หลักเมืองกรุงเทพมหานคร
หลักเมือง (ต่อ)
• พิธีฝังเสาหลักเมือง
คัดจาก หนังสือสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคกลาง
(มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์)
พิธีฝังเสาหลักเมือง มีปรากฏในหนังสือจดหมายเหตุการปรับปรุงศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร พุทธศักราช ๒๓๒๕-๒๕๒๙ สรุปความได้ดังนี้...เมื่อจะประกอบพิธีฝังเสาหลักเมืองนั้น ให้ปลูกโรงพิธีสงฆ์กลางเมือง ๕ ห้องโรงหนึ่ง ขื่อกว้าง ๘ ศอก มีเฉลียงรอบ และที่ ๔ ทิศเมือง ๓ ห้อง ๔ โรง ขื่อกว้าง ๖ ศอก มีเฉลียงรอบ พื้นสูง ๒ ศอก เสมอกันทั้งในประธานทั้งเฉลียง ความสูงพอสมควรกับขื่อ ให้ตั้งราชวัติ ปักฉัตรธง ผูกต้นกล้วยต้นอ้อยรอบโรงพิธีเหมือนกันทั้ง ๕ โรง ส่วนโรงพิธีกลางเมืองนั้นให้ทำศาลเทวดา ๔ ศาล สำหรับบูชาพระอาทิตย์ พระพรหม พระอิศวร และพระนารายณ์ ส่วนที่โรงพิธี ๔ ทิศเมือง ให้ตั้งศาลเทวดาโรงละหนึ่งศาล สำหรับบูชาท้าวจตุโลกบาล นอกจากนั้นให้ปลูกโรงพิธีพราหมณ์กลางเมืองตรงที่จะฝังหลักเมือง ๒ โรง โรงละ ๓ ห้อง ขื่อกว้าง ๕ ศอก พื้นในประธานสูงศอกคืบ พื้นเฉลียงสูงศอกหนึ่ง ให้ตั้งราชวัติ ปักฉัตรธง ผูกต้นกล้วยต้นอ้อยรอบโรงพิธีเหมือนกันทั้ง ๒ โรง ให้ขุดหลุมที่จะฝังหลักเมือง ขุดเป็นหลุมปาก ๑๒ เหลี่ยม กว้างเหลี่ยมละ ๑๐ นิ้ว ความลึกพอกับแผ่นศิลาที่รองต้นเสาหลักเมือง ลึกแต่หลังแผ่นศิลาถึงปากหลุม ๗๙ นิ้ว ให้ตั้งราชวัติ ปักฉัตรธงล้อมทั้ง ๔ ด้าน ให้มีศาลเทวดาที่หลักเมือง ๒ ศาล ให้มีเตียงสำหรับรองพระพุทธรูป อัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานในโรงพิธีทั้ง ๕ โรง และที่โรงพิธีกลางเมืองให้ตั้งกระโจมเทียนไชย สูง ๔ ศอก กว้าง ๖ นิ้ว ให้เอาผ้าขาววง ให้อัญเชิญหลักเมืองกับแผ่นศิลารองต้นหลักเมือง พร้อมด้วยดวงชาตาเมืองเข้าไว้ในมณฑลพิธีกลางเมือง ให้ขุดเอาดินมาแต่ทิศทั้ง ๔ ปั้นให้เป็นก้อนโตขนาดเท่าผลมะตูมทาด้วยดินสอพองทั้ง ๔ ก้อน ให้เอาเข้าไว้ในมณฑลโรงพิธีด้วย ให้ตั้งบาตรน้ำบาตรทรายทุกโรงพิธี ให้วงด้ายสายสิญจน์รอบเมือง รอบโรงพิธีสงฆ์ และรอบโรงพิธีพราหมณ์ รอบหลุมที่จะฝังหลักเมืองและสำหรับพระสงฆ์ถือสวดด้วย และรอบเมืองนั้นให้วงสายสิญจน์คาด้วยอีกชั้นหนึ่ง ให้นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ โรงพิธีกลางเมือง ๒๐ รูป โรงพิธี ๔ ทิศเมือง โรงละ ๑๐ รูป รวมเป็นพระสงฆ์ ๖๐ รูป
พิธีวันแรก เวลาบ่าย เมื่อพระสงฆ์มาพร้อมกันแล้วให้สมาทานศีล แล้วให้เจ้าเมืองเอาเทียนชนวนถวายแก่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่เป็นมหาเถระจุดเทียนไชย เมื่อพระสงฆ์รับเทียนชนวนไปจุดเทียนไชย เมื่อจุดให้ว่าคาถาดังนี้
”พุทฺโธ สพฺพญฺญุตญาโณ | ธมฺโม โลกุตฺตโร นว | |
สงฺโฆ จ มคฺคผลโถ | อิจฺเจตํ รตฺนตฺยํ | |
เอเตสํ อานุภาเวน | อนฺตรายาปิ วินสฺสนฺตุ | |
