[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 14:04:22 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วัดทุ่งลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี  (อ่าน 1489 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5458


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 05 สิงหาคม 2563 16:05:09 »




พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสไทรโยคได้บันทึกเกี่ยวกับกาญจนบุรีไว้ว่า ".....ที่ลาดหญ้ามีหญ้ามาก
ถ้าจะเลี้ยงช้างสักกี่ร้อยก็เลี้ยงได้ เป็นที่สำคัญในการศึก เมื่อเรายังทำศึกอยู่กับพม่า กองทัพเราตั้งรับ หรือกองทัพข้าศึกจะมาตั้ง ก็มัก
จะชิงเอาที่นี่ไว้ในกองทัพด้วยเป็นที่อุดม ได้อาศัยเลี้ยงพาหนะในกองทัพได้มาก"


วัดทุ่งลาดหญ้า
หมู่ ๑ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

วัดทุ่งลาดหญ้า หรือชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า “วัดลาดหญ้า” สังกัดมหานิกาย อยู่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี  

สถานที่ตั้ง : วัดทุ่งลาดหญ้าตั้งอยู่ที่ ๒๖๒ บ้านลาดหญ้า หมู่ ๑ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี มีเนื้อที่ตั้งวัด ๔๖ ไร่ ๗๗ ตารางวา

อาณาบริเวณวัดทุ่งลาดหญ้า :
- ทิศเหนือ จด แนวถนน กาญจนบุรี – เขื่อนศรีนครินทร์ฯ
- ทิศใต้ จด ตลาดบ้านลาดหญ้า
- ทิศตะวันออก จด ถนนพระครูสอน
-ทิศตะวันตก จด แม่น้ำแควใหญ่

ประวัติก่อนการสร้างวัด :
เหนือบริเวณวัดทุ่งลาดหญ้าออกไปประมาณ ๒ กิโลเมตร เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองกาญจนบุรีเก่า ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของไทยเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยตั้งอยู่ริมแม่น้ำแควใหญ่ ใกล้เขาชนไก่ มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ ๑๘๐ เมตร ยาว ๓๖๐ เมตร มีป้อมมุมเมือง ๔ มุม มีแม่น้ำแควใหญ่ เป็นเสมือนคูเมือง ด้านทิศตะวันตก และลำน้ำลำตะเพินเป็นคูเมือง ด้านทิศเหนือ มีป้อมเป็นเนินดิน ๔ มุม ภายในเมืองมีซากวัดต่างๆ ถึง ๗ วัด คือ วัดขุนแผน วัดนางพิมพ์ วัดแม่หม้ายเหนือ วัดแม่หม้ายใต้ วัดมอญ วัดจีน วัดป่าเลไลย์ และมีบริเวณที่เรียกกันว่าตลาดนางทองประศรี

ความสำคัญของเมืองกาญจนบุรีเก่า เป็นเมืองหน้าด่านตะวันตก ที่คอยสกัดทัพพม่าที่ยกเข้ามาทางด้านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นเส้นทางโบราณ ระหว่างเมืองมอญกับไทย มี ๒ เส้นทาง คือ เส้นทางเหนือหรือเรียกว่าทางด่านแม่ละเมา และทางด่านเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี โดยออกจากเมืองเมาะตะมะ ข้ามแม่น้ำอัตรัน (เมืองเชียงกราน) เมืองสมิ ข้ามแม่น้ำกษัตริย์ และข้ามภูเขา เข้าแดนไทยทางด่านเจดีย์สามองค์ มาลงน้ำแควน้อย จากสามสบล่องลงมาทางเมืองไทรโยคเก่า (ปัจจุบัน คือ บริเวณวัดดงสัก ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค แล้วตัดข้ามช่องกระบอก มาลงลำน้ำแควใหญ่ที่เมืองศรีสวัสดิ์ หรือที่เมืองท่ากระดานด่านกรามช้างแล้วเดินเลียบแม่น้ำแควใหญ่จนถึงเมืองกาญจนบุรีเก่า ที่ทุ่งลาดหญ้า จากนั้นจะเป็นที่ราบเดินทางสะดวก เข้าสู่เมืองสุพรรณบุรี วิเศษไชยชาญ และเข้าตีกรุงศรีอยุธยา

