.
พงศาวดารจีน
เรื่อง
เปาเล่งถูกงอั้น เปาบุ้นจิ้น
ราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ. ๑๕๐๓-๑๘๑๙)
เรื่องที่ ๑๓ เต่าแจ้งเหตุ
มีความว่า ที่แขวงเมืองจิกไซ ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งแซ่กิ๊ต ชื่ออั๋ง กิ๊ตอั๋งเป็นคนใจบุญ ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีชาวนาผู้หนึ่งนำเต่าตัว ๑ มาขายให้แก่กิ๊ตอั๋งๆ จึงถามชาวนาผู้นั้นว่า เต่านี้ท่านได้มาแต่ไหน ชายชาวนาบอกว่า ได้มาจากหน้าศาลเจ้าเล่งอ๋อง
กิ๊ตอั๋งได้ฟังดังนั้น ก็คิดราคาค่าเต่าให้ผู้นั้นแล้ว จึงสั่งพ่อครัวให้เอาเต่านั้นไปขังไว้ยังในครัว ครั้นเวลากลางคืนได้ยินเสียงกรนดังดุจเสียงคนนอนกรน กิ๊ตอั๋งจึงจุดเทียนเข้าไปส่องดูในครัว ก็หาเห็นมีผู้ใดนอนกรนไม่ เห็นแต่เต่าขังอยู่ในตะกร้า กิ๊ตอั๋งเห็นเป็นวิปลาสดังนั้น ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า กิ๊ตอั๋งจึงให้คนใช้นำเอาเต่านั้นไปปล่อยยังบึงหน้าศาลเจ้าเล่งอ๋อง ครั้นอยู่มาประมาณได้สักสองเดือน กิ๊ตอั๋งคิดถึงเซียงเฮงซึ่งเป็นเพื่อนรักตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลฝั่งตะวันออก กิ๊ตอั๋งจึงจัดโต๊ะและสุรา ให้คนใช้ไปเชิญเซียงเฮงมากินเลี้ยงเสพสุราด้วยกันเป็นที่รื่นเริง ขณะเมื่อเสพสุราอยู่ด้วยกันกับเซียงเฮงนั้น กิ๊ตอั๋งจึงพูดกับเซียงเฮงว่า ข้าพเจ้าจะบรรทุกสินค้าไปขาย ณ เมืองไซเกีย แต่มาวิตกด้วยหนทางกันดาร กว่าจะลงไปถึงท่าเรือจอด ท่านจะต้องเป็นธุระไปช่วยข้าพเจ้าด้วย
เซียงเฮงได้ฟังกิ๊ตอั๋งว่าดังนั้น จึงตอบว่าแม้หนทางจะกันดารสักเท่าใด ข้าพเจ้าไม่มีความรังเกียจ จะไปช่วยท่านให้เต็มกำลังของข้าพเจ้า
กิ๊ตอั๋งได้ฟังเซียงเฮงว่าดังนั้น จึงพูดว่าท่านเป็นธุระช่วย ข้าพเจ้ามีความขอบใจท่านเป็นที่ยิ่ง แต่ระยะทางตั้งแต่บ้านข้าพเจ้าลงไปถึงท่าเรือเดินเจ็ดวันจึงจะถึง ท่านจงกลับไปบ้านท่านรอให้ข้าพเจ้าบรรทุกสิ่งของซึ่งเป็นสินค้าลงเรือเสร็จแล้ว ท่านจึงไปลงเรือจะได้ไปด้วยกัน
เซียงเฮงรับคำกิ๊ตอั๋งมั่นเหมาะดังนั้นแล้ว ครั้นเลี้ยงดูกันเสร็จแล้ว เซียงเฮงก็คำนับลากิ๊ตอั๋งไปบ้าน ครั้นเซียงเฮงกลับไปแล้ว กิ๊ตอั๋งก็ให้ลูกจ้างและบ่าวทาส ซึ่งอยู่ ณ เรือนขนสินค้าลงเรือ
