คติ - สัญลักษณ์สถาปัตยกรรมไทย
ดอกบัว
พืชพรรณ ในพุทธศาสนา : ดอกบัว
ดอกบัวเพิ่งจะเป็นจุดสนใจ พิเศษในสัปดาห์นี้เมื่อมีการปรับภูมิทัศน์ในทำเนียบรัฐบาล และมีอ่างบัวมาวางไว้ เจ้าหน้าที่ระบุว่าเพื่อความสวยงามและเป็นสิริมงคล
ดอกบัวเป็นไม้น้ำ เกิดขึ้นได้ทั่วไปโดยเฉพาะในแถบเขตร้อน คุณลักษณะเด่นของดอกบัว ใบบัว ก็คือ ไม่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกใดๆ แม้เกิดขึ้น เจริญงอกงามในพื้นที่ที่ดูสกปรก เลอะเทอะ เต็มไปด้วยโคลนตมก็ตาม
จากเอกสารบรรยายเรื่องบัวกับวัฒนธรรมไทย โดยนาวาอากาศตรีหญิง ปริมภาก ชูเกียรติมัน กล่าวถึงเรื่องของดอกบัวมีอยู่ในไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง มี ๗ ชนิด มีชื่อดังนี้ คือ นิลุบล รัตตบล เสตุบล จงกลนี บัวแดง บัวขาวและกมุท
ในรายงานเล่มเดียวกันนี้ได้กล่าวถึงพระยาวินิจวนันดรได้รวบรวมลักษณะของพืชที่ปลูกเลี้ยงกันในเมืองไทยและกล่าวถึงบัวไทย ๑๑ ชื่อ คือ บัวสายขาวดอกเข็ม บัวสายขาวหรือ สัตตบุษย์ บัวสายแดง สัตตบรรณ จงกลนี บัวผัน บัวเผื่อน บัวผันสีครามแก่หรือนิลุบล บัวหลวงดอกไม้ซ้อนสีขาวบัวหลวงดอกไม้ซ้อนแดง สัตตบงกช สัตตบุษย์
ดอกบัวที่เป็นสัญลักษณ์ในทางพุทธศาสนาหมายถึง ความบริสุทธิ์ไม่ข้องติดกับกิเลสหรือความสกปรกใดๆ แม้พัวพันอยู่กับสิ่งนั้นก็ตาม
ภาพพระพุทธรูปทั้งรูปวาดและรูปปั้น ไม่ว่าประทับยืนหรือนั่ง จะประทับอยู่บนดอกบัว อันหมายถึงความพ้นไปแล้ว อยู่เหนือความบริสุทธิ์ไม่ข้องติดกับกิเลสที่เป็นต้นเหตุของการเกิดมีเกิดเป็น พ้นจากโลกธรรมทั้งปวง
บัวที่ใช้เป็นสัญลักษณ์บูชาพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูป จะใช้บัวหลวงดอกใหญ่ เช่น บัวสัตตบุษย์สีขาวดอกใหญ่
นอกจากนี้บัวยังใช้เป็นสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมก็คือ การนำรูปแบบของบัวมาประดับเป็นยอดเสา พระอุโบสถหรือมหาวิหาร เรียกว่า บัวกลุ่มหัวเสาสำหรับเสากลาง และเรียกบัวแวงหรือบัวเกสรหัวเสา สำหรับเสารูปทรงเหลี่ยม การนำสัญลักษณ์ของดอกบัวมาเป็นส่วนประกอบของหัวเสาก็คือความหมายของการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกบัวหรือด้วยความบริสุทธิ์
พืชพรรณในพุทธศาสนา : ต้นโพธิ์
ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ใหญ่ ชื่อจริงในภาษาบาลีชื่อว่า อัตสัตถะ แต่ที่เรียกต้นโพธิ์เนื่องจากเป็นต้นไม้ใหญ่อันเป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในขณะตรัสรู้
การจะเรียกต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น ต้องเรียกว่า ต้นศรีมหาโพธิ และก็ใช้เรียกหน่อที่เติบโตจากต้นศรีมหาโพธิเช่นเดียวกัน
คำว่า โพธ แปลว่า ความรู้ ความเข้าใจ
โพธิ์ แปลว่า ความตรัสรู้ คือความรู้ในความเป็นจริงที่เรียกว่า รู้ในอริยสัจ
พุทธหรือพุทธะ เป็นคำนาม แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่นแล้ว ผู้เบิกบานแล้ว
คำว่า ตรัสรู้หรือความรู้ในความจริง หมายความในทางภาษาเรียกว่า รู้แจ้ง รู้ชัด
ในความหมายที่ปรากฏอยู่ในปฐมเทศนา พระพุทธเจ้าได้กล่าวแก่ปัญจวัคคีย์มีถ้อยคำบางคำที่บอกถึงความหมายของคำว่ารู้แจ้งรู้ชัด