เมืองกาญจนบุรีเก่า เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญทางทิศตะวันตก ที่คอยสกัดกั้นทัพพม่าที่ยกทัพเข้ารุกรานไทย ๒ เส้นทาง คือ เส้นทางเหนือหรือเรียกว่าทางด่านแม่ละเมา และทางด้านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นเส้นทางโบราณ ระหว่างเมืองมอญกับไทย มาตั้งแต่สงครามครั้งแรก คราวรบพม่าที่เมืองเชียงกราน ในปี พ.ศ.๒๐๘๑ และกลายเป็นเส้นทางเดินทัพไทย-พม่า ที่ทำสงครามต่อกันไม่น้อยกว่า ๑๕ ครั้ง ครั้งสุดท้ายที่เราเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ ต่อมาไทยย้ายเมืองมาตั้งที่กรุงธนบุรี ก็ต้องทำศึกกับพม่าอีก ๒ ครั้ง จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ กรุงเทพฯในปี พ.ศ.๒๓๒๕ ได้เพียงสามปี คือ พ.ศ.๒๓๒๘ พม่าก็ยกทัพมาตีไทยถึง ๙ ทัพ ยกเข้ามา ๕ ทาง จำนวนพลกว่า ๑๔๔,๐๐๐ คน เราเรียกสงครามครั้งนี้ว่า “การรบพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า” สงครามครั้งนี้ กองทัพหลวงพระเจ้าปะดุง ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ พร้อมกองทัพอีก ๔ กองทัพ ผ่ายไทยได้ให้กรมพระราชวังบวร มหาสุรสีหนาท มาสกัดทัพพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า ซึ่งเป็นวิธีคิดใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า ที่ทุ่งลาดหญ้าเป็นทางที่พม่าต้องเดินทัพเข้ามา ถ้าไทยสามารถรักษาทุ่งลาดหญ้าไว้ได้ กองทัพพม่าต้องตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งเป็นที่กันดาร จะหาเสบียงอาหารเลี้ยงกองทัพและจะเดินทัพก็ยาก เปรียบเหมือนข้าศึกต้องอยู่ในตรอก ไทยคอยสกัดกั้นอยู่ปากตรอก ถึงกำลังน้อยกว่าก็สู้ได้ ในที่สุดพม่าก็พ่ายทัพกลับไป ไม่สามารถยกทัพผ่านทุ่งลาดหญ้าไปได้

