[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
01 กรกฎาคม 2568 04:23:06 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

  แสดงกระทู้
หน้า:  [1] 2 3 ... 132
1  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / สัตว์ประหลาด เมื่อ: 28 มิถุนายน 2568 10:56:36

ปวาดของไฮดรา หนึ่งในสัตว์ประหลาดของเทพปกรณัมกรีกที่มีชื่อเสียง

สัตว์ประหลาด


สัตว์ประหลาด สิ่งมีชีวิตที่ผิดแปลกไปจากธรรมชาติ หรือเป็นที่รู้จักในตำนานหรือนิทานพื้นบ้าน มักมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวและมีลักษณะพิเศษที่เหนือธรรมชาติ หรือสัตว์ที่มนุษย์ไม่เป็นที่รู้จัก สัตว์ประหลาดถูกกล่าวถึงในตำนานหรือนิทานของชนชาติต่าง ๆ มาแต่อดีตแล้ว

คำว่า "สัตว์ประหลาด" ในภาษาอังกฤษคือ "monster" ซึ่งมาจากคำภาษาละตินคำว่า Monstrum ซึ่งหมายถึง การเกิดสิ่งผิดปกติทางชีววิทยามักจะที่ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ว่าสิ่งที่ถูกต้องภายในเพื่อธรรมชาติ

ความหมายของคำว่า Monster ไม่เหมือนกับปีศาจ ซึ่งหมายถึง ความชั่วร้าย โดยปกติแล้ว Monster หรือ สัตว์ประหลาด จะหมายถึงสิ่งที่น่ารังเกียจหรือผิดศีลธรรม หรือความผิดปกติทางร่างกายหรือจิตใจอย่างน่าเกลียด หรือความวิปริตทางธรรมชาติ นอกจากนี้แล้วยังนำมาใช้เปรียบเปรยกับผู้ที่มีลักษณะโลภโมโทสันหรือบุคคลที่แลดูน่ากลัวด้วย

นอกจากนี้แล้ว สัตว์ประหลาดยังปรากฏตัวในสื่อวัฒนธรรมร่วมสมัยทั้งการ์ตูน ภาพยนตร์ และวิดีโอเกม

โดยทั่วไปแล้ว สัตว์ประหลาดมักมีลักษณะน่ากลัวและดุร้าย แต่ในสื่อสารมวลชนยุคใหม่ก็มีสัตว์ประหลาดที่มีบทบาทในลักษณะของสัตว์ประหลาดที่เป็นมิตรหรือถูกเข้าใจผิด เช่น คิงคอง หรือ แฟรงเกนสไตน์ เป็นต้น

ในภาพยนตร์มีเนื้อหาเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดอยู่มากมาย อาทิ Godzilla ของฮอลลีวู้ดในปี ค.ศ.1998 ที่ดัดแปลงมาจากตัวละครเอกคือ ก็อตซิลล่า ของญี่ปุ่น, The Mist ในปี ค.ศ.2008 หรือแม้แต่ในภาพยนตร์ไทย เช่น มันมากับความมืด ในปี ค.ศ.1971 จากการกำกับโดย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, มาห์ ในปี ค.ศ.1991 หรือ ปักษาวายุ ในปี ค.ศ.2004 เป็นต้น

ในวัฒนธรรมไทย ก็มีสัตว์ประหลาดอยู่มากมาย ตามคติจักรวาลวิทยาทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูหรือพุทธศาสนา มีป่าหิมพานต์ซึ่งเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์อยู่เชิงเขาไกรลาศ มีสัตว์ประหลาดมากมาย เรียกว่า สัตว์หิมพานต์ ซึ่งมักปรากฏภาพเป็นจิตรกรรมฝาผนังตามวัดต่าง ๆ

ในเชิงวิชาการ มีศาสตร์แขนงหนึ่งของสัตววิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดโดยเฉพาะ เรียกว่า สัตว์ประหลาดวิทยา หรือ สัตว์ลึกลับวิทยา (Cryptozoology) ซึ่งคำว่า Cryptozoology มาจากภาษากรีกคำว่า Kρυπτός (Kryptos) หมายถึง "ซ่อนอยู่" ผสมกับ Zoology ก็คือ สัตววิทยา นั่นเอง โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับศาสตร์ประเภทนี้ เรียกว่า นักสัตว์ประหลาดวิทยา นักสัตว์ประหลาดวิทยาที่มีชื่อเสียง ได้แก่ คาร์ล ชูเกอร์ ชาวอังกฤษ, เบอร์นาร์ด ฮูเวลมานส์ ชาวเบลเยียม ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งศาสตร์แขนงนี้และเป็นผู้ตั้งศาสตร์แขนงนี้ด้วย



2  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / เขือง อาหารสมุนไพร…ที่หายไป? เมื่อ: 28 มิถุนายน 2568 10:46:27


เขือง อาหารสมุนไพร…ที่หายไป?

สมุนไพร 2 ชนิด ที่มีความต้องการสูงในวงการยาไทย เพราะใช้ปรุงผสมในตำรับยาไทยนับร้อยตำรับ คือ ข้าวเย็นเหนือ และข้าวเย็นใต้

มารู้จักสมุนไพรที่อยู่ในวงศ์ข้าวเย็นเหนือ (Smilacaceae) กันก่อน แยกได้ 2 สกุล คือ Heterosmilax และ Smilax โดยเฉพาะสกุล Smilax มีการใช้ในตำรับยาไทยมากมาย ในรายงานของสวนพฤกษศาสตร์หลวง เมืองคิว พบว่าสมุนไพรที่อยู่ในสกุล Smilax ทั่วโลกมีมากถึง 264 ชนิด และในรายงานของหอพรรณไม้ให้ข้อมูลว่าพบในประเทศไทยจำนวน 26 ชนิด ซึ่งชนิดที่มีการนำมาใช้บ่อยในตำรายาไทยคือ ข้าวเย็นเหนือ (Smilax corbularia Kunth) และข้าวเย็นใต้ (Smilax glabra Roxb.)

แต่ท่านใดที่ศึกษาข้อมูลสมุนไพรในถิ่นอีสาน จะพบว่าชื่อพืชที่คนอีสานเรียก ข้าวเย็นใต้ จะหมายถึงพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Premna herbacea Roxb. มีชื่อในภาษาไทยกลางว่า “ฆ้อนกระแต” เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์กะเพรา (Lamiaceae) ไม่ใช่พืชวงศ์ข้าวเย็นเหนือ (Smilacaceae)

สำหรับสมุนไพรข้าวเย็นเหนือและข้าวเย็นใต้พืชในสกุล Smilax นั้น ในเมืองไทยยังมีอีก 2 ชนิดที่มีความสำคัญกับการดำรงชีวิตของคนในท้องถิ่นมาก คือ เขียงน้อย หรือที่คนอีสานเรียกว่า “เขือง” แต่ชื่อราชการเรียกว่า “ย่านทด” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Smilax luzonensis C.Presl และอีกชนิด คือ กำลังควายถึก หรือคนอีสานเรียกว่า เขืองใหญ่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Smilax perfoliata Lour.

เขียงน้อย หรือ เขือง (Smilax luzonensis C.Presl) มีการกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ได้แก่ เขืองน้อย (ภาคอีสาน) เขียง (ภาคตะวันออก) ตาก หาด ย่านหาด ย่านทด ฟ้าแลบ (ภาคใต้) มีลักษณะเป็นต้นไม้เถาเนื้อแข็ง เถามีหนามแหลม เลื้อยพันไม้อื่น ยาวได้ถึง 5 เมตร ลำต้นกลมหรือเป็นเหลี่ยมเล็กน้อย มีหนามกระจายห่างๆ มีมือพันยาว ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี ออกดอกเป็นช่อแบบซี่ร่มตามซอกใบ 1-3 ช่อ ดอกแยกเพศต่างต้น ดอกสีเขียวหรือสีเขียวอ่อน เกสรสีขาว ออกผลเป็นพวง ประมาณ 10-20 ผลต่อ 1 พวง สีเขียวอ่อน ตอนสุกจะมีสีดำ ออกดอกในราวเดือนกุมภาพันธื-สิงหาคม เราสามารถพบเห็นเขืองทอดเลื้อยหรือพาดตามต้นไม้อื่นตามทุ่งหญ้าหรือพื้นที่เปิดโล่ง และป่าเต็งรังทั่วทุกภาค ประเทศเพื่อนบ้านก็พบการกระจายในอินเดีย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

ตำรับอาหารของคนใต้นิยมนำยอดและใบอ่อน มากินสดๆ เป็นผักเหนาะ ใส่ในแกงเลียง แต่ก็แปลกที่คนภาคใต้กินแล้วจะบอกรสชาติเขืองว่ามีรสจืดปนฝาด แต่เมื่อคนภาคอีสานกินกลับบอกว่ามีรสเปรี้ยวปนขมนิดๆ จึงชอบนำยอดหรือใบอ่อนมากินคู่กับลาบ ป่น น้ำพริกต่างๆ และนิยมใส่แกง ใส่อ่อม รวมถึงนำมาผัดปรุงในเมนูอาหารป่าต่างๆ ด้วย

สรรพคุณทางยานำมาใช้ลักษณะเดียวกับต้นกำลังความถึก ใช้แก้ไตพิการ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ถอนพิษสำแดง แก้เกี่ยวกับเตโชธาตุ ใช้บำรุงกำลัง และเวลานี้มีการนำมาใช้ลดน้ำตาลในเลือดด้วย สำหรับหมอพื้นบ้านในจังหวัดสุรินทร์มีการนำมาใช้บำรุงร่างกายแม่ลูกอ่อน วิธีทำใช้เหง้าล้างให้สะอาดนำมาต้มเอาน้ำมาดื่มหลังคลอด

ในมาเลเซียใช้เหง้าต้มดื่มเป็นยาบำรุงเพศ ในการศึกษาวิจัยพบว่าเขืองมีสารต้านอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ระงับการเจริญของเซลล์มะเร็งในห้องปฏิบัติการได้ดีในระดับหนึ่ง

เขืองใหญ่ (Smilax perfoliata Lour.) มีชื่อทางราชการว่า กำลังควายถึก ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ก้ามกุ้ง (เลย อุตรดิถต์) กำลังควายถึก (นครศรีธรรมราช ยะลา) เขืองแดง เขืองสยาม (ภาคกลาง) เขืองปล้องสั้น (นครราชสีมา) เขืองใหญ่ (ภาคอีสาน) เครือเดา เดาน้ำ (ภาคเหนือ) สะเดา (เชียงใหม่) พบตามป่าดิบ บนพื้นที่ระดับน้ำทะเลจนถึงสูงประมาณ 1,500 เมตร กระจายพันธุ์ใน จีน เนปาล ไต้หวัน อินเดีย พม่า และภูมิภาคอินโดจีน เป็นไม้เถา เถากลมหรือเป็นเหลี่ยมมนเกลี้ยง หรือมีหนามโค้งประปราย ใบเดี่ยว รูปรี ปลายแหลม ก้านใบตอนโคนแผ่ออกเป็นกาบ โคนกาบรูปหัวใจเว้าลึกโอบรอบลำต้น มีมือพัน ดอกแยกเพศ อยู่ต่างต้น เป็นช่อกระจะรวมที่มีช่อย่อยๆ ก้านช่อดอกแข็ง ช่อซี่ร่ม ดอกเพศผู้เมื่อดอกบานกลีบโค้งลง เกสรเพศผู้ 6 อัน ดอกเพศเมียกลีบรวมรูปไข่ เมื่อดอกบานกลีบกางตรง ก้านเกสรเพศเมียสั้น ผลเนื้อนุ่ม รูปกลม เมล็ดสีแดงเข้ม รูปไข่กลับเกือบกลม

ในปี พ.ศ.2557 มีรายงานว่าคนพื้นเมืองในอินเดียใช้ลำต้นทำเป็นแปรงสีฟัน ช่วยเสริมสร้างเหงือกให้แข็งแรง หน่ออ่อนนำมาใช้ทำแกงและมีประโยชน์ในการฟอกเลือด รากและลำต้นใช้ป้องกันมะเร็ง แก้บิด และรักษาอาการปัสสาวะขัด เขืองใหญ่ยังใช้กินเป็นอาหารพื้นเมืองที่แพร่หลายมากในกลุ่มชนเหลายเผ่าของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และพบการศึกษาวิจัยว่าสารสกัดจากเขืองใหญ่มีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์และต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงมีรายงานว่าสารสกัดเขืองใหญ่ด้วยน้ำช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและลดไขมันในเลือดได้ดีด้วย

อ่านถึงบรรทัดนี้ ใครที่คิดว่าจะหาซื้อเขืองน้อยและเขืองใหญ่ในท้องตลาด ก็ขอแสดงความเสียใจด้วย แม้แต่ในตลาดบ้านๆ ตามชุมชนท้องถิ่นก็ยังหาไม่ได้ เพราะชาวบ้านที่รู้จักส่วนใหญ่จะหาเก็บมากินกันเองในครัวเรือน และจำนวนประชากรสมุนไพรทั้ง 2 ชนิดนี้มีจำนวนลดลงอย่างมากในธรรมชาติ มาชวนปลูกขยายพันธุ์ให้เพิ่มขึ้น

เขือง รสอาหารและรสยา ที่กำลังหายไป… คือ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นอาหารเพื่อสุขภาพและป้องกันโรคต่างๆ ได้ดี •



ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
3  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / ปลากะพงต้มกระวาน เมื่อ: 28 มิถุนายน 2568 10:20:36


ปลากะพงต้มกระวาน

ต้มกระวานเป็นเมนูพื้นบ้านของชาวเมืองจันท์ ตราด มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของกระวานจันทบูร รสชาติเปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ดแบบกลมกล่อม

เลือกวัตถุดิบได้ จะเป็นไก่บ้าน หรือปลา ก็นิยมกินกัน ไม่ว่าจะเป็นปลากระบอกหรือปลากะพง

กินกับข้าวสวยร้อนๆ หอมอร่อยมาก


ส่วนประกอบ
ปลากะพงสด, กระวานจันทบูร (หั่นแว่น หรือหั่นต้นอ่อนใส่ลงไปด้วย), ข่า, ตะไคร้, ใบมะกรูด, หอมแดง, พริกขี้หนูสวน, ผักชี, ผักชีฝรั่ง, น้ำมะขามเปียก, น้ำปลา, เกลือ


วิธีทำ
1. ตั้งหม้อต้ม ใส่น้ำเปล่าลงไป พอเดือด ใส่ข่า ตะไคร้ หอมแดง ใบมะกรูด และกระวานจันทบูร ต้มให้กลิ่นสมุนไพรออก

2. ใส่ปลากะพงลงไป รอให้เนื้อปลาเริ่มสุกโดยไม่คนแรง

3. ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลา และน้ำมะขามเปียก ชิมให้ได้รสเค็ม เปรี้ยว และหอมสมุนไพร

4. ใส่พริกขี้หนูบุบลงไป คนให้เข้ากันแล้วปิดไฟ

5. โรยหน้าด้วยผักชีและผักชีลาว

ตักใส่ชาม หรือหม้อไฟ ยกเสิร์ฟ กินกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยแน่นอน •



ที่มา มติขนสุดสัปดาห์
4  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / นกกระเรียน เมื่อ: 23 มิถุนายน 2568 12:54:48


นกกระเรียน

นกกระเรียนหรือว่านกเขียนในภาษาไทยถิ่นอีสานนั้น เคยสูญพันธุ์ไปจากบ้านเรามานานกว่า 50 ปีแล้ว โดยมีรายงานพบเห็นในธรรมชาติครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.2511 บริเวณชายแดนไทยติดประเทศกัมพูชาแถว ๆ จังหวัดสุรินทร์ ในคอลัมน์ ดาวเด่น Specimen ประจำวันนี้ แอดมินพาไปเยี่ยมชมกันที่ #พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยามหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งที่นี่นั้นมีนกกระเรียนที่เป็นตัวอย่างสตัฟฟ์จัดแสดงอยู่ด้วย

ไม่น่าเชื่อว่า ครั้งหนึ่ง นกน้ำขนาดใหญ่ชนิดนี้ จะเคยพบเห็นอยู่เป็นจำนวนมากในภาคอีสาน ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยบันทึกไว้เมื่อคราวเสด็จไปตรวจราชการหัวเมืองมณฑลอุดรกับมณฑลอีสานเมื่อปี พ.ศ.2448 ความว่า "เมื่อฉันเดินทางจากเมืองนครราชสีมาไป 2 วัน ถึงทุ่งมะค่า ก็เห็นฝูงนกกะเรียนทำรังอยู่มากมายอย่างเขาว่า พอมันเห็นคนหมู่ใหญ่ก็ตื่นพากันทิ้งรังบินหนีขึ้นไปร่อนอยู่เต็มท้องฟ้า ดูจำนวนนกนับด้วยหมื่น ไม่เคยเห็นมีที่ไหนเหมือน ในเมืองไทยนี้นกกะเรียนก็ไม่มีชุม เคยเห็นชินตาแต่ที่เขาจับเอามาเลี้ยงไว้ แต่นกกะเรียนเถื่อนมิใคร่จะได้เห็น จึงน่าพิศวงว่าไฉนนกกะเรียนนับหมื่นจึงพร้อมใจกันมาทำรังในทุ่งมะค่าและมาเสมอทุกปี"

แม้ว่าขอนแก่นจะไม่ใช่บ้านของนกกระเรียน แต่นกกระเรียนคู่ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่ #พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยามหาวิทยาลัยขอนแก่น แห่งนี้ เปรียบเสมือนตัวแทนของนกกระเรียนฝูงสุดท้ายแห่งภาคอีสานและสิ่งเตือนใจถึงความมุ่งมั่นพยายามในการฟื้นฟูประชากรด้วยการเพาะขยายพันธุ์นกกระเรียนตามธรรมชาติที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในประเทศกัมพูชาแล้วปล่อยคืนสู่พื้นที่ชุมน้ำตามธรรมชาติและสามารถอยู่ร่วมกันกับชาวบ้านและชุมชนในพื้นที่โดยทีมนักวิจัยสัตว์ป่าของสวนสัตว์โคราช ที่ได้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2533
. . .
ไม่แน่ว่าในวันหนึ่งข้างหน้า เราอาจจะไม่ต้องจินตนาการถึงฝูง "นกนับด้วยหมื่น" ตามบันทึกเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ผ่านตัวอย่างจัดแสดงที่มีอยู่แค่ในพิพิธภัณฑ์ แต่จะมีโอกาสได้เห็นจริง ๆ ในธรรมชาติ ก็เป็นได้



