[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
13 พฤษภาคม 2567 11:44:23 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 232 233 [234] 235 236
4661  สุขใจในธรรม / พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก / Re: หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต 'พระบริสุทธิสงฆ์' ที่น่ากราบไหว้ เมื่อ: 17 เมษายน 2553 07:56:58
ไปกราบ 'พระดี' ที่...เมืองนนท์

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

----------------------------




          จ.นนทบุรี มีพื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา สองฟากฝั่งจึงเต็มไปด้วยสวนผลไม้ต่างๆ มากมาย รวมทั้งต้นไม้ใหญ่น้อยที่สร้างความร่มรื่นเป็นอันมาก แม้ทุกวันนี้ความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมือง ได้รุกรานแปรเปลี่ยนที่ดินจากสภาพร่องสวนให้กลายเป็นบ้านที่อยู่อาศัยอย่างหนาแน่นมากขึ้นก็ตาม แต่ยังมีอยู่อีกหลายพื้นที่ที่ยังคงสภาพความเป็นสวน มีต้นไม้ใหญ่ๆ และไม้ผลไม้ดอกให้ความร่มเย็นตลอดเวลา




          โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาณาเขตบริเวณของ สวนทิพย์ บ้านเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่ดินของลูกหลานท่านจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งได้เปิดเป็นร้านอาหารไทย อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นบรรยากาศบ้านสวน ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ทำให้มีอากาศที่สดชื่นอยู่เสมอ

          ด้วยความที่เจ้าของบ้านสวนทิพย์ เป็นผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และมีความเคารพศรัทธานับถือพระเถราจารย์ท่านหนึ่ง ผู้มีวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นอย่างยิ่ง จึงได้จัดมุมหนึ่งของสวนทิพย์ให้เป็นที่พักสงฆ์ขึ้นมา และได้กราบนิมนต์พระเถราจารย์ท่านนี้มาพำนักจำพรรษา เพื่อให้พระเดชพระคุณท่านได้มีสถานที่อันสงบเงียบ และร่มเย็น เหมาะสำหรับเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญจิตภาวนา ได้โดยสะดวก

          พระเถราจารย์ที่ว่านี้ คือ หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต (บัณฑิโต) พระวิปัสสนาจารย์กรรมฐาน (พระป่า) ศิษย์สาย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ผู้มีปฏิปทาอันน่าเคารพศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

          หลวงปู่บุญฤทธิ์ เป็นชาวท่าอิฐ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ท่านเกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๗ ปีขาล มีชื่อเดิมว่า บุญฤทธิ์ จันทรสมบูรณ์ เป็นบุตรของ หลวงพินิจจินเภท และ คุณแส (บุญสืบ จันทรสมบูรณ์)

          โยมแม่เป็นผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก และเป็นผู้ใฝ่ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ที่บ้านจึงมีตู้หนังสือ มีหนังสือต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะหนังสือธรรมะ และบทสวดมนต์ต่างๆ ทำให้หลวงปู่มีนิสัยชอบการอ่านหนังสือมาตั้งแต่เยาว์วัย

          เมื่อเด็กๆ หลวงปู่มีผิวขาว ใบหน้าคล้ายคนฝรั่ง ผมสีแดง จนชาวบ้านชอบล้อท่านว่า เป็นลูกครึ่งฝรั่ง พอโตขึ้นมา ผมสีแดงนั้นค่อยๆ กลายเป็นสีดำ

          พอโตขึ้นมาหน่อย หลวงปู่ถูกส่งตัวเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล สามเสน ได้เลขประจำตัว ๗๒๒ ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่จึงมีความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นอย่างดี มาตั้งแต่เด็กๆ

          ต่อมาท่านได้สอบชิงทุน ก.พ. ไปเรียนวิชาโบราณคดีที่ฮานอย เวียดนาม พอเรียนจบแล้วได้เดินทางกลับเมืองไทย เข้าทำงานที่ห้องสมุดแห่งชาติ (เก่า) โดยมี พระยาอนุมานราชธน เป็นหัวหน้า และหลวงวิจิตรวาทการ เป็นอธิบดีกรมศิลปากร

          หลังจากนั้นไม่นาน ท่านได้สอบเข้าทำงานที่กองการต่างประเทศ (สมัยนั้นขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย) ตำแหน่งล่ามภาษาฝรั่งเศส ทำงานอยู่ได้ระยะหนึ่ง ได้รับคำสั่งให้ไปประจำที่ จ.พระตะบอง (สมัยนั้นยังเป็นของไทย ปัจจุบันอยู่ในเขมร)




          ช่วงนั้นกำลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลวงปู่ทำงานอยู่ได้ ๖ เดือนก็ย้ายกลับเข้ากรุงเทพฯ ๑ ปีต่อมาได้ย้ายไปอยู่ที่ จ.พระตะบอง อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับทำหน้าที่ล่ามประจำจังหวัดหนองคาย

          และที่นี่เอง ที่หลวงปู่ได้รู้จักกับ คุณนายละเมียด สัชฌุกร ได้สนทนากันเรื่องพระพุทธศาสนา ซึ่งหลวงปู่กำลังสนใจในเรื่องนี้อยู่ และได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระสูตรที่สำคัญสุดในการภาวนา คือ สติปัฏฐานสูตร แต่หลวงปู่ไม่รู้จักการภาวนา และการปฏิบัติก็ยังไม่มี           

          คุณนายละเมียด ท่านนี้เป็นลูกศิษย์ของ พระอาจารย์กู่ ธัมทินโน วัดป่าทุ่งสว่าง อ.เมือง จ.หนองคาย ผู้เป็นศิษย์รุ่นแรกของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ลี ฯลฯ

          พร้อมกันนั้น คุณนายละเมียดได้พาหลวงปู่ไปหาพระอาจารย์กู่ ที่วัดป่าทุ่งสว่าง วัดเล็กๆ มีศาลาอเนกประสงค์หลังน้อยๆ หลังคามุงสังกะสีผุๆ ไม่มีฝา ขณะนั้นมีชาวบ้านกำลังนั่งฟังเทศน์จากพระอาจารย์กู่ หลวงปู่ก็เข้าไปนั่งฟังด้วย

          พอท่านเทศน์จบ หลวงปู่ได้สอบถามปัญหาธรรมะต่างๆ อย่างพรั่งพรู  โดยหลวงปู่บอกว่า...เหมือนยิงลูกศรไปในอากาศ...มีแต่ความว่าง พระอาจารย์กู่ ท่านไม่มีอารมณ์เลย ท่านไม่มีขัดข้องอะไร มีแต่ความเมตตา ใจเย็นสม่ำเสมอ สบาย นี่ถ้าเป็นพระบางรูป คงจะโกรธแล้ว นึกในใจว่า... พระรูปนี้ไม่ใช่พระธรรมดาเสียแล้ว

          ตรงนี้ทำให้หลวงปู่มีความประทับใจพระอาจารย์กู่มาก จึงได้ไปสนทนากับท่านบ่อยๆ จนเกิดศรัทธาอยากจะบวชขึ้นมาทันที ขณะนั้นเป็นปี ๒๔๘๙ โดยประกอบพิธีบรรพชาอุปสมบทที่วัดศรีเมือง จ.หนองคาย มีท่านพระครูเจ้าอาวาสวัดศรีเมือง และเจ้าคณะจังหวัด (ธรรมยุต) เป็นพระอุปัชฌาย์ (ต่อมาท่านพระครูรูปนี้ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระธรรมไตรโลกาจารย์ เจ้าคณะภาค)

          หลังจากนั้น หลวงปู่ซึ่งเป็นพระบวชใหม่ได้ไปอยู่จำพรรษากับพระอาจารย์กู่ ที่วัดป่าอรุณรังษี อยู่หลังเรือนจำ นอกเมืองหนองคาย อันเป็นอีกวัดหนึ่งที่พระอาจารย์กู่ปกครองดูแลอยู่ในสมัยนั้น

          หลวงปู่เริ่มปฏิบัติธรรมภาวนาทันที โดยมีพระอาจารย์กู่คอยให้คำแนะนำ และเมื่อปฏิบัติบ่อยๆ เข้าก็เกิดความปีติ มีความรู้สึกว่า การปฏิบัติธรรมภาวนา ทำให้จิตสงบ เป็นความสุขที่หาไม่ได้ง่ายนัก

          มาถึงตรงนี้ หลวงปู่คิดว่า เราสบายแล้ว ไปเที่ยวธุดงค์ดีกว่า ไปนานหรือไม่นานก็ไม่เป็นไร ช่วงนั้นหลวงปู่มีอายุ ๓๑ ปี ใจก็คิดอยากบวชไปนานๆ เลยทำหนังสือขอลาออกงานราชการ

          เรื่องราวของหลวงปู่บุญฤทธิ์ น่าสนใจและน่าเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะชีวิตในสมณเพศของท่าน ที่ได้มุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมภาวนา แบบถวายชีวิตต่อพระพุทธศาสนา จนได้พบกับพระคณาจารย์สำคัญๆ ที่ล้วนเป็นพระป่า ศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลายท่านด้วยกัน

          ตลอดเวลาที่หลวงปู่บวชเป็นพระกว่า ๖๐ ปี มีเรื่องอันน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมภาวนา การเดินธุดงค์ไปทั่วทุกแห่งหนในเมืองไทย รวมทั้งการเป็นพระธรรมทูต ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ รวมทั้งอบรมการปฏิบัติธรรมภาวนา เริ่มจากออสเตรเลีย (พ.ศ.๒๕๑๗) เม็กซิโก สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน เบลเยียม ฯลฯ

          ทุกเรื่องราวที่ผ่านมา หลวงปู่ได้ทำบันทึกไว้อย่างละเอียด และได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือ เสียงจากปากเกร็ด หนากว่า ๓๐๐ หน้า จัดพิมพ์มาแล้ว ๘ ครั้ง โดยคณะศิษยานุศิษย์ และผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ร่วมบริจาคปัจจัยเป็นทุนการจัดพิมพ์เผยแพร่




          หลวงปู่ได้กลับมาอยู่เมืองไทยเมื่อ ๕ ปีก่อน จนถึงทุกวันนี้ โดยพำนักอยู่ที่ ที่พักสงฆ์สวนทิพย์ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

          การเดินทางที่สะดวกสุด เริ่มจากท่าน้ำ ห้าแยกปากเกร็ด ซึ่งทุกวันนี้มี สะพานพระรามที่ ๔ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา พอเลี้ยวยูเทิร์นใต้สะพานช่องสุดท้ายแล้ว ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสุขประชาสรรค์ (ทางไปวัดกู้) ระยะทางประมาณ ๑.๗ กม. จะเห็นป้าย สวนทิพย์ อยู่ซ้ายมือ ให้เลี้ยวเข้าไปได้เลย (หากไปไม่ถูกสอบถามได้ที่โทร.๐๘-๑๘๑๖-๑๖๑๙)

          ท่านที่จะไปกราบหลวงปู่ ขอให้ศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้ดี โดยเฉพาะเวลาที่จะเข้าพบหลวงปู่ ที่คณะศิษยานุศิษย์ได้กำหนดไว้ ๔ ช่วง คือ ตอนเช้าเวลา ๐๘.๑๕ น. ตอนเที่ยงเวลา ๑๑.๑๕ น. ตอนบ่ายเวลา ๑๕.๐๐ น.  และตอนค่ำเวลา ๒๐.๐๐ น. ๒ เวลาช่วงหลังนี้ หลวงปู่จะเมตตาอบรมให้ญาติโยมนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมภาวนา
          นอกเหนือจากนี้ เป็นเวลาพักผ่อนของหลวงปู่ เนื่องจากมีอายุมากแล้ว (๙๖ ปี) จึงควรจะช่วยกันรักษาธาตุขันธ์ของหลวงปู่ให้ได้อยู่กับศรัทธาญาติโยมไปนานๆ

 
 
http://www.oknation.net/blog/laemkcl/2010/04/13/entry-1
4662  สุขใจในธรรม / พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก / หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต 'พระบริสุทธิสงฆ์' ที่น่ากราบไหว้ เมื่อ: 17 เมษายน 2553 07:55:05


หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต

'พระบริสุทธิสงฆ์' ที่น่ากราบไหว้

----------------------------

          หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต ที่พักสงฆ์ "สวนทิพย์" อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ท่านบวชเมื่อปี ๒๔๘๙ หลังจากที่ได้อยู่จำพรรษากับ พระอาจารย์กู่ ที่วัดป่าอรุณรังษี อ.เมือง จ.หนองคาย ระยะหนึ่งแล้ว ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง แล้วจึงกลับไปอยู่ที่วัดสุปฏินาราม จ.นครราชสีมา จากนั้นได้ไปอยู่ที่วัดป่าลุมพุก จ.อุบลราชธานี รู้สึกพอใจสภาพของวัดนี้มาก จึงได้ฝึกปฏิบัติธรรมภาวนา และเรียนรู้เรื่องของปฏิจจสมุปบาทตอนต้น จนได้ปัญญา ทำให้ความคิดที่อยากจะลาสิกขา หายไปจนหมดสิ้น ตั้งใจว่า จากนี้ไปจะขออยู่ในสมณเพศไปตลอดชีวิต

          ต่อมาท่านได้เดินทางไปอยู่กับ พระอาจารย์ลี ธัมมธโร  (ศิษย์รุ่นที่ ๒ ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) ที่วัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี พอออกพรรษาปี ๒๔๙๑ ท่านได้เดินทางไป จ.เชียงใหม่ พักที่วัดเจดีย์หลวง พอถึงวันวิสาขบูชา มีพระป่าสายกรรมฐาน ศิษย์พระอาจารย์มั่น ร่วม ๑๐๐ รูป มาชุมนุมกันที่นั่น นับเป็นโอกาสอันดีที่หลวงปู่จะได้พบกับพระผู้ใหญ่หลายรูป อาทิ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ฯลฯ

          สำหรับ หลวงปู่ชอบ นับเป็นศิษย์รูปสำคัญของพระอาจารย์มั่นท่านหนึ่ง โดยมีผู้ยกย่องว่า ท่านเป็นผู้มี อภิญญา สูงมาก

          คำว่า 'อภิญญาสูงมาก' นี่เอง ที่ทำให้หลวงปู่บุญฤทธิ์เกิดความศรัทธานับถือ จึงได้เดินทางไปขอพบเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์

          ขณะนั้นหลวงปู่ชอบ จำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าบ้านยางผาแด่น อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ อันเป็นวัดเล็กๆ (สำนักสงฆ์) ที่ท่านได้สร้างขึ้น ในหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง อยู่บนภูเขาสูง กลางดงป่าใหญ่ ทุรกันดารมาก ไม่มีทางรถไปถึง การเดินทางต้องบุกป่าฝ่าหนามปีนเขาขึ้นไปเท่านั้น

          พระผู้ใหญ่หลายท่านที่ได้ทราบข่าว ต่างพากันห้ามหลวงปู่บุญฤทธิ์ว่า อย่าไปเลย เพราะหนทางลำบากมาก โหดสุดๆ แต่ท่านก็ไม่เชื่อฟัง โดยได้ตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่แล้วว่า จะต้องเดินทางไปให้ถึงจนได้

          หลวงปู่บุญฤทธิ์ บันทึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า... "ญาติโยมได้ว่าจ้างคนหามของ บุกไป พื้นดินเป็นแต่ขี้โคลนครึ่งเข่า เดินขึ้นเขาสูงครึ่งวัน ทั้งวันจะหารอยเท้าคน รอยเท้าสัตว์ ไม่มีเลย ทางไปลำบากมาก วนเดินหลงป่าอยู่ ๒ หน ไปถึงวัดหลวงปู่ชอบเอาเกือบค่ำ แอบบ่นในใจว่า...แหมท่านอาจารย์ ทำไมมาอยู่ที่ยากอย่างนี้หนอ..."