ฝ่ายนางซุนสีภรรยากิ๊ตอั๋ง มีบุตรชายกับกิ๊ตอั๋งคนหนึ่ง บุตรนั้นยังเยาว์อยู่ นางซุนสีจึงห้ามมิให้กิ๊ตอั๋งไป กิ๊ตอั๋งจึงว่าสินค้าก็ขนลงเรือแล้ว จำจะต้องไปงดอยู่ไม่ได้ แต่ระยะเวลาที่จะไปอย่างช้าอยู่ใน ๑ ปี อย่างเร็วอยู่ใน ๖ เดือนก็คงจะกลับมา เจ้าจงอยู่เรือนเลี้ยงรักษาบุตรให้จงดี อย่าให้เป็นอันตรายได้ กว่าข้าจะกลับมา
นางซุนสีภรรยาห้ามกิ๊ตอั๋งไม่ฟังดังนั้นแล้ว ก็ร้องไห้อุ้มบุตรเข้าไปในเรือนแล้ว ก็มิได้พูดจาทัดทานห้ามปรามสามีต่อไป
ฝ่ายเซียงเฮงครั้นถึงกำหนด ก็ไปลงเรือจ้างซึ่งบรรทุกสินค้าของกิ๊ตอั๋ง ครั้นเห็นกิ๊ตอั๋งมาถึงก็มีความยินดี เซียงเฮงเป็นคนสันดานไม่ซื่อตรงกอร์ปไปด้วยโลภเจตนาคิดจะทำร้ายกิ๊ตอั๋ง จะได้เอาสินค้านั้นไปขายเอาผลประโยชน์เสียเอง คิดจะเอาสุรามอมกิ๊ตอั๋ง จึงชวนกิ๊ตอั๋งว่า เวลานี้เราจะออกเรือไปก็เย็นจวนเวลาจะค่ำอยู่แล้ว ตำบลบ้านข้างหน้าโน้นมีร้านขายสุรา เราไปซื้อสุรากินให้สบายก่อน รุ่งขึ้นเวลาเช้าเราจึงค่อยออกเรือไป
กิ๊ตอั๋งได้ฟังเซียงเฮงชวนดังนั้น ก็ไปเสพสุราด้วยเซียงเฮงๆ ก็เอาสุรามอมกิ๊ตอั๋งกินจนเมาไม่มีสติเลย เซียงเฮงก็พากิ๊ตอั๋งกลับมาถึงตำบลซินเฮง ที่ข้างถนนนั้นมีบ่ออยู่บ่อหนึ่งลึกหลายวา เซียงเฮงก็ผลักกิ๊ตอ๋องลงไปในบ่อน้ำ กิ๊ตอั๋งก็ถึงแก่ความตาย เซียงเฮงก็ลงเรือที่บรรทุกสินค้านั้นให้ลูกจ้างแจวไปถึงเมืองไซเกีย จำหน่ายขายสินค้านั้นเสร็จแล้วมีกำไรเป็นอันมาก ก็กลับเมืองไซเฮง จึงแบ่งเงินซึ่งมีกำไรนั้นกึ่งหนึ่งเอาเป็นอาณาประโยชน์ตน เหลือนอกนั้นเซียงเฮงจึงนำมาคืนให้นางซุนสีภรรยากิ๊ตอั๋งๆ จึงถามเซียงเฮงว่าท่านมาแล้ว เหตุไฉนสามีของข้าพเจ้าจึงยังไม่มาถึง
เซียงเฮงจึงลวงนางซุนสีว่า เมื่อมาถึงท่าเรือแล้ว สามีของท่านมอบเงินให้ข้าพเจ้าคุมมาส่งให้แก่ท่านก่อนด้วยสามีของท่านยังไปเที่ยวดูงาน และเสพสุรากับพวกเพื่อนอยู่ แล้วสามีของท่านจึงจะมาต่อภายหลัง