ที่มา พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา Natural History Museum
5  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / อุบัติเหต เที่ยวบิน 243 ของสายการบินอโลฮาแอร์ไลน์ เมื่อ: 19 มิถุนายน 2568 13:05:30

มุมมองด้านซ้ายของลำตัวเครื่องบินที่ฉีกขาด


รายงานการสอบสวน: ลูกศรชี้ไปที่เศษชิ้นส่วน S-4B ที่ติดอยู่ในแถบขอบด้านหน้า


อุบัติเหต เที่ยวบิน 243 ของสายการบินอโลฮาแอร์ไลน์


เที่ยวบิน 243 ของสายการบิน Aloha Airlines (IATA: AQ243, ICAO: AAH243) เป็นเที่ยวบินประจำ ของสายการบิน Aloha Airlines ระหว่างเมืองฮิโลและโฮโนลูลูในฮาวาย เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2531 เครื่องบินโบอิ้ง 737-297 ที่ให้บริการเที่ยวบินดังกล่าว ได้รับความเสียหายอย่างหนักหลังจากเกิดการคลายแรงดันระเบิดระหว่างเที่ยวบิน ซึ่งเกิดจากส่วนหนึ่งของลำตัวเครื่องบินแตกเนื่องจากการบำรุงรักษาที่ไม่ดีและความล้าของโลหะ เครื่องบินสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยที่สนามบิน Kahului บนเกาะเมานีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ Clarabelle "CB" Lansing พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ซึ่งถูกดีดออกจากเครื่องบิน ผู้โดยสารและลูกเรือ 65 คนได้รับบาดเจ็บ ความเสียหายอย่างมากที่เกิดจากการลดแรงดัน การสูญเสียลูกเรือ 1 คน และการลงจอดเครื่องบินอย่างปลอดภัย ทำให้อุบัติเหตุครั้งนี้กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การบิน โดยส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อนโยบายและขั้นตอนด้านความปลอดภัยในการบิน

กัปตัน โรเบิร์ต ชอร์นสไธเมอร์ วัย 44 ปี เป็นผู้บังคับบัญชาเครื่องบินที่มีประสบการณ์และมีชั่วโมงบิน 8,500 ชั่วโมง โดย 6,700 ชั่วโมงบินในเครื่องบินรุ่นโบอิ้ง 737 นักบินคนแรกคือแมเดลีน "มิมิ" ทอมป์กินส์ วัย 36 ปี ซึ่งมีประสบการณ์การบินเครื่องบินรุ่น 737 อย่างมากเช่นกัน โดยบันทึกชั่วโมงบิน 3,500 ชั่วโมงจากทั้งหมด 8,000 ชั่วโมงในเครื่องบินรุ่นดังกล่าว


อุบัติเหตุเที่ยวบิน 243 ออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติฮิโล เวลา 13:25 น. HST  ของวันที่ 28 เมษายน 1988 โดยมีลูกเรือ 5 คนและผู้โดยสาร 90 คนอยู่บนเครื่อง (ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศที่เดินทางบนที่นั่งเสริมในห้องนักบิน) มุ่งหน้าสู่โฮโนลูลู  ไม่มีอะไรผิดปกติที่สังเกตเห็นระหว่างการตรวจสอบก่อนออกเดินทางของเครื่องบิน ซึ่งได้ทำการบินไปกลับ 3 เที่ยวบินจากโฮโนลูลูไปยังฮิโล เมาอิ และเกาะคาไวแล้วก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน โดยทั้งหมดไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น มีการตรวจสอบสภาพอุตุนิยมวิทยา แต่ไม่มีการรายงานคำเตือนเกี่ยวกับปรากฏการณ์สภาพอากาศตลอดเส้นทางการบิน ตามรายงานของ AIRMETs หรือ SIGMETs

หลังจากขึ้นบินตามปกติ เมื่อเครื่องบินไปถึงระดับความสูงปกติที่ 24,000 ฟุต (7,300 ม.) เมื่อเวลา 13:46 น. ประมาณ 23 ไมล์ทะเล (43 กม.; 26 ไมล์) ทางทิศใต้-ตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะคาฮูลูบนเกาะเมาอิ หลังคาบางส่วนด้านซ้ายแตกออกพร้อมเสียง "วูบวาบ" กัปตันรู้สึกว่าเครื่องบินหมุนไปทางซ้ายและขวา และระบบควบคุมก็หลวม นักบินคนแรกสังเกตเห็นชิ้นส่วนฉนวนสีเทา "ลอยอยู่ในห้องนักบิน" ประตูห้องนักบินแตกออก และกัปตันมองเห็น "ท้องฟ้าสีฟ้าซึ่งเคยเป็นเพดานชั้นเฟิร์สคลาส"  หลังคาส่วนใหญ่ฉีกขาดออก ประกอบด้วยผิวเครื่องบิน ครึ่งบนทั้งหมด ที่ทอดยาวจากด้านหลังห้องนักบินไปจนถึงบริเวณปีกหน้า ยาวประมาณ 18 ฟุต (5.5 ม.)

มุมมองด้านซ้ายของลำตัวเครื่องบินที่ฉีกขาด ผู้เสียชีวิตรายเดียวคือ Clarabelle "CB" Lansing หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินวัย 58 ปี ซึ่งเป็นทหารผ่านศึกที่ทำงานมา 37 ปี โดยเธอถูกพัดออกจากเครื่องบินขณะยืนอยู่ใกล้ที่นั่งแถวที่ 5 และไม่พบศพของเธออีกเลย  มีผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 8 ราย รวมถึงพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน 1 ราย โดยผู้โดยสาร 57 รายเป็นผู้โดยสารเล็กน้อย  ผู้โดยสารทั้งหมดอยู่ในที่นั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยระหว่างการลดความดันอากาศ

เจ้าหน้าที่คนแรกทอมป์กินส์เป็นนักบินที่บินในขณะเกิดอุบัติเหตุ กัปตันชอร์นสไทเมอร์เข้ามาควบคุมและทำการร่อนลงฉุกเฉินทันที  ลูกเรือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและเปลี่ยนเส้นทางไปที่สนามบินคาฮูลุยเพื่อลงจอดฉุกเฉินระหว่างที่เข้าใกล้สนามบิน เครื่องยนต์ด้านซ้ายขัดข้อง และลูกเรือไม่แน่ใจว่าขาตั้งหน้าเครื่องถูกลดระดับลงอย่างถูกต้องหรือไม่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถลงจอดบนรันเวย์ 2 ได้ตามปกติ 13 นาทีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ เมื่อลงจอดสไลด์อพยพฉุกเฉินของเครื่องบินก็ถูกนำไปใช้ และผู้โดยสารก็อพยพออกจากเครื่องบินอย่างรวดเร็ว มีรายงานว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 65 คน โดย 8 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในเวลานั้น เกาะเมานีไม่มีแผนรองรับเหตุฉุกเฉินประเภทนี้ ผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยรถตู้ทัวร์ของ Akamai Tours ซึ่งขับโดยเจ้าหน้าที่สำนักงานและช่างเครื่อง เนื่องจากเกาะแห่งนี้มีรถพยาบาลเพียง 2 คัน กองควบคุมการจราจรทางอากาศได้ส่งวิทยุไปที่ Akamai และขอให้รถตู้โดยสาร 15 คันของพวกเขาไปส่งผู้บาดเจ็บที่สนามบิน (ซึ่งอยู่ห่างจากฐานทัพของพวกเขา 3 ไมล์ (4.8 กม.)) ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คนขับรถของ Akamai สองคนเคยเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาลฉุกเฉิน และได้จัดตั้งแผนกคัดแยก ผู้ป่วย บนรันเวย์

ควันหลง รายงานการสอบสวน: ลูกศรชี้ไปที่เศษชิ้นส่วน S-4B ที่ติดอยู่ในแถบขอบด้านหน้า

เครื่องบินได้รับความเสียหายเพิ่มเติมรวมถึงเสาค้ำแนวนอนที่ชำรุดและบุบ ซึ่งทั้งสองส่วนถูกเศษวัสดุที่กระเด็นมากระแทก เศษโลหะบางส่วนยังกระแทกเสาค้ำแนวตั้งด้วย ทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อย ขอบด้านหน้าของปีกทั้งสองข้างและฝาครอบเครื่องยนต์ทั้งสองข้างก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน เครื่องบินได้รับความเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ จึงถูกรื้อถอนในสถานที่และถูกขายทอดตลาด

ไม่พบชิ้นส่วนลำตัวเครื่องบินที่ปลิวออกจากเครื่องบิน การสอบสวนของคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติของ สหรัฐอเมริกา (NTSB) สรุปว่าอุบัติเหตุดังกล่าวเกิดจากความล้าของโลหะซึ่งรุนแรงขึ้นจากการกัดกร่อนตามรอยแยกเครื่องบินมีอายุ 19 ปีและใช้งานในสภาพแวดล้อมชายฝั่งซึ่งสัมผัสกับเกลือและความชื้น

ระหว่างการสัมภาษณ์ เกล ยามาโมโตะ ผู้โดยสารบอกกับผู้สอบสวนว่าเธอสังเกตเห็นรอยแตกร้าวที่ลำตัวเครื่องบินเมื่อขึ้นเครื่อง แต่ไม่ได้แจ้งให้ใครทราบ

ในปีพ.ศ.2538 สวนแห่งหนึ่งในอาคารผู้โดยสาร 1 ของสนามบินนานาชาติโฮโนลูลูได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแลนซิง




เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเที่ยวบินที่ 243 (N73711) ของสายการบิน Aloha Airlines




เส้นทางเที่ยวบิน 243: สีแดง – บินจริง รวมถึงการลงจอดฉุกเฉินที่เกาะเมานี สีน้ำเงิน – แผนการบินเดิมที่เหลือ


6  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / Re: เครื่องรางของขลัง เมื่อ: 19 มิถุนายน 2568 12:42:42


ลูกอมมหากัณฑ์ หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม

พระอุปัชฌาย์คง หรือ หลวงพ่อคง ธัมมโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดบางกะพ้อม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

เป็นพระเกจิอาจารย์ลุ่มแม่น้ำแม่กลองอีกรูปที่มีวัตรปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาไม่แพ้ หลวงพ่อแก้ว พรหมสโร วัดพวงมาลัย

วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังทุกรุ่นได้รับความนิยม เป็นที่ต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะเหรียญรุ่นแรก พ.ศ.2484

แต่เครื่องรางที่นับว่าโดดเด่นและเป็นที่รู้จักกันอย่างดี คือ “ลูกอมมหากัณฑ์”

สร้างด้วยเนื้อผงสีขาวผสมด้วยผงดินสอพองที่เขียนจารลงบนแผ่นกระดานชนวน ลบและเก็บรวบรวมไว้นำมาคลุกเคล้าปั้นเป็นลูกอม มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ไม่แน่นอน

ที่สำคัญจารอักขระขอมตัวนะ ไว้เพียงตัวเดียวในกระดาษสา ม้วนแบบตะกรุดแล้วจึงนำเนื้อผงที่เตรียมไว้มาหุ้มแล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ

ลูกอมนี้ มักเรียกกันว่า “ลูกอมมหากัณฑ์” เชื่อว่ามีความพิเศษ คงกระพันชาตรีนั้นเป็นที่หนึ่ง ของแหลมไม่ได้กินเลือด แม้แต่สุนัขก็กัดไม่เข้า เรื่องเมตตามหานิยมดีเยี่ยม มีประสบการณ์มาก

เวลาจะให้ลูกอมใคร จะสอนก่อนทุกคน ให้เป็นคนดีมีศีลธรรม ห้ามนำไปใช้ในทางที่ผิด คดโกงหรือไปปล้นไปลักของใคร ห้ามผิดลูกผิดเมียใครเด็ดขาด ทุกคนที่ได้ไปก็จะรับปากทุกคน แต่ก็มีบางคนที่ไปทำผิด ก็จะรู้ได้ทันที เนื่องจากลูกอมนั้นจะแตกออกหรือไม่ก็หายไปจากตัวและกลับมาอยู่ที่กุฏิที่หน้าหิ้งบูชาวัดบางกะพ้อม

อาจารย์เภา ลูกศิษย์อีกคน เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งได้ไปกราบวันก่อนกลับมา 2 หน่วย หมายถึงลูกอมที่ให้ลูกศิษย์ไปแล้วไปทำผิด จึงกลับมาหาหลวงพ่อคง และก็มีบางรายเมื่อลูกอมแตกหรือหายไป กลับมากราบและขอลูกอมลูกใหม่ แต่ก็จะไม่ให้อีกเลย และจะบอกกับผู้นั้นว่า “รอไปก่อนนะจ๊ะ ให้มีความประพฤติดีเสียก่อน จึงค่อยมาเอาใหม่”

ลูกอมมีลักษณะเนื้อผงสีขาวธรรมดา คนที่ได้ไปบางคนก็ใช้อมในปากอย่างนั้นเลย บางคนก็นำไปถักเชือกลงรักถักหูเพื่อห้อยคอ ในสมัยก่อนหาเช่าก็ยังไม่แพงนัก ปัจจุบันหาแท้ยากมาก



หลวงพ่อคง ธัมมโชโต วัดบางกะพ้อม

อัตโนประวัติ เกิดในสกุล จันทร์ประเสิรฐ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2407 ณ ต.บางสำโรง อ.บางคนที จ.สุมทรสงคราม

บิดา-มารดา ชื่อ นายเกตุ และนางทองอยู่ จันทร์ประเสิรฐ

เล่ากันว่าเกิดในเรือนแพ ซึ่งมีความเชื่อกันว่า ถ้าใครถือกำเนิดในห้องเล็กที่ใต้เรือนแพ จะต้องเป็นผู้ชายและครองสมณเพศเป็นพระภิกษุตลอดชีวิต โดยบิดา-มารดาซื้อเรือนนี้มาอีกทอดหนึ่ง

พออายุได้ 12 ปี บรรพชาที่วัดเหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ระหว่างเป็นสามเณรมีความสนใจในวิชาเมตตามหานิยม

กระทั่งอายุได้ 19 ปี ลาสิกขาเพื่อไปช่วยครอบครัวประกอบอาชีพ

ครั้นเมื่อมีอายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดเหมืองใหม่ เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือนสิงหาคม 2427 มีพระอาจารย์ด้วง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการจุ้ย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการทิม วัดเหมืองใหม่ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ธัมมโชโต แปลว่า ผู้รุ่งเรืองในธรรม

จำพรรษาอยู่ที่วัดเหมืองใหม่ คอยอุปัฏฐากรับใช้พระอุปัชฌาย์ ด้วยอุปนิสัยที่รักการศึกษาเล่าเรียน ศึกษาเล่าเรียนทั้งทางคันถธุระ วิปัสสนาธุระ กับพระอุปัชฌาย์เป็นพื้นฐาน ต่อมาได้ไปศึกษากับพระเถระชื่อดังในยุคนั้นอีกหลายรูป

ได้ศึกษาคัมภีร์มูลกัจจายน์ ซึ่งเป็นตำราเรียนบาลีไวยากรณ์ในสมัยโบราณ กับอาจารย์นก ซึ่งเป็นอุบาสกในละแวกนั้นเป็นเวลา 13 ปี จนมีความคล่องแคล่วสามารถแปลธรรมบทตลอดจนคัมภีร์ต่างๆ ได้

นอกจากนี้ ยังสนใจการศึกษาวิทยาคม โดยร่ำเรียนกับพระเกจิชื่อดัง เริ่มแรกศึกษาคัมภีร์นี้กับพระอาจารย์ด้วง ซึ่งท่านเชี่ยวชาญการลบผงวิเศษ เป็นที่นับถือในสมัยนั้น ต่อมาเล่าเรียนกับหลวงพ่อตาด วัดบางวันทอง พระเถระผู้ที่มีวิทยาคมอันแก่กล้า โดยเฉพาะวิชานะปัดตลอด

อีกทั้งยังได้ไปศึกษากับหลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก ผู้เชี่ยวชาญในพระกัมมัฏฐาน

ในพรรษา 19 เกิดอาพาธ จึงหยุดพักผ่อน หันมาสอนสมถะกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานให้กับลูกศิษย์ลูกหา

เอาใจใส่การดูแลก่อสร้างเสนาสนะ เนื่องจากมีฝีมือในเชิงช่าง ในเบื้องต้นซ่อมแซมหอไตรที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมให้มีสภาพที่ดีขึ้น พร้อมกันนั้นก็ปั้นพระป่าเลไลย์ด้วยฝีมือของท่านเอง

จนกระทั่งพรรษาที่ 21 ในปี พ.ศ.2448 ชาวบ้านใน ต.บางกะพ้อม อาราธนามาเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งในขณะนั้นวัดบางกะพ้อมไม่มีสมภารปกครองวัด และวัดก็อยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม

ฟื้นฟูบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุภายในวัดซึ่งชำรุดทรุดโทรม ด้วยท่านมีฝีมือในการพัฒนาเป็นทุนเดิม จึงทำให้การสร้างความเจริญให้แก่วัดสำเร็จลุล่วงในเวลาอันสั้น

พ.ศ.2464 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลบางกะพ้อม และแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

แม้จะมีภาระงานปกครองวัด แต่ในเดือน 4 ของทุกปี จะไปปักกลดในป่าช้าข้างวัดเป็นเวลาราว 1 เดือน เรียกกันว่า รุกขมูลข้างวัด ชำระจิตใจให้สะอาด หลังจากยุ่งกับเรื่องราวทางโลกเกือบตลอดทั้งปี

ช่วงบั้นปลายชีวิตอาพาธด้วยโรคชรา เนื่องจากมีงานอยู่หลายอย่างต้องทำ ด้วยเป็นกิจของสงฆ์ ทั้งานการสร้างพระพุทธรูป การสร้างวัตถุมงคล ทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อน

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2486 ขณะนั่งร้านเพื่อตกแต่งพระขนงพระพุทธรูปประธานองค์ใหม่ เมื่อสวมพระเกตุพระประธานแล้วเสร็จ ก็เกิดอาการหน้ามืด คล้ายจะเป็นลม แต่มีสติดี เอามือประสานในอิริยาบถนั่งสมาธิจนหมดลมถึงแก่มรณภาพในอาการอันสงบ