          พอไปถึง ได้พบกับหลวงปู่ชอบแล้ว ท่านก็ได้จุดเทียนอธิษฐาน ปวารณาขอจำพรรษาบนเขาสูง วัดป่าบ้านยางผาแด่น กับ หลวงปู่ชอบ ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ในปีนั้น (พ.ศ.๒๔๙๓) โดยได้ทำหน้าที่ถวายอุปัฏฐากหลวงปู่ชอบทุกอย่าง ขณะเดียวกันก็ได้รับคำแนะนำสั่งสอนในการปฏิบัติธรรมกรรมฐานจากหลวงปู่ชอบด้วย

          ต่อมา เมื่อออกพรรษา หลวงปู่ชอบได้ลงไปจากเขา ส่วนหลวงปู่บุญฤทธิ์ยังอยู่ต่อไปเพียงรูปเดียว เพราะท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้วว่า จะขออยู่บนนี้ ๓ ปี จึงต้องทำตามที่ได้ตั้งใจอธิษฐานไว้

          ในพรรษาที่ ๒ ท่านพ่อลี ธัมมธโร ได้ขึ้นมาอยู่บนเขานี้ด้วย และได้สอนให้หลวงปู่บุญฤทธิ์นั่งสมาธิแบบปฏิภาคนิมิต อานาปาณสติกรรมฐาน คือ การทำสมาธิโดยกำหนดลมหายใจเข้าออก ซึ่งท่านพ่อลีเป็นผู้เชี่ยวชาญทางนี้มาก

          หลวงปู่บุญฤทธิ์ได้ปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่บนเขาบ้านยางผาแด่น จนครบ ๓ ปี ตามที่ได้อธิษฐานไว้ หลังจากนั้นท่านได้ลงมาจากเขาสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ โดยได้เดินทางไปอยู่วัดโน่นบ้าง วัดนี้บ้าง ที่เป็นวัดป่าสายพระอาจารย์มั่น ในหลายๆ จังหวัด เป็นเวลาหลายปี รวมทั้งได้ไปดูแลการก่อสร้างวัดป่าที่ จ.สตูล อีกด้วย

          พ.ศ.๒๕๑๗ หลวงปู่ได้รับหน้าที่ให้เป็นพระธรรมทูต ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่ประเทศออสเตรเลีย รวมทั้งการสอนปฏิบัติธรรมภาวนา เผยแผ่ให้ทั้งคนไทยในออสเตรเลีย และชาวต่างชาติที่สนใจ รวมทั้งได้เขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติธรรมภาวนา ที่เป็นชาวต่างชาติได้เรียนรู้เข้าใจง่ายขึ้น




          และที่ออสเตรเลียนี้เอง ที่ คุณแซม ชาวออสเตรเลีย เกิดความศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่มาก จึงได้ถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ติดตามรับใช้หลวงปู่ ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็ตาม  คุณแซมได้ติดตามหลวงปู่มาจนถึงทุกวันนี้ รวมเวลาได้ ๒๐ ปี คุณแซมจึงสามารถพูดภาษาไทยฟังภาษาไทยได้เป็นอย่างดี

          เรื่องราวเหล่านี้ หลวงปู่บุญฤทธิ์ได้บันทึกไว้แล้วอย่างละเอียด ในหนังสือ "เสียงจากปากเกร็ด" ซึ่งผู้ไปกราบไหว้ท่านที่ สวนทิพย์  สามารถขอรับได้ โดยขอให้ช่วยกันบริจาคปัจจัยสมทบทุนค่าจัดพิมพ์ เพียงเล่มละ ๑๐๐ บาทเท่านั้น (หนังสือขนาด เอ ๔ หนากว่า ๓๐๐ หน้า) เป็นหนังสือที่น่าอ่านน่าศึกษามาก โดยเฉพาะผู้ที่ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน

          นอกจากนี้ หนังสือ เสียงจากปากเกร็ด เล่มนี้ ยังมีบทพระธรรมเทศนา ทั้งที่เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ รวมทั้งลายมือของหลวงปู่อีกด้วย แสดงถึงความอุตสาหะ ที่หลวงปู่ได้ตั้งใจบันทึกไว้ เพื่อจะได้สอนลูกศิษย์รุ่นต่อๆ ไป

          การไปกราบไหว้หลวงปู่บุญฤทธิ์ ที่ "สวนทิพย์" ปากเกร็ด นั้น แม้ว่าจะเป็นที่ดินส่วนบุคคล แต่เจ้าของสถานที่ก็ยินดีให้ผู้เคารพศรัทธาหลวงปู่เข้าไปกราบไหว้ได้โดยสะดวก ไม่มีการกีดกันแต่ประการใด เพียงแต่ขอให้ไปในช่วงที่ได้กำหนดเวลาไว้แล้ว คือ ตอนเช้า ๐๘.๑๕ น. ตอนเที่ยง ๑๑.๑๕ น. เพื่อให้หลวงปู่มีเวลาพักผ่อนบ้าง ส่วนตอนบ่าย ๑๕.๐๐ น. และตอนค่ำ ๒๐.๐๐ น. เป็นเวลาที่หลวงปู่เมตตาอบรมให้ญาติโยมนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมภาวนา

          ทุกวันนี้ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีจริยวัตรที่น่าเคารพศรัทธาเลื่อมใส เป็นพระแท้พระบริสุทธิ์ น่ากราบไหว้  นับวันจะหายาก...เมื่อได้มาพบเห็น หลวงปู่บุญฤทธิ์  ก็มั่นใจได้เลยว่า นี่คือ...พระบริสุทธิสงฆ์ ที่น่ากราบไหว้ที่สุด...ในยุคนี้

         

0 แล่ม จันท์พิศาโล 0

********************* 
4663  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : จิตวิญญาณ-เมื่อแก่นของศาสนากับวิทยาศาสตร์พบกัน เมื่อ: 13 เมษายน 2553 08:21:18

 
ทำไม?   ศาสนากับวิทยาศาสตร์ถึงพูดจากันไม่ได้?  ทั้งๆ  ที่ทั้ง  2  วินัยต่างก็อธิบายธรรมชาติด้วยกันว่าคืออะไร?  ทำงานอย่างไร?  และทำไมถึงมีธรรมชาติขึ้นมาในโลก?   บทความวันนี้จะแสดงให้เห็นตรงกันข้าม  ซึ่งความรู้สึกและประสบการณ์ที่เรามีขึ้นมาตั้งแต่ต้น   ตั้งแต่มนุษย์คนแรกเกิดขึ้นมาบนโลกแล้วค่อยๆ  สะสมปรากฏการณ์มาตลอดเวลาในอดีต  นั่นคือมนุษย์แยกออกจากธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง   เมื่อมนุษย์ละทิ้งต้นไม้และป่าเขา  มาอยู่ที่ราบและลุ่มน้ำ   นั่นคือความรู้สึกอันแรกสุดของมนุษย์ที่กลายเป็นความเชื่อหรือความรู้ในตอนนั้น  แต่ถ้าหากเรามองดูเรื่องทั้ง  2  ในเรื่องศาสนาและวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดและรอบด้านก็จะพบว่ามนุษยชาติเป็นเผ่าพันธุ์เดียวท่ามกลางสัตว์ที่มากหลายนับเป็นล้านๆ  เผ่าพันธุ์  -  ที่เรารู้ด้วยวิทยาศาสตร์ว่ามนุษยชาติก็เป็นสัตว์ที่ได้มีวิวัฒนาการทางชีววิทยาของชีวิตมาจนถึงจุดสุดยอดที่ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงหลากหลายเหล่านั้น  -  เพียงเพราะอย่างเดียวโดดๆ  นั่นคือ  มนุษย์เป็นสัตว์โลกประเภทเดียวหรือเผ่าพันธุ์เดียวที่รู้ว่าตนมีจิตของตนแตกต่างไปจากสัตว์ทั้งหลายที่  -  จิตรู้เพราะ  -  ตนคือผู้ที่รู้นั้น

     ผู้เขียนไม่ได้และไม่เคยดูถูกดูแคลนผู้ที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ที่เคร่งศาสนา   หรือเป็นผู้ที่คิดว่าตัวเองรู้เรื่องอะไรๆ  ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาของตน  หรือศาสนาที่ตนนับถืออยู่  ไม่ว่าศาสนาอะไร   รวมทั้งพุทธศาสนา   แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าคนไทยผู้ที่นับถือพุทธเป็นส่วนใหญ่ที่คิดว่าตนรู้จักพุทธศาสนาดีหรือเป็นพุทธมามกะเหล่านั้นจะรู้จักแก่นแกนที่แท้จริงของพุทธศาสนาสักกี่เปอร์เซ็นต์   หรือมีจำนวนเท่าใด  ซึ่งซีดีของหลวงพ่อปราโมช  ครูผู้สอนวิปัสสนาสมาธิบอกว่า  ไม่รู้ว่าทั่วประเทศไทยจะมีถึงหมื่นๆ  คนหรือไม่?

     ที่หลวงพ่อปราโมชกล่าวมานั้นสำคัญทีเดียว  นั่นแปลว่าผู้นับถือพุทธของบ้านเราที่มีมากกว่า  50  ล้านคน  ล้วนแล้วแต่  -  หากไม่ใช่เพราะเกิดในประเทศไทยที่คนส่วนใหญ่มากๆ  นับถือพุทธ  ฉะนั้นจึงเป็นพุทธอยู่แล้ว  ต้องถือว่าอย่างดีก็รู้จักแต่กระพี้ของพุทธศาสนา  ดี  -  ไม่ดี  -  รู้จักแต่อะไรก็ไม่รู้?!  -  เพราะฉะนั้น  ที่อ้างกันว่าคนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นผู้รู้พุทธศาสนาเป็นอย่างดี   แต่ความจริงแล้วบ้านเราล้วนเต็มไปด้วยผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นไปเช่นนั้นโดยอัตโนมัติ  หรือไม่ก็มีแต่ผู้ที่มีความงมงายไสยศาสตร์ปราศจากแก่นแกนของศาสนาเลยแม้แต่น้อย  อย่าลืมว่าพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่เกิดมาในลัทธิพระเวทกับลัทธิก่อนพระเวท  (pre-vedic  culture)  ที่มีมาก่อนพุทธศาสนานานนับเป็นพันๆ  ปี  และลัทธิพระเวท  -  ก่อนพระเวทที่มีมาก่อนนานนักหนานั้น  มีอยู่  2  ส่วน  คือ  พรหมนาส  (brahmanas  หรือวิถีชีวิตในบ้านในเมือง)  กับอรัญยากา  (aranyaka  หรือวัฒนธรรมในป่าในเขา)  ส่วนหนึ่งหรือครึ่งหนึ่ง  ได้แก่  พรหมนาสทั้งหมดและอรัญยากาส่วนน้อยนิด  ซึ่งด้วยกาลเวลา  -  ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นศาสนาพราหมณ์อันประกอบด้วยพิธีกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่มากๆ   ได้ทำให้นักปรัชญาปัญญาชนและนักคิดของอินเดียทั้งหลายในตอนนั้นอึดอัดใจ  รวมทั้งพระพุทธองค์ก่อนที่จะได้บรรลุนิพพาน   บรรดานักคิดนักปรัชญาเหล่านี้จึงเชื่อว่าต้องแสวงหาความจริงที่แท้จริง  -  ของธรรมชาติที่มองเห็น  เช่น  จักรวาล  โลก  ภูเขา  และวัตถุธาตุอย่างหนึ่ง  กับธรรมชาติที่มองไม่เห็น  เช่น  จิต  จิตวิญญาณ  พระเจ้าและเทพเทวดาอีกอย่างหนึ่ง  ล้วนอีกครึ่งหนึ่งหรือส่วนหนึ่ง  ได้แก่  อรัญยากา  หรือการปฏิบัติตามป่าตามเขา  ซึ่งนักคิดนักปรัชญาสนใจมากกว่าการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงแท้  ด้วยวิธีการภายในท่ามกลางความสงบของธรรมชาติของป่าของเขา  (การทำสมาธิ)  หรืออรัญยากาอันเป็นวิธีที่ทำให้ผู้ปฏิบัติด้วยความตั้งใจจริงๆ  อาจสามารถเข้าถึงความจริงแท้ได้  อรัญยากาและการทำสมาธิหรือโยคะจึงเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงที่แท้จริงและหลุดพ้นได้  อรัญยากาที่เน้นเฉพาะการทำสมาธิสู่การหลุดพ้น  (transcendence)  หรือตรัสรู้  (enlightenment)  จึงยังคงเป็นวิถีปฏิบัติของทุกศาสนาที่เกิดจากลัทธิพระเวท  รวมทั้งศาสนาพราหมณ์  เช่น  ของมหาวีระ  และพุทธศาสนา  ฯลฯ

 
     คัมภีร์  หรือฤคเวททั้ง  4  เวท  และอุปานิษัทที่ตามมาของลัทธิพระเวท  (ที่พัฒนามาเป็นศาสนาพราหมณ์สายตรง)   ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่ได้มาจากปรัชญาบวกกับญาณ   หยั่งรู้   (intuition  หรือปัญญาในทางศาสนา  อันหมายถึง  ภาวนามัยปัญญาที่เป็นพื้นฐานของ  wisdom)  บวกกับความเชื่อศรัทธาและพิธีกรรมของพระเจ้าผู้สร้างตามพรหมนาส  -  ที่นับวันก็ยิ่งมีมากมายยิ่ง  จนกระทั่งนักคิดนักปรัชญาหลายๆ  คนอึดอัดใจ  รวมทั้งพระพุทธเจ้าดังได้กล่าวมาแล้ว  -  เรารู้มาว่าในสมัยที่พระพุทธองค์ก่อนจะได้หลุดพ้นและการตรัสรู้นั้น  พระองค์ได้ทรงศึกษาลัทธิพระเวททั้งหมด  รวมทั้งอุปานิษัท  (ที่มีอยู่ในสมัยนั้นเพียง  5  เล่ม  และเขียนเสร็จในช่วงต่อมาในขณะที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่อีก  3  เล่ม  อย่างช่ำชองยิ่ง)  และจากที่พระองค์ได้ศึกษามาทั้งลัทธิพระเวทและจากคัมภีร์และหนังสือทั้งของอินเดียโบราณและจากที่อื่นๆ  เท่าที่มีอยู่ในสมัยนั้น  พระองค์จึงเป็นผู้ที่รอบรู้ในความรู้ทั้งหมดของโลกอย่างแท้จริง  สมกับสมญานามที่ทุกๆ  คนเรียกหาพระองค์ว่าเป็นสัพพัญญูชนของโลก

     ไม่มีใครรู้ว่า  ใครที่อินเดียเป็นผู้เขียนหรือรวบรวมลัทธิพระเวท  และโดยเฉพาะวัฒนธรรมก่อนพระเวท   (pre-vedic  culture)  มาจากไหน?  หนึ่งในข้อสันนิษฐานที่น่าจะเอามาคิดต่อ  มีว่าวัฒนธรรมก่อนพระเวทไม่ได้มาจากเอเชียกลางหรือเผ่าอารยัน  แต่มาจากแอฟริกา  มาตั้งแต่ทะเลอาหรับยังเป็นพื้นดิน  ซึ่งหมายความว่าเมื่อความหนาวเย็นของยุคน้ำแข็ง  (ice-age)  ครั้งสุดท้ายถึงจุดสูงสุด  เมื่อแผ่นดินอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึงกว่า  400  ฟุต  เมื่อ  18,000  ปีก่อน  ซึ่งเป็นช่วงก่อนตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานบ้านช่องของมนุษย์ตามที่นักโบราณคดีวิทยาศาสตร์เชื่อ