อเสสโต” ว่า ๓ ครั้ง |
เมื่อพระสงฆ์จุดเทียนไชยแล้ว พระสงฆ์ทั้งหมดจึงพร้อมกันเจริญพระปริตร วันแรกเจริญพระสัตตปริตร วันที่สองเจริญพระทวาทสปริตร วันที่ ๓ เจริญพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และมหาสมัยสูตร เมื่อเจริญพระปริตรจบแล้ว ให้พระสงฆ์ผลัดเปลี่ยนกันอยู่โรงพิธีกลางเมือง เพื่อเจริญนครฐานสูตร และที่โรงพิธี ๔ ทิศเมืองเจริญพระจตุภาณวาร ทั้งกลางวันและกลางคืนทั้ง ๕ โรงพิธี
ครั้นเวลาเช้า พระสงฆ์พร้อมกันถวายพรพระจบแล้วจึงฉัน เวลาเพลฉันที่โรงพิธี โรงละ ๕ รูป เหมือนกันทั้ง ๓ วัน
อนึ่ง ในเวลาบ่ายเมื่อจะเจริญพระปริตรนั้น ให้ตั้งบายศรีตอง ๓ ชั้น พร้อมด้วยกระยาบวชบนศาลที่หลักเมืองทั้ง ๒ ศาล ครั้นได้ฤกษ์เจ้าพนักงานประโคมดุริยางค์ดนตรี พระสงฆ์ทั้งหมดพร้อมกันเจริญชัยมงคลปริตรทั้ง ๕ โรง ให้โหรผู้หนึ่งพร้อมกับคนผู้ใหญ่อีก ๔ คน นุ่งขาวห่มขาวทั้ง ๕ คน ให้คนผู้ใหญ่ทั้ง ๔ ไปเอาก้อนดิน ๔ ก้อน ที่เข้ามณฑลพิธีไว้นั้นนำมาถือยืนอยู่ที่หลุมทั้ง ๔ ทิศ ให้โหรถามเป็นอุทิศเทวสังหรณ์แก่ผู้ถือก้อนดินในทิศลำดับที่ ๑ ว่า
ท่านถือสิ่งอันใด ผู้ถือบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดิน ก้อนดินนี้คือ ปถวีธาตุ เป็นสารวัฒนะ ให้ถามต่อไปว่า สารวัฒนะนี้มีคุณประการใด ผู้ถือบอกว่า ปถวีธาตุสารวัฒนะนี้ มีพระคุณที่จะทรงไว้ซึ่งอายุเมืองให้สมบูรณ์ด้วยคามนิคม เป็นที่ประชุมประชาชนพลพาหนะตั้งแต่ประถมตราบเท่าถึงอวสาน
ให้ถามผู้ถือก้อนดินในทิศที่ ๒ ว่า ท่านถือสิ่งอันใด ผู้ถือบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดิน ก้อนดินนี้ถือ อาโปธาตุ เป็นมหาวัฒนะ ให้ถามต่อไปว่า มหาวัฒนะนี้มีพระคุณเป็นประการใด ผู้ถือบอกว่า อาโปธาตุ มหาวัฒนะนี้มีคุณอาจให้ผู้ครองเมือง กรมการเมือง และราษฎรทั้งปวง เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ และสิริสวัสดิมงคลต่างๆ ตั้งแต่ประถมตราบเท่าถึงอวสาน
ให้ถามผู้ถือก้อนดินในทิศที่ ๓ ว่า ท่านถือสิ่งอันใด ผู้ถือบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดิน ก้อนดินนี้ คือวาโยธาตุ เป็นอลังการวัฒนะ ให้ถามต่อไปว่า อลังการวัฒนะนี้มีคุณเป็นประการใด ผู้ถือบอกว่า อลังการวัฒนะนี้มีพระคุณอาจให้เจริญด้วยโภคสมบัติ ธนธัญญาหาร กสิกรรม วานิชกรรมต่างๆ ในเมืองนี้
เมื่อบอกจบทั้ง ๔ คนแล้ว ให้ทิ้งก้อนดินทั้ง ๔ ทิศลงในหลุมตามลำดับกัน แล้วอัญเชิญแผ่นศิลารองต้นเสาหลักเมืองลงในหลุม แล้วอัญเชิญเสาหลักเมืองลงประดิษฐานเหนือหลังแผ่นศิลา ให้ลึกอยู่ในดิน ๗๙ นิ้ว สูงพ้นดินขึ้นมา ๑๐๘ นิ้ว ยัดดินให้แน่นอย่าให้เสาหลักเมืองเอนเอียงไปได้ทั้ง ๘ ทิศ จากนั้นให้เอาแผ่นยันต์ชาตาเมืองเข้าบรรจุบนยอดหลักเมืองแล้วอัญเชิญเทวดาเข้าประจำรักษาหลักเมือง เสร็จแล้วให้พระสงฆ์มหาเถระผู้จุดเทียนไชยมาดับเทียนไชย เมื่อจะดับให้เอาใบพลูที่งามดี ๗ ใบ ชุบน้ำพระพุทธมนต์ แล้วว่าคาถา
