[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
16 พฤษภาคม 2567 21:04:05 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 236
61  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / กากอยล์ เวตาล ปีศาจมีปีก ผู้คอยปกปักรักษา | Myth Universe เมื่อ: 25 มกราคม 2567 10:39:27
กากอยล์ เวตาล ปีศาจมีปีก ผู้คอยปกปักรักษา | Myth Universe เปิดจักรวาล ตำนาน ปรัมปรา

จากกระแส ครูกายแก้ว เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รุปปั้นเคารพทำให้ชาวเน็ตไทยหลายคนนึกไปถึงตำนานของอมนุษย์มีปีกอย่าง กากอยล์ หรือเวตาล

 โจ้บองโก้ เลยชวนคุยเรื่องตำนานของกากอยล์ ที่มาจากสิ่งประดับตามหลังคาวิหารหรือโบสถ์ในยุโรป และเวตาล ที่โด่งดังจาก นิทานเวตาล ที่เป็นอสุรกายที่คล้องกับความเชื่อแบบฮินดู บ้างก็ว่าเป็นปีศาจ บ้างก็ว่าเป็นเทพที่เกี่ยวข้อกับเทพีทุรคา ไปฟังได้ในอีพีนี้ของ Myth Universe เลย


<a href="https://www.youtube.com/v/58EEWGo8Kpc" target="_blank">https://www.youtube.com/v/58EEWGo8Kpc</a>

https://youtu.be/58EEWGo8Kpc?si=SCGOyJ1K-5lsGn3I
62  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / Siren ปีศาจผู้ล่อลวงนักเดินเรือสู่โลโก้ แก้วกาแฟ แบรนด์ Starbucks | Myth Univers เมื่อ: 25 มกราคม 2567 10:01:19
Siren ปีศาจผู้ล่อลวงนักเดินเรือสู่โลโก้ แก้วกาแฟ แบรนด์  Starbucks | Myth Universe เปิดจักรวาล ตำนาน ปรัมปรา

จากโลโก้บนแก้วกาแฟ แบรนด์ Starbucks พาเราไปสืบสาวถึงเจ้าตัว ไซเรน ที่อยู่ในตำนานเทพปกรณัมกรีกหลายเรื่อง ก่อนจะโยงมาสู่เหล่าตำนานคนครึ่งนกในไทย และวิวัฒนาการจาก ไซเรน สู่ นางเงือก Mermaid ที่เสียงของพวกเธอได้สะกดให้คนทั้งหลายตราตรึงใจมานักต่อนักแล้ว #SalmonPodcast #MythUniverse


<a href="https://www.youtube.com/v/qh0bFiZrwgU" target="_blank">https://www.youtube.com/v/qh0bFiZrwgU</a>

https://youtu.be/qh0bFiZrwgU?si=oVXx1zCKlKy5JAXl
63  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / คามิคาเซะ (Kamikaze) ลมสวรรค์จากเทพไรจิน | Myth Universe เมื่อ: 25 มกราคม 2567 09:55:44
คามิคาเซะ (Kamikaze) ลมสวรรค์จากเทพไรจิน | Myth Universe เปิดจักรวาล ตำนาน ปรัมปรา

ถ้าพูดถึง คามิคาเซะ (Kamikaze) เราอาจะนึกถึงชื่อปฏิบัติการการบินพลีชีพของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือไม่ก็นึกถึงค่ายเพลงป๊อปไทยในยุคปลายทศวรรษที่ 2000

แต่จุดกำเนิดของชื่อนี้ คือสงครามระหว่างกองทัพมองโกล และญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 12 มันคือชื่อของพายุไต้ฝุ่นใหญ่ที่ช่วยกองทัพญี่ปุ่นให้ได้รับชัยชนะ ซึ่งว่ากันว่าเป็นฝีมือบันดาลของเทพสายฟ้าของตำนานญี่ปุ่นอย่าง ไรจิน


<a href="https://www.youtube.com/v/yFEVURfIljY" target="_blank">https://www.youtube.com/v/yFEVURfIljY</a>

https://youtu.be/yFEVURfIljY?si=hx3sFMMJ5EtFjp1f
64  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / Thor & Loki ผจญภัยในดินแดนยักษ์ (เทพปกรณัมนอร์ส , ไวกิ้ง )| Myth Universe  เมื่อ: 25 มกราคม 2567 09:51:38
Thor & Loki ผจญภัยในดินแดนยักษ์ (เทพปกรณัมนอร์ส , ไวกิ้ง )| Myth Universe เปิดจักรวาล ตำนาน ปรัมปรา

เทพปกรณัมนอร์ส ดูจะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อกันนัก แต่มันมักเล่าโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวละครที่เราคุ้นเคย อย่างโอดิน ธอร์ และโลกิ ในเรื่องเล่าท่อนนี้ก็เหมือนกัน ที่มีชีวิตอยู่รอบตัวธอร์ เทพสายฟ้าผู้ทรงพลัง และโลกิ เทพเจ้าเล่ห์ ผู้ว่องไว เฉลียวฉลาด

 โจ้บองโก้ได้ซื้อหนังสือมาอ่านเล่มหนึ่ง Norse Mythology โดย Neil Gaiman (มีฉบับแปลไทยโดยสำนักพิมพ์เวิร์ด วันเดอร์) และหยิบเอาหนึ่งในเรื่องที่บันเทิงที่สุดในเล่มมาเล่าให้ฟัง คือเมื่อธอร์และโลกิเดินทางไปสู่ดินแดนแห่งยักษ์ Utgard ที่นั่นทำให้พวกเขาได้พบเรื่องตื่นตามากมายเกินคณานับ และเราในฐานะผู้เสพอาจได้คติบางอย่างติดใจไปอีกด้วย


<a href="https://www.youtube.com/v/iBQZ2yn1P-8" target="_blank">https://www.youtube.com/v/iBQZ2yn1P-8</a>

https://youtu.be/iBQZ2yn1P-8?si=pKtyF4TLeuPcUXWb
65  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / บารอง กับ รังดา สงครามตลอดกาลระหว่างความดีความชั่ว | รายการ Myth Universe เมื่อ: 25 มกราคม 2567 09:44:29
บารอง กับ รังดา สงครามตลอดกาลระหว่างความดีความชั่ว | รายการ Myth Universe จักรวาล ตำนาน ปรัมปรา

มาที่ตำนานของอาเซียน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กันบ้าง กับตำนานแห่งบาหลี อินโดนีเซีย จากโชว์ระบำประจำท้องถิ่นอย่าง Barong Dance ไปสู่ตำนานเบื้องหลังของการเต้นนี้ ที่เล่าเรื่องการต่อสู้กันของบารอง Barong - ตัวแทนความดีทั้งปวง และรังดา Rangda - ตัวแทนแห่งความชั่วร้าย

 ไปฟังประวัติของบารองและรังดา ที่เชื่อมไปสู่วัฒนธรรมการบูชาผีของชาวบาหลีและการวางตัวแทนของความชั่วร้ายเป็นผู้หญิง


<a href="https://www.youtube.com/v/sWl6DRE-8RM" target="_blank">https://www.youtube.com/v/sWl6DRE-8RM</a>

https://youtu.be/sWl6DRE-8RM?si=ho1rNDyaiEh_uKl_
66  สุขใจในธรรม / ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป) / นิพพาน ฌาน ลุมพีนี โพธิมรรค ( Sur Sudha วงแดนหิมาลัย มาไกล จาก เนปาล ) เมื่อ: 25 มกราคม 2567 09:25:30
นิพพาน ฌาน ลุมพีนี โพธิมรรค ( Sur Sudha วง เนปาล )









<a href="https://www.youtube.com/v/rlE3AnI1DrE" target="_blank">https://www.youtube.com/v/rlE3AnI1DrE</a>

https://youtu.be/rlE3AnI1DrE?si=tWDPmnbdqB9iUPxJ


<a href="https://www.youtube.com/v/vbS53R0n60Q" target="_blank">https://www.youtube.com/v/vbS53R0n60Q</a>

https://youtu.be/vbS53R0n60Q?si=eVuL2IXopunevYbd
67  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / อกุศลมีมากถึงขีดสุด!!! ถึงสิ้นกัปเก่าและเริ่มต้นกัปใหม่ ( จักกวัตติสูตร ) เมื่อ: 25 มกราคม 2567 07:46:00
อกุศลมีมากถึงขีดสุด!!!ถึงสิ้นกัปเก่าและเริ่มต้นกัปใหม่ พระพุทธเจ้าตรัสเล่า จักกวัตติสูตร

เรื่องของพระพุทธเจ้า ทรงปรารภถึงความประพฤติที่เป็นอกุศลของมนุษย์ที่ทำให้เกิดการสิ้นกัป โดยพระพุทธเจ้าทรงตรัสพระสูตรที่ว่าเรื่องว่า จักกวัตติสูตร โดยเรื่องราวในตอนนี้จะเป็นอย่างไรเชิญรับฟังได้เลยครับ

 00:00 เกริ่นนําเรื่อง
01:24 เริ่มเรื่อง
 04:34 พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนธรรม
 07:00 พระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องในอนาคตวงศ์
23:59 ข้อคิดและสรุปจบเรื่อง


<a href="https://www.youtube.com/v/RXQCoVHs8w0" target="_blank">https://www.youtube.com/v/RXQCoVHs8w0</a>

https://youtu.be/RXQCoVHs8w0?si=nPdsfqKTeFkBT808
68  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / พญาศรีสุทโธนาคราช!!ขึ้นกราบหลวงปู่ขาว อนาลโย เมื่อ: 25 มกราคม 2567 07:35:38
เขาบอกว่า..!!เขามาจากคำชะโนด|พญาศรีสุทโธนาคราช!!ขึ้นกราบหลวงปู่ขาว อนาลโย


<a href="https://www.youtube.com/v/R3TsmOVnZP0" target="_blank">https://www.youtube.com/v/R3TsmOVnZP0</a>

https://youtu.be/R3TsmOVnZP0?si=ri1ieDtmPoPtY9bc
69  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / ด้านมืดของพีธาโกรัส ที่คุณไม่เคยรู้ | The Cult of Pythagoras เมื่อ: 24 มกราคม 2567 17:06:29
ด้านมืดของพีธาโกรัส ที่คุณไม่เคยรู้ | The Cult of Pythagoras


พีธาโกรัส เป็นชื่อนึงที่น่าจะคุ้นหูหลายๆคนอยู่ครับ ถึงบางคนอาจจะจำไม่ได้ ว่าทฤษฏีของเค้าคืออะไร หรือว่ามันมีประโยชน์ตรงไหนอะ แต่ว่าอย่างน้อยเราก็น่าจะพอจำได้ ว่าเค้าเป็นลุงหนวดๆ ที่เก่งคณิตศาสตร์มากคนนึงครับ

 แต่นอกจากชื่อเสียงทางด้านคณิตศาสตร์ของเค้าแล้วเนี่ย สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้กันก็คือ งานหลักของพีธาโกรัสเนี่ยนะครับ ก็คือเค้าเป็นผู้นำลัทธิ หรือว่า cult leader ที่มีความเชื่อสุดโต่งมากๆ และก็อาจจะเป็นฆาตกร ที่ลงมือกำจัดผู้ที่มีความเห็นต่างด้วยครับ

มันเกิดอะไรขึ้น? ลัทธิของพีธาโกรัสเค้าทำอะไรกัน แล้วทำไมแค่ความเห็นไม่ตรงกัน แล้วถึงต้องฆ่าต้องแกงกันด้วย วันนี้เราจะไปรู้จักกับ ด้านมืดของพิธาโกรัสกันครับ

<a href="https://www.youtube.com/v/b2W0hlYLn3k" target="_blank">https://www.youtube.com/v/b2W0hlYLn3k</a>

https://youtu.be/b2W0hlYLn3k?si=DhT-_COjLThuyV06
70  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / 'ยายแฟง' ผู้สร้างวัดคณิกาผล คังคุไบ เวอร์ชันไทยเดิม | THE STATES TIMES STORY เมื่อ: 24 มกราคม 2567 12:57:50

'ยายแฟง' ผู้สร้างวัดคณิกาผล คังคุไบ เวอร์ชันไทยเดิม | THE STATES TIMES STORY

‘ยายแฟง’ เจ้าสำนักโสเภณี ผู้สร้าง ‘วัดคณิกาผล’ ตำนาน 'คังคุไบ' ฉบับไทยเดิม แม่เล้าผู้โด่งดังในช่วงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ .

 แม้จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ประกอบอาชีพที่ผิดศีลธรรม (ในขณะนั้นถูกกฎหมาย) แต่ยายแฟง ก็นับเป็นอุบาสิกาผู้ใจบุญคนหนึ่ง โดยเป็นผู้บริจาคที่ดินและทุนทรัพย์สร้างวัดใหม่ยายแฟง หรือในกาลต่อมา ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘วัดคณิกาผล’ ซึ่งหมายถึงวัดที่เกิดขึ้นด้วยผลประโยชน์อันได้จากหญิงคณิกา ปัจจุบันตั้งอยู่บนถนนพลับพลาไชย ตรงข้ามกับสน.พลับพลาไชย .

 ไม่เพียงเท่านั้น ยายแฟง ยังเป็นผู้บุกเบิกสร้าง ‘โรงพยาบาลหญิงหาเงิน’ เพื่อรักษาผู้ป่วยเฉพาะโรคให้กับหญิงโสเภณีในขณะนั้น แต่มาภายหลังเมื่อมีการรับรักษาคนทั่วไปมากขึ้น จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘โรงพยาบาลกลาง’ มาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง .

<a href="https://www.youtube.com/v/_MIet1bet_4" target="_blank">https://www.youtube.com/v/_MIet1bet_4</a>

https://youtu.be/_MIet1bet_4?si=YP7IVb-w5k5zIA9y
71  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / ดร.อัมเบดการ์ จัณฑาลผู้ร่างรัฐธรรมนูญ จุดเปลี่ยนจาก ฮินดู สู่ พุทธ เมื่อ: 23 มกราคม 2567 20:12:41
ดร.อัมเบดการ์ จัณฑาลผู้ร่างรัฐธรรมนูญ จุดเปลี่ยนจาก ฮินดู สู่ พุทธ

8 Minute History เอพิโสดนี้ พาไปทำความรู้จักกับ ดร.อัมเบดการ์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย’

 เบื้องหลังชีวิตของชายคนนี้มีหลายมิติที่น่าสนใจ ตั้งแต่การเกิดมาเป็น ‘จัณฑาล’ ที่อยู่นอกระบบวรรณะของชาวฮินดู, การต่อสู้ขวนขวายจนได้รับวุฒิการศึกษาระดับสูงจากตะวันตก จนถึงจุดยืนด้านศาสนาที่สวนทางโดยสิ้นเชิงกับ มหาตมะ คานธี

 Time Index
00:00 เริ่มรายการ
02:45 ขบวนการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ
06:39 ตัวแทนจัณฑาลกับการประชุมโต๊ะกลม


<a href="https://www.youtube.com/v/RMWXRcZgpOc" target="_blank">https://www.youtube.com/v/RMWXRcZgpOc</a>

https://youtu.be/RMWXRcZgpOc?si=JqTvqVXaaVEA5P0n

จากความเดิมตอนที่แล้ว เราได้เห็นภาพกว้างของการเมืองอินเดีย และระบบการแบ่งวรรณะที่มีอิทธิพลมาจากศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างความไม่เท่าเทียมและการแบ่งแยกในสังคมอินเดียมาอย่างยาวนาน

8 Minute History เอพิโสดนี้ พาไปเจาะลึกประวัติและปูมหลังชีวิตของ ดร.อัมเบดการ์ ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักกฎหมาย นักเศรษฐศาสตร์ และนักการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้เพื่อสิทธิและความเท่าเทียมของ ‘ฑลิต’ ชนชั้นต่ำสุดในสังคมอินเดีย รวมถึงการเบนเข็มศรัทธาของตัวท่าน ซึ่งตัดสินใจเปลี่ยนศาสนาเป็นพุทธศาสนิกชนในช่วงบั้นปลายชีวิต

Time Index
00:00 Intro
00:00 เริ่มรายการ
 01:55 ก้าวสู่เส้นทางการเมือง ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม
02:47 การประชุมโต๊ะกลม (Round Table Conferences)
10:21 ดร.อัมเบดการ์ ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชน

<a href="https://www.youtube.com/v/VdkH_nB2BVI" target="_blank">https://www.youtube.com/v/VdkH_nB2BVI</a>

https://youtu.be/VdkH_nB2BVI?si=VZydYpz33Lpy8RmW
72  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / ญิน ผีและไสยศาสตร์ โลกคู่ขนานในมลายู | Spirit of Asia เมื่อ: 21 มกราคม 2567 02:54:40
ญิน ผีและไสยศาสตร์ โลกคู่ขนานในมลายู | Spirit of Asia

คนมลายูที่อยู่ในคาบสมุทรมลายู แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นใคร มาจากไหน เราไม่สามารถสร้างภาพจำให้เป็นแบบเฉพาะตายตัวได้ เพราะการเคลื่อนย้ายของผู้คนล้วนทำให้วัฒนธรรมที่แตกต่างผสมกลมกลืนจนเป็นการสร้างวัฒนธรรมร่วมขึ้นมาใหม่ จากผู้คนหลากเชื้อชาติที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่แห่งนี้

ความหลากหลายมลายูที่เราเคยรู้จักได้หายไป ซึ่งมาจากอำนาจที่กดทับ ใช้ความแตกต่างเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมืองและความขัดแย้งทางศาสนา แก่นแท้ของความเป็นมลายูไม่มีอยู่จริง เพราะความเป็นมลายูคือความหลากหลายที่รวมกันเป็นคนบนคาบสมุทรนี้ต่างหาก

<a href="https://www.youtube.com/v/nPYc4rbkkuk" target="_blank">https://www.youtube.com/v/nPYc4rbkkuk</a>

https://youtu.be/nPYc4rbkkuk?si=nc4S8S1EO_kHVos5
73  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / Moving ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ก็ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา เมื่อ: 12 มกราคม 2567 09:13:30





ด้วยเลือด หยาดเหงื่อ คราบน้ำตา : Moving ซีรีส์เกาหลีที่ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ก็ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา

เวลานี้ คงไม่มีคอซีรีส์เกาหลีคนไหนที่ไม่รู้จัก Moving ซีรีส์แนวดราม่า/แอ็กชัน/แฟนตาซีที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ต้องคอยหลบซ่อนจากสังคม ทั้งยังต้องคอยปกป้องครอบครัวของตน ซึ่งด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจจากโปรดักชันที่ทุ่มทุนแบบอลังการงานสร้าง พลังทางการแสดงของดาราหลากรุ่น และเรื่องเล่าอันเข้มข้นซ้อนปม ก็ทำให้ตัวซีรีส์มีผู้คอยติดตามรับชมไปทั่วโลก กลายเป็นซีรีส์เกาหลีที่มีคนดูมากที่สุดใน 7 วันแรกของช่อง Disney+ จนถึงขั้นถูกขนานนามว่าเป็น ‘Squid Game ของปีนี้’ กันเลยทีเดียว

• สิ่งแรกที่โดดเด้งออกมาจนต้องกล่าวถึงเป็นลำดับแรก ก็คืองานออกแบบโปรดักชันที่ทุ่มทุนสร้างอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ก็เพราะเรื่องราวของ Moving ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดังนั้น เล่าถึงกลุ่ม ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ในเกาหลีที่ต้องหลบซ่อน ‘ตัวตนที่แท้จริงอันแตกต่าง’ ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ และยังต้องคอยปกป้องสมาชิกในครอบครัวของตน ซึ่งว่ากันว่ามีการลงทุนในซีซั่นนี้อยู่ที่ประมาณ 50,000-60,000 ล้านวอนเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีการใช้ซีจีมากกว่า 7,000 ชอต โดยเป็นผลงานการสร้างสรรค์จากบริษัทซีจีชั้นนำหลายแห่งใน 9 ประเทศทั่วโลก

• อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้งานโปรดักชัน ก็คือพลังของทีมนักแสดงที่ประสานมือแท็กทีมกันมาร่วมถ่ายทอดตัวละครต่างๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘ไม่มีใครยอมใคร’ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่ที่ถ่ายทอด ‘ตัวละครผู้ใหญ่’ ที่หลากหลาย ออกมาได้อย่างเปี่ยมมิติจนเราอยากยกนิ้วให้ หรือรุ่นเยาว์ที่ก็คว้าหัวใจของผู้ชมเอาไว้ได้ ด้วยค่าที่พวกเขาสามารถถ่ายทอดความน่ารัก การตั้งคำถามต่อชีวิต และความน่าเห็นใจของตัวละครรุ่นลูกออกมาได้ค่อนข้างหมดจดงดงาม

• แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้ Moving กลายมาเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ทุกคนต่างพูดถึงในปีนี้ ก็คือ เรื่องเล่าของมันที่ว่าด้วยการเลือกทางเดินชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ แต่ละคน ซึ่งเป็นการใช้ขนบ ‘การปิดบังตัวตน แต่ก็ยังต้องต่อสู้เพื่อคนรอบข้าง’ ของเรื่องเล่าแบบ ‘ซุปเปอร์ฮีโร่’ มาเป็นเครื่องมือถ่ายทอดประเด็นสำคัญๆ ที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมาย – โดยยังสามารถรับชม Moving ได้ทาง Disney+ Hotstar ทุกวันพุธ (ความยาว 20 ตอนจบ)




<a href="https://www.youtube.com/v//Y7TV9FZpgMg" target="_blank">https://www.youtube.com/v//Y7TV9FZpgMg</a> 

https://youtu.be/Y7TV9FZpgMg?si=EG8Hzd7VGQLXNwcc


สำหรับคอซีรีส์เกาหลีในช่วงนี้ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Moving ซีรีส์แนวดราม่า/แอ็กชัน/แฟนตาซีที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ต้องคอยหลบซ่อนจากสังคม ทั้งยังต้องคอยปกป้องครอบครัวของตน ซึ่งด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจจากโปรดักชันที่ทุ่มทุนแบบอลังการงานสร้าง พลังทางการแสดงของดาราหลากรุ่น และเรื่องเล่าอันเข้มข้นซ้อนปม ก็ทำให้ตัวซีรีส์มีผู้คอยติดตามรับชมไปทั่วโลก กลายเป็นซีรีส์เกาหลีที่มีคนดูมากที่สุดใน 7 วันแรกของช่อง Disney+ จนถึงขั้นถูกขนานนามว่าเป็น ‘Squid Game ของปีนี้’ กันเลยทีเดียว

ขณะที่เขียนบทความชิ้นนี้ ซีรีส์ได้ดำเนินมาถึงตอนที่ 13 แล้ว (จากทั้งหมด 20 ตอน) และความสนุกก็ดูจะทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกตอน เราจึงอยากชวนคุณมาสำรวจว่า เหตุใด Moving จึงสามารถครองใจผู้ชมได้มาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าซีรีส์จะยังไม่สามารถคาดเดาไปถึงบทสรุปสุดท้ายได้ก็ตาม



งานโปรดักชันทุนหนา ที่พาเราไปสัมผัสฉากหลังย้อนยุค และงานซีจีสุดเนี้ยบแบบเกาหลีใต้

สิ่งแรกที่โดดเด้งออกมาจนต้องกล่าวถึงเป็นลำดับแรก ก็คืองานออกแบบโปรดักชันที่ทุ่มทุนสร้างอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ก็เพราะเรื่องราวของ Moving ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดังนั้น เล่าถึงกลุ่ม ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ในเกาหลีที่ต้องหลบซ่อน ‘ตัวตนที่แท้จริงอันแตกต่าง’ ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ และยังต้องคอยปกป้องสมาชิกในครอบครัวของตน โดยเฉพาะลูกๆ ที่ส่วนใหญ่ก็มักรับเอา ‘พลังพิเศษ’ ของพ่อหรือแม่ไปด้วย ให้รอดพ้นจากกลุ่มคนที่เข้ามาคุกคามพวกเขาด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งก็รวมถึงสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ ที่เคยเป็นสถานที่ทำงานแบบลับๆ ของพวกเขาในอดีต