     ก่อนไอน์สไตน์  -  กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับบทความของวันนี้  คือ  ไบรอัน  กรีนแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย  กับมิชิโอะ  กากุแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กซิตี  นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และนักจักรวาลวิทยา  ต่างกรรมต่างวาระกัน  (2004  and  2005)  ทั้ง  2  คนต่างก็ได้เขียนหนังสือที่ขายดีมากๆ  คนละเล่มเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่  ทฤษฎีซูเปอร์สตริง  และมิติของจักรวาล  เพราะฉะนั้นก่อนไอน์สไตน์ไปหลายพันปี  ศาสดาของลัทธิพระเวทได้บอกกับเราตลอดมาว่า  จักรวาลมีกลุ่มของมิติ  (หรือภูมิ  หรือชั้นของชีวิต  หรือที่ว่างของการดำรงอยู่)  ออกเป็นกลุ่มๆ  โดยมีมิติเกี่ยวกับสถานที่หรือที่ว่างโดยตรง  3  กลุ่ม  และมิติที่เวลาเกี่ยวกับอย่างน้อยอีก  3  กลุ่ม  ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่ามีความสอดคล้องกับพุทธศาสนาที่มาจากลัทธิพระเวทเหมือนกัน   เรา - ท่านและผู้ที่อยู่ในพุทธศาสนาทุกๆ  คนรู้ดีว่าภูมิหรือระดับจิตหรือขั้นของชีวิตจิตรู้นั้นจะประกอบด้วยกลุ่ม  6  กลุ่ม  ดังนี้คือ  อบายภูมิ  (4)  มนุสสภูมิ  (1)  สวรรค์ขั้นต่ำ  (6)   รูปพรหม  หรือสวรรค์ชั้นสูง  (16)  สุทธาวาส  (1)  อรูปพรหม  (4)  เราจะเห็นว่ามนุษยภูมิซึ่งก็คือภูมิ  (หรือมิติแห่งกายกับระดับจิตรู้  ซึ่งเป็นความรู้หรือจักรวาลวิทยาใหม่ในปัจจุบันที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ๆ  ที่สุด  และยอมรับกันจากนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เพียง  10  ปีมานี้เอง)  ภูมิในวิชาจิตวิทยานั้น  ผู้เขียนคิดว่าน่าจะตรงกับชั้น  (stages)  หรือระดับของจิตของชีวิต  หากคิดเช่นนั้น  มนุษย  (มนุสส)  ภูมิ  คือภูมิซึ่งอยู่ระหว่างนรก  (อบาย)  กับสวรรค์  และมนุษยภูมิจะมีความเป็นพิเศษอยู่ที่เป็นมิติทางจิตเพียงภูมิหนึ่งเดียวที่มนุษย์โลกมีหนทางเลือกและเตรียมตัว  (intentional  choice)  ที่จะเลือกหนทางไปนรกหรือสวรรค์  หรือไปสู่มิติที่สูงกว่านั้น  -  ไปตามกรรมของตน  -  มิติของโลกหรือจักรวาลที่มีมนุษย  (1)  นรก  (4)  และสวรรค์  (6)  นั้นจะเป็นมิติที่สัตว์โลกมีรูปร่างกายภาพที่  (physical  ที่มี  space   occupying   property)  ซึ่งทางพุทธเรียกว่า  กามาวจรภูมิ  ซึ่งมิติหรือภูมิเหล่านี้   (ยกเว้นนรกที่เป็นเรื่องของจิต)  จะมีวิวัฒนาการของกายกับจิต  หรือมีมิติของทั้งที่ว่างกับเวลาทั้ง   2  มิติ  ส่วนมิติที่  4  หรือสวรรค์ชั้นสูงภูมิแห่งรูปพรหม  (16)  มิติที่  5  สุทธาวาส  (1)  และมิติที่  6  (4)  เป็นมิติของเวลา  หรือมิติอื่นๆ  ที่ลัทธิพระเวทไม่ได้พูด  จะเป็นมิติแห่งเวลา  (time)  เท่านั้น                                                                                                         
     น่าสนใจที่ศาสนาแห่งลัทธิพระเวทที่ตรงกับพุทธศาสนา  -  ตามที่ผู้เขียนคิดและเชื่อว่าสวรรค์และนรกมีจริงๆ  -  ว่าในมิติที่มีมนุษย์ภูมิลงมาจะเป็นสถานที่ที่เป็นมิติหรือภูมิจะมีแต่วิวัฒนาการทางกายต่อเนื่องหรือชีววิทยา  เพราะฉะนั้น  มิติที่สูงกว่านั้นหรือจากสวรรค์ชั้นหรือรูปพรหมทั้
ง  16  ชั้น  สุทธาวาส  และอรูปพรหมอีก  4  ชั้น  จะเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ  จึงไม่จำเป็นต้องมีมิติของ  ที่ว่าง  (space)  ฉะนั้น  ภูมิหรือมิติที่อยู่สูงกว่าที่กล่าวมานั้น   รวมทั้งที่กล่าวก่อนบรรทัดสุดท้ายว่าต่างเป็นมิติที่มีแต่เวลาอย่างเดียวนั้นจึงล้วนแล้วแต่ไมมีรูปร่างกายภาพ   (physical)   แบบที่เราคิดและรู้จักเลยด้วย  แม้แต่ในชั้นที่เรียกว่า  รูปพรหม   (16)  ก็เป็นเช่น  นั่นก็คือ  ชั้นของสวรรค์ชั้นสูงหรือรูปพรหม  (16)  และชั้นสุทธาวาส  (1)  จะประกอบด้วยแสงที่มีรูปประดุจดาว  (astral)  ที่มีรัศมีน้อย  คืออยู่กับดาวดวงนั้นเท่านั้น  โดยไม่ได้แผ่กระจายสู่ที่ว่างที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วย  มิติที่  6  หรืออรูปพรหมจะมีแสงที่มีรัศมีมากไปทั่วที่ว่างของภูมินั้น  ชั้นต่างๆ  ทั้งหมดจึงเป็นมิติที่มีแต่วิวัฒนาการ  ทั้งกายและจิตที่ต่อเนื่อง  (ระหว่างภพภูมิต่างๆ  ของชีวิต)  ซึ่งในชั้นสูงจะมีแต่วิวัฒนาการเฉพาะจิตวิญญาณ  (spirituality)  ที่ไล่ต่อๆ  ไปถึงนิพพานการตรัสรู้อันเป็นเป้าหมายของการดำรงอยู่ของชีวิตและจักรวาล


     ลัทธิพระเวทบอกว่า   มิติที่  4  จะเป็นมิติของจิตยามฝันที่ตัวเองจะมีความรู้เหนือธรรมชาติอย่างล้ำลึก  และสามารถจะแยกตัวเองเป็น  2  ร่างไปไกลขนาดไหนก็ได้  ทั้งยังมองเห็นได้ไกลเป็นปีที่แสงเดินทางได้ด้วยตาที่   3  เหมือนกับพระอินทร์ส่องดูโลกด้วยกล้องทิพยเนตร  ส่วนมิติที่  5  จะเหมือนกับอยู่กับโลกในระหว่างที่เราฝันและความหลับลึก  พร้อมกับมีความสามารถมองเห็นกาลเวลาที่ห่างไกลได้  และสามารถติดต่อกับมิติต่างได้ด้วยจิต  มิติที่  5  จึงไม่ต้องมีภาษาใช้   ส่วนมิติที่   6  เป็นมิติที่มีอัตตาอหังการแยกออกไปอยู่ต่างหาก  ทำให้รู้จริงๆ   ว่าที่แท้นั้น  แม้แต่อัตตาตัวตนอหังการก็ไม่ใช่ว่าจะมีตัวตนจริง


     ในทางวิทยาศาสตร์ใหม่นั้น  ทฤษฎีสตริง  ซูเปอร์สตริง  และสุดท้าย  เอ็ม-ธีออรี่  (M-theory)   ซึ่งได้มาจากสตริงธีออรี่หนึ่งเดียวกัน  จึงได้เกิดมีจักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่ขึ้นมา  และยอมรับกันเพียงไม่ถึง   10  ปีมานี้เอง  หรือพูดง่ายๆ  ก็คือ  ภายในสหัสวรรษนี้  นั่นคือ  "ทฤษฎีที่อธิบายทุกๆ  สิ่ง  ทุกๆ  อย่าง"  (theory  of  everything)  ซึ่งก็คือแรงที่รวมแรงทั้ง   4  แรงให้เป็นหนึ่งเดียว  (grand  unified  theory)  ที่นักฟิสิกส์ค้นหามานานนักหนา  รวมทั้งอัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  และสตีเฟน  ฮอว์กิง  ทฤษฎีซูเปอร์สตริงบอกว่า  สิ่งที่เราคิดว่าเป็นคลื่นอนุภาค  เช่น  อิเล็กตรอน  ควาก  นิวตริโนส์  ฯลฯ  ซึ่งในสภาพหนึ่งเป็นอนุภาคหรือมีลักษณะที่เป็นจุดนั้น  หากแยกต่อไปโดยทฤษฎีซูเปอร์สตริง  (ซึ่งมีเพียงแต่ทางคณิตศาสตร์อย่างเดียว  เพราะว่าในปัจจุบันนี้  ความรู้หรือเทคโนโลยีสำหรับการทดสอบทางห้องทดลองยังล้าหลัง  การทดสอบทางห้องวิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้)  มันก็จะพบว่ามันแทนที่จะเป็นจุด  มันกลับกลายเป็นสายสตริงที่เล็กละเอียดมาก  -  เพราะเล็กกว่าอะตอมถึง  3  เท่า -  ที่สั่นระรัว  (vibration)  การสั่นระรัวสั่นสะเทือนแต่ละรูปแบบเหมือนกับโน้ตดนตรีที่จะให้อนุภาคแต่ละตัวออกมา  จักรวาลจึงเป็นดุจการประสานเสียง  (harmony)  ของดนตรีที่มีแต่ไวโอลิน  (หรือ  strings)  มากมาย  หรือเป็นซิมโฟนีเราดีๆ  นี่เอง  และโดยทฤษฎีซูเปอร์สตริง  หรือเอ็ม-ธีออรี่   (M = membrane  หรือหนังที่ขึงหน้ากลอง)  ที่อธิบายเพิ่มเติมว่า   จักรวาลนั้นไม่ใช่มีเพียงหนึ่งเดียวคือจักรวาลของเราเท่านั้น  แต่ยังมีจักรวาลอื่นๆ  เยอะแยะไปหมด  (pleuniverses  or  multiverses)  ซ้อนๆ  กับจักรวาลของเรา  เพียงห่างไปเป็นมิลลิเมตรเท่านั้น  แต่เรามองไม่เห็น  เพราะต่างมิติกัน  และทฤษฎีซูเปอร์สตริงยังบอกต่อไปว่า  -  ประหนึ่งเป็นการยืนยันลัทธิพระเวท  -  อาจจะมีทั้งหมด  10  (หรือ  11  มิติของที่ว่างบวก  1  มิติของเวลา)  โดยมิติยิ่งสูงยิ่งสั่นระรัวน้อยจนกระทั่งถึงมิติที่  10  (11)  ถึงจะไม่มีการสั่นหรือแทบจะไม่มีการสั่นเลย   เพราะมิตินั้นคือมิติที่วิวัฒนาการของจิตวิญญาณ
ได้มาถึงจุดสูงสุด   หรือคือนิพพานนั่นเอง  (มีชิโอะ  กากุ)  จากทฤษฎีสตริงและจากลัทธิพระเวท  -  สำหรับผู้เขียน  -  เพียงพอที่จะสรุปได้ว่า  มิติยิ่งต่ำจะมีการสั่นสะเทือนมาก  และอบายภูมิคือสิ่งที่กล่าวมานั้น   ในขณะที่มิติยิ่งสูงยิ่งจะมีวิวัฒนาการของจิตวิญญาณหรือมีการสั่นน้อยลงๆ  และความ  หยาบหรือรูปกายวัตถุ  ก็จะยิ่งน้อยลงด้วย  ด้วยการมองเห็นได้จากสวรรค์ชั้นสูงกับสุทธาวาสและอรูปพรหมจนถึงนิพพาน.
 
http://www.thaipost.net/sunday/110410/20664
4664  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: ใครฆ่าพระเจ้าตาก ฉบับ ภิกษุณีโพธิสัตว์ วรมัย กบิลสิงห์ เมื่อ: 13 เมษายน 2553 07:58:28

 
 
เรื่องการเมืองเข้ามารบกวนพระทัยอยู่จนดึก พอเที่ยงคืนจึงได้ทรง บรรทมหลับ


สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว พะเจ้าตากสินมหาราชบรรทมหลับ จน ยามสาม ทรงได้ยินเหมือนใครเรียกพระองค์ว่า " โพธิสัตว์ ๆ ตื่นเถิด " ครั้นทรงลืมพระเนตรขึ้นก็มิได้เห็นผู้ใด จึงทรงประทับนั่ง และทรง ทำสมาธิแบบโพธิสัตว์ว่า " กวน อิม พ่อ สัก " เป็นองค์ภาวนา ส่วน พระทัยหมายตรึกถึงดอกบัวพระโพธิสัตว์ ท่องพระนามไปครั้งหนึ่ง พระหัตถ์ก็เลื่อนลูกประคำไปเม็ดหนึ่ง จนกว่าพระจิตจะสงบเงียบเป็น ขณิกสมาธิ และเลื่อนขึ้นเป็นอุปจาระสมาธิ แล้วทรงทำจิตให้แน่วแน่ จนเป็นอัปปาสมาธิ


ขณะที่พระจิตอยู่ในสมาธินั้น พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็น สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอมิตาภะเสด็จประทับอยู่เบื้องหน้า ในลักษณะลอย พระองค์อยู่สูงเสมอเศียร ทางเบื้องซ้ายขวาของพระพุทธเจ้าอมิตาภะ พระ อวโลกิเตศวรอรหันต์หรือพระกวนอิม และพระมหาสถามะปราบต์ประทับ อยู่


สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงทอดพระเนตรเห็น แน่ชัดแล้วว่า เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าอมิตาภะ ผู้ทรงเมตตาคุณยิ่งกว่า ผู้ใด พระพุทธเจ้าพระองค์นี้แน่แล้ว ที่ทรงตั้งความปรารถนาไว้เป็นสัจจะ ว่า จะทรงช่วยสัตว์ทุกชีวิต ให้ได้ขึ้นสู่สุขาวดีแดนพุทธของพระองค์ ก่อน พระองค์จึงจะเสด็จเข้าสู่พุทธเกษตรอันสงบ ทรงดีพระทัยเป็น อย่างยิ่ง ก็ทรงกราบทูลเรื่องราวความลำบากที่พระองค์ กำลังทรงได้ รับอยู่นั้น ให้ทราบทุกประการ
 

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอมิตาภะ ทรงสดับเรื่องราวนั้นแล้ว ทรงรับเป็นพระธุระ โปรดให้พระอวโลกิเตศวรช่วยเหลือทันที โดย มีพุทธบัญชาว่า " ขอท่าน จงช่วยโพธิสัตว์เจียนสินศิษย์ของท่านเถิด " แล้วเสด้จกลับพร้อมพระมหาสถามะปราบต์
 
 
พระอวโลกกิเตศวรทรงปรากฏให้สมเด็จพระเจ้าตากสินทอดพระเนตร เห็นในภาคท่านผู้เฒ่าวัย ๙o ปี ซึ่งมีลักษณะเป็นชายแก่สูงอายุ หน้าขาว อวบอูมผิวสะอาดสีขาวอมชมภูอ่อน หนวดขาวยาวถึงอก สวมเสื้อผ้า อย่างผู้เฒ่าที่มีฐานะดี อย่างเดียวกับเมื่อชาติที่ท่านเคยเป็นพระอาจารย์ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในชาติก่อน แล้วถามศิษย์ของท่านว่า " โพธิสัตว์ เจียนสิน จำเราได้ใหม เราคืออาจารย์ของเจ้าตั้งแต่ชาติก่อนๆ อย่างไรเล่า วันี้มาให้เจ้าพบเห็นแก่ตาเพราะรู้ว่าเจ้ามีทุกข์มากนัก เรื่องที่ กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบนั้น พระองค์ทรงทราบก่อนแล้วเพราะ ได้ทรงสอดส่องทราบความทุกข์สุขของผู้ซึ่งระลึกถึงพระองค์อยู่เสมอ "

 
" โพธิสัตว์เจียนสินฟังให้ดีนะ เวลาของเจ้าเหลือน้อยแล้ว จงรีบทำจิตให้ ผ่องใสและออกบรรพชาอุปสมบทโดยเร็ว อย่ายึดติดในสิ่งทางโลกเลย เจ้าได้ช่วยชาติบ้านเมืองและพระศาสนามาพอสมควรแล้ว จงวางมือให้ โพธิสัตว์องค์อื่นเขาทำบ้าง


เรื่องสำคัญที่เจ้าปรารภนั้น เพราะเขาศรัทธาเจ้า เขาจึงอยากช่วย แต่ถ้า ให้เขาช่วยแผ่นดินจะแยกเป็นสองฝ่าย เจ้าก็ไม่ต้องการ เจ้าจงคิดทำ อย่างใดอย่างหนึ่งให้พวกพ้องของเจ้าเขาหมดศรัทธาในตัวเจ้า เขาจะ ได้ไม่มาวุ่นวายในเมืองนี้ คนที่จะมาทำการกู้บ้านเมืองแทนเจ้า คือคน ที่เจ้าตั้งให้เขาเป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลาย เขาเป็นโพธิสัตว์ฝ่ายช่วยบ้าน เมืองเหมือนกัน เขาจะตั้งตัวได้ดีอย่าเป็นห่วงเลย จงห่วงแต่ตัวของเจ้า เองเถิด จวนเวลาแล้ว อีก ๑๘๑ ปี คนจะรักและนับถือเจ้ามาก เรื่อง หมองมัวจะถูกเปิดเผยออกโดยโพธิสัตว์ด้วยกันช่วยเหลือ
 
 
เจ้าจงคิดอ่านทำให้คนหมดศรัทธาในตัวเจ้า แล้วหนีออกไปอุปสมบทเสีย จะได้กุศลเพิ่มขึ้น เพราะการลงมาครั้งนี้ ได้กุศลก็จริงบาปอยู่ "


สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าตากสินมหาราชทรงแปลกพระทัยว่า พอคิด ว่าจะทรงถาม พระอาจารย์ท่านก็ตอบก่อนทุกที เหมือนท่านทรงทราบเรื่อง ในพระทัยทุกอย่าง แล้วท่านก็รีบตอบ ( เพราะถ้าให้ถามจิตที่กำลังอยู่ใน สมาธิก็จะเคลื่อน ทำให้เห็นภาพพร่าหรือมัวไป และถ้าจิตเคลื่อนออกจาก สมาธิมาก ภาพพระอาจารย์และเสียงนั้นก้จะหายไปด้วย ท่านจึงรีบตอบ โดยไม่ต้องถาม )


สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงจดข้อความซึ่ง พระอาจารย์สอนไว้ แล้ว ทรงพิจารณาเป็นข้อ ๆ เวลานั้นจวนจะรุ่งอยู่แล้ว จึงตรัสเรียกพระยาธิ เบศร์มาเฝ้า ทรงสั่งด้วยพระเสียงน้อย ๆ พระยาธิเบศน์ก็กราบถวายบัง คมกลับออกไป

 
- บางส่วนจาก ใครฆ่าพระเจ้าตาก -
-ฉบับ หลวงย่า ภิกษุณีวรมัย กบิลสิงห์ -
4665  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: ใครฆ่าพระเจ้าตาก ฉบับ ภิกษุณีโพธิสัตว์ วรมัย กบิลสิงห์ เมื่อ: 13 เมษายน 2553 07:53:39

 
 
( เรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเข้าพระกรรมฐานนี้ในหนังสือพระราช พงศาวดารมีอยู่หน้า ๑๕o - ๑๕๑ มีใจความดังต่อไปนี้ )
 
 
ครั้น ณ วันจันทร์ ขึ้นแปดค่ำ เดือนอ้าย สามเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชศรัทธาเสด็จขึ้นไปทรงเจริญพระกรรมฐาน ณ พระอุโบสถ วัดบางยี่เรือใต้ แล้วทรงพระราชอุทิศถวายเรือโขมดปิดทองทึบหลังหนึ่ง หลังคาบัลลังก์คาดสีสักหลาดเหลืองคนพายสิบคน พระราชทานเงินตรา คนละสองตำลึง และผ้าขาวให้บวชเป็นปะขาวสำหรับพระอาราม แล้ว ทรงถวายหีบปิดทองคู่หนึ่ง สำหรับใส่พระไตรปิฎกและวิธีอุปเทศพระ กรรมฐาน แล้วทรงตั้งพระสัตยาธิษฐานว่า เดชะผลทานบูชานี้ ขอจงยัง พะลักษณะ พระปีติทั้ง ๕ จงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าแล้วอย่าได้อันตรธาน และพระธรรมซึ่งยังมิได้บังเกิดนั้น ขอจงภิญโญภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป อนึ่ง ขอจงเป็นปัจจัยแก่พระบรมภิเษกสัมโพธิญาณในอนาคตกาลภายภาคหน้า .......
 