”สพฺพโรควินิมุตฺโต | สพฺพสนฺตาปวชฺชิโต | |
สพฺพเวรมติกฺกนฺโต | จ ตุวํ ภว” ว่า ๓ ครั้ง |
แล้วเอาใบพลูดับเพลิงเทียนไชยให้สิ้นทั้งเปลวทั้งถ่าน แล้วให้นิมนต์พระสงฆ์ออกมาประน้ำพระพุทธมนต์ โปรยทรายให้รอบเมืองและที่หลักเมืองด้วย
ครั้นเวลาบ่าย ให้เจ้าพนักงานตั้งบายศรีสมโภชเวียนเทียนหลักเมือง นับเป็นเสร็จพิธีว่าด้วยการฝังหลักเมืองตามตำราฝังหลักเมือง
นอกจากตำราฝังหลักเมืองตามที่กล่าวสรุปมานั้น ยังมีตำราการฝังหลักเมืองอยู่อีก ๓ ฉบับ คือ ตำราพระราชพิธีนครฐาน ฉบับที่ ๑ พระราชพิธีนครฐาน จบบริบูรณ์ ฉบับที่ ๒ และพระราชพิธีฝังหลักพระนคร ฉบับที่ ๓ มีสาระที่พอสรุปเป็นความสังเขปตามลำดับดังนี้
ตำราพระราชพิธีนครฐาน เป็นตำราแบบแผนสำหรับที่จะฝังอาถรรพ์สร้างพระมหานครขึ้นใหม่ ให้ตั้งโรงพระราชพิธี ณ ท่ามกลางพระนครที่ใกล้กับจะฝังหลักเมือง โรง ๑ ให้ตั้งราชวัติ ปักฉัตรธงโดยรอบ และหลุมที่จะฝังหลักเมืองให้ขุดลึก ๗๙ นิ้ว ขุดเป็นหลุมมีปากหลุมเป็น ๑๒ เหลี่ยม กว้างเหลี่ยมละ ๖ นิ้ว เสาหลักเมืองให้ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ขนาดความยาวของเสา ๑๘๗ นิ้ว ฝังลึกลงดิน ๗๙ นิ้ว พ้นดินขึ้นมาสูง ๑๐๘ นิ้ว ให้ตั้งศาลเทวดา ๘ ทิศ สำหรับบูชาเทวดา ๘ พระองค์ และบูชาพระอิศวร พระนารายณ์ พระอินทร์ พระพรหม ให้ขุดเอาดินมาจากทิศทั้ง ๔ ทิศละ ๑ ก้อน เท่าผลมะตูม ให้ปั้นเป็นรูปท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ สมมติให้เป็นดิน ๑ น้ำ ๑ ไฟ ๑ ลม ๑ ให้เอาแผ่นทอง แผ่นเงิน และแผ่นทองแดงเป็นรูปจัตุรัสกว้างยาว ๑๒ นิ้ว สำหรับลงดวง “พระชันษาพระนคร” บรรจุในยอดเสาหลักเมืองให้จัดหาแผ่นศิลา ๑ แผ่น ลง “ยันต์โสฬสมหามงคล” สำหรับรองเสาหลักเมืองในหลุม สิ่งของทั้งหมดให้นำเข้าไว้ในมณฑลโรงพระพิธี ให้เจ้าพนักงานนิมนต์พระสวดพระปริตรและสวด “นครฐานสูตร”
เมื่อถึงวันกำหนดฤกษ์ ให้โหร ๔ คน ถือก้อนดินคนละ ๑ ก้อน ยืนที่ปากหลุมฝังหลักเมืองทั้ง ๔ ทิศ ให้โหรผู้ใหญ่ ๑ คน ถามเป็นอุเทศทิศเทวสังหรณ์ว่า ท่านถือสิ่งอันใด ผู้ถือบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดินนี้ คือ ปถวีธาตุ เป็นสาระวัฒนะ ถามต่อไปว่า สาระวัฒนะนั้นมีคุณเป็นประการใด ผู้ถือบอกว่า ปถวีธาตุสาระวัฒนะนี้มีคุณจะทรงไว้ซึ่งอายุพระนคร ให้บริบูรณ์ด้วยคามนิคม เป็นที่ประชุมประชาชนพลพาหนะ ตั้งแต่ประถมตราบเท่าถึงอวสาน
ให้ผินหน้าไปถามผู้ที่ถือก้อนดินในทิศคำรบ ๒ ว่า ท่านถือสิ่งอันใด ผู้ถือบอกว่าข้าพเจ้าถือก้อนดินนี้ คือ อาโปธาตุ เป็นมหาวัฒนะ ถามต่อไปว่า มหาวัฒนะนั้นมีคุณเป็นประการใด ผู้ถือบอกว่า อาโปธาตุมหาวัฒนะนี้ มีพระคุณให้สมเด็จพระบรมมหากษัตริย์ และเสนาอำมาตย์ราษฎรทั้งหลายเจริญอายุ วรรณะ สุขะ พละ สิริสวัสดิมงคลทั้งปวงต่างๆ
