.
ผู้สละโลก
เรื่อง พระสารีบุตร
๗ ปุพเพปณิธาน
ภิกษุทั้งหลายทูลถามถึงบุพพกรรมของพระอัครสาวกทั้งสองว่า มีปณิธานมาอย่างไร พระศาสดาได้ตรัสเล่าว่า
ในสมัยแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี อันเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ พระสารีบุตรเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า สรทมานพ ส่วนพระโมคคัลลานะเกิดในสกุลคหบดีมหาศาล มีนามว่า สิริวัฒกุฎุมพี ท่านทั้งสองเป็นสหายรักกัน
วันหนึ่ง สรทมานพอยู่ในที่เงียบสงัด ไตร่ตรองเรื่องของชีวิต เกิดความคิดขึ้นว่า “เราสามารถรู้เรื่องของชีวิต และอัตตภาพในโลกนี้เท่านั้น แต่มืดมนต่อปัญหาชีวิตและอัตตภาพในโลกหน้าเหลือเกิน สัตว์ผู้เกิดแล้วจะไม่ตายนั้นไม่มี เราจักต้องตายแน่แท้ ชีวิตในโลกหน้าของเราจักเป็นอย่างไรหนอ?”
เพื่อตอบปัญหาชีวิตนี้ให้ได้ สรทมานพต้องการออกบวชแสวงหาโมกขธรรม จึงไปชวนสิริวัฒกุฎุมพีผู้สหาย แต่สิริวัฒไม่พร้อมจะทำได้ จึงปฏิเสธ สรทมานพคิดว่า “ผู้ไปสู่ปรโลก คือโลกหน้าจะชวนสหายหรือญาติมิตรไปด้วยไม่ได้ โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของๆ ตน บุคคลต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป กรรมดีกรรมชั่วที่เราทำนั่นแหละเป็นของเรา และจะติดตามเราไปในโลกหน้า” คิดดังนี้แล้ว จึงบริจาคทรัพย์เท่าที่มีเป็นทานแล้วออกบวชเป็นชฏิล มีผู้ออกบวชตามเป็นอันมาก
สรทดาบสทำ กสิณบริกรรม๑ จนได้อภิญญา๒ ๕ และมาสมาบัติ๓ ๘ ชฎิลบริวารก็ได้คุณสมบัติเช่นนั้นเหมือนกัน
เช้าวันหนึ่ง พระอโมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติ๔ หรือพระมหากรุณาสมบัติ ทรงพิจารณาอุปนิสัยแห่งสัตว์โลก ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งสรทดาบสพร้อมด้วยบริวารว่า สรทดาบสอาศัยพระองค์แล้วจักปรารถนาตำแหน่งอัครสาวก ดังนี้แล้วเสด็จไปยังสำนักของสรทดาบส เสด็จไปทางอากาศ ทรงอธิษฐานพระทัยว่าขอให้สรทดาบสรู้ความที่พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อสรทดาบสเห็นอยู่นั่นเองเสด็จลงจากอากาศประทับยืนบนภาคพื้น
สรทดาบสเห็นอานุภาพแห่งอาคันตุกะ และเพ่งพินิจสง่าราศีแห่งพระพุทธสรีระแล้วระลึกถึงวิชาดูลักษณะคนที่ตนช่ำชองอย่างดี ก็ได้ทราบด้วยปัญญาญาณว่า อาคันตุกะผู้นี้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ถอดถอนกิเลสทั้งปวงออกจากจิตได้แล้วจึงถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์๕ จัดอาสนะถวาย ตนเองนั่งบนอาสนะที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้น้อยกว่า
ขณะนั้นชฏิลบริวารของสรทดาบสจำนวนมาก กลับจากหาผลาผลได้เห็นอาจารย์ของตนนั่งแสดงความเคารพอาคันตุกะผู้หนึ่งอยู่เกิดความประหลาดใจ จึงกล่าวว่าพวกเราเข้าใจว่า ในโลกนี้ผู้ที่เป็นใหญ่กว่าอาจารย์ไม่มี บุรุษผู้นี้เป็นใหญ่กว่าอาจารย์หรือ?