 
แล้วให้พระราชาคณะเสนบดีกำกับกัน เอาเงินตราสิบชั่งไปเที่ยวแจก คนโซ ทั่วทั้งในนอกกรุงธนบุรีทั้งสิ้น
 
 
ครั้นถึง ณ วันจันทร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือนอ้ายทรงพระกรุณาให้เชิญพระ โกศ พระอัฐิ สมเด็จพระพันปีหลวง กรมพระเทพามาตย์ ลงเรือบัลลังก์ มีเรือแห่เป็นกระบวนไปแต่พระตำหนักแพ แห่เข้าไป ณ วัดบางยี่เรือใต้ แล้วเชิญพระโกศขึ้นสู่พระเมรุ นิมนต์พระสงฆ์สดัปปกรณ์หมื่นหนึ่ง ทรงถวายไทยทานเป็นอันมาก ครบสามวัน แล้วเชิญพระโกศลงเรือแห่ กลับเข้าพระราชวัง
 
 
สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงสมาทานอุโบสถศีลแล้วทรงเจริญพระ กรรมฐานภาวนา เสด็จประทับแรมอยู่ ณ พระตำหนักวัดบางยี่เรือใต้ ห้าวัน ให้เกณฑ์ข้าราชการปลูกกุฏิร้อยยี่สิบหลัง แล้วให้บูรณปฏิสังขรณ์ พระพุทธปฏิมากร และพระอุโบสถเจดีย์วิหารให้บริบูรณ์ขึ้นสิ้นทั้งพระ อาราม อนึ่ง ที่คูรอบพระอุโบสถนั้นให้ชำระแผ้วถาง ขุดให้กว้างออก ไปกว่าเก่า ให้ปลูกบัวหลวงทั้งรอบ แล้วให้นิมนต์พระสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนา ธุระมาอยู่ ณ กุฏิซึ่งปลูกถวาย แล้วเกณฑ์ข้าทูลทะอองธุลีพระบาทให้ ปรนนิบัติทุก ๆ พระองค์ และเสด็จไปถวายพระราชโอวาทแก่พระสงฆ์ โดยอธิบายซึ่งพระองค์ทรงบำเพ็ญได้ ให้ต้องด้วยวิธีพระสมถกรมฐาน ภาวนา จะได้บอกกล่าวแก่กุลบุตรเจริญในปฏิบัติศาสนาสืบไป แล้วทรง สถาปนาพระอุโบสถและการเปรียญเสนาสนะ กุฏิ ณ วัดหงส์สำเร็จ บริบูรณ์
4666  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / ใครฆ่าพระเจ้าตาก ฉบับ ภิกษุณีโพธิสัตว์ วรมัย กบิลสิงห์ เมื่อ: 13 เมษายน 2553 07:51:25

 
 
ทรงนึกถึงพระอาจารสุกซึ่งเป็นพระสอนกรรมฐานและเคยเป็น อุปัชฌาย์อาจารย์ เมื่อครั้งทรงพะเยาว์อยู่กับพระบิดา พระองค์ ทรงเรียนสมาธิ และเคยมีจิตอันสงบเข้าเขตฌานมาแล้ว และเคย ทรงทราบว่า พระอาจารย์สุกนั้นเมื่อมีเรื่องสงสัยอย่างไรเกิดขึ้น ท่านมักทำสมาธิเข้าองค์ฌาน แล้วถามเรื่องจากท่านข้างบน ซึ่ง บางครั้งก็ถามพระอาจารย์แต่อดีตชาติของท่านเอง บางครั้งท่าน ก็ถามเทพและพรหมได้ เมื่อสบายใจว่าง ๆ บางครั้งท่านก็เล่าให้ ศิษย์ผู้ไกล้ชิดฟังบ้าง
 
 
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงคิดว่าจะตรัสถามพระอาจารย์ถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จึงทรงสั่งอำมาตย์ผู้ใหญ่ให้ระวังรักษาพระครไว้ให้ดี แล้ว เสด็จประทับ ณ วัดบางยี่เรือใต้
 
 
ทรงประทับนิ่งนาน ณ เบื้องพระพักตร์แห่งองค์พระประธาน น้อม นมัสการ แล้วทรงระลึกถึงคุณแห่งพระบรมศาสดา ตั้งจิตอธิษฐานขอ อำนาจแห่งพระบารมีแต่หนหลังจนปัจจุบัน ขอให้พระบารมีนั้นมาสนับ สนุนป้องกันระวังภัย อย่าให้มารมาสอดแทรกได้ พอจิตเป็นสมาธิทรง เข้าปฐมฌาน ผ่านทุติยฌาน และตติยฌาน ไปตามลำดับ ทรงประทับ ยับยั้งในจตุตถฌาน ๔ เสวยสุขด้วยพระทัยอันเยือกเย็นอยู่ตลอดราตรี
 
 
ในวันรุ่งขึ้นขณะทรงเข้าอยู่ในจตุตถฌาน เสวยสุขอยู่นั้น ก็ทรงอธิษฐาน ถามว่า พระองค์จะเสวยราชอยู่ต่อไปได้หรือไม่ ถ้าหมดบุญแล้วใครจะ เข้ามาครองราชแทน ความวุ่นวายของทหารทั้งสองพวกนั้นจะเป็นอย่าง ไร ? คำถามนี้พระองค์ถามทีละข้อ เมื่อได้คำตอบแล้วจึงทรงถามต่อไป เมื่อทรงอธิษฐานถามแล้วก็ทรงปล่อยวาง ไม่ได้ยึดติดใคำถามนั้น ทำจิต ให้ผ่องใส อยู่กับสติและปรีชาญาณ


คำตอบนนั้นเป็นภาพ และเป็นเสียงจากพระฤทัยบ้าง จากพระกรรณบ้าง ผลจากคำตอบนั้นทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนจากเข้า " ฌาน " เป็นยกระดับ จิตขึ้นสู่ " ญาณ " ทันที
 
 

พอจิตสงบลงทรงพิจารณาสังขารร่างกาย พิจารณาในอริยะสัจจ์ ๔ คือ คามเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วทรงปล่อยวาง เข้าพิจารณาในทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ครั้นถึงยามสามก็ทรงพิจารณาความคิด เรื่องราวต่าง ๆ ให้ เข้าในกฏของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
  
 
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยกระดับจิตขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนา แต่ยามต้น ทรงพิจารณาดูการเกิดดับของสังขารร่างกาย แล้วพิจารณา การเกิดดับของสิ่งทั้งหลาย เอาความเสื่อมนั้น ๆ มาเปรียบกันก็ทรงเห็น ความจริงว่า ไม่ว่าสิ่งใดในโลกนี้ จะต้องพบความเกิดดับแตกทำลายทั้ง สิ้น ไม่มีใคร ไม่มีอะไร จะอยู่มั่นคงถาวรตลอดกาลไปได้
 

สังขารทั้งหลายที่เคยสวยงามสดใสก็ต้องเปื่อยเน่าไป จะหาอะไรจีรัง แน่นนั้นไม่มีเลย
 

คิดแล้วก็ทรงเศร้าพระทัยว่า พระองค์ทรงหลงเสียแล้ว หลงอยู่กับสิ่ง หลอกลวงมาหลายสิบปีทรงเบื่อหน่ายต่อพระวรกาย ทรัพย์สมบัติและ ราชบัลลังก์ ทรงเบื่อหน่ายต่อการเป็นจอมทัพ การเป็นเจ้าแผ่นดินที่ต้อง ยกทัพไปรบกับใคร ๆ จนแทบไม่มีเวลาได้ทรงพักผ่อนสรร้างบุญสร้าง กุศล พระองค์ทรงรู้สึกคิด อย่างสมณะผู้เคร่งและผ่านอุทยัพพยานุปัส -สนาญาณ และพระอารมณ์กำลังอยู่ในนิพพิทานุปัสสนาญาณ ซึ่งทรง พระปรีชาฉลาด เห็นอันตรายของสังขารที่แตกแยกเน่าเปื่อยไป ทำให้ ทรงเบื่อหน่ายเป็นที่สุด
 


ทรงเบื่อหน่ายต่อสิ่งเหล่านั้น อันล้อมรอบพระวรกายอยู่ ยังไม่ทรงเห็น ทางที่จะสละให้ห่างไกลไปได้ก็ทรงรำคาญพระทัย
 
 

 

วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ ๔ เมื่อขณะทรงเจริญพระพุทธมนต์ กลิ่นดอกไม้ ประหลาดหอมเย็น ๆ อยู่นานตรงบริเวณพระประธานองค์นั้น ทำให้ พระหทัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสดใสชื่นบาน พระพักตร์ก็แจ่มใส พระโอษฐ์ยิ้มแย้ม พระเนตรอ่อนหวานเต็มไปด้วยพระเมตตากรุณา ทรง กราบพระประธานและเจริญพระพุทธมนต์ แล้วก็ทรงหลับพระเนตรอย่าง มีความสุข พอสงบจากเสียงภายนอกได้ชั่วครู่เท่านั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวก็ทรงเห็นดอกบัวบานสะพรั่งอยู่ตรงพระพักตร์ เกษรอันเหลืองอร่าม นั้นหอมเย็นอย่างประหลาด เมื่อทรงเงยพระพักตร์ขึ้น จึงทรงทอดพระ เนตรเห็นว่า ดอกบัวนั้นขยายใหญ่ออกไปได้ และที่ตรงฝักบัวอ่อน ๆ สีเหลืองนั้น มีพระบาททั้งคู่ประทับอยู่ทุกดอก ทรงประหลาดพระทัยยิ่ง นักก็ทรงลืมพระเนตรขึ้น จึงได้ทรงเห็นพระกายของพระบรมโพธิสัตว์เจ้า และพระสานุศิษย์ของพระองค์ ทุกพระองค์ทรงมีพระรัศมีเหลืองอยู่บน พระเศียร



สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลับพระเนตรอย่างเดิม ทำพระทัยให้หยุดนิ่ง อยู่เฉพาะองค์พระบรมโพธิสัตว์ทรงสนพระทัยต่อเสียงค่อย ๆ แต่ทรง ฟังชัดว่า

 
" เจียนสินโพธิสัตว์ อาจารย์มาเยี่ยม จวนเวลาที่จะได้กลับแล้ว จงทำ จิตให้ถึงที่เคยอยู่ อย่าประมาท " แล้วภาพนั้นก็หายไป
 
 อารมณ์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็แช่มชื่น เหมือนผู้หมดกังวลอยู่สักครู่ ใหญ่ แล้วก็กลับทรงระลึกถึงพระราชชนีพระพันปีหลวง และทรงใคร่ จะได้สร้างกุศลนั้นยิ่งนัก
4667  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / MV / คาราโอเกะ - น้องไก่ - คัฑลียา มารศรี เมื่อ: 08 เมษายน 2553 09:34:35
MV / คาราโอเกะ - น้องไก่ - คัฑลียา มารศรี
4668  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / takkatan(ตั๊กแตน ชลดา)-ขอเป็นคนถัดไป เมื่อ: 08 เมษายน 2553 09:31:26
takkatan(ตั๊กแตน ชลดา)-ขอเป็นคนถัดไป





ขอเป็นคนถัดไป
ศิลปิน ตั๊กแตน ชลดา

.....อยากมีสิทธิ์หวง เมื่อเห็นเธอควงคนอื่น เจ็บช้ำกล้ำกลืน
ต้องนอนสะอื้นเดียวดาย รักเธอข้างเดียว แถมยังเป็นชู้ทางใจ
รักเธอข้างเดียว ไม่เห็นจะดีตรงไหน
ตัดอกตัดใจ ไม่คิดแย่งแฟนใครหรอกหนา
 
อยากบอกว่ารัก รักเธอสักหมื่นพันครั้ง สิ่งที่รับฟัง
มีเพียงท่านเทวดา ก็อยากจะขอให้รักเธออยู่คู่ฟ้า
แต่หากวันไหน รักเธอไม่สมปรารถนา
บังเอิญเลิกราช่วยมาจ้องตาฉันที
ก็อยากจะขอเป็นคนถัดไป ไม่มากใช่ไหมฉันขอเธอเพียงเท่านี้
กว่าจะลืมเธอคงใช้เวลาหลายปี ถ้าฟ้ายินดีคงมีโอกาสแลกใจ

ไม่เคยจะคิดจะแช่งให้ใครเลิกกัน ประตูสวรรค์จงอยู่ในนั้นเรื่อยไป
จะไม่รบกวนให้เธอต้องว้าวุ่นใจ จะขอเป็นยามเฝ้าหน้าประตูได้ไหม
ร้องไห้วันใด ให้ฉันดูแลใจเธอ

ก็อยากจะขอเป็นคนถัดไป ไม่มากใช่ไหมฉันขอเธอเพียงเท่านี้
กว่าจะลืมเธอคงใช้เวลาหลายปี ถ้าฟ้ายินดีคงมีโอกาสแลกใจ

ไม่เคยจะคิดจะแช่งให้ใครเลิกกัน ประตูสวรรค์จงอยู่ในนั้นเรื่อยไป
จะไม่รบกวนให้เธอต้องว้าวุ่นใจ จะขอเป็นยามเฝ้าหน้าประตูได้ไหม
4669  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: สูตรแห่งใจ ปรัชญาปารามิตา เมื่อ: 08 เมษายน 2553 09:03:10
 อายจัง

หทัยสูตร ฉบับ ท่านติช นัท ฮันต์ กำลังจะพิมพ์อยู่ จ้า เร็ว ๆ นี้

 หัวเราะลั่น โปรดติดตาม นะ แฟนคลับทั้งหลาย
4670  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: พระสูตรเว่ยหล่าง เมื่อ: 08 เมษายน 2553 08:38:47
 อายจัง

การเผยแพร่ธรรม  
จิตนึกถึงคนอื่น
เป็นกรรมสาธารณะ นะ สาธุ


แวะมาแล้วล่ะ แต่งกระทู้ได้สวย น่าอ่านดี นะครับ

เปรียบ พระธรรม คือ องค์พระ
การจัดแต่ง กระทู้ คือ ทองปิดองค์พระ

เป็น อุปายะโกศล อุบายธรรม ที่ทำให้เส้นทางธรรม ไม่น่าเบื่อ
ได้ทั้งปัญญา และ ความรื่นรม ความปีติสุข  ตลอดเส้นทางธรรม


พระธรรม เพียว ๆ มีรสขม  มหาชนไม่ชอบ ต้องยาขม อย่างฟ้าทะลายโจร
มาปรุงแต่งรสชาติ ให้น่าทาน คนจึงชอบ ทานไปเรื่อย ๆ ก็มีสรรพคุณ เข้าถึง มรรคผลนิพพาน ไม่ต่างกัน
การเอา พระธรรม มาแต่งสี ปรุงรส ให้น่าสนใจ
จะทำให้คนเข้าถึงธรรมได้จำนวนมหาศาล เอาศรัทธา เข้าดึง สุดท้าย
ปัญญาบารมี อินทรีย์ทางธรรม เข้าจะสว่างไสวตามลำดับ


การเผยแพร่ธรรม ธรรมทาน เป็น ทานอันประเสริฐสุด
เป็น การให้ดวงตา แก่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ยกระดับจิตร่วมแห่งโลกธาตุ
ธรรมมะ พระพุทธะ เป็น สิ่งที่พบเจอได้ยากยิ่ง
ธรรมสิ่งที่พบเจอได้ยาก ให้ของยาก ๆ  หาได้ยากยิ่ง

สังขาร ร่างกาย ทะเลทุกข์ เข้มข้น บีบเค้น แล้วยังมีใจไพศาลเยี่ยงนี้

ข้าพเจ้าขอ อนุโทนา ใน เนื้อนาบุญอันนี้ อย่าได้ย่นย่อท้อถอย
ขอให้มั่นคง ในพันธกิจแห่งพุทธะ ทำไป ขอให้ดวงใจ ฉ่ำเย็น เห็นธรรมไปเรื่อย
จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ นะ