ให้ผินหน้าไปถามผู้ถือก้อนดินในทิศคำรบ ๓ ว่า ท่านถือสิ่งอันใด ผู้ถือบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดินนี้ คือ เตโชธาตุ เป็นเตชะวัฒนะ ถามต่อไปว่า เตชะวัฒนะนั้นมีคุณเป็นประการใด ผู้ถือบอกว่า เตโชธาตุ เตชะวัฒนะนี้ มีพระคุณอาจให้โยธาทหารทั้งปวงแกล้วกล้า มีตบะเดชะแก่หมู่ข้าศึกในทิศต่างๆ
ให้ผินหน้าไปถามผู้ที่ถือก้อนดินในทิศคำรบ ๔ ว่า ท่านถือสิ่งอันใด ผู้ถือบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดินนี้ คือ วาโยธาตุเป็นอลังการวัฒนะ ถามต่อไปว่า อลังการวัฒนะนี้มีคุณเป็นประการใด ผู้ถือบอกว่า วาโยธาตุอลังการวัฒนะนี้ มีพระคุณจะให้เจริญสมบัติธนธัญญาหาร กสิกรรม วานิชกรรมต่างๆ
เมื่อผู้ถือดินกล่าวจบแล้ว ให้ทิ้งก้อนดินอันสมมติเป็นธาตุทั้ง ๔ ลงในหลุมฝังหลักเมืองโดยลำดับกัน แล้วเชิญแผ่นศิลายันต์โสฬสมงคลลงในหลุม แล้วเชิญเสาหลักเมืองลงในหลุมตั้งบนแผ่นศิลา แล้วอัญเชิญเทวดาเข้าประจำรักษาหลักเมือง แล้วจึงกระทำการสักการบูชาด้วยเทียนธูป ดอกไม้ต่างๆ นับเป็นการเสร็จพิธีการฝังหลักเมือง
นอกจากข้อความที่กล่าวสรุปนั้นแล้ว ตำราพระราชพิธีนครฐานยังได้กล่าอธิบายถึงรายละเอียดว่า
ให้ปลูกโรงพิธีอาถรรพ์ ๖ โรง ที่ป้อมทั้ง ๖ ป้อม และป้อมใหญ่ให้ขุดหลุมอาถรรพ์ใหญ่มุมหนึ่งกว้างยาวศอกจัตุรัส ลึก ๖ ศอก และให้ขุดหลุมบริวาร ๘ ทิศ ล้อมหลุมอาถรรพ์ใหญ่จำนวน ๘ หลุม กว้างยาวจัตุรัส ลึก ๔ ศอก ให้ตั้งราชวัติ ปักฉัตรธง วงสายสิญจน์เช่นเดียวกัน ให้ตั้งศาลอีก ๒ ศาล ให้มีเครื่องสักการบูชาเหมือนกัน สำหรับบูชาเจ้ากรุงพาลีศาลหนึ่ง บูชาพระภูมิศาลหนึ่ง ให้เชิญหลักเมืองและดิน ๔ ก้อน แผ่นศิลารองต้นหลักเมืองนำเข้าไว้ในมณฑลโรงพระราชพิธี ให้ตั้งเตียงพระไชยและเทียนไชย เครื่องนมัสการสำรับหนึ่ง ให้ตั้งหม้อน้ำ ๕ หม้อ บาตรทราย ๕ บาตร ให้นิมนต์พระสงฆ์ ๒๐ รูป นั่งปรก ๔ คู่สวด ๑๖ ที่โรงพิธีอาถรรพ์ใหญ่นั้นให้เชิญแผ่นอาถรรพ์ทองแดง แผ่นอาถรรพ์ศิลา และบริวาร รูปราชสีห์ รูปช้าง รูปเต่า เอาเข้าไว้ในมณฑลพิธี ให้มีเตียงรองพระพุทธรูปและเครื่องนมัสการ หม้อน้ำ ๓ หม้อ บาตรทราย ๓ บาตร นิมนต์พระสงฆ์ ๑๐ รูป นั่งปรก ๒ คู่สวด ๘ และให้ปลูกโรงพิธีน้อย ๕ โรง ทั้ง ๕ ป้อม ให้ขุดหลุมอาถรรพ์โรงละ ๑ หลุม กว้างศอก ๑ ลึก ๔ ศอก ให้เชิญแผ่นศิลาอาถรรพ์เข้ามณฑลโรงพิธี โรงละ ๑ แผ่น ให้มีเตียงรองพระพุทธรูปและเครื่องนมัสการ หม้อน้ำ ๓ หม้อ บาตรทราย ๑ บาตร ให้นิมนต์พระสงฆ์สวดทั้ง ๗ โรงพิธี จำนวน ๘๐ รูป วันต้นสวดเจ็ดตำนาน วันกลางสวดสิบสองตำนาน วันสุดท้ายสวดพระธรรมจักรและพระมหาสมัย ที่โรงพิธีใหญ่นั้นสวดท้องภาณ แบ่งเป็น ๒ ร้าน ข้างละ ๒ รูป สวดภาณวารร้าน ๑ สวดนครฐานสูตรร้าน ๑ ที่โรงพิธีป้อม ๒ โรงนั้น สวดนครฐานสูตรร้านเดียว สวดครบ ๓ วัน ๓ คืน