นางซุนสีได้ฟังเซียงเฮงบอกดังนั้นก็เชื่อ มิได้มีความเคลือบแคลงสงสัย จึงจัดโต๊ะและสุราอาหารมาให้เซียงเฮงกิน เซียงเฮงครั้นเสพสุรากินอาหารเสร็จแล้ว ก็ลานางซุนสีกลับไปบ้าน เซียงเฮงคิดอุบายได้อย่างหนึ่ง จึงไปตรวจดูศพที่ตายฝังไว้ใหม่ๆ ในวันหนึ่งสองวัน เซียงเฮงจึงลักขุดเอาศพนั้นมา แล้วเอากระเป๋าของกิ๊ตอั๋งที่เคยผูกติดตัวอยู่เสมอ ที่เซียงเฮงได้แก้เอาไว้แต่เมื่อวันมอมสุรากิ๊ตอั๋งนั้นผูกไว้เข้ากับบั้นเอวศพ แล้วก็เอาศพทิ้งลงในแม่น้ำสามแยก แล้วเซียงเฮงก็ทำอุบายไปบอกแก่นางซุนสีว่า สามีของท่านลงเรือข้ามแม่น้ำมาเรือล่ม สามีท่านจมน้ำตายเสียแล้ว บัดนี้ศพลอยมาปะเข้าที่ฝั่งลำแม่น้ำสามแยก ขอให้ท่านใช้คนไปดูจะใช่หรือมิใช่
นางซุนสีได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงใช้ให้อันถองคนใช้ไปดู อันถองก็ไปกับเซียงเฮงพิจารณาดูศพ หน้าตาลักษณะศพนั้นหาเหมือนกิ๊ตอั๋งไม่ แต่เห็นมีกระเป๋าคาดอยู่กับเอวศพ อันถองก็กลับมาแจ้งความแก่นางซุนสีว่า ลักษณะศพนั้นหน้าตาหาเหมือนไม่
นางซุนสีได้ฟังดังนั้นจึงว่า อันคนตายหลายเวลาแล้วเนื้อหนังย่อมจะเน่าเปื่อยไหนเลยจะจำได้ แต่มีของสิ่งใดติดตัวเป็นสำคัญบ้าง อันถองบอกว่าเห็นมีแต่กระเป๋าแพรปักด้วยไหมทองเป็นสำคัญ นางซุนสีได้ฟังดังนั้นให้นึกแน่ในใจก็ร้องไห้รำพันพูดว่า กระเป๋าใบนี้มารดาของข้าพเจ้าทำให้คาดไว้กับตัว จึงได้ติดตัวไปจนถึงแก่ความตาย นางซุนสีจึงบอกแต่บรรดาญาติ ให้จัดหีบใส่ศพเอาไปฝังไว้ตามธรรมเนียม แล้วก็ทำกงเต๊กเซ่นไหว้แผ่กุศลไปให้กิ๊ตอั๋ง กิ๊ตอั๋งถึงแก่กรรมล่วงมาได้เกือบปี
ฝ่ายเซียงเฮงตั้งแต่ได้ทรัพย์สมบัติของกิ๊ตอั๋งไปทำทุนค้าขายก็บริบูรณ์ขึ้น การที่เซียงเฮงกระทำร้ายต่อกิ๊ตอั๋งนั้นไม่มีผู้ใดสามารถจะล่วงรู้ได้ เหตุเป็นการลี้ลับซ่อนเงื่อนสาย
ฝ่ายเปาเล่งถูไปตรวจตามบรรดาหัวเมือง ครั้นไปเมืองจิกไซถึงตำบลซินเฮง เปาเล่งถูนั่งอยู่บนหลังม้าแลเห็นเต่าตัวหนึ่งคลานมาขวางหน้าม้าอยู่ เปาเล่งถูเห็นเต่านั้นมีน้ำตาไหลอาบอยู่ เต่านั้นกระทำก้มศีรษะคำนับเปาเล่งถูถึงสามครั้ง แล้วก็ออกเดินคลานไป เปาเล่งถูเห็นเต่ากระทำอาการผิดประหลาดอัศจรรย์ดังนั้น ก็คิดสงสัยอยู่ในใจว่า ในที่ตำบลนี้คงจะมีเหตุสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นแน่ ด้วยเปาเล่งถูเคยจับเหตุนิมิตลาง และดำริตริตรองแต่ในที่จะสอดส่องแสวงหาความจริงและเท็จอันลี้ลับลึกซึ้ง อันปราศจากเงื่อนไขสักขีพยาน ครั้นเห็นเต่าทำอาการวิปลาสดังนั้นแล้วเปาเล่งถูก็หยุดม้า จึงสั่งให้คนใช้ตามไปดูเต่านั้นว่าจะไปทางไหน ครั้นเต่านั้นคลานไปถึงปากบ่อก็กระโจนลงไปในบ่อ คนใช้นั้นก็กลับมาแจ้งความแก่เปาเล่งถูตามที่ได้เห็น