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชา แสงสว่างได้บังเกิดแก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน คำว่า จักษุ ญาณ ปัญญา วิชา แสงสว่าง หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ อย่างที่สุด
ในภาษาอังกฤษน่าจะหมายถึงคำว่า ENLIGHTMENT
มีความเชื่อกันในประเทศไทยว่า ได้มีการนำหน่อศรีมหาโพธิมาปลูกและเจริญเติบโตในประเทศไทยอยู่หลายแห่ง เช่น ที่อำเภอศรีมหาโพธิ ปราจีนบุรี เป็นต้น
วัดวาอารามทางพุทธศาสนาหลายแห่งจึงมักจะปลูกหน่อศรีมหาโพธิไว้เป็นสัญลักษณ์ที่เรียกว่าบริโภคเจดีย์ เพื่อระลึกถึงสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและหมายทางนามธรรมก็คือ ณ ที่นี้ พระพุทธศาสนาอันหมายถึงความรู้แจ้ง รู้จริง ในอริยสัจนั้น ได้หยั่งรากลง ณ ที่นี้แล้ว
ต้นไม้ในพุทธศาสนา - ต้นสาละ
สัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ใช้แสดงความหมายบางอย่างทางพุทธศาสนา ที่เป็นทั้งการกล่าวถึงทางพุทธประวั และงานศิลปะทางศาสนาก็คือต้นไม้ที่แสดงถึงความหมายต่างๆ กัน
ต้นไม้ชนิดแรกที่กล่าวถึงในพุทธประวัติก็คือ การประสูติของพระพุทธเจ้าที่ตำบลลุมพินี ณ ใต้ต้นสาละ ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ระหว่างทางกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ
ต้นสาละ ชื่อในทางบาลี สาละ, อสสกณณ, อสสกณณโณ จึงเป็นสัญลักษณ์ของการประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ขณะเดียวกันก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ก็ประทับอยู่ที่ใต้ต้นสาละริมแม่น้ำเนรัญชราก่อนจะเสด็จไปประทับที่ใต้ต้นโพธิ์และตรัสรู้ ในสมัยที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานพระพุทธองค์ก็ไปประทับอยู่ใต้ต้นสาละคู่
ต้นสาละจึงน่าจะเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า
ต้นสาละนั้นมี ๒ ชนิด คือ สาละอินเดียกับสาละลังกา สาละอินเดียจะเกี่ยวพันกับพระพุทธเจ้าดังกล่าวข้างต้น สาละอินเดียกับสาละลังกาอยู่ในวงศ์ที่แตกต่างกัน สาละอินเดียอยู่ในวงศ์พวกเดียวกับไม้พะยอม เต็ง รัง เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ออกดอกสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอม
ส่วนสาละลังกาหรือต้นลูกปืนใหญ่ เป็นพืชอยู่ในวงศ์ต้นจัก มีดอกสีชมพูอมเหลืองแดง กลิ่นหอม ที่วัดพระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี ปลูกไว้ด้านทางเข้าวิหารพระนอน สาละลังกาไม่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า
ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี
ต้นโพธิ์
ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในวันเพ็ญเดือนหก เมื่อ ๒,๖๐๐ ปี
เดิมต้นโพธิ์มีชื่อว่า อัตสัตถะต้นอัตสัตถะที่พระพุทธเจ้าประทับ ณ วันตรัสรู้นั้น เรียกต้นศรีมหาโพธิ
- โพธ แปลว่า ความรู้ ความเข้าใจ
- โพธิ แปลว่า ความตรัสรู้
เพราะฉะนั้น ต้นโพธิ์จึงเป็นสัญลักษณ์หลายประการทางพุทธศาสนา เช่น เป็นสัญลักษณ์ของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