อนึ่ง เวลาเย็นเมื่อจะสวดมนต์ทั้ง ๓ วันนั้น ให้โหรบูชาเทวดาด้วยเครื่องกระยาบวชทุกๆ ศาล ให้เจ้าพนักงานประโคมปี่พาทย์ฆ้องไชยแตรสังข์ ครั้นรุ่งขึ้นเป็นวันคำรบ ๔ เป็นฤกษ์ ให้ตั้งบายศรี และเครื่องพลีกรรมมัจฉะมังสาหารบูชาเทวดาทุกๆ ศาล ให้นิมนต์พระสงฆ์ประน้ำพระพุทธมนต์และโปรายทรายไปรอบที่ขุดรากจะก่อกำแพงเมือง ครั้นถึงเวลาฤกษ์จึงให้ทิ้งก้อนดินทั้ง ๔ ก้อนลงในหลุม แล้วเชิญแผ่นศิลารองต้นหลักและหลักเมืองลงหลุมป้อมทั้ง ๖ ป้อม ให้เชิญอาถรรพ์ลงหลุมพร้อมกัน ให้เจ้าพนักงานประโคมปี่พาทย์ฆ้องชัยแตรสังข์ โห่ร้อง ยิงปืนเอาฤกษ์ พระสงฆ์ทั้งหมดสวดมหาชัยมงคลปริตร แล้วผูกตรึงหลักเมืองและอาถรรพ์ นับเป็นสำเร็จการพระราชพิธีนครฐานบริบูรณ์
สำหรับพระตำราพระราชพิธีนครฐาน นับเป็นอีกตำราหนึ่ง ที่ว่าด้วยการฝังหลักเมือง มีสาระที่พอสรุปเป็นความสังเขปดังนี้
สิทธิการิยะ ซึ่งการที่จะฝังหลักพระนครนั้น ให้เอาไม้ชัยพฤกษ์มาทำเป็นเสาหลักเมือง เอาไม้แก่นประกอบนอกให้เสาหลักเมืองสูงพ้นดินขึ้นมา ๑๐๘ นิ้ว ลึกลงดิน ๗๙ นิ้ว คิดเป็นความยาวของเสาหลักเมือง ๗ ศอก ๑ คืบ ๗ นิ้ว มีเม็ดยอดสวมบนปลายหลัก ลงรักปิดทองให้ทำเป็นช่องสำหรับเป็นที่บรรจุดวงชาตาเมือง ครั้นถึงวันฤกษ์ ให้เอาแผ่นทอง แผ่นเงิน หนักแผ่นละ ๑ ตำลึง กว้างยาว ๑๒ นิ้วจัตุรัส สำหรับลงดวงชาตาเมืองในพระอุโบสถ มียันต์ล้อม เมื่อจะลงยันต์ให้มีบายศรี เทียนทอง ๕ ธูป เงิน ๕ และเครื่องบูชาพร้อม ให้เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์ แล้วบรรจุในยอดหลักเมือง และลงยันต์แผ่นศิลา ๑ แผ่น สำหรับรองหลักเมืองในหลุม ให้เอาแผ่นเงินหนัก ๑ บาท ๒ แผ่น ลงยันต์ปิดต้นหลักเมือง ให้ขุดหลุมลึก ๖ ศอก ทำปากหลุมเป็น ๑๒ เหลี่ยม กว้างเหลี่ยมละ ๒ ศอก ให้ไปพลีเอามูลดินมาจากทิศทั้ง ๔ ทิศพระนคร ทิศละ ๑ ก้อน ก้อนเท่าลูกนิมิต ทาด้วยดินสอพองและโคมัยแป้งหอมน้ำมันหอม ให้ปลูกโรงพระราชพิธีในที่ใกล้หลุมซึ่งจะฝังหลักเมือง ให้ตั้งศาลท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ทิศ ศาลพระอินทร์อยู่ท่ามกลาง ให้ตั้งราชวัติ ปักฉัตรธง ผูกต้นกล้วยต้นอ้อยให้รอบโรงพระราชพิธี และที่หลุมฝังหลักเมืองนั้น ให้มีโรงพิธีพราหมณ์บูชาเทวรูปพระไสยศาสตร์โรงหนึ่ง
ให้เจ้าพนักงานฟั่นเทียนไชย ขี้ผึ้งหนัก ๔ ชั่ง ให้มีเครื่องนมัสการสำรับหนึ่ง ครั้งถึงวันจะสวดพระราชพิธี จึงให้อัญเชิญพระไชย พระธรรม มาตั้งในโรงพระราชพิธี พร้อมทั้งหลักเมือง แผ่นศิลาสำหรับรองเสาหลักเมืองและแผ่นยันต์สำหรับปิดต้นปิดปลายหลักเมืองก้อนดิน ๔ ก้อน บาตรน้ำ ๓ บาตร บาตรทราย ๑ บาตร ให้นำเอามาเข้าไว้ในมณฑลโรงพระราชพิธี ให้วงสายสิญจน์รอบสองชั้น ให้นิมนต์พระสงฆ์สวดพระปริตร ๓ วัน คู่สวด ๔ สำรับ สำรับละ ๕ รูป สวดพระจตุภาณวาร ๒ สวดนครฐานสูตร ๒ รวมเป็นพระสงฆ์ ๒๐ รูป และพระสงฆ์ราชาคณะ ๑๕ รูป รวมเป็นพระสงฆ์ ๓๕ รูป ให้มีบายศรีตองวันละ ๒ สำรับ เทียนเงิน เทียนทอง วันละ ๒ คู่ มีเครื่องกระยาบวชธูปเทียนตั้งบนศาลทั้ง ๕ ศาล ให้โหรบูชาเทวดาเวลาเย็นทั้ง ๓ วัน ให้เจ้าพนักงานประโคมปี่พาทย์ ฆ้องชัย แตร สังข์
