[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 มิถุนายน 2568 15:13:35 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า:  1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 20   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มิลินทปัญหา  (อ่าน 154821 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 18 ตุลาคม 2553 20:39:52 »





มิลินทปัญหา
มิลินทปัญหา วรรคที่ ๑

ปัญหาที่ ๑ ถามชื่อ
ครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์ได้เสร็จไปหาพระนาคเสนแล้ว
ทรงปราศรัยพอให้เกิดความร่าเริงยินดีแล้วก็ประทับนั่ง
ฝ่ายพระนาคเสนก็แสดงความชื่นชมยินดี
ทำให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามิลินท์
ลำดับนั้น พระองค์จึงตรัสถามปัญหาข้อแรกต่อพระนาคเสนขึ้นว่า

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมประสงค์จะสนทนาด้วย "
พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า
" เชิญสนทนาเถิด มหาบพิตร อาตมภาพใคร่จะฟัง "
" โยมสนทนาแล้ว ขอผู้เป็นเจ้าจงฟังเถิด "
" อาตมภาพฟังอยู่แล้ว มหาบพิตรเชิญเจรจาเถิด "

" พระผู้เป็นเจ้าได้ฟังว่าอย่างไร ? "
" ก็มหาบพิตรเจรจาว่าอย่างไร ? "
" โยมจะถามพระผู้เป็นเจ้า "
" จงถามเถิด มหาบพิตร "
" โยมถามแล้ว "
" อาตมภาพก็แก้แล้ว "

" พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร ? "
" ก็มหาบพิตรถามว่าอย่างไร ? "


เมื่อพระเถระตอบอย่างนี้แล้ว พวกโยนกเสนาทั้ง ๕๐๐
ก็เปล่งเสียง สาธุการ ถวายพระนาคเสน
แล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ว่า " ข้าแต่มหาราชเจ้า
คราวนี้ขอพระองค์จงตรัสถามปัญหาต่อไปเถิดพระเจ้าข้า "





: http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.0

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 กรกฎาคม 2555 19:24:04 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
 
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #181 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2554 16:33:10 »



อุปมาหมอรักษาแผล

" ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือเหมือนอย่างว่าหมอผ่าตัดจะรักษาแผล อันเต็มด้วยบุพโลหิต มีรูอยู่ข้างใน มีลูกศรฝังอยู่ อันเป็นที่ไหลออกแห่งของเปื่อยเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้ง ต้องชำระล้างปากแผลด้วยยาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อน ทำให้ปากแผลอ่อนดีแล้ว จึงตัดด้วยมีดแล้วจี้ด้วยซี่เหล็กแดง แล้วราดด้วยน้ำด่างอันแสบเค็ม แล้วทายา แล้วเนื้อที่แผลก็งอกขึ้น แผลก็หายเป็นลำดับไป จึงขอถามมหาบพิตรว่า จะว่าแพทย์ผ่าตัดนั้น ไม่มีจิตเมตตาหรืออย่างไร ?"

" ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า แพทย์ผ่าตัดนั้น เป็นผู้มีจิตเมตตาแท้ทีเดียว "

" ขอถวายพระพร ทุกขเวทนาอันเกิดแก่ผู้บาดเจ็บนั้น ด้วยการรักษาของหมอมีอยู่ หมอนั้นจะได้บาปอย่างไรหรือไม่ ? "
" ไม่ได้บาปอย่างใดเลย ผู้เป็นเจ้า มีแต่จะได้บุญไปสวรรค์ "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระพุทธเจ้าได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา ด้วยทรงพระมหากรุณา เพื่อจะปลดเปลื้องพระเทวทัตให้พ้นทุกข์ จึงไม่ได้บาปอะไร "

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #182 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2554 16:37:54 »



อุปมาผู้ถูกหนามตำที่เท้า

" ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือเปรียบประดุจบุรุษคนหนึ่งถูกหนามปักเข้าไปที่เท้า หรือโดนหลักตอ มีบุรุษอีกคนหนึ่งมุ่งจะให้บุรุษนั้นสุขสบาย จึงบ่งด้วยหนามอันแหลม หรือด้วยมีดแหลม ๆ แล้วชักหนามหรือตอนั้นออก ทั้งที่มีโลหิตไหลอยู่ จะว่าบุรุษผู้ชักหนามหรือตอออกนั้น ไม่มีจิตเมตตาหรือ ? "

" ว่าไม่ได้เลย พระผู้เป็นเจ้า เพราะบุรุษนั้นมุ่งให้มีความสวัสดีแท้ ๆ ถ้าเขาไม่ช่วยนำหนามหรือตอนั้นออก บุรุษนั้นก็จะต้องถึงซึ่งความตาย หรือถึงซึ่งทุกข์แทบประดาตาย "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือถ้าพระพุทธเจ้าไม่โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา พระเทวทัตก็จะต้องไปไหม้อยู่ในนรกหลายแสนกัป "

พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า

" ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงช่วยพระเทวทัต ผู้ไหลไปตามกระแสน้ำ ให้ไหลทวนขึ้นมาเหนือน้ำ ผู้ถึงซึ่งความวิบัติให้ถึงซึ่งความเจริญ ผู้ตกไปในเหว ให้ขึ้นจากเหว ผู้เดินทางผิด ให้มาเดินทางถูก ข้าแต่พระนาคเสน เหตุการณ์เหล่านี้ไม่มีบรรพชิตอื่นจะชี้บอกให้เห็นได้ นอกจากผู้มีความรู้ดี ดังพระผู้เป็นเจ้านี้เท่านั้น "