จงจำไว้เถิดว่า เรารักษาธรรม แล้ว ธรรมจะรักษาเรา

ขอให้เข้มแข็ง จิตสบาย คลายตัว มองเห็นหนทางอันกว้างไกล ขึ้นเรื่อย ๆ
ผลสะท้อน ย้อนกลับ ไปยังคนให้ จงเป็นดั่งใน ปรัชญาปารมิตาเทอญ

อจินไตย ไร้ประมาณ ยิ่งกว่าห้วงนภากาศ สิบทิศ  ตัดผ่าน ทวิภาวะ นานาทุกข์ นะ

สุดท้าย ถ้าเก่งขึ้นแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว ย่อมเป็นที่พึ่งชี้ทางให้คนอื่น โดยธรรมชาติ

อย่างในภาพ ปริศนาธรรมเซน จิตวัว ภาพสุดท้าย ชื่อว่า

พระยิ้ม พุงพุ้ย ชี้ทางเด็ก


*** ว่าง ๆ จะเอา ไอ้ที่พิมพ์เสร็จ แล้ว มาให้เจ้าของ กระทู้แต่งให้จ้า
ยืมฝีมือหน่อย นะ โอ หนังสือ รินไซเซน ศิษย์ ท่านฮวงโป
มดเอ๊ก ยังพิมพ์ไม่เสร็จเลย อิ อิ อิ ไปล่ะ สาธุ


4671  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน เมื่อ: 08 เมษายน 2553 08:28:48
 หัวเราะลั่น พิมพ์ไว้เมื่อ เกือบ 2 ปีที่แล้ว ล่ะ
แต่ยังไม่เสร็จ บทท้าย ๆ นะ

ตั้งใจว่า จะทำให้เสร็จ ขอบคุณที่นำมาลงนะครับ
จะได้เตือนความจำ โพสไว้ 2 เว็บ ล่มไป 2เว็บเลย

นึกว่าหายโม๊ดดดดดด ที่แท้มีคนเอาไปโพสไว้ที่เว็บ เพื่อนสนิทนี่เอง

เจริญธรรม
4672  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / Re: ตัวอย่างหนัง คนไททิ้งแผ่นดิน เมื่อ: 08 เมษายน 2553 08:23:45
เซฟไปอ่านได้

http://www.konthaithemovie.com/ebook.html
4673  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / ตัวอย่างหนัง คนไททิ้งแผ่นดิน เมื่อ: 08 เมษายน 2553 08:15:41
ตัวอย่างหนัง คนไททิ้งแผ่นดิน
4674  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / อ่าน การ์ตูน กานนนนน เมื่อ: 05 เมษายน 2553 08:52:54
http://www.cartooniverse.co.uk/manga.php?id=1
4675  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า เมื่อ: 05 เมษายน 2553 08:47:42

 
 
ระบบการศึกษาของประเทศเรา - ตราบใดที่เรายังประสงค์กับความเจริญก้าวหน้าและต้องการความศิวิไลซ์ "สมัยใหม่" - เราก็มักทำตามฝรั่งตะวันตกอยู่วันยังค่ำ เพราะเราทั้งโลกเลยที่ไม่ใช่ฝรั่งตะวันตกที่เราในประเทศเราเข้าใจ ส่วนใหญ่มากๆ ล้วนแล้วแต่คิดว่าฝรั่งตะวันตกฉลาดกว่าเรา เก่งกว่าเรา เจริญก้าวหน้ากว่าเรา ฉะนั้นจึงทำตามฝรั่งตะวันตกแทบจะทุกอยาง แต่ฝรั่งเองในความเห็นของผู้เขียนก็เอาตามนักคิดนักปรัชญาของกรีซ โดยเฉพาะอริสโตเติล ผู้ใช้รูปแบบและโลกนี้มากกว่าเนื้อหาและโลกหน้า (อื่น) จัดการเรื่องความรู้ (knowledge) ทั้งหมดของมนุษยชาติ ฉะนั้น ระบบการศึกษาของประเทศไทยเราไม่ว่าเราจะปฏิรูปอย่างไรหรือเปลี่ยนแปลงขนาดไหน มันก็หนีไม่พ้นการพายเรือในอ่าง คือตามอย่างฝรั่งตะวันตกโดยหลักการอยู่วันยังค่ำ
สมัยก่อนหน้านี้ไปสัก 70-80 ปีก่อน ในชั้นเรียนมัธยมต้นที่ต่างจังหวัดมีอยู่วิชาหนึ่งที่ผู้เขียนไม่ชอบเลยแม้แต่น้อยครึ่งหนึ่ง แต่จะชอบเอามากๆ ครึ่งหนึ่ง นั่นคือ วิชาภูมิ-ประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าไม่เกี่ยวกันเลย แต่โรงเรียนก็ยังจัดไว้ด้วยกัน ครึ่งหนึ่งที่ผู้เขียนไม่ชอบเอามากๆ คือส่วนที่อยู่ข้างหลังหรือประวัติศาสตร์ คือไม่ชอบทั้งในเรื่องของรูปแบบและในเรื่องของเนื้อหา แต่เหตุผลที่ไม่ชอบในตอนแรกนั้นผู้เขียนไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เนื่องจากเป็นเด็กที่ยังเล็กมาก และเหตุผล - ที่มารู้เอาในตอนหลัง - แม้ในตอนนั้นก็ยังเป็นการมองอย่างผิวเผินอยู่ดี คือมองว่า - จะมีอยู่ 2 ประการ คือ อย่างหนึ่งเป็นเรื่องของรูปแบบว่าประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่ไม่มีทิศทางเป้าหมาย คือไม่สอนอะไรที่สำคัญว่าจะไปทิศไหน เหมือนกับว่าเขาจัดมาอย่างนั้น เราก็ต้องเรียนตามนั้น เขาที่ว่าคือเมืองนอก ฝรั่งเขาจัดการเรียนการสอนหรือความรู้ทั้งหมดอย่างไร - และขอย้ำว่าทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น (นอกจากศิลปศาสตร์กับศาสนศาสตร์เท่านั้นที่มีคุณค่าและความหมาย ซึ่งความหมายที่พูดมานั้นจะต้องตีความด้วยจิตที่เป็นเรื่องของภายในเสมอไป) - ส่วนความรู้ที่เหลือทั้งหมด ล้วนแล้วแต่จัดสร้างให้มีขึ้นเพื่องาน-เงิน-วัตถุทั้งนั้น พูดง่ายๆ คือความรู้ที่เราเรียนมาทั้งหมด นอกจากที่ยกเว้นสุดแสนจะเล็กน้อยนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่เป็นไปตามปรัชญาของอริสโตเติลทั้งนั้น ความรู้ - ที่ไม่มีคุณค่าหรือความหมายต่อจิตที่อยู่ภายใน - ที่มุ่งแต่เงินกับวัตถุภายนอกจะเป็นความรู้อันบริสุทธิ์ได้อย่างไร? ส่วนประการที่ 2 หรือเนื้อหาก็ไม่เห็นว่าเด็กจะได้เรียนรู้อะไร นอกจากการบันทึกของคนในอดีตที่ยอกันไปยอกันมา สำหรับวิชาแรกภูมิศาสตร์เป็นเรื่องของโลกและประเทศต่างๆ ในปัจจุบันจึงพอที่จะสนุกบ้าง พูดง่ายๆ ผู้เขียนไม่สนใจสิ่งใดที่เป็นเรื่องของมนุษย์ในอดีต แม้แต่ว่าจะเป็นกำพืดของตัวเอง เพราะเด็กที่ยังมีอายุไม่ถึง 10 ขวบ ย่อมไม่สนใจเรื่องใดๆ ของอดีตทั้งนั้น จะสนใจแต่เรื่องของปัจจุบันหรืออนาคตมากกว่า สมัยนั้นยังโชคดีที่ไม่มีเรียนเรื่องของสังคมวัฒนธรรม "แบบที่เข้าใจกันที่ผู้เขียนเห็นว่าส่วนมากผิดธรรมชาติ" ผู้เขียนจึงไม่ชอบ และวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมก็ไม่มีสอบ เพราะไม่มีค
รู้สอน นานๆ ทีก็มีพระมาสอนศีลธรรมสักที จึงไม่คอยมีเด็กตั้งใจฟังมากนัก จริงๆ แล้วผู้เขียนหันมาสนใจเรื่องของประวัติศาสตร์บ้างก็เมื่อมาเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว และก็เป็นเพราะว่ามีอาจารย์รอง ศยามานนท์ สอน อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้นได้ไปบ้าเรื่องของการเมืองร่วมกับเพื่อน 2-3 คน แต่ผู้เขียนยังคงมีความเห็นเหมือนเดิมว่า ประวัติศาสตร์นั้นเป็นเรื่องของ - ถ้าหากเป็นเรื่องของคนหรือเรื่องของชาติแล้ว แทบทั้งหมดคนเขียนมักจะเป็นเช่นที่ว่ามานั้น - คือยอกันไปยอกันมาดูกันไม่จืด และถ้าเป็นประวัติศาสตร์ชาติของผู้เขียนเอง ประวัติศาสตร์นั้นๆ - ไม่เคยผิดเลย
ประวัติศาสตร์ในความจริงที่ผู้เขียนมองในปัจจุบันเป็นเรื่องของการเคลื่อนไหววิวัฒนาการของจิตที่ควบคุมทุกๆ พฤติกรรมของมนุษย์แต่ละคนเป็นปัจเจกก่อนแล้วถึงได้รวมกันเป็นสังคมร่วม
ในภายหลัง วิวัฒนาการของสังคมเมื่อเวลาผ่านไปตามลูกศรแห่งเวลา (arrow of time) ความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง ปรากฏการณ์ของมนุษย์กับฟ้าหรือสวรรค์ - ในที่นี้คือ - ระหว่างดินกับฟ้า ซึ่งดินได้วิวัฒนาการขยายต่อมาเป็นผืนดินจริงๆ กับมนุษย์ซึ่งเป็นเป้าหมายของจักรวาล คือหมายถึงความสัมพันธ์ต่อกันและกันของ ดิน-มนุษย์-ฟ้าหรือสวรรค์ ซึ่งมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์โบราณกาลจริงๆ ในทุกๆ วัฒนธรรมความเชื่อทั่วทั้งโลกเลยเหมือนๆ กัน - รู้จักกันในชื่อปรัชญาสากลนิรันดร (perennial philosophy) ที่สำคัญยิ่งซึ่งเล่ามาบ่อยๆ - โดยที่เราไม่อาจรู้เลยว่ามันมีมาตั้งแต่เมื่อไร? หรือโดยใคร - ที่ไหนก่อน?
นั่นคือการเริ่มต้นของพื้นฐานอันแรกเริ่มของรากแก้วแห่งชีวิต (ground of being) หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือการเริ่มต้นของ "ประวัติศาสตร์" ที่แท้จริงว่า แท้ที่จริงแล้วปรัชญาดังกล่าวแสดงถึงวิถีชีวิตและความสัมพันธ์ของฟ้าหรือสวรรค์หรือพระเจ้า (God รวมทั้ง gods or spirits) กับชีวิตที่คือวิถีชีวิตหรือความสัมพันธ์ระหว่างจักรวาล (จิตจักรวาลอันเป็นปรมัตถ์ และความเป็น ทั้งหมด (wholeness)) กับมนุษย์ "ที่เป็นไปเช่นนั้นของมันเอง" แต่เพราะว่าประวัติศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ตามปรัชญาของอริสโตเติล ซึ่งปรัชญาหรือวิทยาศาสตร์ดังกล่าวปราศจากคุณค่ากับความหมาย (value and meaning) ฉะนั้นจึงอาจจะพูดได้ว่า โดยผิวเผินประวัติศาสตร์คือวิชาที่บอกว่าชีวิตมนุษย์ไม่มีคุณค่าหรือความหมาย! ผู้เขียนถึงได้ไม่ชอบประวัติศาสตร์ดังที่บอกและเคยเขียนในไทยโพสต์ไปแล้วหลายครั้ง เช่นเดียวกับคำว่าวัฒนธรรมที่ใช้ๆ กันอยู่ ที่ผู้เขียนมองว่าเราใช้ๆ กันตามนักวิทยาศาสตร์ที่จัดการกับความรู้ทั้งหลาย - ที่มีลักษณะของวิทยาศาสตร์กายภาพหรือวัตถุนิยมตามฝรั่งตะวันตกมากไป - โดยไม่คิดให้รอบคอบว่าวัฒนธรรมนั้นคือจิตวิญญาณของสังคม
ผู้เขียนมีความคิดเห็นเหมือนๆ กับจอร์จ วอลด์ นักชีววิทยารางวัลโนเบลผู้ค้นพบว่าลูกตาของกบ - ในทางกายภาพ - เหมือนกับลูกตาของมนุษย์ค่อนข้างมาก แต่กบเห็นสีเพียง 2 สี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? จอร์จ วอลด์ ไม่รู้ เขาคิดว่าจิตจักรวาลที่มีมาตั้งแต่ต้น มีมาก่อนบิ๊กแบ็งเสียอีก ซึ่งเป็นการสร้าง "จักรวาลให้มีวัฏจักรไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด" เพราะอาจจะเป็นส่วนของพระจิตของ "บราห์มัณ" หรือพรหมมัณตามที่อุปานิษัตบอกก็ได้ หากมองเช่นนั้นมันก็เป็นสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ เพราะว่าเป็นเหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนในปัจจุบันที่คิดจากการคำนวณของคณิตศาสตร์ โดยทฤษฎีซูเปอร์สติงก์ที่ให้ผลอย่างเดียวกันว่า จักรวาลของเราเป็นเพียงหนึ่งจักรวาลที่มีจำนวนหลากหลายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด (pleuriverses หรือ mutiverses) ที่นักเทววิทยาของฝรั่งโกรธนักโกรธหนาว่า ดูหมิ่นพระเจ้าโดยการทำให้การสร้างโลกการสร้างจักรวาล (Genesis) ของพระองค์ที่มีหนึ่งโลกหนึ่งจักรวาลต้องมัวหมอง
ดังนั้นและปัจจุบันนี้ ผู้เขียนจึงมองประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบว
นการวิวัฒนาการของจักรวาล - ที่มีหน้าที่เพียงหนึ่งเดียว - นั่นคือเป็นการไหลเลื่อนเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงของจิต (จิตหนึ่งซึ่งเป็นจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในสมองของสัตว์โลก
ทุกๆ ตัว รวมทั้งมนุษย์แต่ละคนเป็นปัจเจก) เป็นจิตสำนึก ส่วนจิตไร้สำนึกอีกอย่างหนึ่ง (บารมี) มาจากจิตรู้อันเป็นวิญญาณขันธ์ของผู้ที่ตายจากโลกนี้ (หรือภพภูมินี้) ไปแล้ว โดยที่จิตไร้สำนึกทั้ง 2 ส่วนนี้จะถูกบริหารโดยสมอง (ของผู้ที่เกิดใหม่) เป็นจิตสำนึกใหม่ไปเรื่อยๆ ตามลำดับและระดับของสเปกตรัมจิต (spectrum of consciousness) จวบจนได้ตรัสรู้นิพพาน ผู้เขียนจึงเชื่อ - เช่น เคน วิลเบอร์ เชื่อ และเขียนตลอดมา - ว่ามนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวงมีเป้าหมายของการเกิดมาในโลกนี้ล้วนมีเป้าหมายเพื่อการหลุดพ้น (transcendence) เราทั้งหลายต่างเดินทางแล้วเดินทางอีก เรียนรู้แล้วเรียนรู้อีก วิวัฒนาการเรื่อยๆ มา โดยมีเป้าหมายที่การเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปของจิต สัตว์มีเป้าหมายสุดท้ายที่จะต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ และมนุษย์จะตายเพื่อเกิดใหม่ไปเรื่อยๆ ลองผิดลองถูกอยู่นั่นแล้ว แต่ละคนแต่ละชาติภพเพื่อแสวงหาสิ่งเดียว นั่นคือ วิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality) ไปเรื่อยๆ ตามสเปกตรัมที่ว่าข้างต้นนั้น - สู่นิพพาน
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แม้จะแยกย่อยเป็นประวัติศาสตร์ของสังคมประเทศชาติใดๆ ก็เป็นไปในแนวนั้นโดยหลักการ ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้ว ประวัติศาสตร์ทั้งหมดเป็นการบอกกล่าวถึงการไหลเลื่อนเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิตไร้สำนึกหรือจิตจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในสมองของมนุษย์ แล้วถูกบริหารโดยสมอง ให้มันมีวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ เป็นจิตสำนึกใหม่ตลอดเวลา การเรียนรู้คือวิวัฒนาการหรือการยกระดับจิตรู้ไปสู่ระดับหรือขั้นที่สูงขึ้น หรือการมีจิตสำนึกใหม่นั้นๆ ที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นเป้าหมายของชมรมจิตวิวัฒน์ ซึ่งมีผู้สนใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ในความเห็นของผู้เขียนที่พูดมาทั้งหมดนั้น แสดงว่าประวัติศาสตร์ชี้บ่งถึงการเคลื่อนไหวของจิตสู่จิตวิญญาณของมนุษย์ หรือชี้บ่งกระบวนการความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสวรรค์ ซึ่งก็คือวัฒนธรรมหรือศาสนาในอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้ รูปแบบที่สวรรค์มีความบริสุทธิ์ เช่นที่เรียกว่า ปรัชญาสากลนิรันดร (perennial philosophy) ความสัมพันธ์ของดินกับฟ้าที่แปลกมากๆ เพร
าะมีในทุกๆ วัฒนธรรมมาตั้งแต่โบราณ ไม่ว่าที่สุเมอเรีย-บาบิโลเนีย อียิปต์โบราณ จีน ลัทธิพระเวท ฯลฯ ที่เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดขึ้น ความบริสุทธิ์ที่ไมเคิล เมอร์ฟี เรียกว่า หลักการแห่งสวรรค์ (principle of divinity) นั่นคือ ศาสนาที่พูดถึงความเป็นทั้งหมด (wholeness) ที่เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน นั่นคือ ศาสนาที่เป็นแก่นแกนของความจริงแท้ที่มีหนึ่งเดียวที่บอกว่า "มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง" นั่นคือ ตถาตา (suchness)
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นคนที่ไม่เชื่อในศาสนาที่มีพระเจ้าเป็นเหมือนกับผู้ดูแลประชาชนเสมือนพ่อดูแลลูกๆ คือให้รางวัลเมื่อลูกทำดี แต่จะทำโทษที่ลูกๆ ทำชั่ว หรือขอพรขออะไรได้ที่เป็นความงมงาย แต่ไอน์สไตน์ก็เชื่อว่าเขาเป็นผู้ที่มีความเป็นศาสนาอย่างที่สุด (religiousness) ฉะนั้น ศาสนาที่เราใช้ๆ กัน หากคิดแบบที่ไอน์สไตน์คิดจึงเป็นคนละเรื่องกับการเป็นผู้ที่มีความเป็นศาสนาอย่างที่สุด
"จิตอารมณ์หรือความรู้สึกที่สวยงามที่สุดคือ ความรู้เร้นลับ (mystical) เพราะมันเชื่อมประสานศิลปะที่แท้จริงเข้ากับวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งเดียว ผู้ใดที่ไม่เชื่อเช่นนั้นคือคนตายเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ให้ปัญญาอย่างลึกล้ำ (wisdom) แก่เรา และมีอยู่จริงๆ...ความรู้ (ที่เร้นลับ) อันนี้ ความรู้สึกนี้คือสิ่งที่เรียกว่าความเป็นศาสนาอย่างที่สุด (religiousness) หากคิดเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็เป็นผู้มีความเป็นศาสนาที่สุด".
 