สรทดาบสตอบว่า “ท่านทั้งหลายอย่านำเม็ดทรายไปเทียบภูเขาสิเนรุราชเลย เราเป็นเสมือนเม็ดทราย ส่วนท่านผู้นี้เป็นเสมือนสิเนรุราชบรรพต พระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า”
บริวารของสรทดาบสแน่ใจว่า อาคันตุกะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แท้จริง มิฉะนั้นแล้ว ไฉนเล่าอาจารย์ของพวกตนจึงแสดงอาการกายและวาจาเช่นนั้น จึงพร้อมพันหมอบลงแสดงความเคารพ
สรทดาบสล้างมืออย่างดีแล้วนำเอาผลไม้ที่มีรสดีวางลงในบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่พระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้ากำลังทรงทำภัตตกิจ ท่ามกลางการแวดล้อมของชฎิลบริวารของสรทดาบส และทรงปราศรัยอยู่กับสรทดาบสนั่นเอง ทรงดำริว่า “ขอให้อัครสาวกของเราพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จงมา”
พระอัครสาวกทั้งสองทราบพระดำริของพระศาสดาด้วยโทรจิต๖ แล้วรีบมาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์บริวาร ยืนถวายบังคมอยู่ ณ ที่อันสมควรด้านหนึ่ง
สรทดาบสสั่งให้ชฏิลบริวารผู้ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ไปนำดอกไม้จากป่าใหญ่มาทำอาสนะดอกไม้ถวายพระพุทธเจ้า พระอัครสาวกและภิกษุสงฆ์ทั้งมวลทำอาสนะดอกไม้สำเร็จโดยรวดเร็ว ด้วยอำนาจฤทธิ์ของผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย
ภราดา! วิสัยสามารถแห่งเด็กเล็กกับวิสัยสามารถแห่งผู้ใหญ่ผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังความรู้ และกำลังปัญญา ย่อมแตกต่างกันมากฉันใด วิสัยสามารถแห่งสามัญชนกับท่านผู้สำเร็จแล้วทางอภิญญาสมาบัติก็แตกต่างกันมากฉันนั้น ท่านจึงเตือนไว้ว่าสามัญชนไม่ควรคิดมากในเรื่องต่อไปนี้คือ
๑.วิสัยสามารถของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (พุทธวิสัย)
๒.วิสัยสามารถแห่งผู้ได้ฌานสมาบัติ (ญาณวิสัย)
๓.วิสัยแห่งกรรมและผลของกรรม (กัมมวิปากวิสัย)
๔.ความคิดถึงความเป็นมาของโลก (โลกจินตา)
ท่านว่าเรื่องทั้ง ๔ นี้เป็น อจินไตย ใครคิดมากต้องการรู้ด้วยเหตุผล อาจเป็นบ้าได้
ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? คำตอบก็คือว่า บางอย่างเรารู้ได้ด้วย ประสาทสัมผัส๗ ธรรมดาเช่น รูปที่หยาบรู้ด้วยตาเนื้อ เสียงที่หยาบรู้ด้วยหูเนื้อ สัมผัสที่หยาบรู้ด้วยกายเนื้อเป็นต้น, บางอย่างเรารู้ได้ด้วยเหตุผล๘ เช่น ความผิด ความถูก ความดี ความชั่ว เป็นต้น, แต่บางอย่างเราไม่อาจรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสและด้วยเหตุผล แต่รู้ได้จริงๆ ด้วย ญาณวิเศษ๙ ของท่านผู้ที่มีจิตใจประณีตจนมีญาณเกิดขึ้นเช่นทิพจักษุญาณ เป็นต้น สามารถเห็นกายทิพย์ที่จักษุธรรมดาเห็นไม่ได้
ภราดา! สรุปว่า สิ่งอันเป็นวิสัยแห่งผัสสะเรารู้ได้ด้วยผัสสะสิ่งอันเป็นวิสัยแห่งเหตุผล เรารู้ได้ด้วยเหตุผล ส่วนสิ่งอันเป็นวิสัยแห่งญาณก็ต้องรู้ด้วยญาณ