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #183 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2554 16:42:28 »


ปัญหาที่ ๔ ถามถึงเหตุให้แผ่นดินไหว

พระเจ้ามิลินท์ได้ตรัสถามว่า

" ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นคำขาดว่า " เหตุปัจจัยที่จะทำให้แผ่นดินไหวใหญ่นั้นมีอยู่ ๘ ประการเท่านั้น " ไม่มีถึง ๙ ถ้าคำนั้นจริงแล้ว คำที่ว่า " แผ่นดินไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยมหาทานของ พระเวสสันดร " นั้นก็ผิด ถ้าว่าคำที่ว่า " แผ่นดินไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยมหาทานของพระเวสสันดร " นั้นถูก คำที่ว่า " เหตุให้แผ่นดินไหวใหญ่มีเพียง ๘ อย่างเท่านั้น " ก็ผิด เพราะว่าการให้ทานไม่นับเข้าในเหตุอย่างหนึ่ง ในเหตุ ๘ อย่างที่แผ่นดินไหวนั้น เพราะฉะนั้น ปัญหาข้อนี้จึงเป็นอุภโตโกฏิมีสองง่ามสองแง่ เป็นปัญหาละเอียด เป็นปัญหาใหญ่ เป็นปัญหาชี้ให้เห็นได้ว่า เป็นปัญหาที่ให้เกิดความมืด แต่ปัญหานี้ได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีจักษุญาณแล้ว ผู้อื่นนอกจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้ "

พระนาคเสนจึงตอบว่า

" ขอถวายพระพร คำทั้งสองนี้จริงทั้งนั้นคือคำที่ว่า " เหตุให้แผ่นดินไหวใหญ่มีอยู่ ๘ " ก็เป็นของจริง คำที่ว่า " แผ่นดินใหญ่ได้ไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะมหาทานของ พระเวสสันดร " ก็เป็นของจริง ไม่ใช่ของเหลาะแหละ "

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #184 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2554 16:46:54 »



   อุปมาเมฆนอกฤดูกาล

   " ขอถวายพระพร ในโลกนี้มีเมฆอยู่เพียง ๓ ฤดู คือ ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อนเท่านั้น ถ้าเมฆอื่นนอกจาก ๓ ฤดูนั้น จะทำให้ฝนตกลงมา เมฆนั้นก็ไม่นับเข้ากับเมฆที่คนทั้งหลายรู้กัน เรียกว่า " อกาลเมฆ " ฉันใด การที่แผ่นดินใหญ่ไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยอำนาจมหาทานของพระเวสสันดร ก็เป็น " อกาลกัมปนัง " คือแผ่นดินไหวนอกจากเหตุ ๘ ประการ ฉันนั้น "

   อุปมาด้วยแม่น้ำ

   " นที ๕ สายย่อมไหลมาจากภูเขาหิมพานต์อีก ๑๐ นที คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ สินธุ สตธู วิชา ปิปาสิ จันทภาคี ก็นับรวมเข้าในคำว่า " นที " นทีนอกนั้นไม่นับเข้าในนที เพราะไม่มีน้ำประจำอยู่เป็นนิจฉันใด การที่แผ่นดินใหญ่ไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยอำนาจมหาทานของพระเวสสันดรนั้น ก็ไม่นับเข้าในเหตุ ๘ อย่าง เพราะว่าไม่ใช่เหตุที่จะให้แผ่นดินไหวเสมอไปฉันนั้น "

   อุปมาหมู่เสนาอำมาตย์

   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าอำมาตย์ของพระราชามีอยู่ ๑๐๐ หรือ ๒๐๐ ก็ดี ก็นับเข้าในหมู่อำมาตย์เพียง ๖ คน เท่านั้น อำมาตย์ ๖ คนนั้น คือ เสนาบดี ๑ ปุโรหิต ๑ ผู้ตัดสินถ้อยความ ๑ ผู้รักษาพระราชทรัพย์ ๑ ผู้กั้นเศวตฉัตร ๑ ผู้ถือพระขรรค์ ๑ เท่านั้น นอกจาก ๖ คนนี้ไม่นับเข้าว่าเป็นอำมาตย์ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด การที่แผ่นดินไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยมหาทานของพระเวสสันดรนั้นก็ไม่นับเข้าในเหตุ ๘ อย่างฉันนั้น "

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 กรกฎาคม 2554 16:54:43 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #185 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2554 16:59:12 »



ผู้ได้รับผลบุญเห็นทันตา ๗ คน

" ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับหรือไม่ว่า ผู้ที่ทำบุญในพระพุทธศาสนานี้แล้ว ได้รับผลบุญเห็นทันตา มีกิตติศัพท์ลือชาและยศศักดิ์ ปรากฏไปในเทพยดาและมนุษย์ ? "

" เคยได้ฟัง พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร บุคคลเหล่านั้นมีอยู่กี่คน ? "
" มีอยู่ ๗ คน พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร คือใครบ้าง ? "