หลังจากสงครามเก้าทัพ สงครามไทย-พม่า ก็เริ่มเบาบางลง เส้นทางเดินทัพเปลี่ยนไป เมืองกาญจนบุรีเก่า จึงถูกทิ้งร้าง ถอยร่นลงมาสกัดทัพที่ปากแพรก หรือลิ้นช้าง ในครั้งแรกเพียงแต่ปักเสาระเนียดบนเชิงเทิน จนในสมัยรัชกาลที่ ๓ โปรดให้สร้างกำแพงเมือง ก่ออิฐถือปูน ในบริเวณที่ตั้งเมืองใหม่ ซึ่งเป็นที่รวมของแม่น้ำแควน้อย และแม่น้ำแควใหญ่ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๔ เพื่อป้องกันข้าศึก และติดต่อค้าขายกับเมืองในลุ่มน้ำแม่กลอง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสไทรโยคได้บันทึกเกี่ยวกับกาญจนบุรีไว้ว่า “แต่เมืองที่ตั้งอยู่ตำบลปากแพรก เดี๋ยวนี้ไม่เป็นทางพม่าข้าศึกเข้ามาเลย ถ้าโดยจะเดินกองทัพมา คงข้ามที่เขาชนไก่เมืองเดิม ตัดไปสุพรรณบุรีเข้ากรุงทีเดียว ถ้าจะลงทางล่างก็เข้าราชบุรีไปเล่นสวนบางช้างสมุทรสงคราม แต่ที่ปากแพรกนี้เป็นที่ค้า ท่าขาย ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมนั้นขึ้นไปตั้งเหนือมาก มีแก่งถึงสองแก่ง ลูกค้าจะไปมาลำบาก จึงลงมาตั้งอยู่ที่ปากแพรกนี้ เป็นทางไปมาแต่เมืองราชบุรีง่าย เมืองที่ตั้งก่อกำแพงไว้นี้อยู่ที่แม่น้ำสามแยกตรงทางแม่น้ำน้อย เหมือนหนึ่งจะคิดรับทางเรือ แต่กองทัพของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ยกมาครั้งนั้น ต้องส่งทัพหน้าไปตั้งที่ลาดหญ้ารับทางพม่าข้าศึก ทัพหลวงจึงตั้งอยู่ที่ลิ้นช้างกาญจนบุรี เมืองกาญจนบุรีเมื่อก่อนก็เป็นระเนียดไม้มาตลอด...” และเสด็จพระราชดำเนินทรงม้าถึงทุ่งลาดหญ้า ทรงบันทึกว่า “ ...ถึงหนองบัว ลาดหญ้า จนถึงเขาชนไก่ ทาง ๕๙๐ เส้น ที่ลาดหญ้ามีหญ้ามากถ้าจะเลี้ยงช้างสักกี่ร้อยก็เลี้ยงได้ เป็นที่สำคัญในการศึก เมื่อเรายังทำศึกอยู่กับพม่า กองทัพเราตั้งรับ หรือกองทัพข้าศึกจะมาตั้ง ก็มักจะชิงเอาที่นี่ไว้ในกองทัพด้วยเป็นที่อุดม ได้อาศัยเลี้ยงพาหนะในกองทัพได้มาก ที่เขาชนไก่นั้น เป็นเมืองเก่าที่ยังมีวัดร้างอยู่ที่นั่น..”  เมื่อย้ายเมืองกาญจนบุรีมาอยู่ปากแพรกแล้ว มีการบูรณะสร้างวัดวาอารามขึ้นใหม่ เช่น วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) วัดถาวรวราราม (วัดญวณ) ทำให้วัดต่างๆ ที่เมืองกาญจนบุรีเก่า ถูกทิ้งร้าง ต่อมาได้มีการนำเอาพระพุทธรูปในวัดร้างไปเป็นพระประธานในอุโบสถ เช่น ที่วัดถาวรวราม (วัดญวณ) เป็นต้น

ประวัติการสร้างวัดลาดหญ้า : หลังจากสิ้นสงคราม ไทย-พม่า ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา ประชาชนเริ่มมาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนริมน้ำแควใหญ่มากขึ้น การคมนาคมในสมัยนั้นต้องใช้ทางน้ำสัญจรไปมาจากเมืองท่ากระดาน เมืองศรีสวัสดิ์ ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไป โดยการใช้แพหรือเรือล่องตามลำน้ำแควใหญ่ ผ่านบ้านลาดหญ้ามาเมืองกาญจนบุรีที่ปากแพรก ขากลับทวนน้ำจะต้องเดินทางบก ทั้งไปและกลับจะต้องผ่านบริเวณบ้านลาดหญ้า ต่อมาชุมชนเริ่มหนาแน่นขึ้น จึงได้มีการก่อสร้างวัดขึ้นบริเวณลำน้ำแควใหญ่ ณ บ้านลาดหญ้า ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองฯ จังหวัดกาญจนบุรี จากหลักฐานที่ปรากฏ มีรายนามเจ้าอาวาสปกครองวัด ดังต่อไปนี้

รูปที่ ๑ พระอธิการช่วงไม่พบหลักฐานว่าเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดมาแต่ปีใด จากหนังสือทำเนียบสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๓๔๗) ปรากฏว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด มาก่อนแล้วในสมัยรัชกาลที่ ๕

รูปที่ ๒ พระอธิการแมว

รูปที่ ๓ พระอธิการกล่อม

รูปที่ ๔ พระกาญจนวัตรวิบูล (สอน อินฺทสโร) เกิดเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๔ มรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๘กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๙  ปกครองวัดตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๖๐-๒๕๐๙  

รูปที่ ๕ พระมงคลสิทธิคุณ (ลำใย ปิยวณฺโณ) เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๘ มรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๖ ปกครองวัดตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๙-๒๕๔๖