นั่นคือ ความสัมพันธ์กันอย่างที่แยกกันไม่ได้ระหว่างดินกับฟ้าหรือระหว่างดิน-มนุษย์-ฟ้าหรื
อสวรรค์ นั่นคือปรัชญาสากลนิรันดร นั่นคือประวัติศาสตร์ที่แท้จริง//
 
http://www.thaipost.net/sunday/040410/20318
4676  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : ใกล้จะถึงแล้ว-ยุคจิตวิญญาณโลกานุวัตร เมื่อ: 05 เมษายน 2553 08:42:02
http://serendip.brynmawr.edu/exchange/files/images/Stanford_Torus.400%20pixel%20width%20of%20page.jpg

 
 
บทความวันนี้มีความสำคัญมากสำหรับจักรวาล โลก-ดาวเคราะห์ดวงที่สามของระบบสุริยจักรวาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเรา เพราะว่ามีถึงสี่เรื่องที่ดูเผินๆ อาจจะไม่เกี่ยวกัน แต่ผู้เขียนเข้าใจว่าเกี่ยวกันและจัดมารวมกันเพื่อนำเสนอท่านผู้อ่านได้ช่วยพิจารณาว่า ถูกต้อง ชอบธรรม และควรปฏิบัติหรือไม่? ประการใด? เรื่องที่หนึ่ง ชาวโลกทั่วทั้งโลกประมาณถึงหนึ่งในสามต่างล้วนแต่รู้แล้วว่า กระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (Alexander King's Social Revolution ที่เยอรมนี Paul H.Ray's Cultural Creative ที่อเมริกา หมอประเวศ วะสี คลื่นลูกที่สามแห่งรัตนโกสินทร์แห่งประเทศไทย ประสาน ต่างใจ สู่มิติที่ห้า และบุพนิมิตรกระบวนทัศน์ใหม่ ประเทศไทยเหมือนกัน และเร็วๆ นี้ Jose Arguiles-Stephanie South's Cosmic History ที่อเมริกาเหมือนกัน) นั่นคือวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณและการย่างเท้าก้าวถึงยุคแห่งจิตวิญญาณที่ขบวนการนิวเอจ (newage) ในปี 2013 เรื่องที่สอง นักการเมืองและนักเศรษฐกิจ-นักธุรกิจ เพราะความเชื่อมั่นในวัตถุรูปธรรมและวิทยาศาสตร์กายภาพ จึงเป็นแมทีเรียลิสต์ (materialists) อย่างไม่รู้ตัว หรือไม่มีความรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์ใหม่ หรือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์เองแต่ติดตามวิทยาศาสตร์ใหม่ไม่พอ หรือไม่ได้พิจารณาอย่างลึกซึ้งว่า วิทยาศาสตร์ใหม่หรือฟิสิกส์แห่งยุคใหม่นั้นมีความสอดคล้องอย่างที่สุด-โดยหลักการ-กับศาสนาที่อุบัติขึ้นที่อินเดียและจีน เช่น ศาสนาพุทธหรือศาสนาเต๋า ซึ่งวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality) นั้นคือคนส่วนใหญ่ของโลก รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์สังคม นักธุรกิจ นักการเมือง ฯลฯ ส่วนใหญ่ทั่วทั้งโลกเมื่อถึงยุคดังกล่าว โดยเฉพาะในประเทศไทยจะมีศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรมกันแทบทั้งนั้น เรื่องที่สาม กระบวนทัศน์หรือพาราไดม์ใหม่ที่นักคิดใหญ่ๆ พวกนิวเอเจอร์รวมทั้งผู้เขียน ล้วนแล้วแต่ถือว่ากระบวนทัศน์ใหม่ หรือการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางสังคมใหม่ในครั้งนี้ คือวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณหรือระดับที่สูงกว่า เช่นเดียวกับวิวัฒนาการทางกายจากสุนัข สู่ลิง และมนุษย์ ส่วนเรื่องสุดท้ายหรือเรื่องที่สี่นั้นเป็นการเปลี่ยนแปลง (transformation) รูปแบบของระบบที่เป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบทุกระบบที่มีในจักรวาลแห่งนี้ โดยกฎของทฤษฎีไร้ระเบียบ (chaos theory) เราคงต้องการตัวดึงดูดหรือตัวเร่ง (attracter) ที่มีความสำคัญต่อการ "โผล่ปรากฏ" ของรูปแบบของระบบใหม่ ตัวดึงดูดหรือตัวเร่งแอตแทรกเตอร์นี้-มีความสำคัญอย่างยิ่งในทฤษฎีไร้ระเบียบและเป็นกลไกธรรมชาติ ที่วิทยาศาสตร์ค้นพบตัวดึงดูดที่จะทำหน้าที่เร่งให้การเปลี่ยนแปลงถึงชายขอบของจุดแห่งทางสองแพร่ง (margin of chaos) นั่นคือทางสองแพร่ง (bifurcation) ที่นำสู่ความล่มสลายจบสิ้นของรูปแบบของกระบวนทัศน์เก่า และการ "โผล่ปรากฏ" (emergent) ของกระบวนทัศน์ใหม่ รูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมกระบวนทัศน์เก่าเดิมๆ โดยสิ้นเชิง ดังนั้น การหาตัวดึงดูดที่ให้การเปลี่ยนแปลงที่แน่นอนและเหมาะสม นั่นคือตัวแอตแทรกเตอร์จะต้องเป็นธรรมชาติ-หนึ่ง ถ้าหากเป็นคนที่เป็นตัวเร่งก็ต้องเป็นผู้มีอำนาจกับบารมีที่สูงที่สุด ย้ำว่าต้องสูงที่สุด การโผล่ปรากฏหรือในที่นี้เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ทางจิต หรือวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณนั้น
 
เพราะฉะนั้น การตั้งเป็นหัวเรื่องของบทความวันนี้ หมายความว่าโลกมนุษย์กำลังย่างเท้าเข้าสู่ยุคสมัยแห่งจิตวิญญาณ อันเป็นธรรมเนียมการปฏิบัติทั่วทั้งโลกเลย (spirituality globalization period) ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่า ถึงเวลาที่มนุษยชาติจะได้ผ่านพ้นวัยเด็กหรือวัยรุ่นมาเป็นผู้ใหญ่เสียที เรามนุษย์โลกทั้งผอง รวมทั้งเราในประเทศไทยที่กำลังแตกแยกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งนับวันก็ยิ่งซับซ้อนเป็นทวีคูณ เพราะว่าทุกคนเลยมีความทุกข์มากยิ่งกว่า-ที่ผู้เขียนคิดเองเองว่า-ความทุกข์ที่มนุษย์ในยุคสมัย 2,500 ปีก่อน หรือยุคสมัยที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบและสอนเรื่องของ "ทุกขา" แม้ว่าจะมีหลักการเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ก็เพราะว่าสังคมใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น และประชากรโลกมีจำนวนมากขึ้นมากยิ่งนัก ความแตกแยกขัดแย้งของคนไทยรวมทั้งมนุษย์โลกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยิวกับปาเลสไตน์ เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ประเทศอาหรับส่วนหนึ่งกับอเมริกา ระหว่างฟันดาเมนทัลลิสทางศาสนาที่แตกแยกกันกระทั่งฆ่ากัน ฯลฯ ทั้งหมดทำให้โลกนี้มีความทุกข์มากขึ้นและมากขึ้นโดยที่มองทางออกไม่เห็น-ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเพราะวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีวัตถุนิยมกายภาพ (materialism) ซึ่งทำให้คนทั้งโลกเห็นแก่ "ตัวกูของกู" และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี ที่ทำให้คนทั่วทั้งโลกเห็นแก่เงินมากยิ่งกว่าอื่นใดทั้งสิ้น ความแตกแยกระหว่างคนไทยด้วยได้กระเทือนไปถึงคนรากหญ้ากับ "ทุกขา" ของตน ซึ่งเมื่อไล่ไปแล้วก็คือเงิน จนกระทั่งทำให้ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่า จิตจักรวาลหรือฟ้าคงจะลงโทษมนุษยชาติอย่างสาสม นั่นเป็นการมองในทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เดินเป็นเส้นตรง (non-linear sciences) หรือทฤษฎีไร้ระเบียบ (chaos theory) ทฤษฎีที่ไม่เคยผิดเลย ซึ่งผู้เขียนคิดว่าตรงกับพุทธศาสนาคำว่า "ตถตา" (suchness) "มันเป็นไปเช่นนั้นของมันเอง" ผู้เขียนขอรับรองว่า ท้ายที่สุดแล้วธรรมชาติระดับบน หรือ "ธรรมชาติที่สุดของธรรมชาติ" ของท่านพุทธทาส จะมีรูปแบบของสังคมรูปแบบใหม่ "โผล่ปรากฏ" ออกมา (หลังจากผ่านพ้นทางสองแพร่งแล้ว) ซึ่งประเด็นนี้ผู้เขียนเชื่อว่า ระบบสังคมใหม่ซึ่งเป็นระบบแห่งจิตวิญญาณที่จะต้องเกิดขึ้น (noosphere) ซึ่งนักคิดนักปรัชญาหลายคน รวมทั้งปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง และศรีอรพินโธ จะเกิดขึ้นและต้องเกิดขึ้นในปี 2013 สามปีจากวันนี้เป็นต้นไป เว้นแต่ช่วงนั้นประชาโลกจะเหลือราวๆ 18% ตามที่เจมส์ ลัฟล็อก นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเครือจักรภพอังกฤษได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์การ์เดียนส์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2009 ซึ่งไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อเราก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เพราะว่าวัฏจักรของธรรมชาติมัน "เป็นไปเช่นนั้นของมันเอง" อย่าลืมว่าอย่างดีความเคยชิน หรือสามัญสำนึกที่ทำให้เราเชื่อมั่นในสิ่งอะไรหรือเรื่องใดๆ นั้น เพิ่งอยู่กับเราจริงๆ เพียง-อย่างมากก็เมื่อเราตั้งหลักฐานบ้านช่องแล้ว-หรือคือเมื่อ 15,000 ปีมานี้เอง แต่ธรรมชาติไม่ว่าระดับไหน มันอยู่กับโลกเรามา-พร้อมๆ กับธรรมชาติด้านลบเพื่อรักษาดุลยภาพของโลก-ไม่ว่าจะดาวหางหรืออุกกาบาต แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด การย้ายที่ของขั้วโลก ฯลฯ มันก็มีเช่นนั้นมาตั้งแต่เริ่มมีประวัติศาสตร์และดึกดำบรรพวิทยาของโลก 4,600 ล้านปีก่อนทั้งนั้น
 
ผู้เขียนเชื่อมั่นเช่นนักคิดนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ โดยเฉพาะนักฟิสิกส์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ หรือนักจักรวาลวิทยา และที่สำคัญที่สุด ผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างที่สุดในพระพุทธองค์ ไม่ใช่ในฐานะผู้ประกาศศาสนาพุทธเท่านั้น แต่ในฐานะเป็นบุคคลที่จีเนียสที่สุด สัพพัญญูที่สุด เป็นบุคคลเดียวที่มีจิตใจรักเมตตาชีวิตทั้งหลายทั้งปวงและสรรพสิ่งอย่างที่สุด ที่-เมื่อภายหลังที่ตัวพระองค์เองทรงสามารถปฏิบัติด้วยตัวเอง จนมีวิวัฒาการทางจิตสูงล้ำที่สุดแล้ว และล่วงรู้ความจริงที่แท้จริงของธรรมชาติทั้งสองระดับหรือธรรมะทั้งหมดแล้ว-ยังเป็นห่วงกังวลมนุษยชาติและสัตว์โลกทั้งหลาย จึงได้ทรงคิดค้นประเด็นต่างๆ ของ "ทุกขา" ทั้งหมด และสอนวิธีปฏิบัติเพื่อที่จะให้มนุษย์สามารถมีวิวัฒนาการทางจิตนั้นๆ
 
สัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์ได้มีวิวัฒนาการทางกายภาพเสร็จสิ้นแล้ว ดังที่ผู้เขียนได้เขียนลงที่นี่ไปหลายหนแล้ว แต่วิวัฒนาการทางจิตที่ช้ากว่ายังไม่เสร็จสิ้น เราส่วนใหญ่ยังเป็นเช่นโพลตินัสบอกว่า มนุษยชาติยืนอยู่ระหว่างสัตว์ร้ายกับเทวดา เพราะฉะนั้น วิวัฒนาการทางจิตจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อมนุษยชาติ เราทุกคนจะต้องมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ ซึ่งเป็นหลักการของจักรวาลและเป็นหลักการของพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ อย่าลืมว่าศาสนาจำเป็นต้องศึกษาธรรมชาติอย่างรอบด้าน ในขณะที่วิทยาศาสตร์ก็จำเป็นต้องศึกษาธรรมชาติ อย่างน้อยก็ในระดับล่าง ศาสนาจึงไม่ได้ห่างจากวิทยาศาสตร์ แท้ที่จริงแล้วศาสนากับวิทยาศาสตร์คือสิ่งที่ศึกษาค้นคว้าความจริงแท้ทั้งสองอย่าง.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/280310/19981
4677  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : สิทธิมนุษยชน-ความก้าวหน้า-สมัยใหม่ ฯลฯ เมื่อ: 05 เมษายน 2553 08:28:00

 
ที่ละไว้เพราะว่าไม่มีที่จะเขียน คิดว่าคงไม่มีหัวเรื่องไหนที่ยืดยาวถึงสองสามบรรทัด ครั้นจะตัดอย่างที่เป็นหัวเรื่องของบทความนี้ ก็กลัวท่านผู้อ่านจะเข้าใจผิด ผู้เขียนไม่ใช่ฮิปโปคริต แต่ความจริงที่ต้องย้ำในที่นี้ก็คือ ผู้เขียนเห็นด้วยกับ เดวิด ลอย-นักปรัชญาของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และครูผู้สอนเซ็นพุทธศาสนา-อย่างยิ่ง ที่กล่าวว่าความเป็นตะวันตก ความเป็นอเมริกัน คือน้ำมันกับไฟที่ช่วยโหมกระพือวัฒนธรรม หรือวิถีสังคมของเราให้เชื่ออย่างผิดๆ ว่า ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีจะยังให้ประเทศที่ใช้ระบบนั้นๆ เจริญ หรือการกระตุ้นให้ประชาชนของประเทศตนเป็นนักบริโภคนิยม-ก้าวหน้า ที่สำคัญวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวัตถุนิยมที่แยกส่วนและไร้จิตวิญญาณ (embodied) คือความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า (David Loy: A Buddhist History of the West, 2002) ซึ่งหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาเลย หากแต่เป็นเรื่องคำสอนพระพุทธองค์เรื่องกิเลสตัณหา โดยเฉพาะความหลงผิดโมหจริต (delusiom) ของสังคมอเมริกันที่สอนให้มนุษย์เห็นแก่เงิน หรือเห็นกงจักรเป็นดอกบัว นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมตะวันตก หรือความเป็นอเมริกันที่เดี๋ยวนี้เรียกว่ากระแสโลกานุวัตรส่งออก และคำอื่นๆ-ที่ผู้เขียนคิดว่าจะตั้งเป็นหัวข้อของบทความบทนี้-ซึ่งต่างเป็นคำที่เราเอามาใช้กันอย่างโก้หรู โดยไม่คิดว่ามันผิดธรรมชาติอย่างที่สุด นับเป็นสาเหตุสมุฏฐานของวิกฤติ มหาวิกฤติ ดุษฎีวิกฤติต่างๆ หรือโลกพัง เช่นคำว่า เศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี บริโภคนิยม กระแสโลกานุวัตร บรรษัทข้ามชาติ สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย (แบบที่มีอยู่หรือประชาธิปไตยตัวแทน) อิสรภาพ ความเจริญ ความก้าวหน้า สมัยใหม่ หรือความทันสมัย การพัฒนา ซึ่งก็คือการหาทางเอาชนะหรือควบคุมธรรมชาติ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดก่อให้เกิดโมหจริต ความหลงผิด กับความเป็นสอง ความแตกแยก ท่านผู้อ่านกรุณาคิดให้รอบคอบว่าทำไมทุกคนจึงอยากเป็น "คนดี" หรือทำไมบางคนถึงมีพฤติกรรมเป็นดั่งสัตว์นรกนั่น-เป็นความต้องการของเขา หรือเพราะสังคมบีบคั้นหรืออย่างไร?
 