" คือ นายสุมนมาลาการ ๑ พราหมณ์เอกสาฏก ๑ ลูกจ้างชื่อว่า นายปุณณะ ๑ พระนางมัลลิกาเทวี ๑ พระนางโคปาลมาตาเทวี ๑ นางสุปิยาอุบาสิกา ๑ นางปุณณทาสี ๑ รวมเป็น ๗ คนเท่านี้แหละ พระผู้เป็นเจ้า "

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #186 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2554 17:02:50 »



ผู้ที่ได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ๗ คน

" ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับมาหรือไม่ว่า ผู้ที่ได้ทำความดีไว้ในพระพุทธศาสนาก่อน ๆ โน้น ได้ไปสวรรค์ทั้งเป็นไปด้วยรูปร่างมนุษย์มีอยู่หรือไม่ ? "

" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

" ได้แก่ใคร...มหาพิตร ? "

" ได้แก่ โคตติลคันธัพพราชา ๑ สาธินราชา ๑ เนมิราชา ๑ มันธาตุราชา ๑ ทั้ง ๔ คนนี้ ได้ขึ้นไปดาวดึงส์สวรรค์ทั้งเป็น เพราะคนเหล่านั้น ได้ทำความดีไว้นานแล้ว "

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #187 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2554 17:06:19 »


ทานของผู้อื่นไม่เป็นเหตุให้แผ่นดินไหว

" ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับหรือไม่ว่า ผู้มีชื่ออย่างนี้ ๆ ให้ทานอยู่ในอดีตกาล หรือในปัจจุบันกาล ทำให้แผ่นดินใหญ่นี้ไหวครั้งหนึ่ง หรือสองสามครั้ง ? "

" ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร อาตมาภาพผู้มีอาคมคือพระปริยัติธรรม และอธิคม คือมรรคผลกับการสดับฟังพระปริยัติ การเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า การฟังดี การไต่ถาม การอยู่ร่วมกับอาจารย์ การปฏิบัติอาจารย์ ก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า เมื่อผู้อื่นให้ทานได้เกิดแผ่นดินไหวเพียงครั้งเดียว หรือ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง นอกจากการให้ทานของพระเวสสันดรเท่านั้น "

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #188 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2554 17:24:17 »



อุปมาด้วยเกวียน

" ขอถวายพระพร ในระหว่างพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระศากยมุนีพุทธเจ้า กับ พระกัสสปพุทธเจ้านั้น
ล่วงมาแล้วหลายโกฏิปีในระหว่างนั้นก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ถึงเลือกค้นดูก็ไม่เห็นว่าผู้อื่นให้ทาน
ทำให้แผ่นดินไหว แผ่นดินอันใหญ่นี้ไม่ไหวด้วยความความเพียรเท่านั้น ด้วยความบากบั่นเพียงเท่านั้น
แผ่นดินอันใหญ่หนักด้วยของหนัก คือคุณความดีของบุคคล จนไม่อาจรับไว้ได้ จึงสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว
เกวียนที่บรรทุกหนักเกินไป จนดุมเกวียนกำเกวียน กงเกวียนทนไม่ไหว เพลาเกวียนก็หักฉันใด
       แผ่นดินอันใหญ่อันหนักด้วยคุณความดีของบุคคล จนไม่อาจรับไว้ได้จึงไหวฉันนั้น "

( หน้่า ๑๓ ตอบ #๑๙๔ )

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 กรกฎาคม 2554 17:29:16 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #189 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 16:05:33 »



   อุปมาด้วยท้องฟ้า

   " อีกประการหนึ่ง ท้องฟ้าอันปกคลุมด้วยก้อนเมฆ หนักด้วยก้อนเมฆ มีลมพัดแรงเกินไป ก็มีเสียงดังกึกก้องฉันใด แผ่นดินใหญ่ เมื่อไม่อาจทรงของหนัก คือความไพบูลย์แห่งกำลังทานของพระเวสสันดรจึงไหวฉันนั้น เพราะว่าพระหฤทัยของพระเวสสันดรนั้น ไม่ได้เป็นไปด้วยอำนาจราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ความโกรธ ความริษยา อย่างใดเลย เป็นไปมากด้วยอำนาจแห่งทานอย่างเดียวเท่านั้น คือพระเวสสันดรคิดอยู่ว่า พวกยาจกที่ยังไม่มาก็ขอให้มา ที่มาแล้วก็ขอให้ได้ตามประสงค์ ได้แล้วขอให้มาอีก "

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #190 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 16:11:04 »