คณะศิษย์เห็นนั่งอยู่นาน จึงประคองร่างลงมาจากนั่งร้าน จึงรู้ว่ามรณภาพไปแล้ว

สิริอายุ 78 ปี พรรษา 58 •
....มติชนสุดสัปดาห์ (ที่มา)
7  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: อารยธรรมโลกโบราณ เมื่อ: 19 มิถุนายน 2568 11:22:21






ภาชนะใส่ไวน์ - Kovsh 1896–1906
House of Faberge (รัสเซีย 1842–1918)
ช่างฝีมือ: เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของ ฟีโอดอร์ อิวาโนวิช รัคเคิร์ต (Feodor Ivanovich Ruckert) (รัสเซีย 1840–1917)
เคลือบเงิน เคลือบอีนาเมล อัญมณีทรงคาโบชอง คริสโซเพรส คาร์เนเลียน
ขนาดโดยรวม : 8.3 x 20.4 x 12.7 ซม. (3 1/4 x 8 1/16 x 5 นิ้ว)





เสื้อคลุมอียิปต์อายุกว่า 4,500 ปี

ใต้ผืนทรายแห่งกาลเวลา ซึ่งครั้งหนึ่งฟาโรห์เคยครองราชย์และแม่น้ำไนล์หล่อเลี้ยงอาณาจักร มีสิ่งล้ำค่าที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้น นั่นคือเสื้อคลุมอียิปต์อายุกว่า 4,500 ปี ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีและเป็นความลับของอารยธรรมโบราณ เสื้อคลุมที่เรียบง่ายแต่ประณีตนี้แตกต่างจากอนุสรณ์สถานอันยิ่งใหญ่หรือโลงศพทองคำ เพราะสามารถมองย้อนกลับไปถึงชีวิตประจำวันของอาณาจักรโบราณได้อย่างใกล้ชิด เผยให้เห็นถึงสัมผัสของมนุษย์ที่มักจะสูญหายไปในความยิ่งใหญ่ของพีระมิด

เสื้อคลุมทอจากผ้าลินินชั้นดีซึ่งเป็นสิ่งทออันล้ำค่าของอียิปต์ แสดงให้เห็นถึงทักษะและความซับซ้อนของงานฝีมืออียิปต์ยุคแรก ผ้าลินินซึ่งได้มาจากต้นแฟลกซ์นั้นไม่เพียงแต่มีมากมายเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับความร้อนระอุของทะเลทรายด้วย เนื่องจากระบายอากาศได้ดีและมีเนื้อผ้าที่เบาสบาย การผลิตที่พิถีพิถันของเสื้อคลุมนี้ซึ่งทออย่างประณีตและรูปทรงที่ตัดเย็บอย่างประณีต แสดงให้เห็นว่าเสื้อคลุมนี้น่าจะเคยประดับประดาบุคคลที่มีสถานะสูง ซึ่งอาจเป็นเจ้าหน้าที่หรือชนชั้นสูงที่เดินผ่านในราชสำนักของเมืองเมมฟิสในสมัยโบราณ

เสื้อคลุมเป็นมากกว่าเสื้อผ้า เพราะเปรียบเสมือนแคปซูลเวลาแห่งสิ่งทอ เสื้อคลุมแสดงให้เห็นถึงความชำนาญในการทอผ้าของชาวอียิปต์ ก่อนที่เครื่องทอผ้าแบบใช้เครื่องจักรจะถือกำเนิดขึ้น และยังแสดงให้เห็นถึงความรู้ด้านสีย้อมและการประกอบเสื้อผ้าในยุคแรกๆ แม้ว่าการออกแบบจะดูเรียบง่าย แต่การอนุรักษ์และฝีมือการตัดเย็บก็บ่งบอกถึงคุณค่าของสังคม ความชอบด้านสุนทรียศาสตร์ และโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการผลิตสิ่งทอในอาณาจักรที่ยืนยาวที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบัน เสื้อคลุมโบราณนี้ถูกเก็บรักษาไว้ภายใต้สภาพพิพิธภัณฑ์ที่ควบคุมอย่างเข้มงวด ทำหน้าที่เป็นสายสัมพันธ์ที่เปราะบางแต่ลึกซึ้งกับอดีตอันไกลโพ้น เสื้อคลุมเป็นเครื่องพิสูจน์ไม่เพียงแต่ความเฉลียวฉลาดทางเทคนิคของชาวอียิปต์เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสไตล์ สถานะ และเอกลักษณ์ของพวกเขาอีกด้วย เสื้อคลุมมีเรื่องราวชีวิต การทำงาน และมรดกตกทอด ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เตือนเราว่าเบื้องหลังความสำเร็จของอารยธรรมทุกแห่งคือชีวิตประจำวันและเครื่องแต่งกายของผู้คน





ตั๊กแตนตำข้าวอายุกว่า 30 ล้านปีถูกเก็บรักษาไว้ในอำพันที่ค้นพบในสาธารณรัฐโดมินิกัน ชิ้นงานที่กล่าวถึงนี้มีอายุย้อนไปถึงยุคโอลิโกซีน โดยระบุว่ามีอายุประมาณ 23 ล้านถึง 33.9 ล้านปี อำพันนี้ได้มาจาก Hymenaea protera ซึ่งเป็นต้นไม้ตระกูลถั่วในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว อำพันส่วนใหญ่ที่พบในอเมริกากลางและอเมริกาใต้มาจากเรซินของต้นนี้ อำพันจากสาธารณรัฐโดมินิกันเรียกว่าเรซินของโดมินิกัน ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความใส
8  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / ลัทธิอนุตตรธรรม เมื่อ: 17 มิถุนายน 2568 13:21:53


ลัทธิอนุตตรธรรม

ลัทธิอนุตตรธรรม หรือเรียกตนเองว่า วิถีอนุตตรธรรม เป็นศาสนาที่หวัง เจฺว๋อี ก่อตั้งขึ้นในประเทศจีนสมัยราชวงศ์ชิงเมื่อปี ค.ศ.1877 คำสอนเป็นการผสานความเชื่อระหว่างลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า และศาสนาพุทธแบบจีน ทั้งยังยอมรับขนบที่มาจากต่างประเทศ เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามด้วย

ลัทธิอนุตตรธรรมเกิดขึ้นและแพร่หลายที่จีนแผ่นดินใหญ่ ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ลัทธิอนุตตรธรรมถูกรัฐบาลกวาดล้างอย่างหนัก จึงย้ายไปเผยแผ่ที่ประเทศไต้หวันตั้งแต่ปี ค.ศ.1946 ในปัจจุบันถือเป็นศาสนาที่มีศาสนิกชนมากที่สุดเป็นอันดับสามในไต้หวัน (รองจากศาสนาพุทธและศาสนาเต๋า) ในประเทศจีนลัทธินี้ยังไม่ได้รับการยอมรับ ส่วนไต้หวันได้รับรองในปี ค.ศ.1987

ปัจจุบันลัทธิอนุตตรธรรมมีศาสนิกชนมากกว่า 10 ล้านคน ใน 86 ประเทศทั่วโลก

ประวัติ แม้ผู้นับถือลัทธิอนุตตรธรรมจะเชื่อว่าธรรมะของตนสืบมาจากศาสนาพุทธนิกายเซน แต่ในทางวิชาการประวัติศาสตร์ถือว่าลัทธิอนุตตรธรรมแยกตัวมาจากลัทธิเซียนเทียนเต้า ซึ่งลัทธิเซียนเทียนเต้าสืบคำสอนมาจากลัทธิบัวขาวและลัทธิหลัว

ลัทธิบัวขาวเกิดขึ้นสมัยราชวงศ์หยวน ต่อมาถูกทางการกล่าวหาว่าบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ จึงถูกกวาดล้างอย่างหนักจนต้องปฏิบัติการเป็นองค์กรใต้ดิน ต่อมาหวง เต๋อฮุย ได้ตั้งลัทธิเซียนเทียนเต้าโดยการผสานความเชื่อของลัทธิบัวขาวกับลัทธิหลัวเข้าด้วยกัน และประกาศตนเป็นธรรมาจารย์รุ่นที่ 9 โดยสืบมาจากนิกายเซน เน้นวัตรปฏิบัติเน้นเรื่องการกินเจ การถือพรต

ต่อมาหวัง เจฺว๋อี สาวกลัทธิเซียนเทียนเต้า ได้แยกออกไปตั้งสำนักใหม่ที่เมืองชิงโจวบ้านเกิดของตน ชื่อสำนักตงเจิ้น (จีน: 東震堂) ปี ค.ศ.1877 หวัง เจว๋อีอ้างว่าได้รับอาณัติแห่งสวรรค์จากพระแม่องค์ธรรมแต่งตั้งให้เป็นธรรมาจารย์รุ่นที่ 15 เขาเน้นคำสอนของลัทธิขงจื๊อเป็นหลัก สำนักของหวังเริ่มเป็นที่แพร่หลาย ทำให้ทางการราชวงศ์ชิงระแวงว่าจะก่อกบฏ จึงดำเนินการปราบปรามสำนักนี้อย่างหนัก เมื่อหวัง เจว๋อี ถึงแก่กรรมแล้ว หลิว ชิงซฺวีศิษย์ของเขาได้ปกครองสำนักต่อแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการปราบปรามทางการ เขาจึงเปลี่ยนชื่อสำนักเป็นอีก้วนเต้า ในปี ค.ศ.1882 (ในประเทศไทยเรียกว่าวิถีอนุตตรธรรม)

ตำแหน่งธรรมาจารย์ได้สืบทอดมาจนถึงสมัยของจาง เทียนหรัน ธรรมาจารย์รุ่นที่ 18 เขาได้ย้ายศูนย์กลางของลัทธิไปที่เมืองเทียนจินในปี ค.ศ.1935 เมื่อญี่ปุ่นเข้ารุกรานจีน สาวกหลายคนของลัทธิได้เข้าสนับสนุนญี่ปุ่น จึงทำให้ลัทธินี้รุ่งเรืองมากขึ้นในพื้นที่ที่ญี่ปุ่นยึดครอง กองทัพจีนของพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งร่วมกันต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น จึงปราบปรามลัทธิอนุตตรธรรมด้วย จางเปลี่ยนชื่อลัทธิกลับไปเป็น "เทียนเต้า" เมื่อปี ค.ศ.1940 และได้ใช้ทั้งสองชื่อสืบมาจนปัจจุบัน เมื่อเทียนหรันถึงแก่กรรมแล้วซุน ฮุ่ยหมิง ธรรมาจารย์รุ่นที่ 18 อีกคนหนึ่งก็ปกครองสำนักต่อมา แต่ลัทธิยังคงถูกปราบปรามอย่างหนักจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี ค.ศ.1951 ส่งผลให้ลัทธิอนุตตรธรรมหมดไปจากประเทศจีนโดยสิ้นเชิงในปลายทศวรรษนั้น ลัทธิอนุตตรธรรมจึงต้องย้ายไปเผยแผ่ที่ประเทศไต้หวัน ต่อมาจึงแพร่หลายในชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศต่าง ๆ และประชาชนพื้นเมืองในประเทศนั้นจนปัจจุบัน


สิ่งศักดิ์สิทธิ์หลักหลายองค์ผู้โปรดสามโลกตามความเชื่อของลัทธิอนุตตรธรรม ลัทธิอนุตตรธรรมนับถือสิ่งศักดิ์หลายองค์โดยมีพระเป็นเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญตามความเชื่อของลัทธิอนุตตรธรรมได้แก่

หมิงหมิงซั่งตี้ (จีน: 明明上帝) หรือพระแม่องค์ธรรม คือพระเป็นเจ้าพระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง
หมีเล่อกู่ฝอ (จีน: 彌勒古佛) หมายถึง พระศรีอริยเมตไตรย พระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้าย ได้รับพระโองการจากพระแม่องค์ธรรมให้ปกครองธรรมกาลยุคขาว
หนันไห่กู่ฝอ (จีน: 南海古佛) หมายถึง พระโพธิสัตว์กวนอิม
ตี้จั้งกู่ฝอ (จีน: 地藏古佛) หมายถึง พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ผู้โปรดสรรพสัตว์ในนรกภูมิ
จี้กงหัวฝอ (จีน: 濟公活佛) หมายถึง พระจี้กง
เอวี้ยฮุ่ยผูซ่า (จีน: 月慧菩薩) หมายถึง พระจันทรปัญญาโพธิสัตว์
กวนเซิ่งตี้จวิน (จีน: 關聖帝君) หมายถึง เทพเจ้ากวนอู เชื่อว่าปัจจุบันดำรงตำแหน่งเง็กเซียนฮ่องเต้

ไตรรัตน์  ลัทธิอนุตตรธรรมเชื่อว่า อนุตตรธรรม คือ สิ่งวิเศษสุด 3 อย่าง เรียกว่า ไตรรัตน์ ซึ่งไม่ใช่พระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนา แต่หมายถึง

จุดญาณทวาร (จีน: 玄關竅) คือตำแหน่งเหนือดั้งจมูก ตรงกลางระหว่างคิ้ว โดยเชื่อว่าจุดนี้เป็นที่สถิตของวิญญาณ วิญญาณเข้ามาในร่างกายทางจุดนี้ และเมื่อตายก็จะออกจากร่างกายทางจุดนี้เช่นกัน ถือเป็นประตูสู่นิพพาน เมื่อเตี่ยนฉวนซือเปิดจุดนี้ในพิธีรับธรรมแล้วจะทำให้ผู้นั้นบรรลุธรรมได้ง่าย
สัจจคาถา (จีน: 口訣) มี 5 คำ คือ "อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ" (จีน: 無太佛彌勒) ถือเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เป็นความลับของสวรรค์ ห้ามจดบันทึก ห้ามนำไปบอกต่อ เมื่อเผชิญภัยอันตรายท่องคาถานี้แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้พ้นอันตรายและวิบากกรรมต่าง ๆ ได้
ลัญจกร (จีน: 合同) โดยเอาปลายนิ้วโป้งขวาจรดโคนนิ้วนางขวาค้างไว้ แล้วนำปลายนิ้วโป้งซ้ายมากดที่โคนนิ้วก้อยขวา จากนั้นโอบมือเข้าหากันโดยให้มือซ้ายทับขวา เป็นท่าห่อประสานมือให้มีลักษณะเหมือนรากบัว เชื่อว่าการประสานมือแบบนี้เป็นสัญลักษณ์การไหว้ยุคพระศรีอริยเมตไตรยหรือธรรมกาลยุคขาว

ไตรรัตน์ข้างต้นนี้จะเปิดเผยได้โดยผู้ที่ได้รับอาณัติสวรรค์จากพระแม่องค์ธรรมเท่านั้น และจะถ่ายทอดให้เฉพาะบุคคลที่รับอนุตตรธรรมในพิธีถ่ายทอดเบิกธรรม (จีน: 辦道禮節 ปั้นเต้าหลี่เจี๋ย) ซึ่งจะดำเนินพิธีเป็นความลับ ไม่เปิดเผยให้คนนอกรับรู้ ผู้ที่รู้แล้วจะห้ามนำไปเปิดเผยต่อ เพราะเชื่อว่าจะถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษ

พงศาธรรม พระธรรมาจารย์ในพงศาธรรมของลัทธิอนุตตรธรรม มีด้วยกันทั้งหมด 64 รุ่น ซึ่งสอดคล้องกับอัฏฐลักษณ์ (ปากั้ว) ที่พระเจ้าฝูซีได้ทำกำหนดไว้ และพระเจ้าโจวเหวินได้ค้นพบ

ผู้นับถืออนุตรธรรมเชื่อว่าวิถีอนุตตรธรรมสืบสายชีพจรธรรมมาจากสามศาสนาหลัก คือศาสนาพุทธ ศาสนาขงจื๊อ และศาสนาเต๋า มีการสืบสายบรรพจารย์ตั้งแต่พระอริยเจ้าฝูซี ท่านเสินหนง พระเจ้าเหยา พระเจ้าซุ่น เล่าจื๊อ ขงจื๊อ เม่งจื๊อ ตลอดจนพระมหากัสสปะ พระโพธิธรรม ฮุ่ยเหนิง ซึ่งเป็นสังฆปรินายกของนิกายเซน อย่างไรก็ตามความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้สอดคล้องกับพระไตรปิฎกในพระพุทธศาสนา

ลัทธิอนุตตรธรรมได้แบ่งพงศาธรรมออกเป็นสามยุคตามความเชื่อที่มีมาตั้งแต่ลัทธิบัวขาว ดังนี้

ธรรมกาลยุคเขียว ธรรมะถ่ายทอดสู่กษัตริย์ (พระทีปังกรพุทธเจ้าปกครองธรรมกาล)

ธรรมาจารย์ 18 รุ่น ก่อน พ.ศ. 2189 ปี กษัตริย์ 11 รุ่น เจ้าเมือง 7 รุ่น
1. พระอริยเจ้าฝูซี
2. พระอริยเจ้าเสินหนง
3. พระอริยเจ้าเซียนเอวี๋ยน
4. พระอริยเจ้าเส้าเฮ่า
5. พระอริยเจ้าจวนซวี้
6. พระอริยเจ้าตี้คู่
7. พระอริยเจ้าเหยา
8. พระอริยเจ้าซุ่น
9. พระอริยเจ้าอวี่
10. พระเจ้าอีหยิ่น
11. พระเจ้าซังทัง
12. เจียง ไท่กง
13. พระเจ้าโจวเหวิน
14. จอมปราชญ์เล่าจื๊อ (ศาสดาแห่งศาสนาเต๋า)
15. จอมปราชญ์ขงจื๊อ (ศาสดาแห่งลัทธิขงจื๊อ)
16. ปราชญ์เอี๋ยนจื่อ / เจิงจื่อ
17. ปราชญ์จื่อซื่อ
18. ปราชญ์เม่งจื๊อ

สิ้นสุดการสืบทอดวิถีธรรมในแผ่นดินจีน ธรรมะแอบแฝงซ่อนเร้นในประเทศจีน เริ่มต้นยุคแดงในประเทศอินเดีย

ธรรมกาลยุคแดง ธรรมะถ่ายทอดสู่พระนักบวชและปัญญาชน (พระศากยมุนีพุทธเจ้าปกครองธรรมกาล)
ในอินเดีย 28 รุ่น ก่อน พ.ศ.45 ปี ลัทธิอนุตตรธรรมนำแนวคิดนี้มาจากสายสังฆปริณายกในนิกายเซน สังฆปริณายกนิกายเซนในอินเดียทั้ง 28 รุ่น มีดังนี้