ท่านผู้อ่านไม่ทราบว่าจะเคยมีประสบการณ์สังเกตพฤติกรรมปกติธรรมดาทั่วไปของสัตว์ที่เราเห็นเป็นประจำ เช่น หมา แมว วัว ควาย อาจจะยกเว้นพวกลิง พวกมันจะไม่ทำอะไรเลย นอกจากกินกับนอนนอกจากฤดูสืบพันธุ์ของมัน ส่วนพวกลิงนั้นหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติของมันก็จะมีฤดูสืบพันธุ์เหมือนกัน เว้นเสียแต่ถูกจับมาอยู่ในสวนสัตว์ ซึ่งลิงตัวผู้อาจจะมีอารมณ์ทางเพศคล้ายๆ กับมนุษย์ที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องกำหนดเวลาที่จะสืบพันธุ์ แต่ตัวเมียโดยธรรมชาติจะไม่ยอม เพราะว่าแม่จะต้องคำนึงถึงเวลาหลังคลอดที่ลูกลิงจะต้องมีความปลอดภัยที่สุดตามสัญชาตญาณธรรมชาติของสัตว์ ดังนั้น ประสบการณ์อันเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ตามที่สังเกตมา จะคำนึงถึงความปลอดภัยในทุกด้านหรือการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เป็นสำคัญที่สุด ส่วนเวลาที่เหลือ-หากแน่ใจว่าปลอดภัย-คือ หากิน หากินกับหากิน และนอน นอนกับนอนเท่านั้น ที่พูดมานั้นเป็นส่วนสำคัญของวิวัฒนาการทางกายภาพ ที่ให้พฤติกรรมทางกายเช่นเดียวกันของสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกหรือเป็นสังคมในธรรมชาติ วิวัฒนาการในรูปแบบที่กว้างๆ ในทางกายภาพของมนุษย์ (ยกเว้นเพศสัมพันธ์) ก็เป็นเช่นนั้น เพราะมนุษย์เคยชินกับความปลอดภัย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์โลกหรือเป็นมนุษย์ จะมีเป้าหมายหรือข้อจำกัดที่สิ้นสุดทั้งนั้น คือ ปลอดภัย สืบพันธุ์ กิน นอน ทุกอย่างพอเพียงพอดีและยั่งยืน (ปลอดภัย) ตามฐานันดรภาพของข้อจำกัดนั้นๆ มนุษย์โดยเฉลี่ยจะมีอายุไม่เกินร้อยปี มีสมองที่หนักไม่เกิน 1,400 กรัม และหัวใจจะหนักไม่เกิน 250 กรัมทั้งนั้น ส่วนวิวัฒนาการทางจิตนั้น มีเป้าหมายที่วิวัฒนาการของสมอง (ที่ไม่ใช่จิต) ซึ่งต้องวิวัฒนาการไปด้วยกัน เพราะว่าสมองมีหน้าที่บริหารจิต สัตว์โลกทุกชนิดประเภทมีเป้าหมายเฉพาะของสัตว์โลกประเภทนั้นๆ นั่นคือวิวัฒนาการธรรมชาติของกายและจิต ส่วนวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์นั้น เพราะตัวของเราเอง กับเพราะอวิชชา อหังการ และตัวกูที่ไม่รู้สึกตัว (unconscious-self) เราถึงได้ทำผิดธรรมชาติมาตั้งแต่ต้นเลย
 
ไม่ใช่เป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บ ไม่ใช่เป็นการต่อต้านสังคม ไม่ใช่เป็นการต่อต้านวัฒนธรรมอเมริกัน และยิ่งไม่ใช่เป็นบุคคลที่ใช้การตัดสินอย่างเบ็ดเสร็จว่าอะไรคือผิดหรือไม่ถูกต้องชั่วร้าย และอะไรคือความดีงามถูกต้องและชอบธรรม เพราะฉะนั้น ผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยกับจอร์จ บุช จูเนียร์ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเลย เมื่อบุชได้พูด-หลังกรณีเหตุการณ์ถล่มศูนย์การค้าโลก หรือกรณี 9/11 ที่นิวยอร์ก ว่า "เป็นการขัดแย้งที่แตกหักของอารยธรรม (clash of civilizations)..และเราขอเรียกร้องให้ (ชาวคริสต์ที่รักประชาธิปไตย) ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ (holy war ที่จอร์จ บุช จูเนียร์ ใช้คำว่า crusade) ต่อสู้กับความชั่วร้ายนี้" ตรงกันข้ามวัฒนธรรมของอเมริกา-จักรวรรดินิยมที่ใช้เงินและการเป็นผู้นำโลก (ภาวะจำยอมเพราะเป็นผู้ชนะแบบเบ็ดเสร็จสงครามโลกครั้งที่สองแต่ผู้เดียว) ที่มีว่าวัฒนธรรมของอเมริกาคือความถูกต้อง ประชาธิปไตยตัวแทนคือความถูกต้อง สิทธิมนุษยชนคือความถูกต้อง ความเจริญก้าวหน้า ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม การตลาดเสรี บริโภคนิยมยิ่งมากยิ่งดีคือความถูกต้อง ฯลฯ สรุปก็คืออะไรๆ ที่ฝรั่งตะวันตกและอเมริกาและอเมริกันมีอยู่และสนับสนุน-วัตถุกายภาพย่อมสำคัญและมีคุณค่ากว่าจิตใจที่มองไม่เห็น-ล้วนถูกต้องทั้งนั้น?
 
เช่นนั้นแล้ว เราจะช่วยตัวเองจากความเคยชินที่กลายเป็นนอร์ม กลายเป็นความปกติธรรมดาของ "ประเทศโลกที่สาม" ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้ง และจัดการให้ฝรั่งยุโรปหรืออเมริกาเท่านั้นเป็นคนฉลาด เก่งและเฮงกว่า เหมือนกับว่าฝรั่งเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ ส่วนมนุษย์ที่เหลือทั่วทั้งโลกอยู่ในนรก เราจะทำอย่างไรจึงจะกำจัดสิ่งเป็นเสมือนมะเร็งร้าย ความหลงผิด โมหจริตที่ชั่วร้าย หลอกหลอนหลายชั่วคนให้หมดไป? เราจะเอาชนะได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มก็ด้วยการรู้ความจริงที่แท้จริงเท่านั้น และเราต้องเข้าใจเช่นนั้นอย่างถ่องแท้ ความจริงแท้ที่อยู่ภายในและมองไม่เห็น เราจะต้องรู้ว่าสิ่งที่มองไม่เห็น หรือสิ่งที่ธรรมชาติซ่อนไว้อย่างมิดชิดนั้นย่อมจะสำคัญมากกว่าสิ่งพื้นๆ ที่ใครก็มองเห็นและหยิบฉวยได้ไปอย่างสบายมาก
 
นั่นคือเราต้องเข้าใจสังคมของมนุษย์ทั้งหมด ไม่เฉพาะแต่ระบบเงินหรือเศรษฐกิจที่ความเป็นอเมริกันมองว่า นั่นคือหัวใจของวิถีชีวิตของอเมริกันชน เพราะความเป็นชาติค่อนข้างใหม่ และเป็นหม้อหลอมของเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ที่ไม่มีวัฒนธรรมของชาติไม่มีกำพืดเป็นของตัวเอง แต่ยังต้องรวมทั้งระบบการเมืองใหม่ ระบบสังคมใหม่ ประวัติศาสตร์ใหม่ และองค์ความรู้หรือวิทยาศาสตร์กับศาสนาเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราในประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย โดยเฉพาะเราที่เป็นชาวพุทธจะต้องไม่ตามหลังอเมริกาหรือฝรั่งตะวันตกทุกๆ อย่างโดยไม่คิดหรือไตร่ตรองให้รอบคอบ เรา-ชาวพุทธต้องรู้ว่า หากว่าทุกประเทศจะต้องมีกฎหมายสูงสุดหรือรัฐธรรมนูญปกครองประชาชน ภพภูมิต่างๆ ก็ต้องมีกฎหมายสูงสุดหรือภพธรรมนูญเพื่อปกครองชาวโลกทุกๆ คน-ทั้งที่ตายจากภพภูมิหรือโลกนี้ ทั้งที่ยังไม่ตาย-นั่นคือกฎแห่งกรรมที่ปกครองมนุษย์ทุกๆ คน (ที่เจตนา) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสเองว่าทุกๆ คนเลย แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะนับถือหรือไม่นับถือพุทธศาสนา ฉะนั้น กฎแห่งกรรมคือกฎหมายสูงสุด-ที่ไม่เพียงแต่มนุษย์ใดๆ ในโลกนี้หรือภพภูมิแห่งนี้ ทั้งที่ตายแล้วหรือยังไม่ตาย-ที่ปกครองประชาชนทุกๆ คนในภพภูมิทั้งห้าภพภูมิ มันจึงไม่มีสิทธิมนุษยชน ความเจริญก้าวหน้า หรืออย่างหนึ่งอย่างใดดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น กฎหมายหรือธรรมนูญการปกครอง หรือความจริงทางโลกทางสังคมจะมีความสำคัญกว่ากฎแห่งกรรม หรือภพธรรมนูญ หรือความจริงที่แท้จริงได้อย่างไร? เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกเกิด เลือกผิวสีและเผ่าพันธุ์ เลือกสังคมประเทศชาติได้-หรือไร?
 
พุทธศาสนานั้นมองชีวิตและสังสารวัฏที่รวมจักรวาลและโลกนี้เป็นภพภูมิแห่งความทุกข์ ที่น่าจะแปลว่าความขัดแย้ง หรือความต้องการ หรือความถมไม่เต็มของความปรารถนามากกว่าความทุกข์ (suffering) ที่เราเข้าใจกันอันเป็นเรื่องกายภาพกับจิตรู้-ที่เป็นเรื่องของสมอง-ขณะที่ความปรารถนาความถมไม่เต็มเป็นเรื่องของอัตตา ตัวตน (self) ซึ่งเป็นเรื่องของจิตไร้สำนึก (unconsciousness) สมองจึงมีหน้าที่บริหารจิตไร้สำนึกที่ว่านั้นให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้เท่านั้น ความจริงแล้วจิตวิทยาของพุทธศาสนานั้น เป็นวิชาของพุทธศาสนาที่เป็นทั้งอะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ที่ผู้สนใจจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไปเมืองนอก เพียงหมั่นศึกษาพุทธศาสนาก็พอถมเถไป แถมดีกว่าด้วย พุทธศาสนานั้น เดวิด ลอย และเซ็นพุทธศาสนาจะแบ่งพุทธศาสนาออกเป็นสามสมัย เรียกว่า "หมุนกงล้อธรรมจักร" (turning dharma wheel) รุ่นแรกหรือรุ่นที่หนึ่งเป็นเรื่องที่เรียกว่าเป็นยุคคลาสสิก (classical period) ที่เน้นการเป็นอิสรภาพส่วนตัวหรือการเป็นปัจเจกพุทธ (personal liberation) มากกว่าคนอื่นๆ ซึ่งยุคนี้จะมีอายุราวๆ 700-800 ปี หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงประกาศให้มีพุทธศาสนา และมาถึงมีมิลินทปัญหาและพระไตรปิฎกที่ลังกาแล้ว และแพร่มาสู่พม่า ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาษาที่ใช้ในคัมภีร์ระหว่างนั้นจะใช้ภาษาบาลีเป็นพื้น ยุคการหมุนกงล้อธรรมจักรครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อมีคริสต์ศาสนาใหม่ๆ ราวก่อนขึ้นคริสต์ศตวรรษที่ 4 (ญาณโมฬี) เมื่อมีการกำเนิดขึ้นของมหายานพุทธศาสนาที่อินเดียเหมือนกัน แพร่ไปสู่จีน เกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งจะเน้นที่ความเป็นโพธิสัตว์หรือการหลุดพ้นของสัตว์โลกทั้งผอง (liberation of all sential beings) ซึ่งกลายเป็นนิกายวัชรญาณที่แพร่สู่ทิเบต มองโกเลีย และที่อื่นๆ ภาษาที่ใช้ในคัมภีร์พุทธศาสนาเดิมคือภาษาสันสกฤต ส่วนยุคแห่งการหมุนกงล้อธรรมจักรครั้งที่สามนั้นกำลังเริ่มที่จะเกิดบ้างแล้ว นั่นคือยุคสมัยของจิตวิญญาณ (noosphere) ยุคของวิญญาณแห่งโลก (world soul) มารวมกันและวิวัฒนาการต่อไปของมันตามเป้าหมาย ยุคสมัยแห่งจิตวิญญาณที่ปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง ศรีอรพินโธ และนักคิดคนอื่นๆ แม้แต่เคน วิลเบอร์ คาดหวัง วิญญาณของโลก (world soul) ที่ไม่ใช่วิญญาณของปัจเจกชนในศาสนาที่มีพระเจ้าเป็นดวงๆ แต่หมายถึงจิตหนึ่งหรือจิตจักรวาลอันกระจ่างใส
 
ฉะนั้น ยุคแห่งการหมุนกงล้อธรรมจักรครั้งที่สามของพุทธศาสนา คือพุทธศาสนาที่ได้แพร่กระจายไปสู่ประเทศต่างๆ ทางตะวันตกมากขึ้น มากอย่างไม่น่าเชื่อในปัจจุบันวันนี้ และหมายถึงการเป็นอิสรภาพหรือการหลุดพ้นของทั้งส่วนตัวและสัตว์โลกทั้งหลายที่แยกออกจากกันไม่ได้ และภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาของฝรั่งตะวันตก
 
วลีหรือคำใหม่ๆ เพราะๆ ที่ยกมาข้างบนนั้น เราต้องคิดให้ดีก่อนที่จะนำมาใช้กับสังคมมนุษย์ เพราะนั่นผิดทั้งกฎแห่งกรรมและผิดธรรมชาติ มิน่าที่ไม่ว่าอะไรในโลกที่มนุษย์คิดขึ้นมาใช้กับสังคมที่คิดว่าเป็นความจริงแท้ ต่างล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาและก่อวิกฤติทั้งนั้น ไม่วันนี้ก็วันหน้าโดยไม่มียกเว้น เพราะว่ามนุษย์เห็นแก่อัตตาตัวตนกับเห็นแต่มนุษย์ยิ่งใหญ่ที่สุด เราคิดแต่เหตุผลกับการพัฒนา-ซึ่งไม่มีจริง ธรรมชาตินั้นมีแต่การก้าวล่วงเหตุผล (transrational) และวิวัฒนาการ ศาสนาหรือจิตวิญญาณ (spirituality) โดยเฉพาะพุทธศาสนา คือเส้นทางไปสู่สภาวะนั้น.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/210310/19643
4678  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / นิทานตุ๊กตาแตกของท่านพุทธทาสภิกขุ เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:56:02
ได้อ่าน นิทานตุ๊กตาแตกของท่านพุทธทาสภิกขุ จากในบทความของ อ.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ที่เขียนไว้ใน Marketeer ฉบับเดือนกันยายน 2551 เรื่อง มอง ”สังคม” ผ่านนิทาน คิดว่าน่าสนใจดี เป็นการอธิบายหลักปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นกระบวนการเกิดขึ้นและดับไปแห่งความทุกข์ผ่านเรื่องราวของนิทาน