คุณธรรมของพระเวสสันดร

" พระเวสสันดรนั้น มีพระหฤทัยมั่นอยู่ในธรรม ๑๐ ประการ คือ ความฝึกใจ ๑ ความสำรวม ๑ ความอดทน ๑ ความระวัง ๑ ความแน่นอน ๑ ความไม่โกรธ ๑ ความไม่เบียดเบียน ๑ ความจริง ๑ ความสะอาดใจ ๑ ความเมตตา ๑ พระเวสสันดรนั้น ได้ละการแสวงหากามารมณ์เสียแล้ว ระงับการแสวงหาภพเสียแล้ว มุ่งแต่การแสวงหาพรหมจรรย์เท่านั้น พระเวสสันดรนั้น สละการรักษาตัวเสียแล้ว มุ่งแต่รักษาผู้อื่นทุกเวลาว่า ทำอย่างไรหนอ สัตว์บุคคลทั้งสิ้นจึงจะพร้อมเพรียงกันจึงจักไม่มีโรค จึงจักมีทรัพย์ จึงจักมีอายุยืน พระเวสสันดรนั้น ไม่ได้ทรงให้ทานเพราะปรารถนาภพ หรือทรัพย์ หรือการตอบแทน การสรรเสริญ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยศ บุตร ชีวิต แต่อย่างใดเลย พระองค์ทรงมุ่งแต่ " พระสัพพัญญุตญาณ " เท่านั้น ข้อนี้สมกับที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า "

เมื่อเราให้ทานบุตรธิดา คือ ชาลี กัณหา และเทวี คือพระนางมัทรี เราไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย เรามุ่งต่อพระโพธิญาณอย่างเดียวเท่านั้น " ดังนี้ พระเวสสันดรนั้น ชนะคนโกรธด้วย ความไม่โกรธ ชนะคนไม่ดีด้วยความดี ชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ ชนะคนเหลาะแหละด้วยความจริง ชนะอกุศลทั้งปวงด้วยกุศล "


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #191 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 16:13:49 »



   เหตุอัศจรรย์เพราะมหาทาน

   " เมื่อพระเวสสันดรให้ทานอยู่อย่างนั้นลมใหญ่ภายใต้ก็ไหว เมื่อลมใหญ่ภายใต้ไหวน้ำที่อยู่บนลมก็ไหว เมื่อน้ำไหว หินที่อยู่บนน้ำก็ไหว เมื่อหินที่อยู่บนน้ำไหว แผ่นดินใหญ่นี้ก็ไหว ครั้งนั้น พวกอสูร ครุฑ นาค ยักษ์ทั้งหลาย ที่มีฤทธิ์มีเดชน้อย ก็สะดุ้งตกใจกลัวว่า แผ่นดินไหวใหญ่เพราะอะไร ไม่ทราบว่าเป็นเพราะการให้ทานของพระเวสสันดร ต่อเมื่อได้ยินเสียงป่าวร้องสาธุการของเทพยดาทั้งหลายจึงรู้ เป็นอันว่า แผ่นดินใหญ่นี้ตั้งอยู่บนหิน หินตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม เมื่อลมข้างล่างไหว ก็ไหวเป็นลำดับขึ้นมาจนถึงแผ่นดินใหญ่ ดังนี้ "



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #192 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 16:20:32 »



   อุปมาเหมือนแก้วต่าง ๆ

" ขอถวายพระพร แก้วต่าง ๆ ย่อมมีอยู่ที่พื้นดินเป็นอันมาก คือ แก้วอินทนิล แก้วมหานิล แก้วโชติรส แก้วไพฑูรย์ แก้วอุมมารบุปผา แก้วมโนห์รา แก้วสุริยกันต์ แก้วจันทกันต์ แก้ววิเชียร แก้วกโชปักมกะ แก้วบุษราคัม แก้วแดง แก้วลาย แก้วมณีของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมแผ่รัศมีไปข้างละ ๑ โยชน์โดยรอบฉันใดทานที่มีอยู่ทั้งสิ้น มี อสทิสทาน เป็นอย่างเยี่ยม ก็สู้มหาทานของพระเวสสันดรไม่ได้ฉันนั้น เมื่อพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญมหาทานอยู่ แผ่นดินใหญ่ได้ไหวถึง ๗ ครั้ง ขอมหาบพิตรจงทรงพระสวนาการฟังให้เข้าพระทัยในกาลบัดนี้ "

" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหาที่ลี้ลับลึกซึ้ง พระผู้เป็นเจ้าก็ได้คลี่คลายขยายออกแล้ว ได้ทำให้ตื้นแล้ว ได้ทำลายข้อที่ฟั่นเฝือได้สิ้นแล้ว "


 

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #193 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 16:30:22 »



ปัญหาที่ ๕ สีวิราชชาดก

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คำที่ว่า คนตาบอดมีจักษุประสาทพิการแล้ว ย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับเห็นได้อย่างเดิมอีกนั้น มีกล่าวไว้ในพระสูตรบ้างหรือไม่
ขอถวายพระพรมหาบพิตร มี

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าเช่นนั้น เรื่อง สีวิราชชาดก ที่ว่า พระเจ้าสีวิราชทรงควักพระเนตรทั้ง ๒ ให้เป็นทาน มีพระจักษุประสาทพิการแล้ว ต่อมาทรงได้พระจักษุประสาทคืนดี ทอดพระเนตรเห็นได้อย่างเดิมนั้น จะมิไม่จริงหรือ
ขอถวายพระพรมหาบพิตร จริง

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า จะให้ลงความเชื่อคำไหนได้เล่า
ขอถวายพระพร คำต้นนั้น ท่านกล่าวตามปรกติวิสัยของนัยน์ตา ซึ่งเมื่อพิการแล้ว ย่อมคืนดีอย่างเดิมไม่ได้ ส่วนที่ท่านกล่าวไว้ในชาดกซึ่งผิดจากคำเบื้องต้นไปนั้น ก็เพราะท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งอานุภาพของสัตยาธิษฐาน คือความตั้งใจไว้มั่นในความจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง

ขอถวายพระพร พระองค์เคยทอดพระเนตรเห็น หรือเคยได้ทรงสดับบ้างหรือไม่ ว่าผู้ที่กระทำสัตยาธิษฐานแล้ว อาจทำให้ฝนตกหรือไฟดับ หรือกำจัดกำลังแห่งยาพิษเสียก็ได้
ข้าแต่พระนาคเสน เคยได้เห็น ได้ยินอยู่บ้าง

มหาบพิตรนั่นพระองค์ทรงเข้าพระหฤทัยว่าเป็นได้ด้วยอะไร
ข้าพเจ้าเข้าใจว่า เป็นด้วยอานุภาพแห่งสัตยาธิษฐาน

ขอถวายพระพรมหาบพิตร นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักษุประสาทของพระเจ้าสีวิราชย่อมกลับคืนดีได้อย่างเดิม ก็ด้วยอานุภาพแห่งสัตยาธิษฐาน คือการที่ทรงตั้งพระหฤทัยมั่นอยู่ในความจริงอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง

ขอถวายพระพรมหาบพิตร อาตมภาพจะเล่าเรื่องของพระเจ้าอโศกถวาย คือครั้งหนึ่ง พระเจ้าอโศกเสด็จไปประพาสริมแม่น้ำคงคา ครั้นแล้วมีพระราชดำรัสถามเหล่าอำมาตย์ว่า ผู้ที่สามารถทำให้น้ำในแม่น้ำคงคานี้ไหลกลับทวนกระแสไปได้เห็นจะไม่มี

ก็ขณะนั้น มีหญิงเพศยาคน ๑ ชื่อ นางพินทุมดี อยู่ ณ ริมฝั่งน้ำนั้น
เมื่อได้ยินพระราชดำรัสดังนั้น จึงกระทำสัตยาธิษฐาน ขอให้น้ำไหลกลับทวนกระแส เพื่อถวายทอดพระเนตร น้ำในแม่น้ำคงคาก็ไหลกลับทวนกระแสตามความประสงค์

พระเจ้าอโศกทรงพิศวงในพระราชหฤทัย จึงตรัสถามว่า เหตุอะไรจึงเป็นเช่นนี้ อำมาตย์จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านางพินทุมดีกระทำสัจจกิริยา ขอให้น้ำไหลกลับ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปตรัสถามนางพินทุมดีว่า อะไรเป็นกำลังในสัจจกิริยาของเจ้า

ขอเดชะ หม่อมฉันมีความจริงใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ การบำเรอบุรุษ กระหม่อมฉันกระทำเสมอหน้ากันหมด จะเป็นใคร มีฐานะอย่างไรก็ตาม เมื่อให้ทรัพย์แก่กระหม่อมฉันแล้ว ย่อมได้รับการบำเรอเป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น กระหม่อมฉันอ้างความจริงใจนี้ กระทำสัตยาธิษฐาน ขอถวายพระพร


เรื่องนี้พระองค์ทรงเชื่อหรือไม่
ข้าแต่พระนาคเสน พอเชื่อได้ เพราะมีเหตุมีผลพอที่จะคิดเห็นได้

ขอถวายพระพร นี่ชี้ให้เห็นว่า การกระทำสัตยาธิษฐาน คือกิริยาที่กล่าวอ้างถึงความจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้เป็นความจริงในสิ่งลามก ก็ให้เกิดผลได้สมประสงค์ ก็เมื่อความจริงมีอยู่เช่นนี้ จึงจะไม่ได้ควักพระเนตรกลับคืนดีอย่างเดิม ในเมื่อทรงกระทำสัตยาธิษฐาน อ้างถึงความจริงนั้น ๆ ได้เล่า

พระนาคเสนพระองค์กล่าวนี้ชอบแล้ว

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #194 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 16:35:07 »



ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องการตั้งครรภ์

"ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า การตั้งครรภ์ย่อมมีด้วยประชุม ๓ คือ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน ๑ มารดามีระดู ๑ มีสัตว์มาเกิด ๑ ดังนี้ ถ้าไม่พร้อมด้วยองค์ ๓ ย่อมเกิดไม่ได้

ข้อนี้ทำให้โยมสงสัย เพราะเพียง ทุกุลดาบส ถูกต้องสะดือของ นางปาริกาตาปสินี ในเวลามีระดู ด้วยปลายนิ้วมือข้างขวา เพียงหนเดียวเท่านั้น ก็เกิด สุวรรณสามกุมาร ขึ้นได้

มาตังคฤๅษี ถูกต้องท้องของนางพราหมณีด้วยปลายเล็บข้างขวาในเวลามีระดู เพียงหนเดียวเท่านั้น ก็เกิด มัณฆพยมาณพ ขึ้นได้
อิสิสิงคฤๅษี เกิดขึ้นด้วยนางมฤดี ดื่มกินน้ำปัสสาวะของฤๅษี
สังกิจจฤๅษี เกิดขึ้นได้ด้วยกิริยาอย่างเดียวกัน
พระกุมารกัสสป เกิดขึ้นด้วยการกลืนกินซึ่งสัมภวะ ของบุรุษ

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าการตั้งครรภ์มีขึ้นด้วยการประชุม ๓ จริงแล้ว คำที่ว่าบุคคลเหล่านั้น เกิดด้วยอาการอย่างนั้นก็ผิดไป ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ ลึกละเอียดมาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงตัดความสงสัยของโยมด้วยเถิด "

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #195 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 17:21:56 »



ผู้ที่เกิดขึ้นด้วยการประชุม ๒

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" มหาบพิตรได้ทรงสดับมาว่า สุวรรณสาม อิสิสิงคดาบส พระกุมารกัสสป เกิดขึ้นด้วยเหตุอย่างนี้ ๆ หรือ ?"

พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
" ถูกแล้วพระผู้เป็นเจ้า โยมได้สดับมาว่ามีแม่เนื้อ ๒ ตัว ไปสู่ที่ถ่ายปัสสาวะของดาบส ๒ องค์ในเวลามีระดู ได้ดื่มกินน้ำปัสสาวะอันเจือด้วยสัมภวะของฤๅษี จึงเกิด อิสิสิงคฤๅษี และ สังกิจจฤๅษี เมื่อ พระอุทายี ไปในที่พักของภิกษุณีก็นึกรักนางภิกษุณี จึงได้เพ่งดูนางภิกษุณีนั้น เมื่อเพ่งดูสัมภวะก็ไหลออกมา เวลานั้นนางภิกษุณีกำลังมีระดู จึงอ้าปากรับสัมภวะนั้นแล้วก็ตั้งครรภ์ อยู่มาก็เกิดเป็น พระกุมารกัสสป "

พระนาคเสนจึงถามต่อไปว่า
" คำที่ว่านี้ มหาบพิตรทรงเชื่อหรือ ? "

" โยมเชื่อ พระผู้เป็นเจ้า "
" เชื่ออย่างไร ? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พืชที่หว่านลงไปในดินที่ทำไว้ดีแล้ว ย่อมงอกขึ้นได้ไวฉันใด การตั้งครรภ์ของนางภิกษุณีนั้นก็ฉันนั้น"
" เป็นอันมหาบพิตรทรงรับว่า การตั้งครรภ์ของ พระกุมารกัสสป มีอย่างนั้นจริงหรือ ? "

" โยมเชื่อว่ามีอย่างนั้นจริง "
" ขอถวายพระพร ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันว่า มหาบพิตรทรงเชื่อแล้วว่า แม่เนื้อนั้นดื่มน้ำปัสสาวะแล้วตั้งครรภ์ "

" เชื่อแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าสิ่งใด ๆ ที่บุคคลดื่มแล้ว กินแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มเลียแล้ว ตกลงไปในดินที่ดี ก็ย่อมงอกขึ้นได้ การตั้งครรภ์ด้วยการดื่มกินน้ำปัสสาวะ ก็มีขึ้นได้ฉันนั้น "
" เป็นอันว่า มหาบพิตรทรงแน่พระทัยแล้วหรือว่า อิสิสิงคดาบส พระกุมารกัสสป เกิดขึ้นด้วยการประชุม ๒ "

" แน่ใจแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #196 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 17:26:30 »



ผู้ที่เกิดขึ้นด้วยการประชุม ๓

" ขอถวายพระพร สุวรรณสามก็ดี มัณฑพยมาณพก็ดี ได้เกิดขึ้นด้วยการประชุมทั้ง ๓ นั้น คือ ทุกุลดาบส และ นางปาริกาตาปสินี ทั้งสองนี้ได้ยินดีต่อวิเวกอยู่ในป่า มุ่งแสวงหาทางไปเกิดในพรหมโลกไม่นึกเกี่ยวข้องกับทางโลกเลย แต่คราวนั้น พระอินทร์ ทรงเล็งเห็นว่าต่อไปข้างหน้าคนทั้งสองนั้นจักเสียจักษุจึงได้กล่าวขึ้นว่า

" ขอท่านทั้งสองจงกระทำตามถ้อยคำของข้าพเจ้าสักอย่างหนึ่งเถิด คือขอให้ท่านทั้งสองจงทำให้เกิดบุตรสักคนหนึ่ง บุตรจักได้ปรนนิบัติท่านทั้งสอง"
ดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้นก็ตอบว่า

" อย่าเลยมหาบพิตร อย่าตรัสอย่างนี้เลย "
พระอินทร์ก็ได้อ้อนวอนขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๒ และที่ ๓ ดาบสดาบสินีทั้งสองจึงกล่าวขึ้นว่า

" ถึงแผ่นดินนี้จะถล่มลงไป ท้องฟ้าจักตกลงมา พระยาเขาจักโค่น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์จักตกลงมาก็ตาม เราทั้งสองก็จักไม่ยินดีในโลกธรรม ขอมหาบพิตรอย่ามาหาเราทั้งสองอีก เพราะความคุ้นเคยของมหาบพิตรจะทำให้เราทั้งสองเสีย"

เมื่อพระอินทร์ทรงขออย่างนั้นไม่ได้ จึงตรัสขึ้นว่า
" เมื่อใดดาบสินีมีระดู เมื่อนั้นขอให้ท่านดาบสเอาปลายนิ้วก้อยข้างขวา แตะต้องสะดือของดาบสินี ก็จะเกิดตั้งครรภ์ขึ้น ท่านดาบสจะทำเพียงเท่านี้ได้หรือไม่ ? "