ครั้นรุ่งขึ้นเป็นวันคำรบ ๔ เป็นวันพระฤกษ์ ให้ตั้งบายศรีแก้ว บายศรีทอง บายศรีเงิน ๓ สำรับ และเทียนเงิน เทียนทอง สิ่งละ ๓ เล่ม สำหรับบูชาพระฤกษ์ ให้ตั้งเครื่องมัจฉะมังสาหารและบายศรีศีรษะสุกร ธูปเทียนทั้ง ๕ ศาล สำหรับโหรบูชาเทวดา แล้วเชิญหลักเมืองและแผ่นศิลาพร้อมกับก้อนดินทั้ง ๔ ก้อน บาตรน้ำ บาตรทราย ไปสู่ที่ใกล้หลุมให้โหรทั้ง ๔ คนถือก้อนดินคนละก้อนยืนอยู่ที่ปากหลุมทั้ง ๔ ทิศ ครั้นถึงเวลาฤกษ์ให้โหรผู้ใหญ่คนหนึ่งบ่ายหน้าไปสู่บูรพาทิศ แล้วกล่าวประกาศเป็นอุทิศเทพสังหรณ์ว่า
ท่านถือสิ่งอันใด โหรผู้ถือก้อนดินอยู่ฝ่ายบูรพาทิศบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดินก้อนนี้ คือ ปถวีธาตุ สารวัฒนะ อาจยังสรรพธัญญาหารและพืชผลพฤกษาลดาชาติทั้งปวงต่างๆ ให้ผลิตผลงามบริบูรณ์ทั่วพื้นภูมิภาคในบริเวณจังหวัดพระราชอาณาเขตทั้งสิ้น
โหรผู้ใหญ่จึงบ่ายหน้าไปสู่ทักษิณทิศแล้วถามว่า ท่านถือสิ่งอันใด โหรผู้ถือก้อนดินยืนอยู่ฝ่ายทักษิณทิศบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดินก้อนนี้ คือ อาโปธาตุมหาวัฒนะ อาจยังห่าฝนให้ตกต้องควรแก่ฤดูกาล เป็นอุปการะแก่สรรพสิ่งธัญญาหารและพืชผลพฤกษาลดาวัลย์สรรพมัจฉาชาติให้บริบูรณ์ทั่วบริเวณจังหวัดพระราชอาณาเขตทั้งสิ้น
โหรผู้ใหญ่จึงบ่ายหน้าไปสู่ปัจฉิมทิศแล้วถามว่า ท่านถือสิ่งอันใด โหรผู้ถือก้อนดินยืนอยู่ฝ่ายปัจฉิมทิศบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดินก้อนนี้ คือ เตโชธาตุชะวัฒนะ อาจยังเสนาอำมาตย์ราชจตุรงคโยธาหารทั้งปวง ให้มีเดชานุภาพปราบอริราชไพรีให้ปราชัยมิได้มาย่ำยีบีฑาในบริเวณจังหวัดพระราชอาณาเขตทั้งสิ้น
โหรผู้ใหญ่บ่ายหน้าไปสู่อุดรทิศ แล้วถามว่า ท่านถือสิ่งอันใด โหรผู้ถือก้อนดินฝ่ายอุดรทิศบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดินนี้ คือ วาโยธาตุอลังการวัฒนะ อาจยังพ่อค้าวานิชในนานาประเทศให้นำมาซึ่งสำเภานาวาบรรทุกสรรพวัตถุสั่งของเครื่องอุปโคบริโภคต่างๆ อันเป็นของประดับพระนครให้บริบูรณ์ในบริเวณจังหวัดพระราชอาณาเขตทั้งสิ้น
เมื่อโหรผู้ถือก้อนดินฝ่ายอุดรทิศบอกจบแล้ว ให้โหรทั้ง ๔ ที่ถือก้อนดินยืนอยู่ทิศทั้ง ๔ ทิ้งก้อนดินลงในหลุมฝังเสาหลักเมืองโดยลำดับ แล้วจึงเชิญแผ่นศิลาวางบนก้อนดินในหลุม แล้วเชิญเสาหลักเมืองลงในหลุมตั้งบนแผ่นศิลา กลบดินให้แน่น ห้ามอย่าให้กลบด้วยเท้า เจ้าพนักงานประโคมดุริยางค์ดนตรี ฆ้องไชย แตรสังข์ และยิงปืนใหญ่ทั้ง ๔ ทิศ แล้วประน้ำโปรยทราย เอาผ้าสีชมพูห้อยทำขวัญเสาหลักเมือง ให้ปิดยันต์ที่ปลายเสาหลักเมืองและต้นเสาหลักเมืองบนดิน แล้วเจิมด้วยแป้งหอมน้ำมันหอม ห้อยพวงดอกไม้ มีเงินกำนัล ๓ ตำลึง เงินนี้ให้ได้แก่โหร แล้วอัญเชิญเทวดาเข้าสิงสถิตในเสาหลักเมือง นับเป็นเสร็จการพระราชพิธีนครฐานฝังเสาหลักเมือง