และเมื่อการบอกเล่าถึงชีวิตครอบครัวของคนเหล่านี้ ต้องถูกเท้าความย้อนไปถึงช่วงยุค 80 ก่อนจะค่อยๆ เล่าผ่านแต่ละช่วงเวลา และย้อนกลับมายังยุคปัจจุบัน จึงทำให้ Moving ต้องมีการแสดงภาพบริบททางสังคมของเกาหลีในเรื่องออกมาให้ ‘สมจริง’ มากที่สุด เช่น การถ่ายทอดภาพผู้คนและบรรยากาศของออฟฟิศ ผับบาร์ หรือชุมชนในยุคต่างๆ ขึ้นมา โดยมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะได้เห็นเฉพาะในช่วงเวลานั้นปรากฏอยู่ และการสร้างฉากแอ็กชันที่มีทั้งการใช้ซีจีหรือเทคนิคพิเศษทางภาพ และการออกแบบการถ่ายทำที่ ‘บ้าพลัง’ จนผู้ชมต้องอ้าปากค้าง

ด้วยความที่ต้องสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา Moving จึงถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่มีการใช้ทุนสร้างมหาศาลเกินมาตรฐานทั่วไปของซีรีส์เกาหลี ซึ่งว่ากันว่ามีการลงทุนในซีซั่นนี้อยู่ที่ประมาณ 50,000-60,000 ล้านวอนเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีการใช้ซีจีมากกว่า 7,000 ชอต โดยเป็นผลงานการสร้างสรรค์จากบริษัทซีจีชั้นนำหลายแห่งใน 9 ประเทศทั่วโลก



ทีมนักแสดงต่างช่วงวัย ที่ช่วยเสริมพลังให้กับ ‘ตัวละครเหนือมนุษย์’ ผู้มีความซับซ้อน

อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้งานโปรดักชัน ก็คือพลังของทีมนักแสดงที่ประสานมือแท็กทีมกันมาร่วมถ่ายทอดตัวละครต่างๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘ไม่มีใครยอมใคร’ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่ หรือรุ่นเยาว์

โดยกลุ่มนักแสดงผู้ถ่ายทอด ‘ตัวละครผู้ใหญ่’ ที่หลากหลาย ออกมาได้อย่างเปี่ยมมิติจนเราอยากยกนิ้วให้ ก็เช่น ฮันฮโยจู ที่รับบทเป็น อีมีฮยอน คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำร้านขายทงคัตสึไปพร้อมกับดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ซึ่งแท้จริงแล้ว เธอมีประสาทสัมผัสที่เป็นเลิศในทุกด้าน

รยูซึงรยง ที่รับบทเป็น จางจูวอน คุณพ่อผู้เพิ่งเปิดกิจการร้านขายไก่ทอดเพื่อหาเลี้ยงลูกสาว ที่เบื้องหลังนั้นมีร่างกายที่สามารถรักษาตัวเองได้ในแทบจะทันที

และ โจอินซอง นักแสดงขวัญใจสาวๆ ผู้ร้างลาจอซีรีส์ไปเกือบสิบปี ที่รับบทเป็น คิมดูชิก สามีของอีมีฮยอนผู้หายสาบสูญไปจากครอบครัวด้วยสาเหตุบางประการ ซึ่งเขาเป็นผู้ที่พุ่งทะยานไปบนฟ้าได้ด้วยความเร็วสูง




ขณะที่กลุ่มนักแสดงวัยเยาว์ ก็คว้าหัวใจของผู้ชมเอาไว้ได้ ด้วยค่าที่พวกเขาสามารถถ่ายทอดความน่ารัก การตั้งคำถามต่อชีวิต และความน่าเห็นใจของตัวละครรุ่นลูกออกมาได้ค่อนข้างหมดจดงดงาม

ทั้ง อีจองฮา ที่ต้องตั้งใจเพิ่มน้ำหนักถึง 30 กิโลกรัมเพื่อรับบท คิมบงซอก ลูกชายผู้ว่านอนสอนง่ายของอีมีฮยอนที่มีความสามารถพิเศษในการลอยตัวได้แบบพ่อ แต่ต้องคอยเก็บกดมันเอาไว้ด้วยการเพิ่มน้ำหนักตัวและถ่วงด้วยอุปกรณ์เสริมตามคำสอนของแม่ผู้คอยเป็นห่วงเป็นใย จนเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตอย่างไร้อิสระมากขึ้นไปทุกขณะ

โกยุนจอง ในบท จางฮีซู ลูกสาวผู้มุ่งมั่นของจางจูวอนที่มีร่างกายที่สามารถรักษาตัวเองได้เหมือนพ่อ ซึ่งช่วยให้เธอรอดพ้นจากอันตรายต่างๆ เรื่อยมา นับจากอุบัติเหตุรถคว่ำในตอนเด็กที่ทำให้เธอต้องเสียแม่ไป มาจนถึงเหตุการณ์ที่เธอต้องถูกรุมทำร้ายจากนักเรียนสิบกว่าคนที่มาบูลลี่เธอในโรงเรียนเก่า แต่กลับ ‘ไม่เป็นอะไรเลย’ จนเพื่อนๆ ร่วมชั้นพากันหวาดกลัว

หรือจะเป็น คิมโดฮุน ในบท อีคังฮุน หัวหน้าชั้นของคิมบงซอกและจางฮีซู ที่แม้เราจะยังไม่ได้รู้ถึงภูมิหลังครอบครัวของเขามากนัก แต่ก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่มีพลังพิเศษในแง่ของความเร็วและพละกำลัง ซึ่งหากซีรีส์ไม่ได้มีเส้นเรื่องเสริมอื่นใด พ่อที่ดูเหมือนจะมีภาวะออทิสติกของเขา น่าจะมีส่วนเกี่ยวพันกับสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติแบบพ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน – รวมถึงตัวเขาเองที่ก็น่าจะมีปมทางใจบางอย่างที่ผู้ชมยังไม่รู้แน่ชัด ซึ่งเราคงต้องติดตามกันต่อไป




เรื่องเล่าสุดสะเทือนอารมณ์ของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา’ เหมือนกับเรา

แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้ Moving กลายมาเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ทุกคนต่างพูดถึงในปีนี้ ก็คือ เรื่องเล่าของมันที่ว่าด้วยการเลือกทางเดินชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ แต่ละคน ซึ่งเป็นการใช้ขนบ ‘การปิดบังตัวตน แต่ก็ยังต้องต่อสู้เพื่อคนรอบข้าง’ ของเรื่องเล่าแบบ ‘ซุปเปอร์ฮีโร่’ มาเป็นเครื่องมือถ่ายทอดประเด็นสำคัญๆ ที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมาย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการก้าวข้ามผ่านวัยอันยากลำบากของวัยรุ่น อย่างการค้นหาตัวเอง หรือการรับมือกับมิตรภาพ ความรัก และการกลั่นแกล้งรังแกกันภายในสังคมโรงเรียน, การสู้ทนเพื่อเติบโตผ่านความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักหรือคนในครอบครัวเดียวกัน ที่ถึงอย่างไรก็ต้องมีทั้งด้านดีงามและเลวร้ายผ่านเข้ามาให้ได้เผชิญหน้าและแก้ปัญหา หรือแม้กระทั่งเรื่องใหญ่ๆ อย่างการที่ประชาชนต้องถูกคุกคามจากระบบสังคมและกลไกของรัฐอำนาจนิยม ซึ่งไม่ควรถูกปล่อยให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาอีกต่อไป

โดยสิ่งเหล่านี้ถูกขับเน้นให้เราเห็นอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งในระหว่างที่บางตัวละครกำลังออกปฏิบัติการ ‘เพื่อชาติ’ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงไหม, บางตัวละครกำลังปรับตัวให้เข้ากับการมีลูก มีครอบครัว และบางตัวละครกำลังค้นพบสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของตน และผู้คนรอบข้าง ซึ่งทำให้พวกเขาต้องแลกมาด้วยการสูญเสียเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ และทิ้งเอาไว้แค่เพียงคราบน้ำตา





อย่างไรก็ดี สิ่งที่ช่วยให้เรื่องราวหลากมิติของซีรีส์ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือการแบ่งโครงสร้างอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน

โดยใน 7 ตอนแรก ที่ปล่อยฉายพร้อมกันทีเดียวในวันที่ 9 สิงหาคม เป็นการเล่าถึงเรื่องราวในยุคปัจจุบันของเหล่าลูกๆ ของกลุ่มผู้มีพลังพิเศษอย่างคิมบงซอก จางฮีซู และอีคังฮุน ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังดูซีรีส์ว่าด้วยมิตรภาพและชีวิตรักวัยเรียน ที่ต้องดีลกับ ‘พลัง’ ของตน และความสัมพันธ์รอบข้างไปพร้อมๆ กัน

และก็ยังมีเส้นเรื่องอื่นๆ มาคอยเล่าสลับกันไปมาเพื่อตัดเลี่ยนอยู่เป็นระยะ ทั้งเส้นเรื่องแนวแอ็กชันไล่ล่าที่ว่าด้วย แฟรงก์ (รับบทโดย รยูซึงบอม) หนุ่มเกาหลีที่เคยไปเติบโตและถูกฝึกให้กลายเป็น ‘นักล่า’ ในอเมริกา ซึ่งเป็นผู้มีพลังพิเศษแบบเดียวกับจางจูวอนที่ถูกหน่วยงานสาขาต่างชาติส่งมากำจัดเหล่า ‘อดีตสมาชิกที่เกษียณแล้ว’ ของสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ และเส้นเรื่องแนวดราม่าที่พูดถึงชีวิตที่ค่อยๆ ดิ่งลงเหว ทั้งการงาน และความสัมพันธ์กับพ่อ ของคนขับรถประจำทางอย่าง จอนกเยดู (ชาแทฮยอน) ซึ่งแท้จริงแล้วเป็น ‘มนุษย์ไฟฟ้า’ และต้องการล้างแค้นแฟรงก์ที่เป็นคน ‘เก็บ’ พ่อของเขา



ขณะที่ในตอนที่ 8-13 ก็เป็นการย้อนกลับไปเล่าถึงชีวิตของฝั่งพ่อแม่ของเด็กๆ เหล่านี้ นับจากยุค 80 เป็นต้นมา ซึ่งแต่ละตอนก็มีส่วนผสมของความหวานแบบซีรีส์รักโรแมนติกชวนให้อมยิ้ม ความขมแบบซีรีส์ดราม่าพาน้ำตาไหล และความเผ็ดแบบซีรีส์แอ็กชันเลือดสาด ที่แตกต่างรสชาติกันออกไป

โดยตอนที่ 8-9 เป็นเรื่องสัมพันธ์รักที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างอีมีฮยอนกับคิมดูชิก พ่อแม่ของคิมบงซอก ในวันที่พวกเขายังเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจลับให้กับสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งบรรยากาศในตอนนี้แทบจะไม่ต่างอะไรกับหนังรักโรแมนติกดีๆ สักเรื่อง

ตอนที่ 10-11 เป็นเรื่องเส้นทางชีวิตของจางจูวอน พ่อจางฮีซู ที่ชีวิตต้องพลิกผันจากการเป็นสมาชิกของแก๊งอันธพาล การพบเจอว่าที่แม่ของลูกที่ในตอนนั้นยังเป็นเพียง ‘สาวขายกาแฟ’ ที่คนดูถูก มาสู่การเป็นคู่หูของคิมดูชิกในสำนักงานฯ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่ฉากลองเทคสุดมันในระหว่างที่เขาต้องต่อสู้กับกองทัพอันธพาลยกแก๊ง และสามารถจัดการพวกมันได้ทั้งหมดเพียงลำพัง ซึ่งให้อารมณ์สุดเดือดแบบหนัง Oldboy เลยทีเดียว