แม้ในเรื่องผัสสะนั่นเองก็ต้องจับให้ถูกคู่ของมันจึงจะสำเร็จประโยชน์ ผิดคู่ก็ไม่เกิดประโยชน์ เช่น เอาตาไปชิมแกง เอาลิ้นไปดูรูป เป็นต้น
ตลอดเวลา ๗ วันที่พระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ สำนักของสรทดาบสนั้น สรทดาบทได้ยืนกั้นฉัตรดอกไม้ถวายด้วยปีติปราโมช มีความสุขตลอด ๗ วัน และ ๗ วันนั้น พระพุทธเจ้าและพระอัครสาวกรวมทั้งพระสาวกอรหันต์ได้เข้านิโรธสมาบัติ เพื่อให้สักการะของสรทดาบสและชฏิลบริวารมีอานิสงส์มาก
ในวันที่ ๗ พระศาสดาเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติ รับสั่งให้อัครสาวกนามว่าพระนิสภะอนุโมทนา และรับสั่งให้พระอัครสาวกอีกรูปหนึ่งคือ พระอโนมเถระแสดงธรรม แต่ไม่มีใครได้สำเร็จมรรคผลเลย พระศาสดาจึงทรงแสดงธรรมเอง ชฏิลบริวารของสรทดาบสได้สำเร็จอรหัตผลหมด ส่วนท่านสรทะไม่ได้สำเร็จเพราะมีจิตฟุ้งซ่านอยู่ตั้งแต่เริ่มฟังอนุโมทนาของพระอัครสาวกจนถึงฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า จิตของท่านวนเวียนอยู่ว่า “ไฉนหนอเราจะพึงได้รับภาระเช่นนี้บ้างจากพระพุทธเจ้าซึ่งจะบังเกิดขึ้นในอนาคต”
สรทดาบสจึงตั้งความปรารถนาเฉพาะพระพักตร์ของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าว่า “พระเจ้าข้า, ด้วยกุศลกรรมครั้งนี้ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะหรือความเป็นพรหม แต่ข้าพระองค์ปรารถนาเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตเหมือนพระนิสภเถระ”
พระศาสดาทรงส่งพระญาณไปในอนาคต ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า “ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมในอนาคต ท่าจักเป็นอัครสาวกที่หนึ่ง นามว่าสารีบุตร จักเป็นผู้สามารถหมุนธรรมจักรได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า จักเป็นผู้มีปัญญามาก บรรลุถึงยอดแห่งสาวกบารมีญาณ”
เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับแล้ว สรทดาบสรีบไปหาสิริวัฒผู้สหายเล่าเรื่องทั้งปวงให้ฟัง และขอร้องสิริวัฒปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่ ๒
สิริวัฒเชื่อท่านสรทดาบส จึงเตรียมหาทานถวายภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขตลอด ๗ วันแล้วปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่ ๒
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องปุพพจริยาของอัครสาวกทั้งสองจบลงแล้ว ตรัสเพิ่มเติมว่า
“ภิกษุทั้งหลาย! นี่คือความปรารถนาที่บุตรของเราตั้งไว้แล้วในครั้งนี้ บัดนี้ เธอทั้งสองได้ตำแหน่งนั้นตามปรารถนาแล้ว ภิกษุทั้งหลาย! เราหาได้ให้ตำแหน่งเพราะเห็นแก่หน้าไม่”
ภราดา! ความพยายามและความปรารถนาของบุคคลผู้ทำความดี สั่งสมกรรมดีนั้นไม่เคยไร้ผล มันจะคอยจังหวะให้ผลในโอกาสอันควรอยู่เสมอ แต่เนื่องจากคนบางคนขณะพยายามเพื่อทำกรรมดี สั่งสมกรรมดีอยู่นั้นก็ให้โอกาสแห่งความชั่วแทรกแซงเข้ามาเป็นระยะๆ เมื่อเป็นดังนี้ผลแห่งกรรมดีก็ถูกขัดขวางเป็นระยะๆ เหมือนกัน, ไม่มีโอกาสให้ผลได้เต็มที่