เปาเล่งถูได้ฟังดังนั้น จึงคิดเห็นว่าชะรอยในบ่อนั้นจะมีสิ่งใดอยู่เป็นแน่แล้ว เปาเล่งถูจึงเรียกคนตำบลนั้นมาห้าคน ใช้ให้เอาพระองพาดลงไปดูในบ่อว่าจะมีสิ่งใด คนชาวบ้านตำบลนั้นก็ลงไปในบ่อ พบศพคนตายอยู่ในบ่อศพหนึ่ง จึงเอาเชือกผูกฉุดลากเอาศพนั้นขึ้นมา เปาเล่งถูพิจารณาดูศพนั้น เห็นหน้าตายังสดอยู่ เปาเล่งถูให้สืบถามตามชาวบ้านตำบลนั้นก็ไม่ได้ความว่าผู้ใดตาย เปาเล่งถูจึงให้เขียนหนังสือปิดทั่วไป ทั้งเขตแขวงเมืองจิกไซ แล้วให้หลีเฉียวกับเตียเจียวไปเที่ยวสืบหาอีก ได้ความที่วงศ์ญาติของกิ๊ตอั๋งบอกว่าเมื่อต้นปีกิ๊ตอั๋งข้ามลำแม่น้ำเรือล่มจมน้ำตาย เปาเล่งถูได้ฟังดังนั้นมีความสงสัยว่า คนผู้เดียวตายถึงสองแห่งดังนี้จะกระไรอยู่ คิดดังนั้นแล้วจึงให้ตามตัวนางซุนสีภรรยากิ๊ตอั๋งมาพิจารณาดูศพ
นางซุนสีครั้นมาถึง แลเห็นศพก็จำหน้าได้ว่ากิ๊ตอั๋งผู้เป็นสามีของตน ก็ร้องไห้กลิ้งเกลือกไปมาอยู่กับศพแล้วจึงพูดว่าศพที่ได้มาก่อนนั้นจำหน้าไม่ได้ อันศพนี้เป็นศพของสามีข้าพเจ้าโดยแท้แล้ว
เปาเล่งถูจึงถามว่า ศพนั้นมีกระเป๋าคาดหรือไม่ นางซุนสีบอกว่าสามีข้าพเจ้าเคยคาดกระเป๋าอยู่เนืองนิตย์มาบัดนี้หามีไม่ เปาเล่งถูจึงถามต่อไปว่า สามีของท่านไปอย่างไรมาอย่างไรจึงได้ถึงแก่ความตาย นางซุนสีได้ฟังดังนั้นจึงเล่าความซึ่งกิ๊ตอั๋งชวนเซียงเฮงไปค้าขายเมืองไซเกีย ตั้งแต่ต้นจนปลายให้เปาเล่งถูฟังทุกประการ
เปาเล่งถูได้ฟังดังนั้นจึงว่า อันศพลอยน้ำนั้นเซียงเฮงลักเอาศพผู้อื่นมาปลอม เห็นได้ที่เอากระเป๋าของสามีเจ้ามาคาดไว้กับเอวศพปลอม เพื่อประโยชน์จะให้ท่านเชื่อ เซียงเฮงเป็นผู้ร้ายฆ่าสามีท่านแน่แล้วไม่ต้องสงสัยผู้อื่นเลย ว่าดังนั้นแล้วเปาเล่งถูก็ไปยังที่ว่าราชการ จึงให้คนใช้ไปเอาตัวเซียงเฮงมาถาม เซียงเฮงไม่รับเปาเล่งถูจึงให้คนยกศพนั้นมาให้ดู เซียงเฮงไม่มีสำนวนที่จะแก้ตัวได้ประการใด ด้วยความอาเพศเพราะศพนั้นยังสดอยู่ ดูเหมือนพึ่งจะตายลงใหม่ๆ เพราะฉะนั้นเซียงเฮงจึงจำเป็นต้องรับ ทั้งเป็นความจริงใจของตัวด้วย