และตอนที่ 12-13 เป็นเรื่องชีวิตครอบครัวถัดจากนั้นของพ่อแม่คิมบงซอก และพ่อจางฮีซู ที่ต่างฝ่ายต่างต้องรับมือกับอุปสรรคยากๆ ทั้งเรื่องครอบครัว และหน้าที่การงาน ซึ่งเราจะได้เห็นอีมีฮยอนและคิมดูชิกค่อยๆ กลายเป็นพ่อคนแม่คนที่อยู่กันอย่างสุขสงบ แต่ก็ยังหวาดระแวงเรื่องความปลอดภัยของลูก และเห็นชายผู้มีร่างกายที่ทนทานได้ทุกสิ่งอย่างจางจูวอน ต้องร่ำไห้หลังจากที่ต้องสูญเสียผู้หญิงที่ตนรักไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนต้องเหลือกันแค่สองคนพ่อลูก

– ซึ่งเราก็เชื่อว่าอีก 7 ตอนที่เหลือจะต้องทั้งเข้มข้นและสะเทือนใจไม่แพ้กัน ก่อนที่ซีรีส์จะพาเราไปสู่บทสรุปในซีซั่นแรก



Moving ช่วยตอกย้ำสารที่สำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเป็น ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ หรือเป็น ‘คนที่แตกต่าง’ นั้น ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็น ‘ตัวประหลาด’ อย่างที่ใครคนอื่นชอบแปะป้าย หากแต่เราจะเป็นเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรากลายเป็นคนที่ไร้ซึ่ง ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ ในตัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ฉะนั้นแล้ว Moving จึงไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์ที่จะทำให้เราได้ระทึกใจไปกับฉากแอ็กชันและพลังพิเศษ น้ำตาไหลไปกับสารพันดราม่า หรือหัวเราะร่าไปกับความสัมพันธ์น่ารักๆ เท่านั้น เพราะมันยังช่วยตอกย้ำสารที่สำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเป็น ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ หรือเป็น ‘คนที่แตกต่าง’ นั้น ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็น ‘ตัวประหลาด’ อย่างที่ใครคนอื่นชอบแปะป้าย หากแต่เราจะเป็นเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรากลายเป็นคนที่ไร้ซึ่ง ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ ในตัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เพราะเราทุกคนล้วนต้องการใครสักคนที่จะมาคอยอยู่เคียงข้าง เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคและปัญหาน้อยใหญ่ไปด้วยกัน – ไม่ว่าเราจะมีสถานะเป็นผู้มีพลังพิเศษ หรือคนธรรมดาในสายตาของใครก็ตาม


จาก https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/103669



จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16262.0.html
74  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / ป่าของโทโทโร่ ท้องทะเลของโปเนียว ธรรมชาติที่เคลื่อนไหวและมีตัวตนในผลงาน จิบลิ เมื่อ: 12 มกราคม 2567 09:11:19


ป่าของโทโทโร่ ท้องทะเลของโปเนียว ธรรมชาติที่เคลื่อนไหวและมีตัวตนในผลงานสตูดิโอจิบลิ



งานของสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) มักจะมีธรรมชาติเป็นหนึ่งในแกนสำคัญของเรื่อง เราอาจจะเห็นการกลับไปสู่พื้นที่ชนบทและการก้าวไปสู่ดินแดนเหนือธรรมชาติในโทโทโร่ เห็นความขัดแย้งของเมืองและมนุษย์กับโลกรอบๆ ในเจ้าหญิงโมโนโนเกะ เห็นท้องทะเลที่ทรงอำนาจและไม่ใยดีในโปเนียว และธรรมชาติอันแปลกประหลาดเหล่านี้แหละที่ดึงเรากลับเข้าไปสู่ความฝัน และจินตนาการที่มีต่อธรรมชาติ

เราทั้งรัก ทั้งยำเกรง ทั้งแข่งขัน และยอมแพ้ให้กับธรรมชาติ


ธรรมชาติในงานของ มิยาซากิ ฮายาโอะ เป็นธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน งานที่ดูจะแสนน่ารักและสีสันสดใส จริงๆ แล้ว กลับไม่ได้ไร้เดียงสาแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งที่ดูจะทำให้งานของมิยาซากิมีความเป็นผู้ใหญ่และสัมผัสหัวใจผู้ใหญ่อย่างเราๆ คือการที่นอกจากจะเล่าเรื่องที่ดูเป็นนิทานปรัมปราแล้ว มิยาซากิยังตั้งใจสร้างตัวตนของธรรมชาติให้มีความซับซ้อน ทำให้เราได้กลับไปเห็น ไปรู้สึกถึงปฏิสัมพันธ์อันซับซ้อนกับธรรมชาติอีกครั้ง

งานของมิยาซากิ—คือนอกจากว่าแกจะอยากเล่าถึงธรรมชาติ อยากจะสร้างสไตล์งานที่ฉีกออกจากภาพธรรมชาติที่สะอาดสะอ้านและแบนราบแบบดิสนีย์แล้ว ทัศนคติที่บรรจุอยู่ในเรื่อง ความคิด ความเชื่อ และมุมมองที่มีจิตวิญญาณก็ดูจะเวรี่ญี่ปุ่น สะท้อนถึงมุมมองแบบญี่ปุ่นต่อธรรมชาติ ทั้งโหยหา ทั้งเคารพ ทั้งยำเกรง ทั้งหมดนี้เองจึงอาจเป็นจุดที่สัมผัสกับความรู้สึกบางอย่างของเรา ที่เราเองก็อาจจะเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ไปเห็น และเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ได้กลับไปเป็นจุดหนึ่งของระบบที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา



ธรรมชาติที่ไม่ไร้เดียงสา

นั่นสิ อะไรคือความพิเศษของภาพแทนหรือตัวตนของธรรมชาติในงานของจิบลิ ย้อนไปตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของสตูดิโอเอง หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของมิยาซากิคือการทำอนิเมชั่นที่แตกต่างไปจากดิสนีย์และอนิเมะ อันเป็นสไตล์อินเมชั่นกระแสหลักของญี่ปุ่น—หรือกระทั่งของโลกนี้ ซึ่งจริงๆ ก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 ที่เกิดจิบลิขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้

นอกจากสไตล์และเรื่องแล้ว มิยาซากิยังมีความเห็นว่า ภาพธรรมชาติในการ์ตูนดิสนีย์นั้นมีความไร้เดียงสาเกินไปหน่อย ธรรมชาติในดิสนีย์ออกจะ ‘สะอาด’ ใสซื่อ ตกเป็นรองมนุษย์ ธรรมชาติไม่ได้ฟังก์ชั่น ธรรมชาติเป็นเพียงแค่ฉาก มิยาซากิอธิบายว่า เขาเห็นว่าธรรมชาติมีความงดงามและเปี่ยมความหมายกับเรามากกว่านั้น ธรรมชาติสำหรับเขาไม่ว่าจะเป็นสภาวะอากาศ กาลเวลา แสงแดด ต้นไม้ใบหญ้า ทุกๆ อย่างล้วนเปี่ยมไปด้วยความหมาย ดังนั้นแกเลยบอกว่า ทางสตูดิโอจึงพยายามเล่าถึงทุกแง่มุมของธรรมชาติในผลงานสตูดิโอ

ถ้าสรุปอย่างคร่าวๆ งานของมิยาซากิดูจะเริ่มจากจุดยืนที่มีความเป็นปรัชญา เริ่มจากมุมมองและจุดยืนของมนุษย์ที่แสนจะเข้าใจและเคารพต่อธรรมชาติ



ศักดิ์สิทธิ์และทรงพลัง—ความบริสุทธิ์แต่ไม่ไร้เดียงสาของธรรมชาติ

จริงๆ ไม่เชิงแค่มุมมองของญี่ปุ่น ในโลกตะวันออก กระทั่งโลกทั้งใบนี้ในยุคโบราณเอง เราก็ดูจะยำเกรงและมองธรรมชาติในฐานะพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ แต่ด้วยการเข้ามาของโลกสมัยใหม่ ของเมือง และของอารยธรรมมนุษย์ที่ทำให้เราถูกตัดขาด และบางครั้งก็รู้สึกว่าเรานี่ใหญ่โตและสามารถเอาชนะธรรมชาติได้

เรื่องราวมหัศจรรย์ในงานของมิยาซากิมักจะพูดถึงการกลับไปสู่ธรรมชาติ พื้นที่ธรรมชาติในงานของจิบลิมักเป็นภาพของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพื้นที่โดดเดี่ยว และพ้นจากการเอื้อมถึงของเงื้อมมือมนุษย์ ภาพของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมักมีนัยของการเป็นพื้นที่ทางจิตวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นพื้นที่ของภูตพรายและทวยเทพที่เต็มไปด้วยพลังและจังหวะของตัวเอง เราอาจจะยังพอจำความรู้สึกเมื่อตัวละครสำรวจไปจนถึงดินแดนลึกลับที่เราเข้าไม่ถึง เรารู้สึกขนลุก และหลงใหลไปกับภาพของธรรมชาติที่แสนตระการตาเหล่านั้น

ความเท่ของธรรมชาติในงานของจิบลิ คือ ภาพธรรมชาติที่บริสุทธิ์—แม้พ้นจากเงื้อมมือของมนุษย์ แต่ไม่ไร้เดียงสา ไม่มีลักษณะที่ ‘เชื่อง’ หรือ ‘สะอาด’ ลองนึกถึงภาพของเจ้าโทโทโร่ที่แม้ว่ามันจะหน้าตาน่ารัก แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่แน่ใจว่าดินแดนของธรรมชาตินั้นจะเป็นมิตรกับเราไหม บางครั้งโทโทโร่ก็ดูทรงพลังเกินกว่าที่เราจะรับมือได้ บางครั้งในความน่ารักนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความดุร้าย เข้าใจไม่ได้บางอย่าง ในทำนองเดียวกับความไม่ปราณีของท้องทะเลจากเรื่องโปเนียว หรือธรรมชาติเรื่องอื่นๆ ที่ประกอบปนเปขึ้นทั้งด้วยความงดงามอารี แต่ก็มีความป่าเถื่อน รุนแรง และเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงแฝงอยู่ในที




หลายครั้งที่เราพอสังเกตได้จากความสัมพันธ์และความปรารถนาของเราที่มีต่อธรรมชาติ คือการได้เข้าไปเห็นความยิ่งใหญ่ เห็นระบบบางอย่างที่หายไปจากโลกสมัยใหม่ของมนุษย์ เป็นระบบนิเวศของธรรมชาติที่แน่ล่ะว่าเต็มไปด้วย ‘ความเป็นธรรมชาติ’ ไม่ว่าจะเป็นความไร้ระเบียบ อันตราย เหนือการควบคุม เหนือกาลเวลา ในขณะเดียวกันมีความกลมเกลียวและมีสันติสุข ภาพของธรรมชาติในงานของจิบลินอกจากจะทำให้เราได้กลับไปสู่ธรรมชาติอีกครั้ง แต่เราได้รับรู้ถึงความเล็กกระจ้อยร่อยของเรา และเราก็ได้กลับไปเป็นจุดเล็กๆ ภายใต้ระเบียบจักรวาลที่ใหญ่กว่าตัวเราอีกครั้ง


ทั้งหมดนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งสะท้อนถึงมิติทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นร่วมสมัย จากผลกระทบและการตั้งคำถามจากสงครามโลกครั้งที่ 2 การก้าวเข้าสู่โลกสมัยใหม่อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็ต้องรับกับธรรมชาติอันรุนแรงเช่นสึนามิ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราอาจจะพอจับสังเกตได้ไม่ว่าจะจากดินแดนภูตภูเขา อาณาจักรลอยฟ้า เรื่องราวของเครื่องบินรบ หรือเด็กหญิงจากท้องทะเล

 จาก https://thematter.co/social/only_human_in_nature_world_of_studio_ghibli/99548

จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16254.0.html
75  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / สัปเหร่อ ไทบ้านเดอะซีรี่ย์ และคติธรรมในพิธีศพ เมื่อ: 12 มกราคม 2567 09:09:04