อนึ่ง ความพยายามเพื่อเอาชนะความชั่วในตนนั้น จัดเป็นความพยายามที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตมนุษย์ เราจะต้องพยายามไปตลอดชีวิต ชีวิตเดียวไม่เพียงพอด้วยซ้ำไป ต้องพยายามกันชาติแล้วชาติเล่า โดยหาวิธีให้จิตค่อยเจริญขึ้นทีละน้อย ค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้น ดังที่พระพุทธองค์ทรงอุปมาไว้ว่า “มหาสมุทร๑๑ ลึกลงโดยลำดับ ลาดลงโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนภูเขาขาด ฉันใด ธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น มีการศึกษาตามลำดับ (อนุปุพพสิกขา) มีการกระทำตามลำดับ (อนุปุพพกิริยา) มีการปฏิบัติตามลำดับ (อนุปุพพปฏิปทา)”
ความเจริญที่ค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆ นั้นจะช่วยให้เราเอาชนะความคิดและนิสัยที่ชั่วช้าได้ทีละน้อย ถ้าเร่งเกินไป อาจทำให้ฟุ้งซ่านเกิดภาวะความขัดแย้งมากมายในใจ
ความรู้หรือการให้อาหารแก่ใจก็ทำนองเดียวกับการให้อาหารแก่ร่างกายต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อยทีละขั้น อาหารที่ย่อยดีจึงจะเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ความรู้ความเข้าใจที่ย่อยดีแล้วจึงจะเป็นประโยชน์แก่ดวงจิต ในการนี้ความอดทนเป็นคุณธรรมที่จำเป็นจริงๆ ปราศจากความอดทนเสียแล้วก็ทำไปได้ไม่ตลอด อาจทอดทิ้งเสียกลางคัน
ช่างฝีมือบางพวก เมื่อจะทำงานสำคัญบางชิ้น เขาจะอุทิศชีวิตทั้งชีวิตทีเดียวเพื่องานนั้น นักปราชญ์ผู้แสวงหาปัญญาจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตเหมือนกันเพื่อให้รู้อะไรสักอย่างหนึ่ง หรือเพื่อให้ชีวิตก้าวไปสักขั้นหนึ่งในทางปัญญา แม้จะเป็นขั้นเล็กๆ ก็ตามแล้วไปต่อเอาชาติหน้าอีก ความพยายามของเราจะต้องเป็นไปติดต่อ (วิริยารัมภะ) ซื่อสัตว์และเอาจริง ผลจะต้องมีอย่างแน่นอนแม้จะช้าสักหน่อยก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ โชคชาตาของแต่ละคนจึงเป็นผลรวมแห่งการกระทำในอดีตของเขา ความสามารถทางจิต สภาพทางกาย อุปนิสัยทางศีลธรรม และเหตุการณ์สำคัญในชาติหนึ่งๆ ย่อมเป็นผลรวมแห่งความปรารถนา ความคิด ความตั้งใจของเราเองในอดีต ความต้องการในอดีตของเราเป็นสิ่งกำหนดโอกาสในปัจจุบันให้เรา ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ สภาพปัจจุบันของเราจึงเป็นผลแห่งการกระทำ, ความคิดและความต้องการของเราในอดีต ไม่เฉพาะแต่ในชาติก่อนเท่านั้น แต่หมายถึงในตอนต้นๆ แห่งชีวิตในชาตินี้ของเราด้วย
จึงสรุปได้ว่า ทุกอย่างที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นผลแห่งสิ่งที่เราเคยคิดไว้
“สิ่ง๑๑ทั้งปวงมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จมาจากใจ ถ้าใจเศร้าหมอง การทำและการพูดก็เศร้าหมอง ความทุกข์จะตามมา ถ้าใจผ่องแผ้ว การทำและการพูดก็สะอาดบริสุทธิ์ ความสุขจะตามมาเหมือนล้อเกวียนหมุนตามรอยเท้าโค หรือเหมือนเงาตามตัว”