19. พระมหากัสสปะ
20. พระอานนท์
21. พระศาณกวาสะเถระ
22. พระอุปคุปตเถระ
23. พระธฤฏกะเถระ
24. พระมิจฉกะเถระ
25. พระวสุมิตรเถระ
26. พระพุทธนันทิเถระ
27. พระพุทธมิตรเถระ
28. พระปารัสวะเถระ
29. พระปุณยยศะเถระ
30. พระอัศวโฆษะ
31. พระกปิมลเถระ
32. พระนาคารชุนะ
33. พระกาณเทพเถระ
34. พระราหุลตาเถระ
35. พระสังฆนันทิเถระ
36. พระคยาศตะเถระ
37. พระกุมารตะเถระ
38. พระชยัตะเถระ
39. พระวสุพันธุเถระ
40. พระมโนรหิตะเถระ
41. พระหกเลนเถระ
42. พระอารยะสิงหะเถระ
43. พระวสิอสิตะเถระ
44. พระปุณยมิตรเถระ
45. พระปรัชญาตารเถระ
46. พระโพธิธรรมเถระ

สิ้นสุดการสืบทอดวิถีธรรมในประเทศอินเดีย การสืบทอดพงศาธรรมกลับสู่แผ่นดินจีนอีกครั้ง พระโพธิธรรม (ตั๊กม้อ) เดินทางสู่แผ่นดินจีนเพื่อสืบทอดพงศาธรรม

ธรรมกาลยุคแดง ตะวันตกตอนสอง ธรรมะถ่ายทอดสู่พระนักบวชและปัญญาชน (พระศากยมุนีพุทธเจ้าปกครองธรรมกาล)

ธรรมะกลับสู่แผ่นดินจีน 16 รุ่น พ.ศ.1050 พระภิกษุ 6 รุ่น ฆราวาส 10 รุ่น ลัทธิอนุตตรธรรมผสมสายสังฆปริณายกของนิกายเซนในประเทศจีนกับสายธรรมาจารย์ของลัทธิเซียนเทียนเต้า ดังนี้

47. พระโพธิธรรม (ตั๊กม้อ) ธรรมะสืบทอดสู่ประเทศจีนอีกครั้งในรัชสมัยของจักรพรรดิเหลียงอู่ (ราชวงศ์เหลียง)
48. พระภิกษุเสินกวง
49. พระภิกษุเซิงซั่น
50. พระภิกษุเต้าซิ่น
51. พระภิกษุหงเหริ่น
52. พระภิกษุฮุ่ยเหนิง (จู่ซือองค์สุดท้ายของนิกายเซน การส่งมอบบาตร จีวร และสังฆาฏิของพระพุทธเจ้ายุติลง)
53. นักพรตไป๋ อวี้ฉัน และนักพรตหลัว เวียฉวิน (นักพรตเต๋า)
54. นักพรตหลัว เว่ยฉวิน (นักพรตเต๋า)
55. พระบรรพจารย์หวง เต๋อฮุย (ผู้ก่อตั้งลัทธิเซียนเทียนเต้า)
56. พระบรรพจารย์อู๋ จื่อเสียง
57. พระบรรพจารย์เหอ เหลี่ยวขู่
58. พระบรรพจารย์เอวี๋ยน ทุ่ยอัน
59. พระบรรพจารย์หยัง หวนซวี และฉวี หวนอู๋
60. พระบรรพจารย์เหยา เฮ่อเทียน
61. พระบรรพจารย์หวัง เจฺว๋อี
62. พระบรรพจารย์หลิว ชิงซวี

สิ้นสุดการสืบทอดธรรมะในยุคแดง เกณฑ์วาระแห่งธรรมได้เข้าสู่ธรรมกาลยุคขาว วิถีธรรมเริ่มต้นปรกโปรดอย่างกว้างขวาง

ธรรมกาลยุคขาว ธรรมะถ่ายทอดสู่สามัญชนทั่วไป (พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้าปกครองธรรมกาล) ยุคขาว ตะวันออก สุดท้าย ทั่วโลก 2 รุ่น พ.ศ.2473 เป็นต้นมา เป็นการปรกโปรด 3 โลกครั้งยิ่งใหญ่ 63. พระบรรพจารย์ลู่ จงอี 64. พระบรรพจารย์จาง เทียนหรัน และบรรพจารย์ซุน ฮุ่ยหมิง

พระธรรมาจารย์สมัยที่สิบแปดจาง เทียนหรัน ชาวมณฑลซานตง รับช่วงธรรมจักรวาลตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 จนปี 1947

พระธรรมจารย์สมัยที่สิบแปดซุน ฮุ่ยหมิง (ซู่เจิน) ชาวซานตง ศึกษาธรรมคู่กับท่านจาง ขุยเซิน จนถึงปี 1975 ตราบสิ้นชีวิต ได้มีศิษย์เช่น เหล่าเฉียนเหริน เฉียนเหริน จนแพร่อนุตตรธรรมสมบูรณ์ ไปทั่วโลก

ที่สำคัญพระธรรมาจารย์นั้นสิ้นสุดลงเพียงรุ่นที่หกสิบสี่เพียงสองพระองค์เท่านั้น ไม่มีรุ่นที่หกสิบห้าหรือผู้รักษาการใด ๆ อีกต่อไป นับแต่พระธรรมจารย์ซุน ซู่เจิน สิ้นชีวิตลง งานธรรมกิจก็ดำเนินแยกไปตามแต่ละสายงานธรรมภายใต้การปกครองของท่านธรรมปริณายก เหล่าเฉียนเหริน เฉียนเหริน เตี่ยนฉวนซือ โดยไม่มีพระธรรมาจารย์อีกต่อไป แต่ได้มีคำทำนายไว้แล้วว่าภายหลังสิ้นพระธรรมจารย์ซุน ซู่เจิน แล้ว จะมีพระธรรมาจารย์ และพระบรรพจารย์ปลอมเกิดขึ้นอีกมากมาย


9  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / Re: พระเครื่อง เมื่อ: 13 มิถุนายน 2568 17:32:38

พระปิดตาปลดหนี้ หลวงพ่อแก้ว


พระสังกัจจายน์ หลวงพ่อแก้ว[

พระปิดตา-สังกัจจัายน์ พระเทพสาครมุนี (แก้ว) วัดช่องลม จ.สมุทรสาคร

“พระเทพสาครมุนี” หรือ “หลวงพ่อแก้ว สุวัณณโชโต” อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทธิวาตวราราม ต.ท่าฉลอม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร

สร้างวัตถุมงคลและเครื่อรางของขลังไว้หลายรุ่น ล้วนได้รับความนิยม นำไปคล้องคอติดตัว เพื่อความเป็นสิริมงคล

ที่นิยมเป็นอย่างสูง คือ “พระปิดตารุ่นแรก (ปลดหนี้)” สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2525 เพื่อหาปัจจัยใช้หนี้ค่าก่อสร้างเขื่อนหลังวัดที่ค้างชำระไว้

ลักษณะเป็นพระปิดตา เนื้อผง มวลสารที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นพระสมเด็จแก้วสุทธิที่ชำรุดแตกหักและผงว่านต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 200 ชนิด รวมทั้งผงปัถมังและผงอิทธิเจ และเกศา นำมาตำบดผสมรวมๆ กัน จำนวนการสร้าง 39,000 องค์

พระปิดตาปลดหนี้ หลวงพ่อแก้ว ด้านหน้า เป็นรูปจำลองพระปิดตา คล้ายพระปิดตาของหลวงปู่โต๊ะ องค์พระอวบอิ่มสวยงาม

ด้านหลัง มีอักขระยันต์อุณาโลม แต่ไม่ปรากฏอักขระภาษาไทยใดๆ

สมัยนั้นออกให้บูชาองค์ละ 50 บาท ซึ่งก็หมดภายในวันเดียว

ยังมีอีกพระผงอีกรุ่นหนึ่ง ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ “พระสังกัจจายน์

สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2526 เพื่อหาปัจจัยช่วยเหลือวัดหงษ์อรุณรัศมีในงานประจำปี ซึ่งตรงกับวันที่ 16 ธันวาคม 2526

ลักษณะเป็นพระสังกัจจายน์ เนื้อผง รูปไข่ มวลสารที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นผงปัถมังและผงอิทธิเจ และมวลสารต่างๆ ที่รวบรวมนำมาตำบดผสมรวมกัน จำนวนการสร้างไม่ได้บันทึกไว้

ด้านหน้า เป็นรูปจำลองพระสังกัจจายน์ องค์พระพาดผ้าสังฆาฏิประทับนั่งบนฐานบัวหงาย

ด้านหลัง มีอักขระยันต์อุณาโลม และรูปหงษ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวัดหงษ์อรุณรัศมี

ปัจจุบัน ค่อนข้างหาได้ยาก เนื่องจากเป็นพระผงพุทธคุณ



หลวงพ่อแก้ว สุวัณณโชโต

อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า แก้ว ธนสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2446 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 2 ปีเถาะ เวลา 21.00 น. ที่ ต.กระสัง อ.กระสัง จ.พระตะบอง บิดา-มารดาชื่อ นายกัน และนางวงษ์ ธนสุวรรณ

เมื่ออายุ 12 ปี บรรพชาที่วัดจำบกมาศ อ.กระสัง จ.พระตะบอง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2458 เพื่อศึกษาเล่าเรียนชั้นสามัญ จนมีความรู้อ่าน-เขียนภาษาไทย และภาษาขอมเป็นอย่างดี

อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2466 ที่พัทธสีมาวัดจำบกมาศ อ.กระสัง จ.พระตะบอง มีพระปัญญาสุธรรม เจ้าอาวาสวัดจำบกมาศ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์เผือก พรหมสโร วัดกระสัง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เกตุ วัดชำนิหัตถการ กรุงเทพฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า สุวัณณโชโต

อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัดจำบกมาศ ช่วงหนึ่งจึงเดินทางไปจำพรรษาที่วัดมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพฯ เพื่อศึกษาต่อ

พ.ศ.2480 สอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ

พ.ศ.2481 สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค

ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2482 เป็นพระกรรมวาจาจารย์

พ.ศ.2488 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดคลองตันราษฎร์บำรุง

พ.ศ.2489 เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ.2495 เจ้าอาวาสวัดช่องลม หรือ วัดสุทธิวาตวราราม จ.สมุทรสาคร ว่างลง คณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส และในปีเดียวกัน ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาครด้วยอีกตำแหน่ง

พัฒนาวัด สร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ โรงครัว ซุ้มประตูหน้าวัด ศาลาท่าน้ำ และพระอุโบสถหลังใหม่

สร้างวัตถุมงคลรุ่นต่างๆ เพื่อมอบให้ชาวสมุทรสาครที่ร่วมบริจาคเงินในการก่อสร้างทั้งหมด

ให้ความสำคัญกับการศึกษาของกุลบุตรและกุลธิดาของชาวบ้านในพื้นที่ จึงส่งเสริมและเป็นผู้อุปการะโรงเรียนเทศบาลวัดช่องลม (เปี่ยมวิทยาคม) ด้วยการจัดตั้งทุนการศึกษาประจำสำนักเรียน จัดส่งนักเรียนไปศึกษาต่อเพิ่มเติม จัดพิมพ์หลักสูตรทั้งบาลีและนักธรรมใช้ในสำนักเรียน ที่แพร่หลาย คือ หลักสูตรย่อนักธรรมตรี

นอกจากนี้ ยังบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ สร้างสะพานสาครบุรี สร้างถนนเชื่อมต่อระหว่าง ตำบลท่าจีน-ตำบลบางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

สร้างสถานีตำรวจภูธรชั่วคราว และโครงการสร้างสถานีอนามัย ต.ท่าฉลอม เป็นผู้อุปถัมภ์ในการปรับปรุงวัดใหญ่บ้านบ่อ เป็นผู้วางแผนผังการก่อสร้างวัดบางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

คุณงามความดีในการพัฒนาวัด ตลอดจนเสนาสนะอย่างต่อเนื่อง จนมีเจ้าอาวาสวัดต่างๆ เดินทางมาดูตัวอย่างการก่อสร้างที่วัดอยู่เสมอๆ

ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินทรงทอดพระกฐินต้น เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2508

โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถ พระราชทานฉัตรขาว 9 ชั้น ตั้งสองข้างพระประธาน และพระราชทานนามวัดช่องลมให้ใหม่ว่า “วัดสุทธิวาตวราราม”

หลวงพ่อแก้วเคยเล่าว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินวัดช่องลมเป็นการส่วนพระองค์หลายครั้ง มีพระราชปฏิสันถารจนพลบค่ำ จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ หลังจากนั้นวัดช่องลมเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวไทยทั้งประเทศ กรมการศาสนายกวัดช่องลมเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างดีเด่นของประเทศไทย

ปกครองวัดเรื่อยมา กรำงานหนักมาตลอดชีวิต เริ่มเจ็บป่วยอาพาธ กระทั่งมรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อตอนเช้าตรู่วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2526 เวลา 04.45 น.

สิริอายุ 79 ปี พรรษา 59 •




ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
10  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: อารยธรรมโลกโบราณ เมื่อ: 13 มิถุนายน 2568 10:49:33


ฟันของชาวมายันมีอายุย้อนไปถึงสหัสวรรษแรก มีการค้นพบอัญมณีหลากหลายชนิดในฟันจากสถานที่ฝังศพ ได้แก่ หยก ไพไรต์เหล็ก เฮมาไทต์ เทอร์ควอยซ์ ควอตซ์ เซอร์เพนไทน์ และซินนาบาร์ ซีเมนต์ที่ชาวมายันใช้นั้นเป็นส่วนผสมที่ซับซ้อนซึ่งน่าจะมีประโยชน์ทางยาด้วย
11  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / พิธีศีลล้างบาป (พิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน) เมื่อ: 07 มิถุนายน 2568 10:50:38


การให้บัพติศมาแก่ Neophytes วาดโดยมาซัชโช เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันเก็บอยู่ที่ฟลอเรนซ์

พิธีศีลล้างบาป (พิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน)

พิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน พิธีบัพติศมา (ศัพท์โปรเตสแตนต์) หรือ พิธีศีลล้างบาป (ศัพท์คาทอลิก) (อังกฤษ: Baptism มาจากภาษากรีก baptismos แปลว่า การล้าง) เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์ ทำขึ้นเพื่อรับ "ผู้ที่เพิ่งรับเชื่อ" เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของคริสตจักร

คัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ระบุว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาเริ่มประกอบพิธีนี้ให้สาวกของตน โดยให้ผู้รับจุ่มตัวลงในแม่น้ำลึก ถือเป็นสัญลักษณ์ของการกลับใจและรอคอยอาณาจักรสวรรค์ซึ่งกำลังจะมาถึง พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในครั้งนั้นด้วย จากนั้นจึงเริ่มปฏิบัติพระภารกิจของพระองค์ ต่อมาในศาสนาคริสต์ยุคแรก ผู้ให้บัพติศมาจะให้ผู้รับเปลือยกายลงแช่ในแม่น้ำ ซึ่งมีทั้งแบบให้จุ่มทั้งตัว ยืน หรือคุกเข่าในน้ำ แล้ว "ผู้ให้บัพติศมา" จะตักน้ำรดลงบน "ผู้รับบัพติศมา" ในปัจจุบันบางคริสตจักรยังรักษาวิธีการแบบเดิม บางคริสตจักรก็ใช้วิธีเทน้ำรดลงบนหน้าผากของผู้รับสามครั้ง

การเป็นมรณสักขีในศาสนาคริสต์ก็ถือว่าเป็นการรับบัพติศมาด้วย เรียกว่า "พิธีบัพติศมาด้วยเลือด" เชื่อว่ามรณสักขีนั้นได้รับความรอดแล้วแม้จะยังไม่ได้รับบัพติศมาด้วยน้ำก็ตาม คริสตจักรโรมันคาทอลิกปัจจุบันรับรอง "พิธีบัพติศมาแห่งความปรารถนา" ซึ่งหมายถึงความตั้งใจจะรับบัพติศมาแต่เสียชีวิตเสียก่อนเข้าพิธี ก็ถือว่าได้รับความรอดแล้ว คริสต์ศาสนิกชนบางนิกายประกอบพิธีบัพติศมาแก่ทารกด้วย เพราะเชื่อว่าบัพติศมาเป็นทางแห่งความรอด จนเมื่อฮุลดริช ซวิงลี นักเทววิทยาศาสนาคริสต์สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 กล่าวว่าพิธีนี้ไม่จำเป็น คริสตจักรแบปทิสต์จึงประกอบพิธีบัพติศมาแก่ผู้เชื่อเองเท่านั้น

ทุกวันนี้คริสต์ศาสนิกชนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะเควเกอร์และแซลเวชันอาร์มีถือว่าพิธีนี้ไม่จำเป็นและไม่ประกอบพิธีนี้เลย แต่กลุ่มที่ยังมีพิธีนี้อยู่ก็มีรูปแบบพิธีแตกต่างกันไป ส่วนมากรับบัพติศมา "ในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์" (โปรเตสแตนต์) หรือ "เดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต" (คาทอลิก) โดยถือตามพระมหาบัญชาก่อนการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซู
12  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / เปรต (ความหมาย และประเภทของเปรต) เมื่อ: 07 มิถุนายน 2568 10:33:59

ภาพวาดเปรตแบบญี่ปุ่น

เปรต (ความหมาย และประเภทของเปรต)

เปรต (สันสกฤต: प्रेत เปฺรต; บาลี: peta เปต) หมายถึงผี ตามความเชื่อในหลายศาสนาทั้ง ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ และศาสนาเชน ตามความเชื่อนั้น เปรตเป็นผีได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสกว่าเมื่อครั้งเป็นมนุษย์มาก โดยต้องทรมานกับความหิวโหยและความเจ็บปวดทางกาย