สัปเหร่อ ไทบ้านเดอะซีรี่ย์ และคติธรรมในพิธีศพ / โชโฮ ธรรมราชบุตร ธรรมะตำนาน

<a href="https://www.youtube.com/v//ylf1nt9A5nY" target="_blank">https://www.youtube.com/v//ylf1nt9A5nY</a>

https://www.youtube.com/live/ylf1nt9A5nY?si=-RlgM8Di5Oe8Xh1y


เพิ่มเติม จาก https://www.springnews.co.th/lifestyle/movie-series/844424

รู้จักอาชีพสัปเหร่อ งานเก่าแก่ อาชีพบริการ ดูแลศพ ที่สังคมไทยขาดไม่ได้



ทำความรู้จัก อาชีพ สัปเหร่อ หรือในอดีต มีคำเรียกว่า ขุนกะเฬวราก-นายป่าช้า โดยรัฐบาลแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้ดูแลจัดการศพ ท่ามกลางกระแสความร้องแรงของหนัง #สัปเหร่อ

เมื่อ ภาพยนตร์สัปเหร่อ กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ จากการกวาดรายได้มหาศาล 300 ล้านบาท ทำให้ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่คนพูดถึงในวงกว้าง , สำหรับ คำว่า สัปเหร่อ เป็นอาชีพ ที่อยู่กับสังคมไทยมาอย่างช้านาน  โดยอาชีพนี้ จริงๆแล้ว เป็นหนึ่งในอาชีพที่ เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมในสังคม โดยเฉพาะ ธรรมเนียมประเพณี งานปลงศพ จัดการความเรียบร้อยของศพ ของชาวพุทธ ที่มีมากกว่าครึ่งประเทศ

โดย คำว่า "สัปเหร่อ" ยังมีคนอีกหลายกลุ่มที่อาจยังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ ความเป็นสัปเหร่อ ที่เกี่ยวพันกับปลายทางของชีวิตอย่าง “ความตาย”

แต่ถึงกระนั้น อาชีพสัปเหร่อนี้กลับเป็นอาชีพสำคัญที่ขาดไม่ได้ในสังคมไทยที่มีคนพุทธเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งประเทศ เพราะมีประวัติศาสตร์เรื่องราวอันยาวนาน ทั้งยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของผู้คน

โดย ความหมายของสัปเหร่อ นั้น ตามไม้บรรทัดความหมายของ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ให้ความหมายคำว่า สัปเหร่อ (เป็นคำนาม) กล่าวคือ ผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศพตั้งแต่ทำพิธีมัดตราสัง จนกระทั่งนำศพไปฝังหรือเผา


รู้จักอาชีพสัปเหร่อ งานเก่าแก่ อาชีพบริการศพ ที่สังคมไทยขาดไม่ได้

ขณะที่ที่ พจนานุกรมมติชน ก็ได้ให้ความหมายไปในทางเดียวกัน

ในความเป็นจริงแล้ว, “สัปเหร่อ” เป็นอาชีพที่ไม่ใช่งานในฝันของคนทั่วไปหรอก ความจริงข้อนี้ปฏิเสธไม่ได้ หลายๆครั้งที่คนกลุ่มนี้ โดนดูถูกเหยียดหยามเพราะต้องทำงานเกี่ยวกับศพ และความตาย  ไม่มีใครเหลียวแล  สัปเหร่อ ไม่มีสวัสดิการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีสวัสดิการประกันสังคม เหมือนหลายๆอาชีพ ,รายได้ไม่แน่นอน บางเดือนอาจจะหลักหมื่น และบางเดือน อาจมีรายได้เป็นศูนย์ ในความเป็นอาชีพอิสระ

แต่ในทางกลับกัน , ในวาระสุดท้ายของชีวิตเราทุกคนที่เป็นชาวพุทธ  พวกเขาคือบุคคลสำคัญที่จะช่วยส่งทุกดวงวิญญาณให้ไปสู่สุขติ และในช่วงที่โควิดระบาดหนัก สัปเหร่อบางที่ต้องทำหน้าที่ออกไปเก็บศพเอง

ภาพยนตร์ สัปเหร่อ ทำให้คนสนใจ ที่มา และความหมายที่แท้จริง ของคำว่า "สัปเหร่อ"

หาก ย้อนเข็มนาฬิกากลับไปในอดีต , ในสมัยรัชกาลที่ 5 เคยปรากฏตำแหน่ง "ขุนกะเฬวราก" หรือบางคนเรียกว่า "นายป่าช้า" ในสมัยนั้น หรือ "สัปเหร่อ" ทำหน้าที่ ปลงศพและจัดการความสยดสยองของบุคคลสิ้นลมหายใจให้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น 

การทำงานของขุนกะเฬวราก หรือ ที่ปัจจุบัน เรียกกันว่า สัปเหร่อ ในเข็มนาฬิกาเดินในปัจจุบันนั้น อาจจะยังมีลักษณะที่ไม่เป็นทางการ แต่จากกระบวนการกำจัดความสยดสยองที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 2430 กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้รัฐสยามตระหนักถึงความสำคัญของการกำจัดซากศพ จนนำมาสู่การประกาศใช้ “กฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยป่าช้าแลนายป่าช้า” ใน พ.ศ. 2460 อันเป็นกฎหมายที่รัฐสยามแต่งตั้งให้ “นายป่าช้า” ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการความศิวิไลซ์อย่างเป็นทางการ โดยต้องทำงานอยู่ภายใต้อำนาจของกระทรวงนครบาล

โดย ห้วงเวลานั้น พ.ศ. 2460  หรือเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว  สยามได้ประกาศใช้ "กฎหมายเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยป่าช้าแลนายป่าช้า" ซึ่งทำให้ "นายป่าช้า" มีหน้าที่ในการจัดการศพอย่างเป็นทางการ ในช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อเข้าสู่ความเจริญขึ้น เพราะยังมีการทิ้งศพตามพื้นที่สาธารณะอยู่

ในประเด็นจรรยาวิชาชีพ สัปเหร่อ ก็ถือเป็นประเด็นที่สำคัญ กล่าวคือ อาชีพนี้ต้องไม่เลือกปฏิบัติ ต้องเผาศพให้เจ้าภาพทุกรายโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง กล่าวคือไม่มีความลำเอียง ใจต้องเป็น "กลาง" ไม่แคร์ ฐานะความยากดีมีจน ต้องทำหน้าที่ด้วยความเป็นมืออาชีพ คือ รับผิดชอบงานในหน้าที่ให้สำเร็จเรียบร้อยทุกขั้นตอน ตั้งแต่ทำความสะอาดเตาเผา จนถึงเก็บกระดูก

ทั้งนี้ ปัจจุบัน คำราชการกำหนดหน้าที่สัปเหร่อเป็นงานประเภทที่ 5 คือพนักงานบริการ และพนักงานขายในร้านค้าและตลาด ในหมวด 51 คือเป็นพนักงานให้บริการในเรื่องส่วนบุคคลและบริการด้านการป้องกันภัย กำหนดเป็น "สัปเหร่อและเจ้าหน้าที่ฉีดยาศพ" ทำหน้าที่จัดการเผาศพและฝังศพ รักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการฉีดสารเคมีในร่างศพ รวมถึงการทำพิธีต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการศพ

จนกลายมาเป็นอาชีพที่เรารู้จักกันจนถึงตอนนี้ แม้อาจไม่ได้สร้างความจดจำให้กับเหล่าผู้คนที่เกี่ยวข้องกับผู้ล่วงลับ แต่อาชีพสัปเหร่อ ก็ช่วยเชื่อมโยง ระหว่างคนเป็น กับคนตาย ได้


จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16252.0.html
76  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / ‘โผบินจากกองเถ้าถ่าน ข้ามผ่านดินแดนทั้ง 3’ ตำนานของ ‘นกกระสา’ ในอารยธรรมต่างๆ เมื่อ: 12 มกราคม 2567 09:05:38






‘โผบินจากกองเถ้าถ่าน ข้ามผ่านดินแดนทั้ง 3’ ตำนานของ ‘นกกระสา’ ในอารยธรรมต่างๆ



วันนี้ยังคงเป็นอีกวันที่แฟนๆ จิบลิ (Ghibli) และแฟนของฮายาโอะ มิยาซากิ (Miyazaki Hayao) ตั้งตารอคอย กับการกลับมาของอนิเมชั่นเรื่องยาว ซึ่งคราวนี้มาพร้อมกับสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์หนึ่งประเภทคือ นกกระสานวล หรือ Grey Heron ตามชื่อเรื่องเด็กชายกับนกกระสา (The Boy and the Heron)

ความน่าสนใจของเรื่องราวในคราวนี้คือ ตัวละครเอกเป็นเด็กผู้ชาย ตัวเรื่องมีมิติที่น่าสนใจจากการพูดถึงสงคราม การสูญเสีย และการเติบโตขึ้นของเด็กที่ได้รับผลจากสงครามนั้น โดยเด็กชายกับนกกระสาอ้างอิงมาจากนวนิยายญี่ปุ่นในชื่อเดียวกันของเก็นซาบุโร่ โยชิโนะ (Genzaburo Yoshino) เล่าเรื่องราวของเด็กๆ ที่ต้องก้าวผ่านความสูญเสียหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ตัวเรื่องฉบับจิบลิถูกเขียนเรื่องขึ้นใหม่ โดยไม่ได้เชื่อมโยงกับนวนิยายโดยตรง

ตัวเรื่องเด็กชายกับนกกระสาจึงมีธีมแบบญี่ปุ่นที่น่าสนใจคือ ผลกระทบของเด็กๆ ที่สูญเสียคนที่รัก โดยเฉพาะพ่อแม่จากสงคราม การก้าวเข้าสู่โลกมหัศจรรย์ของเด็กชายกับการได้พบหอคอยและนกกระสาสีเทาพูดได้ หอคอยและนกกระสาในฐานะเพื่อนร่วมทางใหม่นี้ ได้พาเด็กชายไปยังดินแดนเหนือจินตนาการ พร้อมกับความหวังว่าเขาเองจะได้พบกับแม่ที่อาจยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งอีกครั้งหนึ่ง

อ่านเรื่องย่อมาแค่นี้คงพอจะสัมผัสกลิ่นอายความเป็นจิบลิได้ เรื่องราวแฟนตาซีที่ซ่อนปมบางอย่างของเด็กๆ การเดินทางเพื่อค้นพบและเติบโตขึ้น โดยสำหรับผู้ที่รักเรื่องเล่าและตำนาน การที่อนิเมชั่นของสตูดิโอจิบลิเลือกเล่าโดยมีนกกระสาเป็นหนึ่งในตัวละครเอก พร้อมทั้งทำหน้าที่ส่งข่าว และนำพาตัวละครเอกของเราไปยังดินแดนเพื่อตามหาความหมายที่หายไป การกลับมาของนกกระสา จึงดูจะเป็นการกลับมาของตำนานเก่าแก่ที่เราคุ้นเคย จากนกที่เต็มไปด้วยความสง่างามและสงบนิ่ง กับตำนานที่เกี่ยวข้องกับการนำพาเด็กเกิดใหม่มาสู่โลก และตำนานว่าด้วยการเป็นสัตว์ส่งสาส์นผู้โบยบินผ่านดินแดนต่างๆ



นกกระยาง นกกระสา กับตำนานเด็กเกิดใหม่

เบื้องต้นเราอาจรู้สึกสับสนกับนกน้ำ 2 ประเภทที่มีลักษณะคล้ายกัน และอาจเรียกสลับกันไปมา โดยเฉพาะในเรื่องเล่าตำนานต่างๆ เพราะนกกระยางและนกกระสาเป็นนกน้ำทั้ง 2 ชนิด อาศัยและหากินอยู่ตามแหล่งน้ำ ทั้งยังบินได้ทั้งคู่ การแยกนกกระยางและนกกระสาจึงมีความน่าปวดหัวพอสมควร แต่ข้อมูลจากคอลัมน์นกป่าสัปดาห์ละตัวก็อธิบายคำเรียกที่อาจดูสลับกันให้เข้าใจง่ายขึ้น

โดยทั่วไปนกกระสาจะแปลมาจากคำว่า Stork มีลักษณะเด่นคือ โคนปากหนา และมีจะงอยปากใหญ่ ในขณะที่นกกระยางแปลมาจากคำว่า Heron มีจะงอยปากเรียวเล็ก ซึ่งนกยางจะมีความหลากหลายทางสายพันธุ์มากกว่า ทีนี้ Heron จะใช้เรียกนกยางที่มีขนาดใหญ่และไม่มีลำตัวสีขาวว่านกกระสาด้วย เช่น นกกระสานวล (Grey Heron) หรือนกกระสาแดง (Purple Heron