แล้วเปาเล่งถูจึงเล่าความให้นางซุนสีฟังว่า ความเรื่องนี้ได้ความเพราะเต่าเป็นเหตุ นางซุนสีจึงเล่าความที่ชาวนานำเอาเต่ามาขายให้ กิ๊ตอั๋งซื้อไว้แล้วปล่อยเสีย
เปาเล่งถูได้ฟังดังนั้น ก็ถอนใจใหญ่แล้วพูดว่า ชั้นแต่สัตว์เดรัจฉานยังรู้จักคุณมนุษย์ แต่มนุษย์ด้วยกัน หาใคร่จะรู้จักคุณกันไม่ ว่าดังนั้นแล้วเปาเล่งถูจึงตัดสินให้เอาตัวเซียงเฮงไปฆ่าเสีย นางซุนสีก็เอาศพสามีไปฝังไว้ตามธรรมเนียม ครั้นภายหลังบุตรและหลานของกิ๊ตอ๋องไปเล่าเรียนหนังสือสอบไล่ได้เป็นขุนนางสืบตระกูลต่อมาในแผ่นดินซ้อง
พงศาวดารจีน
เรื่อง
เปาเล่งถูกงอั้น เปาบุ้นจิ้น
ราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ. ๑๕๐๓-๑๘๑๙)
เรื่องที่ ๑๔ เสียงนกบอกเหตุ
มีความว่าที่ตำบลกังอิมแขวงเมืองปอจิ๋ว มีชายผู้หนึ่งแซ่เชี้ยชื่อซูหยวน ไปค้ากลับมาถึงตำบลป่าแห่งหนึ่งอันมีแต่เขาและต้นไม้ หนทางนั้นเป็นที่กันดารนัก เยือกเย็นเงียบสงัด พ้นตำบลป่าเขานั้นไป ทางประมาณ ๕ ลี้ถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง ในหุบเขานั้นยังมีชายสองคนพี่น้องเป็นแซ่ต๋ำ ผู้พี่ชื่อกุ้ยอิ๊ด ผู้น้องชื่อกุ้ยหยี สองคนพี่น้องตั้งบ้านเรือนอยู่ในหุบเขานั้น เที่ยวตัดฟืนขายเลี้ยงชีวิต ถ้าเห็นผู้คนเดินไปมาทางนั้นแต่ผู้เดียว มีเงินทองทรัพย์สมบัติติดตัวไปมา กุ้ยอิ๊ดกุ้ยหยีก็ฆ่าเสีย แล้วเก็บเอาทรัพย์สมบัติเงินทองไปเป็นอาณาประโยชน์ ครั้นเชี้ยซูหยวนเดินมาถึงชายหุบเขานั้น พบกุ้ยอิ๊ดกุ้ยหยีจึงถามว่า ทางที่จะไปตำบลกังอิมนั้นใกล้หรือไกล
กุ้ยอิ๊ดครั้นได้ฟังเชี้ยซูหยวนถามดังนั้นจึงบอกว่าระยะทางลดเลี้ยวนัก อีกสักสองวันจึงจะถึง ตัวท่านนี้ไปตำบลใดมา เชี้ยซูหยวนบอกว่า ข้าพเจ้าไปขายผ้าที่เมืองปอจิ๋วกลับมา บัดนี้หลงทางเข้ามาที่นี่ ขอท่านทั้งสองได้สงเคราะห์ชี้ต้นทางให้แก่ข้าพเจ้าด้วย
กุ้ยอิ๊ดได้ฟังดังนั้น จึงชี้บอกว่า จงอ้อมชายเขาออกไปก็จะถึงทางน้อยดอก เชี้ยซูหยวนได้ฟังดังนั้นก็สำคัญว่าคนชาวป่าตัดฟืนมิใช่คนผู้ร้าย เชี้ยซูหยวนก็เดินไปตามคำ ซึ่งกุ้ยอิ๊ดบอกให้นั้น เดินไปได้ประมาณพักใหญ่ถึงช่องแคบล้วนแต่ป่าก็ยืนยั้งอยู่
ฝ่ายกุ้ยอิ๊ดกุ้ยหยีสองคนพี่น้องชำนาญในทางป่า ก็เดินลัดมาสกัดอยู่ที่ช่องเขานั้น จึงชักอาวุธออกฟันเชี้ยซูหยวนล้มลงถึงแก่ความตาย ทั้งสองคนพี่น้องก็เข้าแก้เอาไถ้เงินออกจากตัวเชี้ยซูหยวนและขุดหลุมฝังศพเชี้ยซูหยวนไว้ที่ชายเขาช่องแคบนั้น แล้วกลับบ้านเอาเงินแบ่งปันกัน