ท่านดาบสตอบว่า
" เพียงเท่านี้พอทำได้ เพราะจะไม่ทำให้เสียศีลเสียธรรมของเรา"

เมื่อดาบสรับอย่างนี้แล้ว พระอินทร์จึงกลับขึ้นสู่สวรรค์ ได้เสด็จไปอ้อนวอนเทพบุตรองค์หนึ่งซึ่งจวนจะจุติ ให้ลงมาถือกำเนิดในครรภ์ของนางดาบสินี เทพบุตรนั้นก็ไม่ยอมรับ ต่อเมื่อพระอินทร์ทรงอ้อนวอนถึง ๓ ครั้ง จึงยอมรับ

พออยู่มาไม่ช้านางดาบสินีก็มีระดู ดาบสจึงแตะต้องสะดือด้วยปลายนิ้วก้อยข้างขวาตามคำสั่งของพระอินทร์ ก็พอดีเทพบุตรนั้นจุติลงมาถือกำเนิด เป็นอันว่า เทพบุตรนั้นเกิดขึ้นด้วยการประชุม ๓ คือนางดาบสินีเกิดราคะตัณหาในเวลาที่ดาบสเอาปลายนิ้วก้อยแตะต้องสะดือ ๑ มีระดู ๑ วิญญาณของเทพบุตรมาถือกำเนิด ๑

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #197 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 17:34:41 »



เหตุตั้งครรภ์อีก ๔ ประการ

อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายย่อมตั้งครรภ์ด้วยเหตุ ๔ คือ
ด้วยกรรม ๑
กำเนิด ๑
ตระกูล ๑
การอ้อนวอน ๑

ที่เกิดด้วยกรรม นั้น คืออย่างไร...
คือพวกที่ได้สะสมกุศลมูลมาแล้ว ย่อมได้เกิดในตระกูลกษัตริย์มหาศาล หรือพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล หรือเกิดเป็นเทพเจ้าหรือเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามประสงค์ เปรียบเหมือนผู้มั่งมี จะซื้อสิ่งใดก็ซื้อได้ตามประสงค์ ฉะนั้น

ที่เกิดด้วยกำเนิด นั้น คืออย่างไร...
คือพวกไก่ป่าย่อมตั้งท้องด้วยถูกลมพัด ฝูงนกยางย่อมตั้งท้องด้วยได้ยินเสียงฟ้าร้อง ส่วนเทพยดาทั้งหลายนั้นไม่ได้เกิดในครรภ์ เป็นอันว่าการตั้งครรภ์ของสัตว์ทั้งหลายย่อมมีต่าง ๆ กัน เหมือนกับกิริยาของมนุษย์ทั้งหลาย ที่ต่าง ๆ กันด้วย การนุ่งห่ม การแต่งตัว เป็นต้น ฉะนั้น

ที่เกิดด้วยอำนาจตระกูล นั้น คืออย่างไร...
คือตระกูลที่มีอยู่ ๔ อันได้แก่

ตระกูลเกิดในฟองไข่ ๑
ตระกูลเกิดในท้อง ๑
ตระกูลเกิดในเหงื่อไคล ๑
ตระกูลเกิดเอง ๑
สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดในตระกูลทั้ง ๔ นี้

ที่เกิดด้วยอำนาจการขอ นั้น คือตระกูลที่ไม่มีบุตร แต่มีทรัพย์สมบัติมาก มีศรัทธา มีศีลธรรมอันดี แล้วอ้อนวอนขอให้มีบุตร ก็มี พระอินทร์ ช่วยอ้อนวอนเทพบุตรองค์ใดองค์หนึ่ง ให้ลงมาเกิดในตระกูลนั้น ขอถวายพระพร สุวรรณสาม ได้ลงมาเกิดในครรภ์ของนางปาริกาตาปสินี ตามคำอ้อนวอนของพระอินทร์ สุวรรณสามนั้นเป็นผู้ทำบุญไว้แล้ว ส่วนมารดาบิดาก็เป็นผู้มีศีลธรรมอันดี พอเหมาะกัน เปรียบเหมือน กับพืชที่หว่านลงในที่ดินที่ดี ก็งอกงามขึ้นได้ฉันนั้น

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #198 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 17:38:15 »



สุวรรณสามเกิดด้วยเนรมิต ๓

" มหาบพิตรได้เคยทรงสดับว่า มีบ้านเมืองพินาศไปด้วยความข่มใจแห่งฤๅษีทั้งหลายบ้างหรือ? "
" เคยได้ยิน พระผู้เป็นเจ้า คือบ้านเมืองของ พระราชาทัณฑกะ พระราชาเมชฌะ พระราชากาลิงคะ พระราชามาตังคะ ได้ถึงความพินาศไปด้วยความขุ่นแค้นของฤๅษีทั้งหลาย"