หน้าตาของนกน้ำ รวมถึงการปะปนของการเรียกชื่อ นกน้ำจึงมักถูกเรียกสลับกันโดยเฉพาะในตำนานเรื่องเล่าต่างๆ เช่น ตำนานสำคัญที่เรามักนึกถึงคือ ตำนานนกกระสาคาบเด็กทารก สุดยอดตำนานที่พ่อแม่ใช้ตอบคำถามเราว่า เด็กๆ เกิดจากไหน แทนการอธิบายด้วยลักษณะทางชีววิทยาที่ยุ่งยากและเด็กอาจยังไม่เข้าใจ

นกจากตำนานการคาบทารกมาส่ง มาจากนิทานสำคัญของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) ชื่อเรื่องว่า The Storks แต่ตัวนิทานของฮันส์เรื่องนี้ไม่ค่อยถูกพูดถึงเท่าไร เพราะมันสุดแสนจะดาร์กด้วยการเล่าเรื่องนางนกกระสาที่ถูกเด็กๆ รังแก ตอนจบของเรื่องจะพูดถึงบทบาทของนกกระสาที่ทำหน้าที่คาบทารกไปให้ครอบครัวต่างๆ ซึ่งตัวเรื่องในตอนแรก แม่นกจะให้ลูกนกจิกลูกตาของเด็กเกเร สรุปแล้วเรื่องก็อาจไม่โหดขนาดนั้น แต่แม่นกกระสากลับล้างแค้นด้วยการคาบศพทารกไปให้บ้านที่เด็กๆ ทำตัวไม่ดี และคาบทารกน่ารักๆ ไปให้บ้านที่เด็กทำตัวน่ารัก

จากตำนานของฮันส์ ถัดมาในบ้านเราเรียกกันว่านกกระสาคาบเด็ก และถ้าสืบย้อนกลับขึ้นไปก็ยังมีตำนานนกกระยางคาบทารก ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมาจากตำนานกรีก เป็นเรื่องของราชินีที่ชื่อว่า การีน่า (Gerana) ถูกสาปให้กลายเป็นนกยาง โดยหลังจากถูกสาป ราชินีได้พยายามขโมยลูกของเธอคืนด้วยการคาบผ้าสีขาวมาหอบหิ้วทารก และบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

นักวิชาการ เช่น ผู้เขียนหนังสือ Birds: Myth, Lore and Legend ชี้ให้เห็นว่าตำนานที่เกี่ยวกับนกและการเกิดใหม่ มีความปนเปกันระหว่างนก 3 ชนิดคือ นกกระสา นกกระยาง และนกกระเรียน เช่น ตำนานเทวีเฮราสืบย้อนไปพบว่าเป็นนกกระเรียน และตำนานนกที่เกี่ยวกับการเกิดใหม่ เช่น ตำนานอียิปต์ก็พบว่าเป็นนกกระสา (Heron)




นกกระสากับการบินข้ามภพ

ประเด็นเรื่องนกกระสาในฐานะนกที่สัมพันธ์กับความเชื่อปรัมปรา มีที่มาเก่าแก่มาก สำหรับการเชื่อมโยงกับความเป็นแม่และการดูแลเด็กทารก ก็อาจสัมพันธ์กับลักษณะของนกกระสาที่ทำรังไม่ไกลจากบ้านเรือนของมนุษย์ และเพราะร่างกายของมันมีสีขาวบริสุทธิ์เหมือนกับความรักของแม่

ในตำนานที่เก่าแก่กว่านั้นซึ่งสัมพันธ์กับชื่อวิทยาศาสตร์คือ การอยู่ในนกวงศ์ Ardeidae ชื่อวิทยาศาสตร์มาจากชื่อเมือง Ardea มีที่มาจากกวีโรมันอย่างโอวิด (Ovid)เขาเล่าถึงที่มาของนกกระสาไว้ในงานเขียน Metamorphoses ตำนานว่าด้วยการเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ โดยโอวิดเล่าว่า นกกระสาเป็นนกที่โผบินขึ้นจากซากปรักหักพังของเมืองดังกล่าวจากสงคราม เป็นนกที่โผขึ้นจากกองเถ้าถ่าน

ตรงนี้เองที่นกกระสาเชื่อมโยงเข้ากับการเกิดใหม่คล้ายกับนกฟีนิกซ์ ลักษณะของนกกระสานี้จึงพ้องกับตำนานเทพเจ้า Bennu เทพที่มีร่างเป็นนกกระสา เป็นตัวแทนของการสร้างโลกและการให้กำเนิด ทั้งนี้นกกระสายังมีความเชื่อมโยงกับเทพเจ้าสำคัญหลายองค์ และเป็นตัวแทนของวัฏจักรการสร้างและกำเนิดใหม่ ซึ่งตำนานดังกล่าวเชื่อว่ามันส่งอิทธิพลสู่ตำนานนกฟีนิกซ์ในอารยธรรมกรีกโรมันด้วย

ตำนานนกกระสาที่ไปสัมพันธ์กับการสร้างโลกและการกำเนิดใหม่ ยังมีภาพที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น ในตำนานอียิปต์กล่าวถึงเรื่องการโผบินเหนือผืนน้ำที่ว่างเปล่าก่อนการสร้างโลก ซึ่งการโผบินนี้ก็ไปคล้ายกับความเชื่อของนกกระสาในอารยธรรมตะวันออกอย่างความเชื่อแบบญี่ปุ่น และอาจจะเชื่อมโยงกับบทบาทนกกระสาในอนิเมชั่นด้วย




ในทำนองเดียวกัน ความเชื่อญี่ปุ่นเชื่อว่านกกระสาเป็นนกที่สามารถเคลื่อนผ่านธาตุทั้ง 3 อย่างดิน น้ำ และลม ทำให้นกกระสาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้นกกระสายังเกี่ยวข้องกับความงามของธรรมชาติ ความสง่างาม และการหยุดนิ่งที่ถูกเชื่อมโยงเข้ากับความงดงามของฤดูหนาว ในขณะเดียวกันการเชื่อมโยงกับความเปลี่ยนแปลงทั้ง 3 ของธาตุทั้ง 3 และฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน ยังทำให้นกกระสามีความเกี่ยวข้องกับมิติซับซ้อนสำคัญ คือห้วงความรู้สึกของความสูญเสีย ความเศร้าและความอาลัย ความรักที่สูญหายและการพบกันอีกครั้ง

ภาพของนกกระสาในศิลปะญี่ปุ่น ยังมักปรากฏในภาพวาดที่สัมพันธ์ทั้งกับความงามของธรรมชาติ และความรู้สึกอันละเอียดอ่อนของการพานพบ จากลา และการค้นพบสัจธรรมของชีวิตและโลกใบนี้ ตำนานของนกกระสาเองก็สัมพันธ์กับพื้นที่ธรรมชาติ การเฝ้ามองการปรากฏตัวของพวกมันที่เราเชื่อมโยงลักษณะและพฤติกรรมเข้ากับวงจรของชีวิต ความรักอันบริสุทธิ์ของผู้เป็นแม่ ไปจนถึงการเรียนรู้เติบโตที่จะทะยานขึ้นใหม่จากความตายและการสูญเสีย


ทั้งหมดนี้ดูจะสอดคล้องกับเหตุผลบางอย่างของจิบลิ กับการเลือกนำนกกระสามาเป็นผู้นำทางสำคัญสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ของเด็กชาย ที่เริ่มต้นจากกองเถ้าถ่านและความตายของผู้เป็นแม่


จาก https://thematter.co/entertainment/animation/the-heron-and-the-stork/218229




<a href="https://www.youtube.com/v//WQNWXrlgTvk" target="_blank">https://www.youtube.com/v//WQNWXrlgTvk</a>

https://youtu.be/WQNWXrlgTvk?si=dseEGif85qT9J5la





จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16248.0.html
77  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / วายร้ายก็มีเหตุผล? สำรวจหลักการเหล่าร้าย สะท้อนอีกมุมของฮีโร่ใน My Hero Academia เมื่อ: 12 มกราคม 2567 09:02:39

วายร้ายก็มีเหตุผล? สำรวจหลักการของเหล่าร้าย ภาพสะท้อนอีกมุมของฮีโร่ใน My Hero Academia



(บทความนี้เปิดเผยข้อมูลของวายร้ายที่ปรากฏในการ์ตูนเรื่อง My Hero Academia)



เขาว่ากันว่าการจะเขียนฮีโร่ที่ดีได้ เขาต้องมีตัวร้ายที่ดีพอ


เว้นไว้สำหรับไม่กี่เรื่อง การ์ตูน หนัง หนังสือ หรือสื่อบันเทิงใดๆ ในปัจจุบันมักจะก้าวออกจากการเขียนตัวร้ายที่อยากครองโลกโดยไม่มีเหตุผลหรืออยากทำลายล้างจักรวาลเพราะอะไรก็ไม่รู้ไปนานแล้ว ด้วยเหตุผลว่าการเขียนตัวร้ายที่ไม่อาจเป็นที่เข้าใจหรือไร้แก่นสาร การกระทำที่หยุดพวกเขาโดยฮีโร่นั้นก็จะขาดมิติไปโดยปริยาย

ในยุคสมัยที่มีสื่อฮีโร่และยอดมนุษย์อยู่ในกระแสหลักมากมายเช่นนี้ก็นำมาสู่ยุคที่เราได้เห็นการเขียนตัวร้ายที่หลากหลายมากขึ้น อาจเป็นตัวร้ายที่เป็นภาพกระจกดำมืดสะท้อนฮีโร่ ขั้วตรงข้ามของกันและกัน หรือคนคนเดียวกันที่เจอวันแย่ๆ อันเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล ฯลฯ และหนึ่งในเรื่องที่อัดแน่นไปด้วยฮีโร่และวายร้ายของพวกเขาคือ ‘My Hero Academia’ การ์ตูนโชเน็นเกี่ยวกับโรงเรียนยอดมนุษย์ในโลกที่ประชากรจำนวนมากมีพลังวิเศษหรือ ‘อัตลักษณ์’ ที่หลากหลายและแตกต่างกัน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นคือวิธีที่พวกเขาแต่ละคนเลือกใช้พลังเหล่านั้น

และบ่อยครั้งการเลือกใช้อัตลักษณ์และอำนาจของตัวละครหลายๆ คนนำพาให้พวกเขาจัดหมวดหมู่อยู่ในการเป็น ‘วายร้าย’ และในขณะที่เราจะไม่เถียงเลยว่าการกระทำของคนกลุ่มนี้จะเป็นที่ยอมรับว่าไม่ผิดได้หรือเปล่า เพราะคำตอบที่ชัดเจนคือผิดแน่ๆ ในหลายๆ ส่วน แต่โดยมากแล้วเหล่าวายร้ายตลอดเรื่องนั้นมีหลักการภายในที่น่าสนใจและเป็นที่เข้าใจได้เสมอ มากไปกว่านั้น บ่อยครั้งวายร้ายของเรื่องนี้ทำให้เราพินิจแนวคิดและแง่มุมต่างๆ ของการเป็นฮีโร่ผ่านหลักการของพวกเขาอีกด้วย


Stain



เช่นเดียวกันกับหลายๆ คนในโลกของ My Hero Academia ‘อาคากุโระ ชิโซเมะ’ เองก็มองไปยังออลไมต์ ฮีโร่หมายเลข 1 เป็นตัวอย่างในชีวิตของเขา ในขณะที่บางคนอาจจะมองไปยังความแข็งแกร่ง บ้างอาจมองไปยังความกล้าหาญ บางคนอาจมองไปยังความไม่ย่อท้อ แต่ชิโซเมะมองว่าออลไมต์เป็นมากกว่าฮีโร่ แต่เป็นบรรทัดฐาน บรรทัดฐานสำหรับจริยธรรมที่เขาจะใช้วัดคุณค่าของผู้มีอัตลักษณ์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นฮีโร่หรือวายร้าย