 


เด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง   ได้รับตุ๊กตาเป็นของขวัญวันเกิด  อยู่มาวันหนึ่งตุ๊กตาตกลงมาแตก  เมื่อเด็กคนนั้นเห็นว่าตุ๊กตาของตน ตกลงมาแตกจึงเกิดความเสียใจ  หรือรู้สึกห่อเหี่ยวในใจ  จึงร้องไห้คร่ำครวญ แม้ว่าหลายวันผ่านไป เมื่อคิดถึงเหตุการณ์นี้  ก็ยังเกิดความเสียใจขึ้นมาอีก เพราะรู้สึกสูญเสียของรักของตนเองไป  สุดท้ายเด็กคนนี้ก็เกิดทุกข์ เพราะไม่เข้าใจเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง


เกิดเป็น “ปฏิจจสมุปบาท” ครบ 1 รอบ ดังนี้



 


1.       อวิชชา เมื่อเด็กน้อยมองดูตุ๊กตาตกลงแตกอย่างนึกไม่ถึง ปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้น


2.       สังขาร ปรุงแต่งจิตให้เกิดการรับรู้


3.       วิญญาณ เพราะเห็นตุ๊กตาตก จึงเกิดการรับรู้ทางตา (จักษุวิญญาณ)


4.       นามรูป อายตนะ ผัสสะ  เกิดความรู้สึกนึกคิด รับรู้เพราะตาสัมผัสตุ๊กตา


5.       เวทนา ความรู้สึกว่าเป็นทุกข์ เสียใจเกิดขึ้น


6.       ตัณหา ไม่อยากทุกข์ เสียใจ เพราะตุ๊กตาแตก


7.       อุปาทาน เกิดความเสียใจ เพราะความยึดถือว่านั่นเป็นตุ๊กตาของเรา


8.       ภพ  เกิด “ตุ๊กตาของเรา” มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ


9.       ชาติ  เกิดความรู้สึกว่านี่มันตัวเรา นี่ตุ๊กตาของเราตกแตกนำไปสู่ความเสียใจ


10.   อุปายาส คือ เกิดความทุกข์ในเรื่องตุ๊กตาตกแตกคือการคร่ำครวญ ร้องไห้ เสียใจ


 


ลองนำไปใช้สำรวจตัวเองกันดูนะคะว่าเราได้เกิดอาการยึดมั่นถือมั่นกันหรือเปล่า


http://www.oknation.net/blog/concentration/2008/10/14/entry-1

4679  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / Re: Back To Spirit : จิตวิญญาณใหม่ในโลกใบเดิม เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:52:33


การแสวงหาจิตวิญญาณใหม่


 
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกได้ประมาณการเอาไว้ว่า ภายในอีก 100 ปีข้างหน้า หรือราวปี ค.ศ. 2100 สงครามระหว่าง ' มนุษย์ ' และ ' ธรรมชาติ ' จะดำเนินไปสู่จุดแตกหัก ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่สะสมในชั้นบรรยากาศจนกลายเป็นผ้าห่มผืนหนา ห่อหุ่มโลก ส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นสูงจนโลกใบนี้ไม่เหมาะที่จะให้มนุษย์อยู่อาศัย อีกต่อไปนั้น ... ว่าที่จริงแล้ว ก็เป็นคำทำนายบนพื้นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างใจเย็นพอสมควร


ตลอดฤดูร้อนปีนี้ ทั่วทั้งโลกต่างพร้อมใจกันพูดถึงประเด็นโลกร้อนในฐานะวาระเร่งด่วนที่พลเมืองโลกจำเป็นต้องรับมือร่วมกันอย่าง พร้อมเพรียง ... สังคมไทยเองก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าปฏิกิริยาสังคมเราอาจมีลักษณะเฉพาะเป็นแบบฉบับของเราเอง


นอกเหนือจากความพยายามทำให้ประเด็นโลกร้อนเป็นเรื่อง ' ง่าย ' โดยหดเหลือแค่ภาวะน้ำท่วมโลกเฉียบพลัน จนประเทศไทยต้องเปลี่ยน แผนที่ใหม่ภายในระยะเวลา 10 ปี ตามที่สื่อโทรทัศน์หลายแห่งเสนอไปนั้น เอกสารคำทำนายเกี่ยวกับสภาพสังคม ดินฟ้าอากาศ ภาพจำลองแผนที่ใหม่ของประเทศไทย ทั้งที่ถ่ายเอกสารและฟอร์เวิร์ดเมลส่งต่อกันเป็นทอด ๆ หลายแหล่งหลายที่มาหลายสำนวนภาษา ในหมู่ชนชั้นกลางนั้น แม้นว่า ' ที่มา ' ของคำทำนายสภาพความวิบัติทั้งหลายทั้งปวงส่วนใหญ่จะอิงอยู่กับสำนวนและถ้อยคำในร่มเงาของ ' ศาสนา ' แต่ก็ดูเหมือนว่า ปฏิกิริยาความตื่นตระหนกดังกล่าว อาจไม่ได้มีคำอธิบายถึง ' เหตุปัจจัย ' ของความวิบัติดังที่กลัว ๆ กันมากนัก ยกตัวอย่างเช่น ...


" ดูกร อานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลกที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ


" เริ่มแต่เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงเลย 2 , 500 ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามจากทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอารามสมณะชีพราหมณ์จะอดอยาก ยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ้งสู่หายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ .... ในระยะนั้น ศาสนาของตถาคตจะเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง ...


" ดูกร อานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาตตนี้ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตัวเอง ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติให้รักษาศีล 5 ประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคต ให้มั่นคงจึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล ... "


แม้นว่าความตื่นตระหนกดังกล่าวจะไม่ได้ให้คำอธิบายถึงเหตุผลปัจจัยใด ๆ มากนัก แต่อย่างน้อยที่สุด เนื้อหาหลายส่วนของ ' คำทำนายเชิงภัยพิบัติ ' เหล่านี้ก็สอดรับกับอารมณ์ความรู้สึกและความกลัวลึก ๆ ของผู้คน ซึ่งนานวันเข้าก็ยิ่งต้องยอมรับสภาพว่าปริมาณ ความถี่และระดับความรุนแรงของภัยธรรมชาตินั้น ยิ่งมีระดับทำลายล้างสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องเตรียมใจยอมรับล่วงหน้าว่าเมื่อจะไม่มี ประเทศใด ๆ บนโลกแม้แต่ประเทศเดียว ที่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างแข็งแรงแน่นหนาเพียงพอที่จะ รับมือกับเภทภัยครั้งนี้ ... อย่าว่าแต่ในบางประเทศที่สถาบันค้ำยันสังคมเกือบทุกสถาบัน ต่างก็หักโค่นไปล่วงหน้าเกือบหมดแล้ว


และถึงแม้นว่าสภาพความอลหม่านที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะดำเนินไปโดยไม่ได้มีองค์ความรู้ใด ๆ รองรับ แต่ภายใต้ข้อเท็จจริงเดียวกันนั้น ก็ได้นำมาสู่ความพยายามที่จะไขปัญหาลึกลับทั้งจากฟากนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามหาคำอธิบายใหม่ ๆ ให้พ้นไปจากกรอบความคิด เชิงกลไกแบบนิวตัน ทั้งจากฟากศาสนาที่พยายามแสวงหารูปแบบใหม่ ๆ เพื่อที่จะเข้าถึงเนื้อหาดั้งเดิมของจิตวิญญาณไม่ว่าจะผลิตออกมา ในชื่อเรียกใดก็ตาม จนกระทั่งกลายเป็นข้อสรุปในหมู่นักวิทยาศาสตร์ช่วงทศวรรษ 1970 เป็นต้นมาแล้วว่า ความรู้ความเข้าใจต่อธรรมชาติ ของจิตวิญญาณ เป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่วิทยาศาสตร์กำลังเผชิญหน้าอยู่ในปัจจุบัน


ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ท้าทายและก้าวหน้าในปัจจุบัน จึงไม่ใช่เพียงความรู้เชิงประจักษ์ภายใต้กรอบของสสารและเหตุผล แต่มันเป็น ความพยายามคลี่ปมปริศนาลึกลับที่แฝงอยู่ในตัวตนของมนุษย์ สรรพชีวิต โลก และจักรวาล ประเด็นทำนองนี้นักฟิสิกส์คนดังอย่าง ฟริตจอฟ คาปรา ได้กล่าวเอาไว้ตั้งแต่ปี 1975 แล้วว่า แบบแผนต่าง ๆ เท่าที่มีอยู่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา หรือสังคม หากยังไม่มีการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ให้ทันเวลา หรือยังเดินหน้าไปภายใต้ทัศนคติที่มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ยุคเก่า ภายในไม่เกินปี ค.ศ. 2030 ระบบทั้งปวงที่มีอยู่จะเดินไปสู่ความอับจน โดยมีความเสื่อมสลายของโลกเป็นผลลัพธ์ตกค้าง
กระบวนทัศน์เก่าที่นักฟิสิกส์อย่างคาปรากล่าวถึงไว้นั้น เดวิด ซี. คอร์เทน ผู้เขียนหนังสือ โลกหลังยุคบรรษัท ( The Post - Coperate World ) ขยายความถึงความเชื่อเก่าแก่ทางวิทยาศาสตร์ที่ครอบงำสังคมตะวันตกและโลกมาตลอด 300 ปีไว้ว่า


" จักรวาลมีลักษณะคล้ายลานนาฬิกายักษ์ที่นายช่างผู้สร้างได้ไขลานไว้ตั้งแต่แรก จากนั้นก็ปล่อยให้มันหมุนเดินไปเรื่อย ๆ เรากำลังอยู่ใน จักรวาลที่ตายแล้วและสูญเปล่า สสารคือความจริงเพียงสิ่งเดียว จิตสำนึกเป็นเพียงภาพลวงตา ชีวิตเป็นเพียงผลลัพธ์ทางการผ่าเหล่าทาง พันธุกรรมจากความซับซ้อนของวัตถุ ... ในการต่อสู้แข่งขันผู้ที่เหมาะสมกว่าจะอยู่รอดรุ่งเรือง ส่วนผู้อ่อนแอกว่าต้องสูญสิ้นไป ... มนุษย์เป็นเพียงเครื่องจักรที่ซับซ้อนที่สุด เราไม่อาจคาดหวังให้มนุษย์เป็นอะไร หรือกลายเป็นอะไรได้มากกว่าสัตว์ร้ายที่โหดเหี้ยม "


แน่นอนว่า หลักคิดครอบงำอันโหดเหี้ยมซึ่งวิวัฒน์มาเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายทฤษฎี โดยที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงมันตรง ๆ นี้ ถูกนักวิทยาศาสตร์ยุคหลังหักล้างอย่างย่อยยับ เดวิด โบห์ม นักฟิสิกส์แห่งมหาวัทยาลัยลอนดอน มีชื่อเสียงจากการค้นพบสมมติฐาน เสนอเป็นภาพจำลองจักรวาลที่แตกต่างไปจากจักรวาลของนิวตันอย่างสิ้นเชิง จักรวาลของโบห์มไม่ใช่ ' นาฬิกาที่ถูกไขลานให้เดิน อย่างไร้จุดหมาย ' ตรงกันข้าม โบห์มค้นพบพลังงานบางอย่างที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ความเคลื่อนไหวนั้นเกี่ยวโยงอย่างมีนัยสำคัญกับ ความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งจนไม่อาจแยกส่วนออกเป็นชิ้นย่อย ๆ



ดานาห์ โซฮาร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาดและเอ็มไอที ผู้วิจัยเรื่อง ' Quantum Model of Consciousness ' อธิบายปรากฏการณ์บิ๊กแบงว่า มันไม่ได้เป็นเพียงการก่อรูปและเปิดฉากให้สสารปรากฏขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีเบื้องหลังที่ไม่ได้ปรากฏตัวในรูปแบบของสสารเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วย สิ่ง ๆ นั้นอาจมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน บ้างก็เรียกว่าจิตจักรวาล หรือถ้ายึดตามคำบอกเล่าทางศาสนา สิ่ง ๆ นั้นก็อาจมีสภาพไม่ต่างจาก ... พระผู้เป็นเจ้า


ข้อเสนอและการค้นพบเหล่านี้ ขยายพรมแดนจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์กลายมาเป็นสิ่งที่เรียกว่า ' การเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ในศตวรรษที่ 21 ' แทนที่ความรู้และกระบวนทัศน์เดิมที่สืบขนบต่อเนื่องกันมา 300 กว่าปี ความเปลี่ยนแปลง ครั้งนี้เองที่อาจจะทำให้คำถาม ความสับสน หรือสภาพไร้อารยธรรมทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ถูกหักโค่น แล้วต้องหวนกลับ ไปสู่การใช้เครื่องมือเดิมที่เรียกที่เรียกว่าศาสนาเพื่อแสวงหาจิตวิญญาณใหม่


- คัดบางส่วนจากนิตยาสาร Way ฉบับ BACK TO SPIRIT -

4680  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / Re: Back To Spirit : จิตวิญญาณใหม่ในโลกใบเดิม เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:52:06




Satya Sai BaBa นักมายากล หรือ บุคคลผู้บรรลุ
 

สัตยา ไส บาบา เป็นคุรุหรือ ' กูรู ' อีกคนหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันดี

ภาพประทับใจที่คนนึกถึงไส บาบามักเกี่ยวข้องกับอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร หรือปาฏิหาริย์ประเภทคว้าให้กลายเป็นทองคำ หรือไม่ก็เสกให้ มีขี้ธูปออกมาจากแจกันเปล่าได้ แต่ละครั้งที่ไส บาบาปรากฏตัวจะมีคนมากมายรายล้อมรอชมปาฏิหาริย์ จนทางการอินเดียต้องสั่งให้ไส บาบาหยุด

ไส บาบา กล่าวว่าตนเป็นองค์อวตารของไส บาบา แห่งเมืองชรีดี ( Shridi ) ซึ่งถือเป็นคุรุที่ชาวอินเดียให้ความนับถืออย่างมาก รถยนต์แทบทุกคันจะติดภาพของไส บาบาไว้ที่หน้ากระจกรถเพื่อเป็นสิริมงคลต่อรถและชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไส บาบาสอนก็เน้นย้ำ การไม่แบ่งแยกศาสนา พูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน และความรักที่ไม่มีขีดจำกัด

" การมาของท่านนั้นไม่ได้มาเพื่อจะรบกวน หรือทำลายความศรัทธาใด ๆ แต่มาเพื่อยืนยันความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละท่าน ซึ่งคริสเตียนก็จะเป็นคริสเตียนที่ดี และมุสลิมก็จะเป็นมุสลิมที่ดี และฮินดูก็จะเป็นฮินดูที่ดี " สานุศิษย์ของไส บาบา ยืนยัน

ทุกวันนี้ Prasanthi Nilayam แห่งเมืองพุทธปาตี แห่งรัฐอันธรประเทศ ทางใต้ของประเทศอินเดีย ยังเต็มไปด้วยผู้คนที่มาจากทั่วสารทิศ และทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงวันเกิดของไส บาบาในเดือนพฤศจิกายน เราจะเห็นผู้คนแห่แหนเข้าไปที่อาศรม คนเหล่านั้นต่างขับร้องเพลง เพื่อบูชาและสรรเสริญไส บาบา

แต่พ้นไปจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แล้ว ว่ากันว่าคำสอน แนวปฏิบัติ รวมถึงสิ่งที่ไส บาบาทำให้กับสังคมล้วนเกาะเกี่ยวกับเรื่องราวแห่ง สติปัญญา ไม่ว่าจะเป็นธรรมะที่เผยแผ่ โรงเรียนที่สร้าง รูปแบบการศึกษาผสานกับสมาธิ คุณธรรมที่เน้นย้ำ โรงพยาบาล บ้านพักของคนไร้ที่อยู่

ไม่เพียงที่อินเดียเท่านั้น องค์กรสัตยาไส และโรงเรียนสัตยาไส ยังเผยแผ่ไปทั่วโลก แม้กระทั่งในเมืองไทยโรงเรียนสัตยาไสของ ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ก็เป็นส่วนหนึ่งดำเนินตามแนวคิดนี้

มีคนเคยถามต่อหน้าว่า แท้จริงแล้วสัตยา ไส บาบาเป็นใคร ท่านตอบว่า " ฉันคือพระเจ้า และคุณคือพระเจ้า แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างกัน ระหว่างคุณกับฉัน นั่นคือ ขณะที่ฉันตระหนักรู้กับมัน แต่คุณกลับไม่ตระหนักรู้อะไรเลย "
คำสอนของสัตยา ไส บาบา เน้นถึงหนทางที่นำไปสู่ความหมายของชีวิต 5 ข้อ อันได้แก่ สัจจะ การมีธรรมะ มีสันติ มีความรัก และยึดหลักอหิงสา ขณะเดียวกันก็ให้รักพระเจ้า เกรงกลัวต่อบาป และรับผิดชอบต่อสังคม
หน้า:  1 ... 232 233 [234] 235 236
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.49 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 22 ชั่วโมงที่แล้ว