ครั้นอยู่มาช้านานประมาณได้สักหกเดือน ฝ่ายเปาเล่งถูไปตรวจตามหัวเมือง จะไปทางเมืองปอจิ๋ว เดินไปทางตำบลป่าชายเขานั้น เปาเล่งถูอยู่บนหลังม้า ได้ยินเสียงนกร้องสำเนียงคล้ายภาษามนุษย์ว่าคนผู้เดียวเดินไปทางเปลี่ยว เมื่อเปาเล่งถูได้ยินนกร้องประหลาดดังนั้นเปาเล่งถูคิดอยู่ในใจว่า ที่ตำบลป่านี้เป็นที่เปลี่ยว เกลือกจะมีผู้ร้ายฆ่าคนเดินทางเอาเงินทองทรัพย์สมบัติในที่ตำบลนี้เป็นแน่ ครั้นคิดดังนั้นแล้ว เปาเล่งถูจึงให้เตียเหลงคนใช้ไปตรวจดูตามลำธารและชายเขาช่องแคบว่าจะมีศพฝังหรือทิ้งไว้ที่ใดประการใดบ้าง
เตียเหลงก็ไปตรวจดูพบที่ฝังศพ อยู่ชายเขาแห่งหนึ่ง เตียเหลงก็กลับมาแจ้งความแก่เปาเล่งถูกทุกประการ เปาเล่งถูได้ฟังดังนั้นจึงคิดอยู่ในใจว่าผู้ร้ายรายนี้จะต้องคิดเอาตัวให้ได้ เปาเล่งถูคิดดังนั้นแล้วก็พอเวลาค่ำลง เปาเล่งถูนอนตรึกตรองอยู่ด้วยเรื่องจะหาเหตุจับตัวโจรผู้ร้ายหลับไป นิมิตเห็นว่ามีชายผู้หนึ่งมาร้องไห้รำพันฟ้องต่อเปาเล่งถูว่าเดินทางหลงมาพบกุ้ยอิ๊ดกุ้ยหยีๆ ฆ่าเสียเอาศพฝังไว้ริมชายเขา เงินทองที่มีอยู่ในไถ้ กุ้ยอิ๊ดกุ้ยหยีผู้ร้ายก็เก็บเอาไปแบ่งปันกัน เงินนั้นมีตราเป็นรูปอักษรยี่ห้อตัวเทียน อ้ายผู้ร้ายสองคนนั้นเอาไปเก็บซ่อนไว้ใต้เตียงนอน ขอท่านได้ไปค้นดูก็จะได้ความจริงว่าดังนั้นแล้วปีศาจก็อันตรธานหายไป เปาเล่งถูก็ตกใจตื่น รุ่งขึ้นเปาเล่งถูจึงสั่งให้คนใช้ไปเอาตัวกุ้ยอิ๊ดกุ้ยหยีทั้งสองคนมา เปาเล่งถูจึงตามกุ้ยอิ๊ดกุ้ยหยีว่า มีผู้เดินทางทางนี้เหตุใดจึงได้ฆ่าเขาเสีย เรารู้แล้วแน่นอนจงรับเสียโดยดีเถิดอย่าให้เฆี่ยนเลย
กุ้ยอิ๊ดกุ้ยหยีไม่รับให้การปฏิเสธ เปาเล่งถูจึงให้คนใช้ไปค้นที่บ้านเรือนกุ้ยอิ๊ดกุ้ยหยี ได้เงินยี่ห้อตัวเทียนเหมือนความฝันของเปาเล่งถูทุกประการ เปาเล่งถูมีความโกรธยิ่งนัก จึงให้นักการผูกจะตี กุ้ยอิ๊ดกุ้ยหยีก็รับเป็นสัตย์ เปาเล่งถูจึงให้สั่งตัวเข้าไปยังเมืองปอจิ๋วแล้วเปาเล่งถูจึงสั่งให้คุมตัวกุ้ยอิ๊ดกุ้ยหยีไปฆ่าเสียตามกฎหมาย ท่านผู้พิจารณาทั้งปวงควรฟัง เหตุเดิมก็เพียงได้ยินนกร้องเท่านั้น ยังสามารถพิจารณาเอาความจริงได้