ภายใต้ชื่อ ‘สเตน’ เขาเฝ้ามองโลกและการต่อสู้ระหว่างวายร้ายและฮีโร่ และไม่ว่าจะเป็นใคร หากคนคนนั้นในอัตลักษณ์ เขาจะนำบรรทัดฐานสูงลิบของเขาวัดว่าคนคนนั้นควรค่าต่อการเป็นฮีโร่หรือไม่ และหากคำตอบคือไม่ (โดยมากจะเป็นไม่) ด้วยดาบและอัตลักษณ์ทำให้เลือดแข็งตัวของเขา เขาจะปลิดชีวิตของฮีโร่คนนั้น เป็นที่มาของฉายา ‘สเตน มือสังหารฮีโร่’

สำหรับสเตนแล้วโลกไม่มีพื้นที่สีเทา หากไม่สามารถเป็นผู้มีอัตลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบตามบรรทัดฐานของเขาได้ เช่น ใช้อัตลักษณ์เพื่อสนองอีโก้ของตัวเองหรือใช้มันด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัว ใช้ความรุนแรงโดยใช่เหตุ  ฮีโร่คนนั้นจะถูกมองว่าไม่ต่างไปจากวายร้ายในสายตาของสเตน

และแม้จะเป็นผู้ตัดสินโลก สเตนไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักจริยธรรม แต่มองว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสังคมเสียมากกว่า ฉะนั้นเขาอาจมองตัวเองเป็นผู้ที่ยอมมือสกปรกเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ที่เราอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดสังเกตของ Savior Complex พฤติกรรมที่คนคนหนึ่งมองว่าตัวเองต้องช่วยผู้อื่นตลอดเวลาเพราะเขาเป็นผู้เดียวที่มีคำตอบและความสามารถ และแม้ในเรื่องนี้สเตนจะเป็นวายร้าย ก็น่าคิดว่าพฤติกรรมนี้เองก็เป็นสิ่งที่อยู่ในกลางความเชื่อฮีโร่หลายๆ คนหรือคนผู้หวังดีจำนวนมากในโลกของเราเหมือนกัน

Toga



ครั้งแล้วครั้งเล่าความรักนำไปสู่โศกนาฏกรรม และสำหรับ ‘โทกะ ฮิมิโกะ‘ ความรักเป็นใจกลางของตัวละครของเธอ อัตลักษณ์ของโทกะคือการแปลงร่างเป็นเหยื่อผ่านการดื่มเลือด และมันเชื่อมโยงโดยตรงกับตัวละครของเธอในทุกแง่มุม การดื่มเลือดไม่ใช่เรื่องธรรมดาในสานตาของสังคม แต่สำหรับโทกะ นั่นคือการแสดงความรักในระดับที่สูงที่สุด และการแสดงความรักนั้นนำไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันของโทกะและเหยื่อของเธอ

โลกจากมุมมองของโทกะแตกต่างจากคนอื่น นกชุ่มเลือดเป็นสิ่งน่ารักสำหรับเธอ แต่เมื่อสังคมและพ่อแม่รู้ความชอบของเธอสิ่งที่พวกเขาทำคือบังคับให้เธอกดข่มความแตกต่างนั้นเอาไว้ แทนที่จะหาวิธีช่วยเหลือให้เธอสามารถเข้าหาสังคมได้อย่างปกติ การกดทับนี้นำพาให้เธออยู่สังคมใต้หน้ากากของเด็กนักเรียนหญิงธรรมดาทั่วไป และเมื่อไม่มีใครสอนว่าเธอต้องจัดการกับความแตกต่างนี้ยังไงหน้ากากของเธอก็หลุดออกในที่สุด

และหน้าจริงที่ธรรมดาสำหรับเธอคือสิ่งที่สังคมไม่อาจยอมรับได้ เพราะการกดทับตัวตนของเธอนำไปสู่การกระทำที่เธอไม่อาจหนีได้ การฆาตกรรมเพราะความรัก และเมื่อสังคมผลักไสเธอถึงที่สุดคนกลุ่มเดียวที่ไม่ปฏิเสธความธรรมดาในรูปแบบที่เธอถูกสอนให้เรียนรู้เองทั้งชีวิตคือเหล่าวายร้ายนั่นเอง

ใน My Hero Academia ฮีโร่และวายร้ายเกือบทุกคนเกิดขึ้นมาพร้อมกับอัตลักษณ์อะไรสักอย่าง ให้พูดในสายตามนุษย์คือไม่มีใครธรรมดาทั้งสิ้น ในกรณีของโทกะสิ่งที่อดคิดไม่ได้เลยคือจะเป็นอย่างไรหากเธอไม่ถูกบังคับให้ปิดบังตัวตนของตัวเอง และได้รับการสนับสนุนเช่นเดียวกันกับเด็กนักเรียน UA หลายๆ คนให้กลายเป็นฮีโร่ แทนที่จะกดทับไม่ให้พูดถึงจนกลายเป็นวายร้ายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทัน

Re-destro



อัตลักษณ์เป็นสิ่งที่ควรถูกปลดปล่อย ไม่ใช่เก็บงำ เป็นความเชื่อที่ตกทอดกันมาภายในครอบครัวของ ‘โยซึบาชิ ริคิยะ’ หรือ รี-เดสโทร ที่เชื่อว่าเช่นเดียวกันกับที่มนุษย์ธรรมดาหายใจ อัตลักษณ์เองก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกกดทับและควบคุม แต่ว่าผู้มีอัตลักษณ์ควรที่จะมีอิสระในการใช้มันตามความต้องการของพวกเขา และนั่นจะเป็นวิธีที่จะสามารถทำให้สังคมที่เต็มไปด้วยผู้มีพลังวิเศษจะคงอยู่ได้

ตัวอย่างเช่น หนึ่งในเหตุผลที่คนคนหนึ่งจะกลายเป็นวายร้ายนั้นอาจมาจากการควบคุมการใช้อัตลักษณ์นั้นเองแต่แรก เพราะเมื่อสังคมยังคงเชื่อว่าคนคนหนึ่งต้องอยู่ภายใต้กฎและกรอบที่สังคมวาดไว้ ตัวเลือกของคนที่เกิดมาโดยเลือกอัตลักษณ์ของตัวเองไม่ได้นั้นมีอยู่อย่างจำกัด

การประนีประนอมเป็นส่วนสำคัญของการคงโครงสร้างทางสังคมเอาไว้ และนั่นอาจไม่ต่างกันทั้งในสังคมของเราหรือสังคมที่เต็มไปด้วยคนที่มีพลังเหนือมนุษย์ อิสระเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราส่วนมากย่อมเชื่อในการต่อสู้เพื่อให้ได้มา ในขณะเดียวกันสังคมเองก็ถูกสร้างขึ้นมาจากกฎเกณฑ์ เช่นนั้นแล้วหากกฎเกณฑ์ที่มีไม่สามารถสนับสนุนคนทุกคนได้ การดึงโครงสร้างลงมาทั้งหมดหรือการประนีประนอมเพื่อเปลี่ยนแปลงจะสำคัญกว่ากัน?

Overhaul



อัตลักษณ์คือโรคที่ทำลายโครงสร้าง นั่นคือความเชื่อของ ‘ชิซากิ ไค‘ ยากูซ่ากลัวโรคผู้เชื่อว่าตัวเองสามารถเป็นยารักษาเชื้อโรคอัตลักษณ์ที่ทำลายโครงสร้างของโลกที่ควรจะเป็น และจะเป็นผู้ที่พามันกลับไปสู่สภาพที่มันเคยเป็นก่อนจะมีอัตลักษณ์เข้ามาเปลี่ยนมัน โลกที่ยากูซ่าเคยเป็นองค์กรอาชญากรรมที่ทรงอำนาจกว่านี้

ในขณะที่เราหลายๆ คนอาจคิดว่ามนุษย์นั้นมีหลักศีลธรรมภายในตัวเองแต่แรก แล้วการเกิดอัตลักษณ์เป็นเหมือนการกระตุ้นอีกแรงที่นำไปสู่การเป็นฮีโร่และวายร้าย แต่โอเวอร์ฮอลมองว่ารากของปัญหาอยู่ที่อัตลักษณ์ต่างหากที่นำไปสู่การก่อร่างศีลธรรมและความต้องการทำชั่วดีของบุคคล การทำลายมันจากโลกจึงเป็นหนทางเดียว

แต่โอเวอร์ฮอลก็ลักลั่นในแนวคิดของตัวเอง ในขณะที่เขาอยากทำลายเชื้อโรคอัตลักษณ์ ในความเป็นจริงแล้วโลกที่เขาเล็งเห็นไม่ใช่สังคมปลอดโรค แต่เป็นสังคมที่ป่วยจากอีกโรคต่างหาก นั่นคือเขาต้องการปลุกอำนาจของยากูซ่า กลุ่มคนที่เขาเชื่อว่าแม้จะเป็นอาชญากรก็ยังมีเกียรติและศักดิ์ศรีกว่าฮีโร่หรือวายร้ายในปัจจุบัน ในขณะที่ตัวของเขาเองไม่สนใจในสังคมหรือแม้แต่คนรอบข้างของเขาเลย ดูเหมือนว่าความกลัวโรคและการสัมผัสของเขานั้นจะลึกกว่าแค่อาการทางกายภาพ

โอเวอร์ฮอลเป็นภาพสะท้อนของคนผู้มีอำนาจ ความสามารถ และความมุ่งมั่น แต่ขาดแนวคิดที่มั่นคง การไตร่ตรองตรรกะภายในของตัวเอง มุมมองต่อตัวเองที่ซื่อตรง และการให้ค่าคนรอบข้างทุกคนอย่างแท้จริง ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ต้องนึกถึงไม่ว่าจะเป็นฮีโร่หรือวายร้าย

Shigaraki



‘เด็กผู้ไม่เคยได้รับอ้อมกอดจากหมู่บ้านของเขา จะเผามันเพียงเพื่อจะเอาความอบอุ่นจากกองเพลิง’ คำกล่าวพื้นบ้านจากแอฟริกาว่าไว้ และมันน่าจะเป็นคำกล่าวที่เล่าเรื่องราวของ ‘ชิการาคิ โทมูระ’ ได้ดีกว่าอะไรทั้งสิ้น

ชิการาคิต้องการทำลายสังคมฮีโร่ โดยความต้องการนี้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเด็ก ก่อนจะเป็นโทมูระ เขาเคยชื่อชิมูระ เท็นโกะ หลานของยอดมนุษย์ และลูกชายของพ่อผู้เกลียดยอดมนุษย์ พ่อที่ทำโทษเขาทุกครั้งที่เขาพูดถึงฮีโร่ หลังจากอุบัติเหตุทำให้อัตลักษณ์การย่อยสลายของเขาคร่าชีวิตคนทั้งครอบครัว ‘ออลฟอร์วัน’ รับเท็นโกะมาเลี้ยงพร้อมมอบชื่อใหม่และนามสกุลของตัวเองแก่เขา ชิการาคิ โทมูระ ด้วยความต้องการจะให้เขากลายเป็นผู้สานต่อเจตจำนงของเขา

โทมูระเกลียดออลไมต์ยิ่งกว่าใคร ไม่ใช่เพราะเขาเป็นฮีโร่หมายเลขหนึ่ง แต่ด้วยเหตุผลที่เขาเกลียดชีวิตในทุกสิ่ง และออลไมต์เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของสังคมที่ทอดทิ้งเขา ในที่นี้หมู่บ้านไม่ได้หมายถึงครอบครัว แต่คือสังคมที่เชื่อว่าเด็กน้อยคนหนึ่งที่หลงอยู่บนท้องถนนสักพักเดี๋ยวก็มีฮีโร่เข้ามาช่วยเอาไว้เอง และเขาต้องการที่จะทำลายมันด้วยมือของเขาเอง

โทมูระเป็นตัวละครที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นภาพสะท้อนต่อมิโดริยะ อิสึกุ ตัวละครเอกของเรื่อง ทั้งสองแทบจะมีจังหวะชีวิตและการเติบโตในด้านตัวละคร แนวคิด และความสามารถไปพร้อมๆ กัน และต้องรอดูกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วงกระจกบานนี้เมื่อส่องเข้าไปแล้ว ใบหน้าที่อยู่อีกฝั่งจะคล้ายกันขนาดไหน