ความเชื่อเรื่องเปรตมีต้นกำเนิดมาจากพิธีกรรมทางศาสนาในประเทศอินเดียตั้งแต่ยุคโบราณ และเริ่มแพร่กระจายสู่สังคมในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก คำว่า "Preta" มักจะถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "ผีที่หิวโหย" ความเชื่อเรื่องเปรตนั้นเริ่มต้นมาจากความเชื่อในชีวิตหลังความตาย และมักเกี่ยวข้องกับการเป็นโอปปาติกะ (ผู้ที่ผุดขึ้นเองจากอดีตกรรม มิต้องอาศัยการปฏิสนธิ) นำไปสู่ความเชื่อเรื่องเวรกรรมที่ต้องได้รับในโลกหน้าและการกลับชาติมาเกิดตามแต่ผลกรรมที่ได้กระทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ การจะหลุดพ้นจากการเป็นเปรตนั้นต้องอาศัยเวลานานชั่วกัปชั่วกัลป์ และหากมิได้สั่งสมบุญวาสนาพอหรือไม่ได้รับการอุทิศส่วนกุศลจากคนรู้จัก บุคคลนั้นอาจต้องทุกข์ทรมานเป็นเปรตไปชั่วนิรันด์

การจะเกิดเป็นเปรตในโลกหน้านั้น โดยมากมักเป็นผลมาจากการก่อกรรมทำเข็ญอย่างร้ายแรงเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การทำร้ายผู้อื่นทั้งทางกาย วาจา และ ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่ถูกทำร้ายเป็นบุพการีของตนหรือเป็นพระสงฆ์ การพูดปด พูดส่อเสียด การลักทรัพย์ รวมถึงความโลภ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งเกิดขึ้นจากการเคยเป็นสัตว์นรกที่เวียนว่ายอยู่ในนรกนานนับโกฏิปี แต่ดวงวิญญาณยังไม่บริสุทธิ์พอที่จะไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น จีงต้องชดใช้กรรมต่อ โดยจะต้องไปเกิดเป็นเปรตที่มีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียด เช่น มีร่างกายเน่าเฟะเสมือนซากศพ หรือมีสิ่งปฏิกูลอยู่ทั่วร่างกาย มักจะหิวโหยอยู่ตลอดเวลา และส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด หรือแม้แต่เป็นเปรตภายใต้รูปร่างของสัตว์ประหลาดชนิดต่าง ๆ ตามความเชื่อแต่ละประเทศ เปรตมีร่างกายและความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ในขณะที่มนุษย์ทั่วไปเมื่อมองดูสายน้ำจะมองเห็นเป็นเพียงกระแสน้ำใส ๆ ธรรมดา แต่เมื่อเปรตจ้องมองแม่น้ำจะมองเห็นสิ่งน่าเกลียดน่ากลัว เช่น หนอง หรือ เลือด

จากความเชื่อและอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ เปรตจึงมีอิทธิพลอย่างเด่นชัดในวัฒนธรรมของอินเดีย ศรีลังกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ทิเบต ไทย กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์

ความหมาย
คำว่า เปรต แปลว่า ในทางศาสนาพุทธหมายถึง อมนุษย์พวกหนึ่งที่เกิดในเปตติวิสัยภูมิซึ่งเป็น ๑ ใน ๔ อบายภูมิ เปรตมีหลายประเภท เช่นประเภทหนึ่งเรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต คือเปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยส่วนบุญที่มีผู้ทำอุทิศให้ หากไม่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ก็มักจะกินเลือดและหนองของตัวเองเป็นอาหาร โบราณมีความเชื่อที่ว่า ถ้าใครทำร้ายพ่อแม่ ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นผีเปรต

การทำพลีกรรมแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือการทำบุญอุทิศไปให้ผู้ตายว่า เปตพลี หรือ บุพเปตพลี

ประเภทของเปรต เปรตมีหลายประเภท เช่น

แบ่งตาม เปตวัตถุอรรถกถา แบ่งได้ 4 ประเภท

ปรทัตตูปชีวิเปรต คือ เปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยส่วนบุญที่มีผู้ทำอุทิศให้ หากไม่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ ก็มักจะกินเลือดและหนองของตัวเองเป็นอาหาร

ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่อดอยาก ทุกข์จากความหิวโหยอยู่เป็นนิจ แสวงหาของไปยังที่ต่าง ๆ เมื่อเจอน้ำหรืออาหาร แต่เมื่อจะเอาอาหารเหล่านั้นเข้าปาก อาหารเหล่านั้นก็จะกลายหินหรือทราย ไม่สามารถกินได้ กรรมที่ทำให้เป็นเปรตประเภทนี้ เพราะเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว หวงแหนในทรัพย์ของตน ไม่เคยทำบุญทำทาน แม้ทำก็ทำด้วยความเสียดาย

นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ

กาลกัญจิกเปรต คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย มีร่างกายใหญ่โต แต่ไม่ค่อยมีเลือดและเนื้อ มีสีคล้ายใบไม้แห้ง ตาโปนคล้ายตาปู มีปากเท่ารูเข็มอยู่กลางศีรษะ


แบ่งตาม คัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ และ ฉคติทีปนีปกรณ์ แบ่งได้ 12 ประเภท

วันตาสาเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชาติก่อนเป็นคนตระหนี่จับขั้วหัวใจ เห็นผู้ใดอดอยากมาขออาหาร ก็พาลโกรธถ่มน้ำลายใส่ด้วยความรังเกียจ หรือเข้าไปในสถานที่ที่ควรเคารพบูชา เช่น โบสถ์ วิหาร ลานพระเจดีย์ แล้วไม่มีความเคารพต่อสถานที่ ได้ถ่มเสลดน้ำลายลงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตในตระกูลนี้

กุณปขาทาเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินซากศพคนหรือสัตว์ เป็นอาหาร กรรมที่ทำให้มาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชาติที่เป็นมนุษย์มีความตระหนี่ เมื่อมีผู้มาขอบริจาคทาน ก็แกล้งให้ของที่ไม่ควรให้ ด้วยความปรารถนาจะแกล้งประชด ไม่เคารพในทาน จึงมาเกิดเป็นเปรตประเภทนี้

คูถขาทาเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร กรรมที่ทำให้มาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งที่เป็นมนุษย์ มีความตระหนี่จัด เมื่อหมู่ญาติที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือผู้คนมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ ขอข้าว ขอน้ำดื่ม จะเกิดอาการขุ่นเคืองขึ้นมาทันที ชี้ไปที่มูลสัตว์พร้อมกับบอกว่า “ถ้าอยากได้ ก็จงเอาไปกินเถิด แต่จะมาเอาข้าวปลาอาหาร ข้าไม่ให้หรอก” แล้วก็ขับไล่ไสส่ง ด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นเปรตชนิดนี้

อัคคิชาลมุขาเปรต คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกทั่วในปากตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน ไฟไหม้ปากไหม้ลิ้นเจ็บแสบเจ็บร้อน ครั้นทนไม่ได้ก็วิ่งร้องไห้ครวญครางไปไกลถึงร้อยโยชน์ พันโยชน์ ถึงกระนั้นไฟก็ไม่ดับ กลับเป็นเปลวเผาลนปากและลิ้นหนักเข้าไปอีก กรรมที่ทำให้มาเกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ มีความตระหนี่เหนียวแน่น เมื่อมีใคร มาขอ ครั้นจะไม่ให้ก็กลัวคนอื่นดูแคลน จึงแกล้งให้สิ่งของร้อนๆ เพื่อหวังจะแกล้งให้ผู้รับเข็ดหลาบ จะได้เลิกมาขอ เพราะไม่เห็นอานิสงส์ของการทำทาน

สุจิมุขาเปรต คือ เปรตที่มีปากเล็กเท่าขนาดรูเข็ม จะได้อาหารมาบริโภคแต่ละครั้งก็ไม่พออิ่ม เพราะมีปากเท่ารูเข็ม อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไปได้ง่ายๆ อยากกินแต่กินไม่ได้ ต้องทุกข์ทรมานแสนลำบาก ร่างกายผอมโซดำเกรียม กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนตระหนี่ในชาติที่เป็นมนุษย์ เมื่อมีใครมาขออาหาร ก็ไม่อยากให้ และไม่มีศรัทธาที่จะถวายทานแก่สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีจิตหวงแหนทรัพย์สมบัติ ผลกรรมตามสนอง ต้องมาเกิดเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม

ตัณหาชิตาเปรต คือ เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนจนเกิดทุกข์จากความหิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ เมื่อมองไปเห็นสระ บ่อ ห้วย หนอง ก็ตื่นเต้นดีใจ รีบวิ่งไปโดยเร็ว แต่ครั้นไปถึงแหล่งน้ำนั้น กลับกลายเป็นสิ่งอื่นด้วย อำนาจกรรมบันดาล กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนหวงข้าวหวงน้ำ เที่ยวปิดสระ ปิดบ่อ ปิดหม้อ ไม่ให้คนอื่นได้ดื่มกิน ครั้นละโลกแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตอดอยากข้าวน้ำดังกล่าว

นิชฌามักกาเปรต คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่ถูกเผา สูงชะลูดดำทะมึน แลดูน่ากลัวมาก มีกลิ่นเหม็นเน่า มือและเท้าเป็นง่อย ริมฝีปากด้านบนห้อยทับริมฝีปากด้านล่าง มีฟันยาว มีเขี้ยวออกจากปาก ผมยาวพะรุงพะรัง มีความอดอยากเหลือประมาณ ยืนทื่ออยู่ที่เดิมไม่ท่องเที่ยวไปไหนเหมือนเปรตชนิดอื่น กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนใจหยาบ เห็นสมณพราหมณ์ผู้มีศีลก็โกรธเคือง มีอกุศลจิตคิดว่า ท่านเหล่านั้นจะมาขอของตน จึงแสดงกิริยาอาการเยาะเย้ยถากถาง ขับไล่สมณพราหมณ์ เหล่านั้นให้ได้รับความอับอาย หรือเห็นพ่อแม่เป็นคนแก่คนเฒ่า เกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเพราะความชรา แกล้งให้ท่านตกใจจะได้ตายไว ๆ ตัวเองจะได้ครอบครองสมบัติ

สัพพังคาเปรต คือ เปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้ายาวคมเหมือนมีดเหมือนดาบและงอเหมือนตะขอ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาตะกายข่วนร่างกายตนเองให้ขาดเป็นแผลด้วยเล็บ แล้วกินเลือดเนื้อของตนเองเป็นอาหาร กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชอบขูดรีดชาวบ้าน เอาเปรียบผู้อื่น หรือบางครั้งชอบรังแกหยิกข่วนบิดามารดา ถ้าเป็นหญิงก็หยิกข่วนสามีของตน

ปัพพตังคาเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าขนาดของภูเขา เวลากลางคืนสว่างไสวรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ กลางวันเป็นควันล้อมรอบกาย เปรตเหล่านี้ต้องถูกไฟเผาคลอก นอนกลิ้งไปมาเหมือนขอนไม้ที่กลิ้งอยู่กลางไร่กลางป่า ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ร้องไห้ปานจะขาดใจ กรรมที่เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ได้เอาไฟเผาบ้าน เผาโรงเรียน เผากุฏิ วิหาร เป็นต้น

อชครเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างคล้ายกับสัตว์เดียรัจฉาน เช่น มีรูปร่างเป็นงูเหลือม เสือ ม้า วัว และควาย เป็นต้น แต่จะถูกไฟเผาไหม้ทั่วร่างกายทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ว่างเว้น แม้แต่วันเดียว กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เป็นคนตระหนี่ เมื่อเห็นสมณพราหมณ์ ผู้มีศีลมาเยือน ก็ด่าเปรียบเปรยท่านว่า เสมอด้วยสัตว์เดียรัจฉานต่างๆ เพราะไม่อยากให้ทาน หรือแกล้งล้อเลียนเป็นรูปสัตว์ต่างๆ

เวมานิกเปรต คือ เปรตที่มีสมบัติ คือ วิมานทองอันเป็นทิพย์ บางตนจะเสวยสุขราวกับเทวดาในเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนจะเสวยทุกข์ที่เกิดจากความตระหนี่ในทรัพย์ บางตนเสวยสุขเฉพาะในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะเสวยทุกข์ ตามสมควรแก่กรรม กรรมที่ทำให้เกิดมาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์มีศรัทธาทำบุญกุศลไว้มาก แต่ไม่รักษาศีล ไม่รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ครั้นตายลงจึงตรงมาเกิดเป็นเวมานิกเปรต หรือเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาได้รักษาศีลเพียงอย่างเดียว แล้วไม่มีศรัทธาในการสร้างบุญกุศลอื่น และมีความสงสัยในเรื่องบุญเรื่องบาป แม้รักษาศีลก็รักษาแบบเสียไม่ได้ หรือไม่ตั้งใจรักษา

มหิทธิกาเปรต คือ เปรตที่มีฤทธิ์และรูปงามดุจเทวดา แต่ว่าอดอยากหิวโหยอาหารอยู่ตลอดเวลา เหมือนเปรตชนิดอื่นๆ จะเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ เมื่อพบคูถมูตร และของสกปรกก็จะดูดกินเป็นอาหาร กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ บวชเป็นพระภิกษุสามเณร พยายามรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์ จึงมีรูปงามผุดผ่องราวเทวดา แต่ไม่ได้บำเพ็ญธรรม มีใจเกียจคร้านต่อการบำเพ็ญสมณธรรมตามวิสัยของบรรพชิต จิตใจจึงมากไปด้วยความโลภ โกรธ หลง มีความเข้าใจผิดว่า “เราบวชแล้ว รักษาแต่ศีลอย่างเดียวก็พอ ไม่เห็นต้องทำบุญให้ทานเหมือนฆราวาสเลย” ครั้นเมื่อละโลกจึงมาเกิดเป็นเปรตตระกูลนี้


แบ่งตามวินัยและลักขณสังยุตตพระบาลี แบ่งได้ 21 ประเภท

อัฏฐีสังขสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่กระดูกติดกันเป็นท่อน ๆ

มังสเปสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่เนื้อเป็นชิ้นๆ กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่าโค

มังสปิณฑเปรต คือ เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่านกขาย

นิจฉวิเปรต คือ เปรตที่ไม่มีหนังห่อหุ้ม กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่าแกะขาย ฆ่าแล้วถลกหนังไปขาย บางคราวก็ถลกหนังทั้งเป็น

อสิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์

สัตติโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นหอก

อุสุโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู

สูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็ม

ทุติยสูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒

กุมภัณฑเปรต คือ เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก

คูถกูปนิมุคคเปรต คือ เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ

คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระ

นิจฉวิตถิเปรต คือ เปรตหญิงที่ไม่มีหนังห่อหุ้มและมักถูกแร้ง เหยี่ยว อีกา และ นกตะกรุมจิกทึ้งอยู่ตลอดเวลา กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ประพฤติตนนอกใจ ไปคบชู้อยู่กับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีของตนเอง ทำร้ายและฆ่าสามีจนถึงชีวิตโดยปราศจากหิริและโอตตัปปะ

ทุคคันธเปรต คือ เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า

โอกิลินีเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อยังมีชีวิตนั้น ได้ทำร้ายหรือฆ่าคนตายด้วยการใช้ถ่านเพลิงร้อน

อสิสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีศีรษะ มีตาและปากอยู่ที่อก กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ มีอาชีพไม่บริสุทธิ์ คือ เป็นเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจร มีนามว่า หาริกะ อยู่ในพระนครราชคฤห์น

ภิกขุเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับพระ ไม่น่าเกลียดน่ากลัว กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งยังมีชีวิตเป็นพระที่ไม่บำเพ็ญธรรมถึงจะบวชรักษาศีลแต่ประพฤติผิด เช่นมั่วสีกา มีความโลภในเรื่องของเงินทอง และ มีเรื่องทะเลาะกับญาติโยมอยู่ตลอด

ภิกขุณีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับภิกษุณี กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งยังมีชีวิตเป็นภิกขุณีที่ไม่รักษาศีล ชอบทำผิดศีล ข้อ 3 และ ข้อ 4 เช่น เช่นมั่วผู้ชาย พูดจาให้เขาแตกแยกกัน รวมไปถึงชักชวนให้ทำบุญในทางที่ผิด

สิกขมานเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสิกขมานา

สามเณรเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณร

สามเณรีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณรี


เปรตในสังคมไทย
เปรตตามความเชื่อไทย เป็นผี มีรูปร่างสูงเท่าต้นตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซ ผิวดำ ท้องโต มือเท่าใบลาน แต่มีปากเท่ารูเข็ม และเปรตจะหิวอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากกินอะไรไม่ได้ จึงชอบมาขอส่วนบุญในงานบุญต่างๆ ซึ่งเมื่อสะสมบุญได้แล้วเกิดใหม่ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งจากลักษณะนี้ทำให้คำว่า เปรต กลายมาเป็นคำด่าในภาษาไทยที่หมายถึง คนที่อดอยากผอมโซ เที่ยวรบกวนขอเขากิน หรือเมื่อมีใครได้โชคลาภก็เข้ามาขอแบ่งปัน

เปรตวัดสุทัศน์
เป็นความเชื่อแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์เกี่ยวกับเรื่องราวของเปรตแห่งวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ที่เล่ากันว่าที่วัดแห่งนี้มักมีเปรตปรากฏกายในเวลากลางคืนเป็นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ประกอบกับอหิวาตกโรคที่ระบาดจนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 จนเผาศพแทบไม่ทัน ณ วัดสระเกศ จนมีคำกล่าวคล้องจองกันว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ "

ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เรื่องเล่าเปรตวัดสุทัศน์ฯนั้น มาจากภาพวาดบนฝาผนังในอุโบสถ ที่เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่ และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่ ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากในสมัยอดีต เป็นที่เลื่องลือกันของผู้ที่ไปที่วัดแห่งนี้ว่าต้องไปดู และสิ่งที่ผู้คนเห็นว่าเป็นเปรตนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณวัดแห่งนี้มายาวนานบอกว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นเงาของเสาชิงช้าที่อยู่หน้าวัด ในสายหมอกยามเช้าต่างหาก

ต่อมา เรื่องเปรตวัดสุทัศน์นี้ได้นำมาเขียนเป็นนวนิยาย และทำเป็นละครโทรทัศน์ในปี พ.ศ.2546 ออกอากาศทางช่อง 7 นำแสดงโดย วรนุช วงษ์สวรรค์ และเอกรัตน์ สารสุข