ตำราต่างๆ ตามที่ได้นำมากล่าวแสดงไว้ข้างต้นนั้น ผู้ที่ใส่ใจด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีคงจะทราบแล้วว่า เสาหลักเมืองหรือหลักพระนครนั้นมีความสำคัญมากน้อยเพียงไร และคงจะไม่ทำขึ้นโดยปราศจากเหตุผล ทั้งนี้ก็เพื่อหวังความเจริญสิริสวัสดิพิพัฒนมงคลแก่บ้านแก่เมืองเท่านั้น
ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร
ภาพจากศาลหลักเมืองพระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
คำขอขมากรรม – องค์พระหลักเมือง
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ (๓ จบ) |
พระเสื้อบ้าน ทรงบ้าน พระเสื้อเมือง ทรงเมือง องค์พระหลักเมือง นายอิน นายจัน นายมั่น นายคง ดวงวิญญาณบรรพบุรุษขมามิหัง ลูกกราบขมาลาโทษ ที่เคยสบประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบัน ในวันนี้ ด้วยกาย วาจา ใจ ก็ดี รู้หรือไม่ ก็ดี ตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ ก็ดี ระลึกได้ หรือระลึกไม่ได้ ก็ดี โปรดอภัยโทษ อโหสิกรรม ให้แก่ลูกหลานด้วย ขอให้ลูกปราศจากทุกข์ โศก โรคภัยและอันตรายทั้งปวง คิดทำกิจการงานใดขออย่าได้ขัด ได้คล่อง ขอให้สัมฤทธิ์ผลดังใจปรารถนา ลูกขอน้อมถวายแด่ องค์พระหลักเมือง ๒๓ ต.ค.๒๕๕๕ |
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการสร้างเสาหลักเมืองสำหรับพระนคร มีอยู่ด้วยกัน ๒ คราว คือ
ครั้งแรก ในคราวสร้างพระนครรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีฝังหลักเมืองตามพระฤกษ์ที่กำหนด เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล จัตวาศก จ.ศ.๑๑๔๔ ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ เวลา ๐๖.๕๔ นาฬิกา
ครั้งที่ ๒ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหลักเมืองขึ้นใหม่ ด้วยทรงพระราชดำริว่า เสาหลักเมืองที่ได้สร้างขึ้นไว้แต่ครั้งรัชกาลสมเด็จพระบรมอัยกาธิราชเจ้า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั้น ได้ชำรุดไปตามสภาพกาลเวลาสมควรที่จะได้สถาปนาขึ้นใหม่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเสาหลักเมืองด้วยไม้สักเป็นแกนอยู่ภายใน ส่วนนอกนั้นประกอบด้วยไม้ไชยพฤกษ์ ๖ แผ่น ขนาดกว้างแผ่นละ ๘ นิ้ว ยอดเสาทำเป็นเม็ดทรงมัณฑ์ ลงรักปิดทอง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีจารึกดวงชาตาพระนครบนแผ่นทองคำ หนัก ๑ บาท แผ่นกว้าง ๕ นิ้ว เมื่อวันอาทิตย์แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑ ปีชวด จัตวาศก จ.ศ.๑๒๑๔ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๙๕ มีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี) ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์) ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นบวรรังสีสุริยพันธุ์ พร้อมกับพระสงฆ์ราชาคณะอีก ๓ รูป รวมเป็น ๕ รูป เจริญพระปริตร