" ขอถวายพระพร พวกที่ได้ความสุขเพราะใจผ่องใสของฤๅษีทั้งหลายมีอยู่หรือ? "
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นขอจงทรงจำไว้เถิดว่า สุวรรณสามเกิดด้วยใจผ่องใสของสิ่งทั้ง ๓ ที่มีกำลังแรงกล้า คือ ฤๅษีเนรมิต ๑ เทวดาเนรมิต ๑ บุญเนรมิต ๑ อีกประการหนึ่ง เทพบุตรทั้ง ๔ องค์ก็ได้ลงมาเกิดด้วยพระอินทร์ทรงอ้อนวอนเทพบุตรทั้ง ๔ องค์นั้น คือ สุวรรณสาม ๑ พระเจ้ากุสราช ๑ พระเจ้ามหาปนาท ๑ พระเวสสันดร ๑ ขอถวายพระพร "

" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์นี้ พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ไขถูกต้องดีแล้วโยมรับว่าเป็นจริงทุกประการ"

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #199 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 17:42:03 »



ปัญหาที่ ๗ เรื่องอายุพระพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี

สมเด็จพระบรมกษัตริย์ตรัสถามว่า
"ข้าแต่พระนาคเสน ด้วยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า

" ดูก่อนอานนท์ บัดนี้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปี เท่านั้น "
แต่ในเวลาจะปรินิพพาน สุภัททปริพาชก ทูลถาม ได้ตรัสอีกว่า

" ดูก่อนสุภัททะ ถ้าพระภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย "



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #200 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554 17:46:03 »



คำนี้เป็นคำไม่มีเศษ เป็นคำเด็ดขาด

ถ้าสมเด็จพระบรมโลกนาถได้ตรัสไว้ว่า " โลกจักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย " ดังนี้เป็นคำจริงแล้ว คำที่ว่า " บัดนี้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น " ก็ผิด

ถ้าคำว่า " พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น " เป็นคำถูก คำที่ว่า " โลกจักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น " ก็เป็นคำผิด
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ไขให้โยมสิ้นสงสัยด้วยเถิด "

พระนาคเสนถวายวิสัชนาว่า
" ขอถวายพระพร ถูกทั้งสอง คือคำที่สมเด็จพระชินวรตรัสไว้ว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น ก็เป็นคำที่ถูก ส่วนที่ตรัสไว้ว่า ถ้าภิกษุเหล่านั้นยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นก็ถูก

คำทั้งสองนั้นมีอรรถพยัญชนะต่างกัน คำหนึ่งเป็น สาสนปริจเฉท คือ เป็นคำกำหนดพระศาสนา อีกคำหนึ่งเป็น ปฏิปัตติปริทีปนา คือ เป็นการแสดงซึ่งปฏิบัติ เป็นอันว่าคำทั้งสองไกลกันมาก ไกลกันเหมือนแผ่นดินกับแผ่นฟ้า เหมือนนรกกับสวรรค์ เหมือนกุศลกับอกุศล และเหมือนทุกข์กับสุขฉะนั้น

แต่ว่าอย่าให้พระดำรัสถามของมหาบพิตรเป็นโมฆะเลย อาตมาภาพจักแสดงคำทั้งสองนั้น ให้เข้าเป็นอันเดียวกันได้

คือคำที่ตรัสว่า " พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีนั้น " เป็นการกำหนดความตั้งอยู่แห่งพระสัทธรรม คือถ้าภิกษุณีไม่บรรพชา พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี เมื่อพระตถาคตเจ้าตรัสอย่างนี้ ชื่อว่าตรัสถึงความอันตรธานแห่งพระสัทธรรม หรือชื่อว่าปฏิเสธการบรรลุมรรคผล อย่างนั้นหรือ...มหาบพิตร ? "
" ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร เมื่อสมเด็จพระชินวรจะทรงกำหนดสิ่งที่หมดไปแล้ว จะทรงกำหนดสิ่งที่ยังเหลืออยู่ ก็ได้ทรงกำหนดไว้อย่างนั้น เหมือนอย่างบุรุษกำหนดของที่หมดไป ถือเอาของที่เหลือขึ้นแสดงแก่ผู้อื่นว่า ของเราหมดไปแล้วเท่านั้น นี้เป็นส่วนที่ยังเหลืออยู่ฉันใด เมื่อสมเด็จพระจอมไตรจะทรงกำหนดพระศาสนาที่หมดไป ก็ได้ทรงแสดงส่วนที่ยังเหลืออยู่ในท่ามกลางเทพยดามนุษย์ทั้งหลายว่า บัดนี้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น

คำว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น เป็น สาสนปริจเฉท คือเป็นการกำหนดพระศาสนา ส่วนคำที่ตรัสไว้ในเวลาจะปรินิพพานว่า " ถ้าภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย " ดังนี้นั้น เป็น ปฏิปัตติปริทีปนา คือเป็นการแสดงซึ่งปฏิบัติ

ขอมหาบพิตรจงทรงกระทำ ปริทีปนา กับ ปริจเฉท ให้เป็นอันเดียวกัน ถ้ามหาบพิตรพอพระทัย อาตมาภาพจักแสดงถวายให้เป็นอันเดียวกัน ขอมหาบพิตรอย่ามีพระทัยวอกแวก จงตั้งพระทัยสดับให้จงดีเถิด "

บันทึกการเข้า
คำค้น: ท่านเมนานเดอร์ พระนาคเสน ปัญหาธรรม 
หน้า:  1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 20   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.121 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 23 กันยายน 2566 12:41:02