เปรตกู้
เปรตกู้ เคยปรากฏเป็นข่าวครึกโครมผ่านทางสื่อมวลชนมาครั้งหนึ่ง ในเดือนเมษายน พ.ศ.2543 เมื่อทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวหน้าหนึ่งว่า มีผู้บันทึกวิดีโอของเปรตได้ที่ป่าคำชะโนด อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี รวมทั้งปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ในป่าแห่งนี้ได้อีกด้วย เช่น การตักบาตรกับต้นไม้โดยรุกขเทวดาซึ่งจะได้เป็นข้าวมธุปายาส เป็นต้น เมื่อวิดีโอชุดนี้ได้เผยแพร่ออกไป มีบุคคลจำนวนหนึ่งให้ความเชื่อถือ เช่น พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา นักพูดชื่อดัง รวมทั้งพระพยอม กัลยาโณ พระนักเทศน์ชื่อดังเจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เป็นต้น

ต่อมา ความได้ปรากฏว่าแท้ที่จริงแล้ว เรื่องทั้งหมดในเทปวิดีโอนั้น ล้วนแต่เป็นการจัดฉาก โดยบุคคลที่ชื่อ นายกิตติ ประภัสโรบล หรือที่นิยมเรียกกันว่า "อาจารย์กู้" ซึ่งนายกิตติได้มีพฤติกรรมหลอกลวงเช่นนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว โดยในครั้งนี้นายกิตติได้แสดงเป็นเปรตจึงถูกเรียกว่า "เปรตกู้" ต่อมานายกิตติก็ได้ถูกตำรวจที่นำโดย พล.ต.ต.คงเดช ชูศรี จับกุม และถูกศาลพิพากษาให้จำคุกให้ข้อหาหลอกลวงประชาชน เมื่อพ้นโทษออกมาแล้ว นายกิตติได้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่

อื่น ๆ
ในกลางปี พ.ศ.2551 ที่จังหวัดลำปาง มีเด็กชายคนหนึ่งตื่นนอนขึ้นมากลางดึก และเห็นสิ่งประหลาดที่มีรูปร่างสูงมากนอกหน้าต่างมุ้งลวดจากห้องนอน จึงได้ถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยโทรศัพท์มือถือ ซึ่งต่อมาเป็นที่โจษจันกันว่าเป็นรูปเปรต แต่เมื่อรายการเรื่องจริงผ่านจอ ทางช่อง 7 ได้ขึ้นไปพิสูจน์ พบว่าเป็นเพียงเงาของเศษผ้าที่อุดมุ้งลวดที่ขาดเท่านั้นเอง
13  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / มนุษย์แม่เหล็ก เมื่อ: 07 มิถุนายน 2568 10:20:26


มนุษย์แม่เหล็ก


มนุษย์แม่เหล็ก เป็นบุคคลที่มีพลังเหนือธรรมชาติ โดยสามารถนำโลหะมาติดตามตัวได้ราวกับมีพลังแม่เหล็กที่ผิวหนัง มีอยู่หลายคนที่มีพลังนี้

ลิ่ว โธ ลิน (Liew Thow Lin) อดีตคนงานก่อสร้างในมาเลเซีย สามารถน้ำแผ่นเหล็กมาติดที่ตัวและใช้แรงแม่เหล็กลากรถยนต์ที่หนักกว่า 1 ตันได้และเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ทำสถิติสามารถใช้พลังลากรถบัส หนัก 10.6 ตันไปไกลถึง 3.4 เมตร และออกอากาศทางรายการมันแปลกดีนะ

ออเรล ไรลีนู ชาวโรมาเนีย เขาบอกว่าเพียงตั้งสมาธิให้จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งของชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ระบายความรู้สึกแห่งพลังแม่เหล็กออกไป เท่านั้นสิ่งของก็ติดอยู่กับตัวเขา

เอริกา ซูร์ สเติร์นเบิร์ก แม่บ้านชาวเยอรมัน ก็พบว่าตัวเธอมีพลังแม่เหล็ก สามารถดูดเตารีด กุญแจเลื่อน มาติดตามตัวได้
14  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / เส้นใหญ่เย็นตาโฟคั่วแห้ง เมื่อ: 04 มิถุนายน 2568 15:34:08
.




เส้นใหญ่เย็นตาโฟคั่วแห้ง

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2568
คอลัมน์    - าทิตย์ละมื้อ
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2568


ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟเป็นเมนูที่ให้รสชาติเข้มข้นด้วยน้ำซอสสูตรผสมสีออกแดงเข้ม หอมกระเทียมดองและเต้าหู้ยี้

แต่วันนี้จะขอแปลงสูตรไม่ทำเป็นเย็นตาโฟน้ำ หรือเย็นตาโฟแห้ง แต่จะผัดไฟแรงแบบคั่วแห้ง สไตล์เดียวกับก๋วยเตี๋ยมคั่วไก่ ให้ความอร่อย หอมกระทะ รสชาติเด็ดไปอีกแบบหนึ่ง

ส่วนประกอบ
เส้นใหญ่, ไข่ไก่, ผักบุ้ง, หมึกกรอบ, ลูกชิ้นปลา, ฮื่อก้วย, เกี๊ยวปลา, แผ่นเกี๊ยวกรอบ, กระเทียม, เต้าหู้ยี้, กระเทียมดอง, เต้าเจี้ยว, ซอสมะเขือเทศ, ซอสพริก, น้ำตาลทราย, น้ำมันพืช, เกลือ, ซีอิ๊วขาว, พริกไทยป่น, ต้นหอมซอย, กระเทียมเจียว


วิธีทำ
1. ต้มน้ำให้เดือด เอาผักบุ้ง ลูกชิ้นปลา ฮื่อก้วย เกี๊ยวปลาลงลวกให้สุก แล้วสะเด็ดน้ำ พักไว้

2. ทำซอสเย็นตาโฟ : เอาเต้าหู้มาบด แล้วผสมด้วยเต้าหู้ยี้ กระเทียมดอง ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ปรุสด้วยน้ำตาลทรายเล็กน้อย (ถ้าข้นเกินไปใส่น้ำอุ่นลงไปผสม)

3. ตั้งกระทะไฟแรง ใส่น้ำมันพืช ใส่กระเทียมสับ แล้วเอาเส้นใหญ่ลงผัดให้หอม ใส่พริกไทย ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย

4. ตอกไข่ลงไปผัดกับเส้น แล้วเติมซอสเย็นตาโฟที่ปรุงไว้ลงไปผัดให้เข้ากัน

5. ใส่ผักบุ้งลวก และลูกชิ้นต่างๆ ที่ลวกไว้ลงไปผัด เติมซอสเพิ่มให้เข้มข้น เข้ากัน

ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวและต้นหอมซอย แต่งจานเพิ่มเกี๊ยวกรอบลงไปด้วย โรยพริกไทยป่น แล้วยกเสิร์ฟได้เลย •



... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichonweekly.com/column/article_839799
15  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / พืช-วุ้น เมื่อ: 04 มิถุนายน 2568 15:25:40



พืช-วุ้น

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 พฤษภาคม 2568
คอลัมน์ - โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2568



ชวนคุยพืชที่สามารถนำมาสกัดเป็นวุ้น หรือวุ้นที่ได้จากพืช

ปกติวุ้นตามธรรมชาติที่ได้จากพืช เป็นสารในกลุ่มที่เรียกว่า “เพคติน” ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ทางอาหารได้มาก เช่น ทำเจลกินโดยเฉพาะในแยมและเยลลี่ ไส้ขนม ยา และขนมหวาน เพคตินเป็นสารคงตัวเมื่อใส่ในน้ำผลไม้หรือในเครื่องดื่มนม จึงเป็นเป็นแหล่งของใยอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

เพคตินเป็นสารประกอบหลักที่อยู่ที่ผนังของเซลล์พืช ปริมาณของเพคตินในพืชแต่ละชนิดแตกต่างกันไป เพคตินยังมีคุณสมบัติเป็นสารที่สามารถขัดขวางการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตและคอเลสเตอรอลได้ และจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่จะย่อยสลายเพคตินและปลดปล่อยกรดไขมันสายสั้นที่มีผลดีต่อพรีไบโอติก ในปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตเพคตินใช้เปลือกส้ม เปลือกแอปเปิล ที่เหลือจากการสกัดเป็นน้ำผลไม้มาสกัดเอาเพคติน

แต่ในระดับพื้นบ้านที่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า เราสามารถสกัดเพคตินใช้ในครัวเรือนได้โดยไม่ต้องลงทุนมาก

ในภาษาอังกฤษเรียกพืชที่ให้สารเพคตินในกลุ่มนี้ว่า Glass jelly ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มที่ให้สีดำ เช่น เฉาก๊วย มาจากพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Platostoma palustre (Blume) A.J.Paton ซึ่งคนไทยคุ้นเคยกับการทำและกินเฉาก๊วยมาเป็นเวลายาวนาน ในอดีตวัตถุดิบหรือต้นเฉาก๊วยต้องนำเข้ามาจากประเทศจีน เวียดนาม หรือสิงคโปร์ แม้ในปัจจุบันเมืองไทยจะมีการปลูกบ้างแต่ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ ยังคงนำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย

2. กลุ่มที่ให้สีเขียว มีพืชที่ให้วุ้นสีเขียวอยู่ 2 ชนิด คือ กะเปียดเครือ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Premna trichostoma Miq. และ หมาน้อย Cyclea barbata Miers ทั้ง 2 ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยด้วย สำหรับในประเทศไทย มีรายงานพืชที่สกัดเป็นวุ้นได้มีถึง 4 ชนิด คือ 1) หมาน้อย Cyclea barbata Miers 2) บัวโคก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stephania pierrei Diels 3) บัวจุก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stephania capitata (Blume) Spreng.

และ 4) ย่านปด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stephania capitata (Blume) Spreng.

เมื่อสำรวจในโลกออนไลน์ เช่น ในข้อมูลของวิกิพีเดีย กล่าวว่า มีพืชที่เป็นพืชประจำถิ่นของไทยอีกหลายชนิดที่สามารถนำมาสกัดให้วุ้นได้ แต่ก็ไม่พบรายงานว่ามีการใช้ในพื้นที่ใดของประเทศไทย เช่น โคลงเคลง (Melastoma malabathricum subsp. malabathricum) ราชินีปะการัง (Nephroia orbiculata (L.) L.Lian & Wei Wang) และสามประงา (Premna serratifolia L.)

นอกจากนี้ ยังมีพืชอีก 3 ชนิด ที่มีรายงานว่าสามารถให้วุ้นได้ คือ 1) Premna microphylla พบในจีนตอนใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน 2) Premna parasitica พบในชวาและหมู่เกาะซุนดาน้อย และ 3) Premna puberula พบในจีน เช่นกัน ในรายงานของวิกิพีเดียยังกล่าวไว้ว่า “ย่านาง” (Tiliacora triandra (Colebr.) Diels) เป็นพืชที่ให้วุ้นเช่นกัน แต่ไม่พบว่ามีชุมชนใดนำมาผลิตเป็นวุ้นประกอบอาหารหรือปรุงยาจากวุ้นที่ได้จากใบย่านางเลย ข้อมูลในโลกออนไลน์จึงควรพิจารณาให้รอบครอบ และหาข้อมูลมายืนยันเพิ่มเติมต่อไป

สำหรับสารที่เรียกว่า เพคติน ในปัจจุบันมีการนำมาใช้เป็นสารหลักที่ทำให้เกิดเจล เป็นสารเพิ่มความข้นและสารทำให้คงตัวในอาหาร แต่หลายท่านอาจสงสัยว่า เพคตินทำไมมีการใช้เหมือนกับสารที่เรียกว่า “เจลาติน” (Gelatin) ที่จริงทั้งเพคตินและเจลาติน มีการนำมาใช้ประโยชน์เหมือนๆ กัน แต่สารทั้ง 2 ชนิดมีที่มาแตกต่างกัน เพคตินมีคุณสมบัติเป็นคาร์โบไฮเดรตจึงได้มาจากพืช ส่วนเจลาตินเป็นโปรตีนได้มาจากสัตว์

ดังนั้น เพคตินจึงเหมาะกับอุตสาหกรรมที่ผลิตอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารต่างๆ สำหรับกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติมากกว่า และถึงแม้ว่าจะใช้แทนกันได้ แต่เพคตินและเจลาตินก็มีคุณสมบัติไม่เหมือนกันเสียทีเดียว

การนำเจลาตินมาใช้จะต้องกระตุ้นในอุณหภูมิต่ำเพื่อให้เกิดการแข็งตัว เนื้อสัมผัสของเจลาตินจะมีความยืดหยุ่น เคี้ยวกินได้ ไม่มีรสชาติ จึงมักนำมาใช้ในสูตรอาหารต่างๆ ได้มากมายโดยไม่ทำให้รสชาติเปลี่ยนแปลง ในขณะที่เพคตินต้องใช้ความร้อนสูงเพื่อให้เกิดเจลและคงตัวที่อุณหภูมิห้อง เพคตินมีกลิ่นแบบธรรมชาติ (บางคนอาจเรียกว่าเหม็นเขียว) ทำให้มีต้นทุนการในผลิตสูงขึ้นเพื่อการกำจัดกลิ่นเหล่านี้

แม้ว่าเพคตินอาจนำมาใช้ยุ่งยากกว่าเล็กน้อย แต่ย้อนดูพบว่ามีประวัติการใช้มาอย่างยาวนานในการทำแยม เจลลี่ เยลลี่ หรือของหวานต่างๆ นอกจากนี้ ยังนำมาใช้ทำเครื่องดื่มโปรตีนที่มีกรดและผสมในโยเกิร์ตได้อีกด้วย ที่น่าสนใจเพคตินยังใช้ในผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อีกด้วย ส่วนเจลาตินนิยมใช้ในการผลิตแคปซูล ของคบเคี้ยว เครื่องสำอาง ยาประเภททา และอาหารหลายชนิด เช่น เป็นส่วนผสมทั่วไปในซุป ซอส เยลลี่ และมาร์ชเมลโลว์ด้วย เจลาตินยังใช้กับสุขภาพเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น ช่วยอาการเล็บเปราะ ผิวหนังเสื่อมสภาพ และเจลาตินอุดมไปด้วยโปรตีนและกรดอะมิโนที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นด้วย

เจลาตินนำมาใช้ในครัวเรือนยากกว่าเพคตินที่มาจากพืช และเมื่อดูภูมิปัญญาท้องถิ่นก็จะพบว่าการแพทย์พื้นบ้านมีการนำพืชที่ให้วุ้นหรือมีสารเพคตินใช้เป็นอาหารและยา ด้วยสรรพคุณความเป็นวุ้นมีคุณสมบัติเป็นยาเย็น จึงนำมาแก้ร้อนใน แก้ไข้ดี โดยเฉพาะอากาศร้อนและค่าดัชนีความร้อนอยู่คู่สังคมไทย จึงพบว่ามีการนำวุ้นจากพืชมาเป็นอาหารช่วยคลายร้อนได้ดี เช่น นำต้นหมาน้อย Cyclea barbata Miers มาทำวุ้นกินได้ สรรพคุณของพืชวุ้นอย่างน้อย 4 ชนิดที่กล่าวไว้ข้างต้นยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีกด้วย เช่น ใช้แก้อาการโรคกระเพาะอาหารซึ่งคนในท้องถิ่นมีปัญหานี้กันจำนวนมาก

ฤดูฝนกำลังมา ช่วยกันส่งเสริมการปลูกพืชวุ้นสีเขียวและสีดำให้กว้างขวาง จะมีใช้ประโยชน์ต่อสุขภาพตนเองและชุมชนอย่างแน่นอน •



... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichonweekly.com/column/article_840586
16  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / Re: พระเครื่อง เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2568 13:20:34

เหรียญหลวงพ่อสุด รุ่นบัวเล็ก


เหรียญหลวงพ่อสุด รุ่นบัวใหญ่

เหรียญบัวเล็ก-บัวใหญ่ หลวงพ่อสุด วัดกาหลง สมุทรสาคร

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กรกฎาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2567


พระเกจิอาจารย์ชื่อดังมหาชัยมีอยู่จำนวนมาก ทั้งที่ละสังขารไปแล้วและยังดำรงขันธ์อยู่

ที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากคือ “หลวงพ่อสุด สิริธโร” หรือ “พระครูสมุทรธรรมสุนทร” อดีตเจ้าอาวาสวัดกาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

สร้างวัตถุมงคลมากมายที่ได้รับความนิยม อาทิ ยันต์ตะกร้อ ที่เด่นด้านอยู่ยงคงกระพัน

อีกรุ่นที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ เหรียญรุ่นปิตุภูมิ หรือ บัวเล็ก

จัดสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2522 ออกให้บูชาแก่ผู้ที่บริจาคทรัพย์ในการสร้างพระอุโบสถ วัดศรีมงคล จ.ร้อยเอ็ด สร้างด้วยเนื้อเงิน และเนื้อทองแดง ทุกเหรียญตอกโค้ด ส.เสือ ที่สังฆาฏิ ไม่ได้บันทึกจำนวนการสร้างไว้

ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว ด้านหน้า เป็นรูปจำลองนั่งสมาธิเต็มองค์ ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ข้างใต้มีรูปเสืออยู่ตัวหนึ่ง เขียนคำว่า “หลวงพ่อสุด วัดกาหลง”

ด้านหลัง เป็นยันต์ตะกร้อ ซึ่งเป็นยันต์ครูที่เป็นเอกลักษณ์ มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “รุ่นปิตุภูมิ เมตตาสร้างโบสถ์ วัดศรีมงคล จ.ร้อยเอ็ด”

นอกจากนี้ ยังมีเหรียญรุ่นมาตาปิตุภูมิ หรือเหรียญบัวใหญ่ ที่ได้รับความนิยมอีกเช่นกัน

รุ่นนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2522 ออกให้บูชากับผู้ที่บริจาคทรัพย์ในงานผูกพัทธสีมา วัดโพธิ์ไทร จ.ร้อยเอ็ด สร้างด้วยเนื้อเงิน และเนื้อทองแดง จำนวนการสร้างไม่ได้จดบันทึกไว้

ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว ด้านหน้า เป็นรูปจำลองนั่งสมาธิเต็มองค์ ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ข้างใต้มีรูปเสืออยู่ตัวหนึ่ง ใต้เสือมีเลขไทยเขียนว่า “๒๕๒๒” ขอบเหรียญมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “หลวงพ่อสุด วัดกาหลง”

ด้านหลัง เป็นยันต์ตะกร้อ ซึ่งเป็นยันต์ครูที่เป็นเอกลักษณ์ มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “รุ่นมาตาปิตุภูมิ งานผูกพัทธสีมา วัดโพธิ์ไทร อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด”

จัดเป็นเหรียญที่หายาก จำนวนการสร้างไม่ได้จดบันทึกไว้เช่นกัน




หลวงพ่อสุด รุ่นบัวเล็ก

อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สุด สัตย์ตัง เป็นชาว อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2445