ตามหมายรับสั่งรัชกาลที่ ๔ (เอกสารหมู่พระราชพิธี เลขที่ ๑๔๗๖) ปีฉลู เบญจศก จ.ศ.๑๒๑๕ พระฤกษ์บรรจุเสาหลักเมือง ณ วันอาทิตย์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๙๖ เวลาย่ำรุ่งแล้ว ๒ โมง กับ ๘ บาท
ครั้นเวลาพระฤกษ์ โหรบูชาฤกษ์ พระยาโหราธิบดีอัญเชิญดวงชาตาพระนครรัตนโกสินทร์ เข้าบรรจุในยอดหลักเมืองแล้วติดรูปเทวดาพระหลักเมืองที่ใต้เม็ดยอดหลักเมือง ขณะนั้นชาวพนักงานประโคมปี่พาทย์ กลองแขก ฆ้องชัย แตร สังข์ ทหารยิงปืนใหญ่พระมหาฤกษ์ พระมหาชัย มหาจักร มหาปราบ ทั้ง ๔ ทิศ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา พระยาโหราธิบดีประน้ำโปรยทราย ผูกผ้าชมพูที่หลักเมือง แล้วเวียนเทียนเจิมด้วยแป้งหอม น้ำมันหอม ห้อยพวงดอกไม้
ครั้นเวลา ๗ ทุ่ม ๓ บาท พระยาโหราธิบดี อ่านประกาศอัญเชิญเทวดาเข้าประดิษฐานในเทวรูปบนยอดหลักเมือง อ่านจบแล้วพระยาโหราธิบดีสวมเม็ดทรงมัณฑ์ที่ยอดหลักเมืองแล้วตรึงเหล็ก เป็นเสร็จพิธี
ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๙๖ ตรงกับวันแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีฉลู เบญจศก จ.ศ.๑๒๑๕ รัตนโกสินทรศก ๗๒ ที่ศาลหลักเมืองเวลาเช้ามีพิธีเวียนเทียนสมโภชหลักเมือง และได้ป่าวประกาศให้ราษฎรมาร่วมพิธีสมโภชหลักเมืองในครั้งนั้นด้วย และคอยรับแว่นเวียนเทียน มีปี่พาทย์เชลยศักดิ์ ๔ วง พันจันทนุมาศเป็นผู้เกณฑ์มา และหมื่นเทวาจัดฆ้องชัยมาคอยประโคมขณะเวียนเทียนสมโภชหลักเมือง กรมวังจัดเพลงมา และกรมเมืองจัดละครแสดงสมโภชหลักเมืองด้วย
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๒๕ ตรงกับปีมะเส็ง จัตวาศก การประดิษฐานพระนครรัตนโกสินทร์ มาครบ ๑๐๐ ปี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานสมโภชพระนครครบ ๑๐๐ ปี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นครั้งใหญ่ รวม ๓ วัน คือ วันอังคารที่ ๑๘ ถึงวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๒๕ เวลาเช้า
วันรุ่งขึ้นถวายภัตตาหารทั้ง ๓ วัน เฉพาะที่ศาลหลักเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาราธนาพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์วันละ ๓๐ รูป
ครั้นถึงปีวอก จัตวาศก จ.ศ.๑๒๙๔ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระนครรัตนโกสินทร์ประดิษฐานมาครบ ๑๕๐ ปี ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๗๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีฉลองกรุงรัตนโกสินทร์และมีงานสมโภชหลักเมืองเป็นการเนื่องในพระราชพิธีคราวนั้นด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไป