักเดียว เจ้าหญิงมาเรีย แอนนา เฟรเดอริเก้ แห่งปรัสเซีย หรือเรียกสั้นๆ 'แอนนา' เป็นหลานปู่ของจักรพรรดิเฟรเดอริก วิลเฮล์มที่ ๓ แห่งปรัสเซีย และเป็นหลานลุงของกษัตริย์ปรัสเซียถึงสองพระองค์ คือ กษัตริย์เฟรเดอริก วิลเฮล์มที่ ๔ และไกเซอร์วิลเฮล์มที่ ๑
แอนนาไม่เพียงโด่งดังที่เชื้อสายสูงศักดิ์แต่ได้รับความสนใจตั้งแต่เด็กเพราะขึ้นชื่อเรื่องความสวย ตอนอายุ ๑๖ เจ้าหญิงแอนนาเป็นที่ถูกตาต้องใจจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซ็ฟ แห่งออสเตรีย กระทั่งมารดาของฝ่ายชายต้องเขียนจดหมายทาบทามฝ่ายหญิงมาเป็นสะใภ้
อาร์ชดัชเชสโซเฟีย – มารดาของจักรพรรดิ เขียนจดหมายไปถึงพี่สาวของพระองค์ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นราชินีแห่งปรัสเซีย (พี่สาวของอาร์ชดัชเชสโซเฟีย คือพระนางเอลิซาเบธ ลุดวิก้า มเหสีของกษัตริย์เฟรเดอริก วิลเฮล์มที่ ๔ แห่งปรัสเซีย เนื่องจากเอลิซาเบธ ลุดวิก้าไม่มีทายาท ทำให้เมื่อเฟรเดอริก วิลเฮล์มที่ ๔ สวรรคต บัลลังก์จึงตกเป็นของน้องชายซึ่งต่อมาจะรวมเยอรมัน กลายเป็นไกเซอร์วิลเฮล์มที่ ๑)
จดหมายของอาร์ชดัชเชสโซเฟียที่เขียนถึงพี่สาว พยายามโน้มน้าวขอตัวเจ้าหญิงแอนนามาเป็นสะใภ้ โดยกล่าวว่าลูกชายของพระองค์ตกหลุมรักเจ้าหญิงหมดหัวใจ และความรักนั้นก็ถูกแสดงออกอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเหตุผลที่อาร์ชดัชเชสโซเฟียต้องเขียนจดหมายทาบทามอย่างจริงจัง ก็เพราะแอนนาในตอนนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ฟรานซ์ โจเซ็ฟ จะทำการขอแต่งงานซ้ำสอง ในบรรดาเหตุผลมากมายที่อาร์ชดัชเชสโซเฟียยกมา หนึ่งในนั้นดูจะทำนายอนาคตอย่างร้ายกาจ กล่าวว่าหากขืนให้แอนนาสมรสไป ชีวิตของเจ้าหญิงก็คงจะไม่มีความสุขและปราศจากความรัก
“จะไม่มีทางใดเลยหรือที่จะป้องการสมรสที่แสนเศร้านี้ ที่ซึ่งแอนนาผู้แสนทรงเสน่ห์ต้องอยู่กับอนาคตอันไร้สุข”
คำทำนายของอาร์ชดัชเชสโซเฟียถูกต้องแทบทั้งหมด ไม่ใช่เพราะพระองค์มีญาณทิพย์ตาวิเศษ แต่เพราะใครต่อใครในราชสำนัก ต่างรู้ดีว่าเจ้าชายเฟรเดอริก วิลเลียมแห่งเฮสเซิน-คาสเซิล – ว่าที่เจ้าบ่าวของแอนนา ตกอยู่ในภาวะหัวใจสลาย ทรงปฏิเสธการสมรสมาเกือบ ๙ ปีเต็ม เนื่องจากรักแท้เพียงหนึ่งเดียวของพระองค์ได้จากโลกนี้ไปแล้ว สตรีคนที่ว่า คือแกรนด์ดัชเชสอเล็กซานดร้า หรือ อดินี่ ลูกสาวคนโปรดของซาร์นิโคลัสที่ ๑ แห่งรัสเซีย
ย้อนกลับไปในปี ๑๘๔๓ เจ้าชายเฟเดอริก วิลเลียมแห่งเฮสเซิน-คาสเซิลวัย ๒๓ ถูกทาบทามให้เดินทางมานครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเพื่อสู่ขอแกรนด์ดัชเชสโอลก้า – ลูกสาวคนรองของพระเจ้าซาร์ แต่กลับตกหลุมรักกับอดินี่ผู้เป็นน้องสาว
ความรักที่เฟรเดอริกมีต่ออดินี่ เห็นชัดจนแม้แต่โอลก้าซึ่งมีใจให้เฟรเดอริกอยู่ก่อน เต็มใจถอนตัวหลีกทางให้ ส่วนซาร์และซารีนาก็ไม่เห็นเป็นปัญหา อนุญาตให้ทั้งคู่หมั้นหมายและแต่งงานกันในเดือนมกราคมปีถัดไป เฟรเดอริกทนรอไม่ไหวที่จะได้พบเจ้าสาว ถึงขั้นเดินทางมาเซอร์ไพรส์คนรักในวันคริสต์มาส ยอมผูกตัวเองไว้กับต้นคริสต์มาสของพระราชวังเพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้ฝ่ายหญิง