รูปที่ ๖ พระครูสิทธิกิจจานุวัตร (ประเสริฐ อติเมโธ) เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๒ ปกครองวัดเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๖-ปัจจุบัน




วัดลาดหญ้าเดิม มีอุโบสถหลังเล็กๆ อยู่ริมน้ำ ต่อมาถูกน้ำเซาะตลิ่งพัง จึงสร้างอุโบสถขึ้นใหม่ ในสมัยท่านเจ้าคุณ พระกาญจนวัตรวิบูล (สอน อินฺทสโร) เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๗ ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ทางกองทัพบกได้สร้างกองพลที่ ๙ ขึ้น ณ บริเวณทุ่งลาดหญ้า เพื่อเป็นการประกาศเกียรติประวัติยุทธภูมิทุ่งลาดหญ้า ที่เคยเป็นสมรภูมิที่ไทยชนะสงครามครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์สงคราม ไทย-พม่า ที่เรียกว่า “สงคราม ๙ ทัพ”  ทางกองพลที่ ๙ ได้จัดพิธีทางศาสนา บำเพ็ญกุศลในวันสำคัญต่างๆ ที่วัดทุ่งลาดหญ้าสม่ำเสมอ จึงได้มีการก่อสร้าง กุฏิ ศาลา และอุโบสถหลังใหม่ขึ้น ได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๕ ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ พระครูกาญจโนปมคุณ (ลำใย ปิยวณฺโณ) ได้เปลี่ยนชื่อ “วัดลาดหญ้า” เป็น “วัดทุ่งลาดหญ้า” เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น และเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งสงครามเก้าทัพ

วัดทุ่งลาดหญ้าเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างของกรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี พ.ศ.๒๕๒๖ กรมการศาสนาได้จัดประชุมเจ้าอาวาสวัดพัฒนาตัวอย่างที่วัดทุ่งลาดหญ้า เมื่อวันที่ ๑๘-๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๐ มีการเปิดทำการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๙ เป็นต้นมา โดยเปิดสอนนักธรรมชั้น ตรี โท เอก และได้ส่งพระภิกษุสามเณรไปศึกษาบาลีกับสำนักต่างๆ ต่อมา ปี พ.ศ.๒๕๓๐ ก็ได้เปิดเป็นสำนักศาสนศึกษาบาลี และได้มีการเรียนการสอนสืบต่อมา




พระพุทธรูปปางเปิดโลก วัดทุ่งลาดหญ้า  เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถยืน
พระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงข้างพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองออกไปข้างหน้า


รูปปั้นหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร




หน้าบันอุโบสถวัดทุ่งลาดหญ้า ประดับด้วยพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ โดยมีพญาช้างปาลิเลยยกะ และลิง คอยปรนนิบัติ


ที่มาข้อมูล : วิกิพีเดีย

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 สิงหาคม 2563 19:56:32 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
หลวงพ่อดอกไม้ ปทุมรตโน วัดดอนเจดีย์ จังหวัดกาญจนบุรี
ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
ใบบุญ 0 964 กระทู้ล่าสุด 12 พฤศจิกายน 2560 11:51:47
โดย ใบบุญ
น้ำตกตาดโตน อุทยานแห่งชาติตาดโตน อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ
สุขใจ ไปเที่ยว
Kimleng 0 1417 กระทู้ล่าสุด 27 เมษายน 2561 13:52:46
โดย Kimleng
ต้นจามจุรียักษ์ จังหวัดกาญจนบุรี
สุขใจ ไปเที่ยว
Kimleng 0 881 กระทู้ล่าสุด 19 กรกฎาคม 2562 19:15:06
โดย Kimleng
สวนธรรมภูสมะ บ้านกุงไม้สัก ตำบลปางหมู อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
สุขใจ ไปเที่ยว
Kimleng 0 749 กระทู้ล่าสุด 04 พฤศจิกายน 2564 20:14:59
โดย Kimleng
พระธาตุดอยกองมู วัดพระธาตุดอยกองมู อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
สุขใจ ไปเที่ยว
Kimleng 0 822 กระทู้ล่าสุด 28 พฤศจิกายน 2564 17:40:13
โดย Kimleng
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.441 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page วานนี้