ภราดา! พระตถาคตเจ้าตรัสไว้อีกว่า
“จิต๑๒ที่ตั้งไว้ถูกย่อมอำนวยผลดีให้สุดจะคณนาอย่างที่มารดาบิดาหรือญาติไม่อาจมอบให้ได้ ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิดย่อมทำให้บุคคลนั้นย่อยยับป่นปี้ยิ่งเสียกว่าศัตรูคู่เวรทำให้”
ดังนั้น การบำรุงรักษาใจให้ดีจึงมีคุณแก่บุคคลผู้บำรุงรักษายิ่งกว่าบำรุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลกนี้ เพราะใจเป็นสมบัติอันล้ำค่าของมนุษย์
บันทึกทางวิชาการท้ายบทที่ ๗
๑ กสิณบริกรรม การเพ่งกสิณ เช่น เพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ หรือสีเหลือง สีเขียว สีขาว สีแดง เป็นต้น พร้อมกับบริกรรมว่า ดินๆ เป็นต้น กสิณ ๑๐ เป็นทางให้เกิดอภิญญาสมาบัติ
๒ อภิญญา คือความรู้ยิ่ง ความรู้เหนือสามัญชน เหนือธรรมดา (Supernatural knowledge) ผู้ได้อภิญญา ย่อมได้อำนาจเหนือธรรมชาติ (Supernatural power) สามารถทำสิ่งทีสามัญชนทำไม่ได้ เราอาจเทียบให้เห็นได้กับช่างอิเล็คโทรนิคที่สามารถทำกับเครื่องไฟฟ้าที่คนผู้ไม่ได้เรียนไม่ได้ฝึกฝนมาทำไม่ได้ หรือแม้นักกายกรรมก็สามารถทำอะไรได้แปลกๆ ชนิดที่สามัญชนทำไม่ได้เหมือนกัน ผู้ฝึกทางจิตก็ย่อมมีอำนาจจิตพิเศษเป็นรางวัลตอบแทนความพยายาม
๓ สมาบัติ ๘ คือฌาน ๗ นั่นเอง เป็นความละเอียดประณีตของดวงจิตเป็นขั้นๆ ฌานที่เองเป็นบาทฐานอันสำคัญของอภิญญา
๔ นิโรธสมาบัติ เป็นสมาบัติลำดับที่ ๙ เหนือสมาบัติ ๘ ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ในขั้นนี้ผู้เข้าดับสัญญาและเวทนาหมดสิ้น ไม่หายใจเหมือนคนตาย แต่ยังมีไออุ่นอายุยังไม่สิ้น การหมุนเวียนของโลหิตในร่างกายยังมีพระอริยบุคคลชั้นอนาคามี และอรหันต์ที่ได้สมาบัติ ๘ เท่านั้น จึงจะเข้าได้ต่ำกว่านั้นเข้าไม่ได้ เพราะสมาธิไม่พอ เข้านิโรธสมาบัติอย่างน้อย ๗ วัน อย่างมาก ๑๕ วัน
๕ เบญจางคประดิษฐ์ การแสดงความเคารพที่ประกอบด้วยองค์ ๕ คือศีรษะ ๑ มือ ๒ เท้า ๒ ทั้งหมดราบลงกับพื้น เป็นการหมอบลงราบกับพื้น เห็นชาวธิเบตทำเป็นประจำที่พุทธคยาในอินเดีย
๖ โทรจิต (Telepathy) การส่งความคิดให้ผู้อื่นทราบโดยไม่ต้องใช้เครื่องหมายหรือคำพูดใดๆ (The passing of thought from one person to another without the use of signs or words) เป็นวิสัยของท่านผู้ฝึกจิตจนเกิดความชำนาญแล้ว
๗ ลัทธิปรัชญาที่เรียกว่า Empiricism เชื่อว่าบุคคลรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยประสาทสัมผัสหรือประสบการณ์ทางอายตนะ
๘ ลัทธิปรัชญาที่เรียกว่า Rationalism เชื่อว่าบุคคลได้รับความรู้ด้วยผ่านทางเหตุผล
๙ ลัทธิปรัชญาที่เรียกว่า Intuitionism เชื่อว่าบุคคลจะได้รับความรู้ผ่านทางญาณ เป็นความรู้แจ้งเห็นจริงภายใน
๑๐-๑๑-๑๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ หน้า ๑๕๒, ๑๔ ๒๐ ข้อ ๑๑๗, ๑๑, ๑๓ ตามลำดับ