คู่รักเฟรเดอริก-อดินี่เป็นที่เอ็นดูของผู้คนรอบข้าง แต่แล้วว่าที่เจ้าสาวกลับป่วยเป็นวัณโรคก่อนงานแต่งทำให้สุขภาพทรุดโทรมจนไม่สามารถเดินทางออกจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้ อาการของอดินีทรุดหนักหลังตั้งครรภ์ กลายเป็นว่าทารกต้องคลอดก่อนกำหนดเกือบสามเดือน ลูกชายของอดินี่เสียชีวิตในทันทีส่วนเธอก็จากโลกนี้ไปในวันเดียวกัน
เฟรเดอริกใจสลายสูญเสียทั้งลูกชายและรักแท้ แต่ด้วยความที่พระองค์เป็นลูกชายคนเดียวและยังไม่มีทายาท การสมรสเพื่อความเหมาะสมจึงถูกจัดตั้ง โดยเจ้าสาวคนที่สองของฝ่ายชาย คือแอนนาแห่งปรัสเซียผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของอดินี่ (แม่ของอดินี่เป็นป้าของเจ้าหญิงแอนนา) อาร์ชดัชเชสโซเฟียรู้ภูมิหลังของเจ้าชายดีจึงเสนอทางเลือกใหม่ ขอให้ราชสำนักปรัสเซียถอนหมั้นแล้วมอบแอนนาให้ฟรานซ์ โจเซ็ฟ ซึ่งสามารถมอบความรักให้เจ้าหญิงได้มากกว่า ติดอยู่ที่ว่าการเมืองปรัสเซียตอนนั้นไม่ต้องการผูกมิตรกับออสเตรียซึ่งเป็นคู่แข่ง ทำให้ข้อเสนอถูกปฏิเสธและแอนนาต้องเข้าพิธีสมรสตามกำหนดเดิม
แอนนาเข้าพิธีสมรสกับเฟรเดอริกในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๑๘๕๓ ทั้งคู่มีทายาทด้วยกันมากถึง ๖ คน แต่ก็เหมือนที่อาร์ชดัชเชสโซเฟียทำนายไว้ ชีวิตคู่ของทั้งสองถึงจะสุภาพแต่ก็ห่างเหิน ชีวิตแต่งงาน ๓๐ ปี ไม่อาจเทียบเวลาเพียง ๘ เดือนของอดินี่ได้ และหัวใจของเฟรเดอริกก็ไม่อาจเปิดรับสตรีคนใหม่ให้เข้ามาแทนที่อดีตภรรยา
เจ้าหญิงวิกตอเรีย ราชกุมารี – ลูกสาวคนโตของควีนวิกตอเรียได้มีโอกาสพบแอนนาหลังทรงสมรสมาเป็นพระชายารัชทายาทแห่งเยอรมัน ทรงกล่าวถึงสตรีผู้นี้ว่า “สวยมาก มีรูปลักษณ์สง่างามยิ่งกว่าใครที่เคยพบมา แต่พระองค์เต้นรำกับทุกคนซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าหญิงไม่ควรกระทำ”
ส่วนฟรานซ์ โจเซ็ฟผู้พลาดหวังจากแอนนา พระองค์พบรักแท้คนใหม่คือเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย หรือ ซีซี่ สตรีที่ได้รับคำชื่นชมว่าสวยงามที่สุดคนหนึ่งของยุค เจ้าหญิงวิกตอเรียมีโอกาสได้พบซีซี่ด้วยเช่นกัน โดยในครั้งนี้ ได้ทรงวิจารณ์จักรพรรดินีแห่งออสเตรียว่า “ขี้อายและพูดน้อย ยากเหลือเกินที่จะต่อบทสนทนากับพระองค์เพราะทรงมีเรื่องที่สนใจน้อยเหลือเกิน จักรพรรดินีไม่ร้องเพลง วาดรูป หรือเล่นเปียโน ทรงรู้เรื่องการเมืองน้อยมาก และแทบไม่พูดถึงลูกๆ ของพระองค์เลย”
แอนนาแห่งออสเตรียมีชีวิตยื่นยาวถึง ๘๒ ปี ทรงสิ้นพระชนม์ในเดือนมิถุนายน ๑๙๑๘ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมันในอีก ๕ เดือนต่อมา แอนนาได้รับการจดจำในฐานะสตรีที่มีความสามารถด้านดนตรี ทรงเล่นเปียโนได้เชี่ยวชาญและให้การอุปถัมภ์นักดนตรีชื่อดังจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น โยฮันเนส บราห์มส์, คลารา ชูมันน์, แอนทอน รูบินสไตน์ และจูเลียส สต็อกเฮาเซน ที่มา (ข้อมูล-ภาพ) : เพจพื้นที่ให้เล่า
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 ตุลาคม 2565 13:59:22 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
|
กำลังโหลด...