บรรพชาเมื่ออายุ 16 ปี ที่วัดกลาง อ.พนมไพร โดยมีพระครูเม้า เป็นพระอุปัชฌาย์

อายุครบ 20 ปี อุปสมบทที่วัดกลาง เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2465

ออกธุดงค์เดินทางรอนแรมจากจังหวัดร้อยเอ็ด รอนแรมไปตามสถานที่ต่างๆ จวบจนมีชาวบ้านที่ตำบลกาหลง นิมนต์ให้จำพรรษาอยู่ที่วัด

ในห้วงเดินท่องธุดงค์ มีโอกาสร่ำเรียนวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายท่าน อาทิ หลวงพ่อรุ่ง ติสสโร วัดท่ากระบือ จ.สมุทรสาคร, หลวงพ่อคง ธัมมโชโต วัดบางกะพ้อม จ.สมุทรสงคราม เป็นต้น

มีความรู้ด้านภาษาลาวและภาษาขอม เข้าใจว่าหลังจากบวชเณรแล้วคงได้เดินธุดงค์อยู่ละแวกอีสานระยะหนึ่ง กว่าจะเดินทางมาถึงจังหวัดสมุทรสาครได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

ในยุคนั้นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของภาคอีสาน เดินทางมาแสวงหาความรู้ในกรุงเทพฯ มากมาย เช่น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จันทร์ สิริจันโท) เป็นต้น

พระเถระอาวุโสหลายรูปเคยเล่าว่าพระเณรจำนวนไม่ใช่น้อยที่มาตายอยู่ในป่า ด้วยต้องการจะเดินทางมาศึกษาเล่าเรียนในกรุงเทพฯ ผู้ที่ผ่านป่าดงดิบลึกมาได้โดยตลอดปลอดภัยจึงแก่วิทยาคมพอสมควร จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเดินผ่านเข้าดงดิบลึกที่มีทั้งไข้ป่า พิษว่าน สัตว์ร้ายนานาชนิด

ผ่านมาจนถึงวัดกาหลงได้ นับว่าเป็นยอดหนึ่งเดียวด้านวิทยาคม

ได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลมากมายหลายพิธีไม่ต่ำกว่า 100 ครั้ง โดยเฉพาะพิธีปลุกเสกพระพุทธ 25 ศตวรรษ

มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจากการเป็นพระอาจารย์ของตี๋ใหญ่ จอมโจรชื่อดัง ร่ำลือกันว่าเป็นผู้มอบเครื่องรางของขลังให้ตี๋ใหญ่ ทำให้รอดพ้นแคล้วคลาดจากการถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าจับกุม

อีกทั้งยังเป็นเกจิต้นตำรับยันต์ตะกร้อ ที่มีพุทธคุณด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี

ยันต์ตะกร้อ เป็นยันต์ที่จัดทำขึ้นมาด้วยการปลุกเสกลงอาคม โดยใช้ภาษาขอม เขมร และลาว ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง

แต่เดิมเป็นอาจารย์สักยันต์เลื่องชื่อ มีคนนิยมไปสักยันต์มาก ทั้งยันต์เสือเผ่นและยันต์ตะกร้อ ซึ่งผู้ที่ได้รับการสักยันต์จะอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะลูกศิษย์ชาวตังเก แต่บางคนประพฤติเป็นโจร ทำให้ยากต่อการปราบปรามจับกุม

ตอนหลังทางการต้องขอร้องให้เลิก

หลวงพ่อสุด เล่าเรื่องยันต์ตะกร้อไว้ว่า “ยันต์ตะกร้อทนทานแคล้วคลาด เมื่อตอนเป็นเด็กหลวงพ่อชอบดูการเตะตะกร้อมาก สวยดี ลองเตะบ้างมันเจ็บ ก็ลองคิดดูว่าจะเขียนอักขระยันต์อย่างไรให้งดงามไม่ไปซ้ำของใคร ได้เห็นเด็กๆ เตะตะกร้อเล่นที่ลานวัดกาหลง ก็เลยวาดแบบรอยสานตะกร้อดู พยายามอยู่นานจนได้ดี จุดสำคัญคือ สวยงามและตะกร้อนั้นแข็งแรงทนทาน หมายถึงความอดทนแคล้วคลาดของคนเรา โดนเท่าไรก็ไม่เป็นไร ใครเคยเห็นตะกร้อโดนเตะเพียงทีสองทีก็เสีย เคยเห็นไหม เห็นมีแต่คนเตะบ่นปวดเท้า ถือเป็นปรัชญาแห่งชีวิต ข้อหนึ่งคือความอดทนและมีศิลปะ”

ศิลปะการออกแบบยันต์ตะกร้อ นับว่าสุดยอดทั้งความงดงาม การลากเส้นอักขระขอม ลวดลายของยันต์สง่างามและสวยงามอย่างยิ่ง

ลําดับสมณศักดิ์

พ.ศ.2490 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี

พ.ศ.2511 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท

พ.ศ.2517 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิมที่ พระครูสมุทรธรรมสุนทร

มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2526 สิริอายุ 81 ปี • ... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichonweekly.com/column/article_784003




พระกริ่งอรหัง หลวงปู่แคล้ว

วัตถุมงคลพระกริ่งอรหัง หลวงปู่แคล้ว สุมุตโต พระเกจิลุ่มน้ำแม่กลอง

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2567


“พระเทพเมธากร” หรือ “หลวงปู่แคล้ว สุมุตโต” อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาชัยคล้ายนิมิตร ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พระเกจิผู้ทรงวิทยาคมเข้มขลังลุ่มน้ำแม่กลอง

จัดสร้างวัตถุมงคลต่างๆ ล้วนโดดเด่นเป็นเอกทั้งสิ้น โดยเฉพาะ “พระกริ่งอรหัง” ซึ่งปัจจุบันหาเช่าบูชาได้ยากยิ่ง

พระกริ่งอรหัง รุ่นแรก สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2516 ที่ระลึกในงานฉลองอายุวัฒนมงคลครบ 6 รอบ

ลักษณะเป็นพระกริ่งหล่อโบราณ แกะพิมพ์โดยนายช่างเกษม มงคลเจริญ ช่างแกะพระกริ่งชื่อดัง สร้างด้วยเนื้อนวโลหะเพียงเนื้อเดียวเท่านั้น

ด้านหน้า มีรูปจำลองพระพุทธปางสมาธิบนฐานเขียง องค์พระห่มจีวรลดไหล่ ที่ฐานเขียงมีอักขระยันต์อ่านว่า “อรหัง”

ด้านหลัง ที่ฐานเขียงมีอักขระยันต์อ่านว่า “สุมุตโต” ใต้ฐานเรียบตอกโค้ด “ส.”

เป็นอีกวัตถุมงคลที่ได้รับความศรัทธาเชื่อมั่น




หลวงปู่แคล้ว สุมุตโต

อัตโนประวัติมีนามเดิมว่า แคล้ว สุพรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2444 เป็นชาวบ้านหมู่ที่ 5 ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี บิดา-มารดาชื่อ นายเพิก และนางตุ๊กตา สุพรรณ

ในวัยเด็กเป็นเด็กที่ฉลาดกว่าเด็กทั่วไป บิดาจึงนำไปฝากไว้กับพระอาจารย์แก้ว วัดสวนหงษ์ ผู้เป็นลุง เพื่อศึกษาเล่าเรียนในสำนักวัดสวนหงษ์ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี จนอ่านออกเขียนได้ และบรรพชาที่วัดแห่งนี้

ขณะที่มีอายุ 20 ปี ได้มาเรียนต่อที่วัดเสน่หา เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งนักธรรมและบาลี

อายุครบ 21 ปี จึงเข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2465 ณ พัทธสีมาวัดเสน่หา ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม

ได้รับฉายาว่า สุมุตโต โดยมี พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) วัดเทพศิรินทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสังวรกิจ (อาจ ชุตินธโร) วัดเสน่หา เป็นพระกรรมวาจาจารย์

อยู่จำพรรษาที่วัดเสน่หาเรื่อยมา เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม และสวดมนต์บทต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล้ว

หลังจากที่อยู่จำพรรษาที่วัดเสน่หา 5 พรรษา จึงย้ายไปจำพรรษาที่วัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพฯ เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมบาลีต่อ จนสอบได้เปรียญ

พ.ศ.2480 ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดใหม่ หรือ วัดมหาชัยคล้ายนิมิตร ว่างลง คณะสงฆ์จึงมีคำสั่งให้มารักษาการเจ้าอาวาส และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2480

หลังจากขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัด มุ่งมั่นพัฒนาวัดอย่างสุดความสามารถ ทั้งการสร้างเสนาสนะต่างๆ จนวัดเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ

วัดมหาชัยคล้ายนิมิตร เดิมชื่อ วัดใหม่ สร้างเมื่อปี พ.ศ.2434 โดยหม่อมคล้าย บุนนาค ชายาในสมเด็จเจ้าพระยาบรมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ได้บริจาคที่ดินหมู่บ้านสนามไชยเพื่อสร้างวัด และได้บริจาคทรัพย์ก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ

ในปี พ.ศ.2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ ยังจังหวัดสมุทรสาคร โดยรถไฟสายคลองสาน-มหาชัย เพื่อเยี่ยมราษฎร

จากเอกสารสำคัญในสำนักราชเลขาธิการ คือ หนังสือประมวลพระบรมฉายาลักษณ์ ของ ร.8 ที่มีชื่อว่าอัฐมหาราชานุสรณ์ พิมพ์พระราชทานในงานพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งมีภาพในการเสด็จครั้งนั้น รวม 7 ภาพ เป็นหลักฐานว่า พระองค์เสด็จเยี่ยมราษฎรเมืองสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2489 เป็นการเสด็จส่วนพระองค์ มิได้มีหมายกำหนดการเป็นหลักฐานทางราชการแต่ประการใด

ตามบันทึกกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และสมเด็จพระอนุชาเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยข้าราชบริพารประมาณ 20 คน เสด็จโดยรถไฟขบวนพิเศษเป็นราชพาหนะ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2489 พระสมุทรคุณากร เจ้าคณะจังหวัด เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ สวดชยันโต ถวายพระพรเป็นคำรบแรก

หลังทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้ที่คอยเฝ้าฯ รับเสด็จเพียงเล็กน้อยแล้ว พระสมุทรคุณากร จึงได้นำเสด็จไปนมัสการพระประธานในพระอุโบสถวัดมหาชัยคล้ายนิมิตร ซึ่งขณะนั้นพระมหาแคล้ว สุมุตโต เจ้าอาวาสได้เตรียมการรับเสด็จไว้พร้อมแล้ว การเสด็จต้องพระราชดำเนินด้วยพระบาทโดยตลอด เพราะมีถนนอยู่สายเดียว จะมีรถสามล้อเพียงไม่กี่คัน และพระองค์ก็ไม่มีพระประสงค์จะเสด็จโดยรถสามล้อ

ทางวัดได้จัดปูลาดพระบาทตั้งแต่ประตูทางเข้าวัดจนถึงประตูพระอุโบสถ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระอนุชา เข้านมัสการพระประธานแล้ว ก่อนจะเสด็จออกจากพระอุโบสถได้ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์บำรุงวัดจำนวน 200 บาท

เงินจำนวนนี้ ทางวัดพิจารณาเห็นว่าเป็นพระราชทรัพย์ที่มีคุณค่าเป็นอเนกประการ ไม่ควรจะนำไปจับจ่ายใช้สอยให้สิ้นเปลือง จึงได้นำไปสมทบทุนมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อเป็นเงินบำรุงการศึกษาปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณรมาจนทุกวันนี้ จากนั้นทั้งสองพระองค์ได้เสด็จทางชลมารคไปฝั่งท่าฉลอม และเสด็จกลับโดยรถไฟขบวนพิเศษ พระสงฆ์สวดชยันโตถวายพระพรส่งเสด็จอีกคำรบหนึ่ง

ลำดับงานปกครอง

พ.ศ.2488 เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองมหาชัย

พ.ศ.2495 เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2490 เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่พระครูพิสณฑวินัยกิจ

พ.ศ.2496 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระพิสณฑวินัยกิจ เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร ฝ่ายธรรมยุต

พ.ศ.2498 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะที่พระเทพเมธากร

ทำนุบำรุงวัดมหาชัยคล้ายนิมิตรจนรุ่งเรือง เป็นพระที่สมถะ มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย

ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2540 เวลา 04.45 น. สิริอายุ 96 ปี พรรษา 75 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichonweekly.com/column/article_785793




เหรียญหลวงพ่อเที่ยง รุ่นเสือเผ่น


เหรียญหลวงพ่อเที่ยง รุ่นผู้ชนะ

เหรียญรุ่นเสือเผ่น-ผู้ชนะ หลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุม กาญจนบุรี

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 สิงหาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2567


“พระครูจันทสโรภาส” หรือ “หลวงพ่อเที่ยง จันทสโร” อดีตเจ้าอาวาสวัดม่วงชุม และอดีตเจ้าคณะตำบลม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เจ้าตำรับตะกรุดหนังเสืออันลือลั่น

เป็นศิษย์และมีศักดิ์เป็นหลานพระวิสุทธิรังษี (หลวงปู่เปลี่ยน) วัดใต้ หรือวัดไชยชุมพลชนะสงคราม พระเกจิชื่อดัง รวมทั้งสหธรรมิกกับหลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง อีกทั้งมีความสนิทสนมอย่างมากกับ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จังหวัดนครปฐมด้วย

ว่ากันว่าเรียนวิชาทำตะกรุดหนังเสือจากสำนักเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังมีสหธรรมิกอีกหลายรูป ที่ได้พบปะเจอะเจอในงานพุทธาภิเษกต่างๆ อาทิ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่, หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก, หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว เป็นต้น

วัตถุมงคลทุกรุ่นล้วนได้รับความนิยม โดยเฉพาะ “เหรียญรุ่นเสือเผ่น”

สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2519 จัดสร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียวเท่านั้น โดยแบ่งออกเป็นเนื้อทองแดงกะไหล่ทองลงยา และเนื้อทองแดงรมดำ จำนวนการสร้างไม่ได้จดบันทึกไว้

ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปเสมา แบบมีหูในตัว ด้านหน้าเป็นรูปจำลองครึ่งองค์ ห่มจีวรคลุมไหล่ มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “พระครูจันทสโรภาส (เที่ยง)”

ด้านหลังเป็นรูปพัดยศ และรูปเสือเผ่น พร้อมเลขไทย เขียนคำว่า “๒๕๑๙” มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “วัดม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี”

นอกจากนี้ เหรียญรุ่นผู้ชนะ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

รุ่นนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2520 มอบให้กับลูกศิษย์ลูกหา จัดสร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียวเท่านั้น ทุกเหรียญจะตอกโค้ดที่ใต้อาสนะ จำนวนการสร้างไม่ได้จดบันทึกไว้เช่นกัน

ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว ด้านหน้า เป็นรูปเหมือนนั่งขัดสมาธิเต็มองค์ ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ รัดประคด มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “หลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุม อายุ ๙๐” มีการตอกโค้ด ไว้ใต้รูปหลวงพ่อ

ด้านหลังเป็นรูปยันต์สาม มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “ผู้ชนะ กาญจนบุรี” เป็นวัตถุมงคลอีกรุ่นที่หายากในปัจจุบัน




หลวงพ่อเที่ยง จันทสโร

อัตโนประวัติมีนามเดิมว่า เที่ยง ท่านกเอี้ยง เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ปีชวด ที่บ้านม่วงชุม ต.ม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2431 เป็นบุตรของนายเขียวและนางทองแคล้ว ท่านกเอี้ยง มีพี่น้องรวม 8 คน

ในวัยเด็ก มีอุปนิสัยชอบทางด้านชกมวย และรักความยุติธรรม เป็นคนพูดแบบตรงไปตรงมาไม่เกรงกลัวใคร จึงเป็นที่รักของเด็กวัยเดียวกัน ยกให้เป็นพี่ใหญ่

พ.ศ.2452 อายุ 21 ปีบริบูรณ์ ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเป็นเวลา 2 ปี หลังปลดประจำการ กลับมาอยู่บ้านประกอบอาชีพทำนา

อายุ 24 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมาวัดบ้านถ้ำ อยู่ศึกษาเล่าเรียนกับอุปัชฌาย์ระยะหนึ่ง แล้วย้ายมาอยู่จำพรรษาที่วัดม่วงชุม ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้าน

เนื่องจากในวัยเด็กมีโอกาสเล่าเรียนไม่มาก เพราะขาดแคลนครูและห้องเรียน ยิ่งเรียนก็มีความสุขกับการเรียน ทำให้มีความแตกฉานอย่างมาก

หลังจากศึกษาพระปริยัติธรรม และพิธีกรรมต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา จึงเริ่มหันมาศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานและวิทยาคมกับหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ ในฐานะที่มีศักดิ์เป็นหลาน จึงได้รับความเมตตาเป็นพิเศษในการถ่ายทอดสรรพวิชาด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านวิทยาคม จนมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก

ชาวบ้านทั่วไปมักกล่าวขวัญว่า “ใครแขวนวัตถุมงคลของท่าน แมลงวันไม่ได้กินเลือด” หมายความว่า คนคนนั้นหนังเหนียว แทงไม่เข้า ยิงไม่ออก

แม้แต่หลวงปู่แย้ม พระเกจิอาจารย์ดังแห่งวัดสามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ยังกล่าวยกย่องว่าเก่งกล้า โดยเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อเต๋ คงทอง (อาจารย์หลวงปู่แย้ม) ซึ่งทั้งสองท่าน ต่างมีชื่อเสียงอย่างมากในการสร้างตะกรุดหนังหน้าผากเสือ

เป็นพระของชาวบ้านชนบทโดยแท้ พูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ภาษาที่ใช้สื่อสารก็เหมือนหลวงพ่อคูณ เป็นภาษาไทยแท้ๆ ฟังไม่เพราะหู แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ญาติโยมที่ไปขอความช่วยเหลือจากท่านจะได้รับความเมตตาช่วยเหลือในทุกๆ เรื่องด้วยดี

จากการบอกเล่าของชาวบ้านกล่าวว่าชอบกีฬาชกมวยอย่างมาก การละเล่นนิยมลิเกและหนังตะลุง เป็นพระโบราณลูกทุ่งชนบท ชอบฉันหมากไม่เคยขาดปากเลย จึงเป็นที่มาของการสร้างพระเครื่องเนื้อชานหมากที่โด่งดัง

ลงมือสร้างอุโบสถเมื่อปี พ.ศ.2484 ค่อยสร้างอุโบสถตามกำลังที่มี โดยไม่เรี่ยไร เพราะไม่ต้องการเป็นภาระของชาวบ้าน

ช่วงนั้นประเทศไทยยังตกอยู่ในระหว่างปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองกาญจน์ได้รับผลกระทบจากภัยสงครามอย่างมาก ด้วยทหารญี่ปุ่นมาตั้งฐานทัพหลายแห่ง ทำให้ทหารพันธมิตรนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเพื่อทำลายฐานทัพของญี่ปุ่น

เป็นเหตุให้สภาพเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง แต่ชาวบ้านก็ช่วยบริจาคทุนทรัพย์สร้างอุโบสถจนสำเร็จ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2494

มรณภาพด้วยอาการสงบ เวลา 09.00 น. เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2523 ที่วัดม่วงชุม สิริอายุ 92 ปี พรรษา 69

วัดเก็บสรีระของท่านไว้นาน 10 ปี ปรากฏว่าสังขารของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย จึงพร้อมใจกันสร้างมณฑป พร้อมทั้งโลงแก้วบรรจุร่างไว้ให้กราบไหว้ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2534 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichonweekly.com/column/article_787406
17  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / ถ้ำ Nutty Putty โศกนาฏกรรมการตายที่ทรมานที่สุดในท่าห้อยหัวลง 28 ช.ม. เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2568 12:21:31






ถ้ำ Nutty Putty โศกนาฏกรรมการตายที่ทรมานที่สุด
ในท่าห้อยหัวลง 28 ชั่วโมง ก่อนการหมดลม

ถ้ำนัตตี้พัตตี้ (Nutty Putty) ในเมืองซอลต์เลก รัฐยูทาห์ นั้นก็เป็นถ้ำยอดนิยมของเหล่านักสำรวจถ้ำ เพราะได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในถ้ำที่อันตรายที่สุด และชื่อ Nutty Putty นั่นก็มีที่มาจากผนังด้านในถ้ำที่มีผิวอ่อนนุ่มเหมือนกับสีที่ใช้โป๊ผนัง

ไม่มีนักสำรวจถ้ำคนใดสามารถเข้าไปในถ้ำนัตตี้พัตตี้ได้อีกต่อไป เพราะทางรัฐได้ทำการปิดตายทางเข้าถ้ำด้วยคอนกรีตมาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว หลังจากเกิดเหตุโศกสลด กับการเสียชีวิตของ จอห์น เอ็ดเวิร์ด โจนส์ (John Edward Jones) นักสำรวจถ้ำ และเป็นการตายที่เชื่อกันว่า โจนส์จะต้องเผชิญกับความอึดอัดทรมานอย่างสุดแสนก่อนที่จะหมดลมหายใจ เนื่องจากร่างของเขาอยู่ในท่าห้อยหัวลงเพราะติดอยู่ในอุโมงค์แคบเป็นเวลา 28 ชั่วโมง

จอห์น เอ็ดเวิร์ด โจนส์ เป็นนักศึกษาแพทย์ วัย 26 ปี เขาเป็นผู้ที่หลงใหลในกิจกรรมสำรวจถ้ำมาตั้งแต่เยาว์วัย ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2009 เขาและจอช น้องชายของเขา รวมไปถึงเพื่อน ๆ อีก 11 คนได้ชวนกันลงไปในถ้ำนัตตี้พัตตี้ จอห์นพบกับเหตุวิกฤตเมื่อเขามุดอุโมงค์ผ่านเส้นทางไปยังจุดที่รู้จักกันในชื่อ “Birth Canal” ซึ่งเป็นช่องทางที่แคบมาก นักสำรวจจะต้องคลานกระดืบเข้าไปทีละนิด ทีละนิด ตลอดระยะทาง 120 เมตรนับจากทางเข้าถ้ำ ซึ่งจอห์นเลือกที่จะสำรวจเส้นทางนี้ก็เพราะเขาจำได้ว่าเคยผ่านเส้นทางนี้มาแล้วเมื่อตอนยังเด็ก

จนมาถึงจุดที่เป็นทางหักศอกรูปตัว L แล้วยังเป็นช่วงที่แคบที่สุด กว้างคูณยาวที่ 25 x 46 ซม. เท่านั้น ทำให้ร่างของจอห์นติดคาอยู่ที่จุดนั้นในลักษณะห้อยหัวลง แน่นอนว่าเขาไม่มีทางที่จะถอยหลังกลับได้ จอห์นจึงพยายามหายใจออกให้มากที่สุด เพื่อให้ลำตัวลีบลงแล้วจะได้กระดืบร่างผ่านจุดนั้นไปได้ แต่พอหมดแรงกลั้นหายใจ จำต้องหายใจเข้าอีกครั้ง หน้าอกของเขาก็ขยายตัวออก และทำให้ร่างจอห์นติดแหง็กคาอยู่จุดนั้น

จอชตามมาพบพี่ชายเป็นคนแรก จอชคว้าขาของจอห์นไว้แล้วพยายามดึงตัวพี่ชายขึ้นมา แต่ไม่สำเร็จ ยิ่งพยายามดึง ร่างจอห์นก็ยิ่งไถลลึกลงไปอีก จอห์นล็อกตัวเองคาอุโมงค์ในท่าที่แขนของเขาสอดอยู่ใต้อก เมื่อหมดสิ้นหนทางจะช่วยพี่ชาย จอชรีบออกจากถ้ำไปแจ้งเหตุฉุกเฉินขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัย
หน่วยกู้ภัยจากสำนักงานนายอำเภอยูทาห์เคาน์ตี้รีบรุดมายังที่เกิดเหตุทันที แล้วหน่วยกู้ภัยก็พบว่า “จอห์นอยู่ในตำแหน่งที่เลวร้ายที่สุดของเส้นทางในถ้ำนี้”

“มันเป็นช่วงที่แคบมาก และน่าอึดอัดมาก ยากมากที่หน่วยกู้ภัยจะลงไปยังจุดนั้นได้ มันเป็นจุดที่คับแคบจริง ๆ แต่เราก็พยายามกันจนไปใกล้ตัวเขาได้ บางช่วงเราก็จับมือเขาได้” ชอว์น ราวนด์ดี หนึ่งในหน่วยกู้ภัยเล่าเหตุการณ์

ในที่สุด หน่วยกู้ภัยก็เลือกใช้ระบบรอกเชือก แล้วสามารถดึงร่างของจอห์นให้ขยับถอยออกมาได้ แต่ถึงตอนนั้น จอห์นก็อยู่ในท่าห้อยหัวมา 8 ชั่วโมงแล้ว ทางหน่วยกู้ภัยก็สามารถส่งน้ำและอาหารไปให้เขาได้ จอห์นยังสามารถพูดกับภรรยาของเขาผ่านวิทยุตำรวจได้ด้วย

ในขณะที่ทุกคนกำลังเริ่มที่จะโล่งใจ แต่แล้วก็เกิดเหตุพลิกผันให้ทุกคนใจสลาย

ระบบรอกขัดข้องกะทันหันแล้วส่งร่างจอห์นกลับไปยังตำแหน่งเดิม ปฏิบัติการช่วยเหลือถอยหลังกลับมาเริ่มนับ 1 ใหม่อีกครั้ง

“ถึงตอนนี้ร่างกายเขาไม่ค่อยไหวแล้ว เพราะเขาเจอแรงกดทับบนหน้าอกและแผ่นหลังหนักมาก แต่ร่างกายเขาก็มีความยืดหยุ่นอย่างเหลือเชื่อเลยนะ และมีกำลังใจดีมากสำหรับคนที่เผชิญสถานการณ์แบบนี้นะ” จ่าสิบเอกสเปนเซอร์ แคนนอน กล่าวกับผู้สื่อข่าว

หน่วยกู้ภัยลองใช้วิธีอื่น คราวนี้ใช้เครื่องสกัดหินมากะเทาะหินรอบ ๆ ตัวจอห์นออก แต่เมื่อปฏิบัติการช่วยเหลือดำเนินไปเป็นเวลา 24 ชั่วโมงแล้ว ร่างกายของจอห์นที่เผชิญแรงกดทับและความเครียดมายาวนาน และพยายามกระเสือกกระสนที่จะหายใจอยู่หลายชั่วโมง และแล้วร่างของจอห์นก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองในช่วงใกล้เที่ยงคืน

ปฏิบัติการช่วยเหลือเป็นอันยุติลง ทางรัฐตัดสินใจปิดทางเข้าถ้ำด้วยคอนกรีตในขณะที่ร่างจอห์นยังคงถูกทิ้งคาไว้ในถ้ำตลอดไป



18  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: เงินโบราณ - เหรียญกษาปณ์เงิน พระบรมรูป ตราแผ่นดิน เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2568 12:10:23



เหรียญกษาปณ์เงิน พระบรมรูป ตราแผ่นดิน

เหรียญกษาปณ์ทองแดงนี้เกิดขึ้นจากการขาดแคลนเหรียญชนิดราคาปลีกที่จำเป็นต้องใช้ในท้องตลาด เหรียญปลีกในเวลานั้นส่วนใหญ่เป็นดีบุกและทองแดง ซึ่งส่วนหนึ่งราษฎรหลอมไปขายเนื่องจากขณะนั้นราคาโลหะสูงกว่าราคาหน้าเหรียญ เมื่อเหรียญปลีกย่อยขาดแคลนทำให้ราษฎรนิยมใช้ปี้กระเบื้องโรงบ่อนเป็นเงินปลีกแทน จึงโปรดเกล้าฯ ให้สั่งทำเหรียญทองแดง ตรา จ.ป.ร. ช่อชัยพฤกษ์ จากโรงกษาปณ์เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ประกาศออกใช้ครั้งแรกชนิดราคาเสี้ยว อัฐ โสฬส ใน พ.ศ.๒๔๑๘ ส่วนราคาซีกออกใช้หลังจากนั้น ๒ ปี

ขอชวนมาชมเหรียญกษาปณ์ทองแดง จ.ป.ร. ช่อชัยพฤกษ์ ที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถเข้าชมได้ วันอังคาร - อาทิตย์ เวลา ๐๙.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. โดยไม่ต้องจองล่วงหน้า (กรณีต้องการผู้นำชม มี ๓ รอบ ได้แก่ ๑๐.๓๐ น. ๑๓.๓๐ น. และ ๑๕.๐๐ น.)


ที่มา ศูนย์การเรียนรู้แบงก์ชาติ - BOTLC [/size]

ที่มา ศูนย์การเรียนรู้แบงก์ชาติ - BOTLC
19  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / พาสต้าวองโกเล่น ปลาหมึก-หอยลาย เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2568 12:29:32


พาสต้าวองโกเล่น ปลาหมึก-หอยลาย

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568
คอลัมน์    - อาทิตย์ละมื้อ
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ.2568


วนกลับมายังจักรวาลของ พาสต้า อาหารจานเส้นสไตล์อิตาเลียนอีกครั้งหนึ่ง (เป็นความชอบส่วนตัว)

และมาถึงคิวของ พาสต้าวองโกเล่ ที่มีต้นทางจากเนเปิล เมืองแถบทางใต้ของอิตาลี ชื่อก็ตรงตัว วอลโกเล่ Vongole คือหอยลายสด

แต่ก็นิยมเพิ่มเติมวัตถุดิบที่เป็นอาหารทะเลเข้าไปด้วย รสชาติจึงอร่อย สดชื่น เบาๆ

เหมาะที่จะเป็นเมนูเรียกน้ำย่อย กินคู่กับไวน์ขาวยิ่งเข้ากันมาก

ส่วนประกอบ
พาสต้า (ลิงกวินี), หอยลาย, หมึกสด หั่นแว่น, กระเทียม, พริกแห้ง, ไวน์ขาว, น้ำมันมะกอก, เกลือ, พริกไทยดำป่น, พาสลีย์สับ

วิธีทำ
1. ต้มเส้นพาสต้าในน้ำเกลือเดือดให้ “อัลเดนเต้” (ไม่นิ่มเกินไป) แล้วสะเด็ดน้ำ พักไว้

2. ทำซอสวองโกเล่ ตั้งกระทะไฟกลาง ใส่น้ำมันมะกอก ผัดกระเทียมจนหอม (อย่าให้ไหม้) ใส่พริกแห้งทุบลงไปผัดเพิ่มรสเผ็ด

3. ใส่หมึกและหอยลายลงไปผัดเร็วๆ แล้วเติมไวน์ขาว ปิดฝาไว้ประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้หอยลายเปิดเปลือก

4. หอยลายเริ่มเปิดเปลือก ใส่เส้นพาสต้าลงคลุกในกระทะ เติมน้ำต้มพาสต้าทีละนิด เพื่อให้ซอสเคลือบเส้นอย่างกลมกล่อม ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทยดำ

5. โรยพาสลีย์สับ คลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง เป็นอันเสร็จ

ตักใส่จานก้นลึก ใส่น้ำซอสลงไปทั้งหมด ยกเสิร์ฟร้อนๆ อร่อยชัวร์ •



... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichonweekly.com/column/article_838691
20  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: อารยธรรมโลกโบราณ เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2568 12:23:58


รถม้าแห่งมอนเตเลโอเน

The Chariot of Monteleone (530 ปีก่อนคริสตกาล)—ผลงานชิ้นเอกของชาวอีทรัสคันที่เล่าถึงตำนานของอคิลลีสที่ประดับด้วยบรอนซ์ ทอง และงาช้าง การผสมผสานระหว่างตำนานกรีกกับอัจฉริยภาพของภาษาอิตาลี ศิลปะโบราณ อารยธรรมที่สาบสูญ

รถม้าพิธีกรรมของชาวอีทรัสคันคันนี้ถูกค้นพบในปี 1902 ในทุ่งนาของชาวนาใกล้กับ Monteleone di Spoleto ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นหนึ่งในรถม้าสำริดที่งดงามที่สุดในยุคโบราณ แผงด้านหน้า เป็นรูปอะคิลลิสกำลังรับเกราะจากธีทิส มารดาที่เป็นนางไม้แห่งท้องทะเลของเขารถม้าคันนี้สร้างขึ้นสำหรับเจ้าชายอีทรัสคันผู้มั่งคั่ง และถูกฝังไว้เป็นสัญลักษณ์สถานะ ไม่ใช่เพื่อใช้ในสงคราม





ตั้งแต่การราชาภิเษกของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 ในปี ค.ศ.1308 เป็นต้นมา มีพระมหากษัตริย์ 26 พระองค์ได้รับการสวมมงกุฎด้วยเก้าอี้ตัวนี้ โดยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 พระราชบิดาของพระองค์เป็นผู้สั่งทำเก้าอี้ตัวนี้  ในตอนแรกให้เป็น "กล่องบรรจุอัฐิ" ของบ้าน Stone of Destiny หรือที่รู้จักกันในชื่อ Stone of Scone ในฐานะสัญลักษณ์โบราณของสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งสกอตแลนด์  ถูกพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ยึดไปในปี ค.ศ.1296 และเป็นส่วนหนึ่งของพิธีราชาภิเษกในอังกฤษและบริเตนใหญ่นับแต่นั้นเป็นต้นมา




พิณโค้งซึ่งมีอายุย้อนไปถึงราชวงศ์ที่ 19 (ประมาณ 1295-1186 ปีก่อนคริสตศักราช) ของอาณาจักรใหม่ พิณนี้แกะสลักจากไม้มะเกลือและมี 16 สาย ซึ่งน่าจะทำให้เสียงมีความดังก้องกังวานและก้องกังวาน

“... พิณถูกใช้ครั้งแรกในเมโสโปเตเมียเมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช แต่เมื่อพบเห็นครั้งแรกในอียิปต์เมื่อ 2500 ปีก่อนคริสตศักราช รูปร่างของพิณนั้นเป็นเอกลักษณ์ของอียิปต์ โครงสร้างมีความซับซ้อนมากกว่าเครื่องเป่าและเครื่องกระทบ และบางชิ้นก็ใช้วัสดุที่มีค่ามากกว่า กษัตริย์อาโมสทรงมีพิณที่ทำด้วยไม้มะเกลือ ทอง และเงิน และทุตโมสที่ 3 ทรงว่าจ้างให้สร้าง “พิณที่งดงามซึ่งประดิษฐ์จากเงิน ทอง ลาพิส ลาซูลี มาลาไคต์ และหินมีค่าทุกชนิด”

ปัจจุบันผลงานชิ้นนี้จัดแสดงอยู่ที่ Antikenmuseum Basel und Sammlung Ludwig (Basel Museum of Ancient Art and Ludwig Collection), Basel, Switzerland.





อัญมณีแห่งอำนาจ: ลูกโลกแห่งอัญมณีของเปอร์เซีย

ลูกโลกอันวิจิตรงดงามชิ้นนี้ถือเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่ตระการตาที่สุดจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎของเปอร์เซีย โดยประดิษฐ์จากทองคำแท้กว่า 34 กิโลกรัม และประดับด้วยอัญมณีล้ำค่ากว่า 51,000 ชิ้น รวมถึงเพชร มรกต ทับทิม และไพลิน

ลูกโลกนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยของชาห์ นัสเซเรดิน (ค.ศ.1848–1896) และไม่เพียงแต่เป็นงานฝีมืออันมหัศจรรย์เท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความมั่งคั่งและศิลปะของจักรวรรดิได้อย่างกล้าหาญอีกด้วย อัญมณีแต่ละชิ้นถูกจัดวางอย่างพิถีพิถันเพื่อระบุทวีป มหาสมุทร และอาณาเขต โดยผสมผสานการทำแผนที่เข้ากับความหรูหราของราชวงศ์

ลูกโลกนี้ผสมผสานวิทยาศาสตร์ สัญลักษณ์ และความงดงามได้อย่างไม่ธรรมดา และยังคงเป็นชิ้นที่โดดเด่นที่สุดชิ้นหนึ่งในคลังสมบัติของราชวงศ์อิหร่าน





ต่างหู - ศตวรรษที่ 2 ก่อนสมัยเฮลเลนิสติก (323-31 B.C)








หน้า:  [1] 2 3 ... 132
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.506 วินาที กับ 21 คำสั่ง

Google visited last this page วานนี้