จาก https://thematter.co/entertainment/my-hero-academia-villains-explored/186812

<a href="https://www.youtube.com/v//fqMHdYPxl3Y" target="_blank">https://www.youtube.com/v//fqMHdYPxl3Y</a>

https://youtu.be/fqMHdYPxl3Y?si=Sllhtls18qTFDWm3


<a href="https://www.youtube.com/v//cRjfhsYeflY" target="_blank">https://www.youtube.com/v//cRjfhsYeflY</a>

https://youtu.be/cRjfhsYeflY?si=-ozCfY4W0XI4izpn


<a href="https://www.youtube.com/v//Kj-jmyQc_0w" target="_blank">https://www.youtube.com/v//Kj-jmyQc_0w</a>

https://youtu.be/Kj-jmyQc_0w?si=JKo1fTz54U2nn9BK

<a href="https://www.youtube.com/v//q6HVEtBQqzM" target="_blank">https://www.youtube.com/v//q6HVEtBQqzM</a>

https://youtu.be/q6HVEtBQqzM?si=et1cWUiSR_DUXPON














จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16247.0.html
78  สุขใจในธรรม / บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม / คาถา เย ธมฺมา บนแท่นหินบดยาสมัยทวารวดี เมื่อ: 12 มกราคม 2567 08:57:47
คาถา เย ธมฺมา บนแท่นหินบดยาสมัยทวารวดี

<a href="https://www.youtube.com/v//puQUCUHCXNw" target="_blank">https://www.youtube.com/v//puQUCUHCXNw</a> 

https://youtu.be/puQUCUHCXNw?si=VCapyg3IjOGDONLQ

ขยายความเพิ่มเติม

<a href="https://www.youtube.com/v//Dk5ya17Bvus" target="_blank">https://www.youtube.com/v//Dk5ya17Bvus</a> 

https://youtu.be/Dk5ya17Bvus?si=oCEEI4su1DyldfQg

<a href="https://www.youtube.com/v//0NDxXOSJ4cc" target="_blank">https://www.youtube.com/v//0NDxXOSJ4cc</a> 

https://youtu.be/0NDxXOSJ4cc?si=nh8t5L0eMOuVUPxs

<a href="https://www.youtube.com/v//cTBrBYGiXWg" target="_blank">https://www.youtube.com/v//cTBrBYGiXWg</a> 

https://youtu.be/cTBrBYGiXWg?si=vzdZCnMdRof85BTb

จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16333.0.html
79  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / ภูฏาน...แดนมังกรสายฟ้า พระพุทธศาสนานำสุข เมื่อ: 12 มกราคม 2567 08:52:28


ภูฏาน...แดนมังกรสายฟ้า พระพุทธศาสนานำสุข

ราชอาณาจักรภูฏานหรือประเทศภูฏาน ที่คนไทยคุ้นเคยกับชื่อนี้มาหลายปีแล้ว


ราชอาณาจักรภูฏานหรือประเทศภูฏาน ที่คนไทยคุ้นเคยกับชื่อนี้มาหลายปีแล้ว ซึ่งกว่า 75% ของชาวภูฏานเป็นพุทธศาสนิกชน แบบมหายาน แบบตันตระหรือวัชรยาน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะต่างนิกายกันก็ตาม แต่ในฐานะพุทธศาสนิกชนด้วยกันแล้ว การได้เดินทางไปประเทศนี้ รับรองว่าทั้งสนุกสนานกับการเดินทางและอิ่มบุญแน่นอน

ภูฏานเป็นเพียงประเทศเดียวในโลก ที่ยอมรับนับถือพุทธศาสนามหายานแบบตันตระ เป็นศาสนาประจำชาติอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็จะมีหลักธรรมพื้นฐานคล้ายกับนิกายอื่น แต่จะนับถือบรรดาเทพเจ้าและเหล่าพระโพธิสัตว์ บางครั้งคนก็จะจำแนกพุทธศาสนาแบบภูฏานว่าเป็นนิกายลามะ เหมือนกับทิเบต ที่รวมเอาความเชื่อเรื่องวิญญาณ การบูชาธรรมชาติ การนับถือเทพเจ้าประจำท้องถิ่น เข้าไว้ด้วยกัน

ปัจจุบันในประเทศภูฏานมีพระสงฆ์กว่า 8,000 รูป ซึ่งจะได้รับการอุปถัมภ์จากรัฐบาล บางคนก็คุ้นกับการเรียกพระสงฆ์ที่นี่ว่า “ลามะ” เพราะอาจเข้าใจผิดว่าทุกท่านคือลามะ แต่อันที่จริงแล้วพระสงฆ์ของภูฏานจะมีการแบ่งเป็นลำดับชั้น ตามระดับของความรู้ ความสามารถ ตั้งแต่พระสามัญทั่วไป จนถึงระดับพระสังฆราช ซึ่งเราจะสามารถจำแนกได้จากสีของจีวร




ในอดีตนั้นพระสงฆ์สามารถมีภรรยาได้ แต่ปัจจุบันกลายเป็นข้อห้าม และสงฆ์ต้องถือครองเพศพรหมจรรย์ ละเว้นการสูบบุหรี่หรือดื่มน้ำเมา แต่ยังฉันเนื้อสัตว์ได้ พระที่ภูฏานนั้นฉันได้กระทั่งมื้อเย็น ซึ่งจะต่างจากพระในประเทศอื่นๆ พุทธศาสนานิกายมหายานแบบตันตระนี้ ไม่ได้มีให้เห็นในเมืองไทย ดังนั้นก็จะไม่แปลกนัก หากพุทธศาสนิกชนคนไทยที่ได้มีโอกาสเดินทางมายังวัดในภูฏาน จะกราบไหว้และแสดงความเคารพด้วยกิริยาที่แตกต่างจากคนที่นี่ แต่อย่างน้อยที่สุดขอให้แสดงอาการสำรวม และเคารพจากใจจริงก็เชื่อว่าบุญกุศลก็คงเกิดขึ้นได้

ตั้งแต่กระแสนิยมสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในสังคมไทย ก็ทำให้คนอยากเดินทางไปเที่ยวภูฏานมากขึ้น คนเริ่มคุ้นเคยกับคำว่า GNH : Gross National Happiness หรือดัชนีมวลรวมความสุขมากขึ้น และหลายคนที่ได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัสกับดินแดนมังกรสายฟ้าแห่งนี้ เกือบทุกคนจะกลับมาพร้อมกับความสุขและความอิ่มเอม คนที่เลือกมาเยือนภูฏานส่วนใหญ่คงต้องการแสวงหาธรรมชาติที่บริสุทธิ์ และสัมผัสวัฒนธรรมที่มีมนต์เสน่ห์ ซึ่งเมื่อมาถึงแล้วทุกคนจะพบว่าทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมของที่นี่ผสานกันอย่างกลมกลืนจนแยกไม่ออก



ภาพทิวธงภาวนาหลากสีที่โบกปลิวอยู่ในวัดวาอาราม อยู่บนเนินเขา หรือแม้แต่พัดผ่านม่านหมอก คือเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่นี่ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว นี่คือความงดงาม ที่เกิดจากส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรม บนดินแดนที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 2,300 เมตร นอกจากเราจะพบเห็นพระสงฆ์ตามวัดแล้ว ที่ประเทศภูฏานเรายังจะพบเห็นพระสงฆ์ได้ตามสถานที่ที่เรียกว่า “ซอง (Dzong)” ซึ่งแปลว่า “ป้อมปราการ”

เดิมทีซองถูกสร้างเพื่อใช้เป็นป้อมปราการ และแสดงถึงความยิ่งใหญ่เหนือศัตรู แต่ปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นทั้งศูนย์ราชการ เป็นที่ตั้งของหน่วยงานบริหารในเขต และยังถูกใช้เป็นวัดประจำเขตและจะมีโรงเรียนสงฆ์ตั้งอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งในภูฏานนั้นยังคงมีซองหลงเหลืออยู่หลายแห่ง แต่ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญก็เห็นจะเป็นตรองสาซอง วังดีซอง พาโรซอง ทิมพูซอง และปูนาคาซอง



 

พาโรซองเป็นสถานที่ซึ่งทุกคนที่มาภูฏานต้องไม่พลาด เพราะตั้งอยู่ในเมืองหลวงพาโร และนักท่องเที่ยวที่มาก็ต้องมาลงเครื่องที่เมืองนี้ ส่วนปูนาคาซอง ตั้งอยู่ในเมืองปูนาคา อดีตราชธานีแห่งภูฏาน ตั้งอยู่ระหว่างจุดบรรจบของแม่น้ำสองสาย มองจากภายนอกก็เลยคล้ายกับเรือขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่บนผืนน้ำ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1637 เคยผ่านภัยพิบัติมาแล้ว ทั้งไฟไหม้ น้ำท่วม และแผ่นดินไหว แต่ทุกครั้งที่เกิดความเสียหาย ก็จะสามารถบูรณะขึ้นมาใหม่ด้วยจิตศรัทธาแห่งพุทธศาสนิกชน

มีสถานที่อยู่อีกแห่งหนึ่ง ที่บรรดานักท่องเที่ยวผู้มาเยือนภูฏานจะต้องไม่พลาด สำหรับนักท่องเที่ยวตะวันตกที่ไม่ใช่ชาวพุทธ การไปเยือนสถานที่นี้อาจจะเป็นความท้าทาย แต่สำหรับพุทธศาสนิกชนแล้ว นี่อาจหมายถึงการพิสูจน์ศรัทธาด้วยก็ได้ เพราะไม่ใช่เพียงระยะทางที่ค่อนข้างโหดเท่านั้น แต่การเดินขึ้นเขาที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,000 เมตร และอากาศเบาบางนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สถานที่ที่ว่านี้ก็คือวัดทัคซัง หรือ Tiger Nest เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ว่ากันว่าถ้าใครไปถึงภูฏานแล้ว ไม่ได้ไปสักการะวัดทัคซังก็ถือว่ายังมาไม่ถึงประเทศนี้


ชาวภูฏานนิยมเดินทางมาแสวงบุญที่วัดนี้ ภายในเขตวัดมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ทั้งสิ้น 13 แห่ง ที่มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของภูฏาน แม้จะมีม้าไว้บริการ แต่แนะนำว่าควรเดินเท้าขึ้นไปเอง เพราะแม้ว่าจะเหนื่อยยากเพียงใด แต่ก็เป็นการสร้างความเพียร และฝึกจิตให้อยู่เหนือความลำบากทางกาย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป เพราะบรรยากาศรอบข้างอันเงียบสงบร่มรื่น ก็เอื้อให้เกิดสติ ให้เรามีสมาธิอยู่กับแต่ละย่างก้าว ไม่หมกมุ่นอยู่กับปลายทางจนเกิดความล้าและความกังวล แต่ต้องตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบัน

แม้ว่าประเทศภูฏานและประเทศไทยจะพูดต่างภาษา มีศาสนาต่างลัทธิ และมีวิถีปฏิบัติที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ความเชื่อและศรัทธาในพระธรรมก็เชื่อมหัวใจพุทธของพวกเราเข้าหากันได้อย่างไม่มีกำแพง กับประเทศเล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความสุข “ภูฏาน...แดนมังกรสายฟ้า พระพุทธศาสนานำสุข”



จาก https://www.posttoday.com/lifestyle/299353

เพิ่มเติม http://www.tairomdham.net/index.php/board,37.0.html
80  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / ระบบจักรวาลในศาสนาพุทธ และ พุทธเกษตรคืออะไร (ธรรมะตำนาน) เมื่อ: 12 มกราคม 2567 08:48:46
ระบบจักรวาลในศาสนาพุทธ และ พุทธเกษตรคืออะไร (ธรรมะตำนาน)















<a href="https://www.youtube.com/v//SZRilHqmeHU" target="_blank">https://www.youtube.com/v//SZRilHqmeHU</a>

https://www.youtube.com/live/SZRilHqmeHU?si=NyHqsFYx6lBNZrbN

เพิ่มเติม http://www.tairomdham.net/index.php/board,36.0.html
หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 236
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.513 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 12 มีนาคม 2567 15:51:41