- โพธิบัลลังก์ อาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับใต้ต้นศรีมหาโพธิ
- โพธิปักขิยธรรม ธรรมเป็นไปในฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้
- โพธิสัตว์ ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
ปัจจุบัน ต้นศรีมหาโพธิที่พุทธคยาในอินเดีย เป็นหน่อที่ ๓ ของต้นศรีมหาโพธิที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
ในประเทศไทย วัดทางพระพุทธศาสนาจึงมักจะปลูกต้นโพธิ์เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ต้นโพธิ์สำคัญต้นหนึ่งในประเทศไทยคือ ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี เชื่อกันว่าเป็นหน่อหนึ่งของต้นศรีมหาโพธิที่พระพุทธเจ้าประทับ และได้นำมาปลูกในสมัยทวารวดี คือ ประมาณ ๑,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว
ดอกบัว
การที่ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ เพราะดอกบัวเกิดในน้ำ ในพื้นที่ชื้นแฉะ แต่จะไม่มีสิ่งใดติดกับดอกบัวได้
ในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีคำบริกรรมอยู่คำหนึ่งที่ใช้ท่องในการบูชาพระพุทธเจ้า คือคำว่า โอม มณี ปัทเม หุม (ภาษาท้องถิ่นในทิเบต เรียก โอม มานี ปาเม หุม)
โอม มณี ปัทเม หุม จึงมีความหมายว่า ปัญญาหรือความรู้ชอบหรือการตรัสรู้อริยสัจของพระพุทธเจ้าเป็นความบริสุทธิ์
ในสัญลักษณ์อีกประการของดอกบัวคือ การแบ่งภูมิ ปัญญาของสัตว์ผู้จะรู้ธรรมได้เป็นสี่พวก คือ
พวกที่หนึ่งที่เรียกว่า บัวเหนือน้ำ ที่จะบานในวันรุ่งขึ้น หมายถึงสัตว์โลก (หรือมนุษย์) ที่มีสติปัญญา บารมี ที่จะรู้ธรรมได้โดยง่าย เพียงแค่การฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงหนเดียว
พวกที่สองเรียกว่า บัวปริ่มน้ำ รอโอกาสที่จะบานในเวลาต่อไป คือ สัตว์โลก (มนุษย์) ที่จะรู้ธรรมต้องมีความเพียรพยายามมากกว่าพวกแรก
พวกที่สามเรียกว่า บัวใต้น้ำ รอวันที่จะบานในโอกาสต่อไป เป็นพวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่ต้องมีสัมมาทิฏฐิที่พิจารณาศึกษาและทำความเพียรเพื่อบรรลุธรรมอันเกิดขึ้นได้
พวกที่สี่คือพวกไร้สติปัญญา มีความเชื่อที่เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ ไม่อาจจะเข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้าได้
ต้นไทร
ขณะเสวยวิมุติอยู่นั้น ธิดามารทั้งสาม คือ นางราคะ นางอรตี และ นางตัณหา ได้เข้าเย้ายวนด้วยเสน่ห์กามคุณต่างๆ นานา
เรื่องนี้มักมีภาพเขียนในผนังพระอุโบสถตรงข้ามพระพุทธรูปในวัดต่างๆ
ในความหมายทางธรรมะแล้ว นางราคะ หมายถึง ความกำหนัด ยินดีในกามารมณ์ ความใคร่ในกามคุณ (กามารมย์หมายถึงความยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส)
นางอรตี ความหมายคือ ความไม่ยินดี ไม่พอใจ ความอิจฉา ริษยา
นางตัณหา หมายถึง ความอยากอันมีความเกิดอีกเป็นธรรมดา เจือด้วยความกำหนัด ด้วยราคะ เพลิดเพลินใน กามารมณ์นั้น
เพราะฉะนั้น ต้นไทร ในความหมายทางธรรม และทางศาสนา คือการเตือนให้สังวรในเรื่องของกามคุณและความอิจฉาริษยานั้นแล
ไม้มุจลินท์
มุจลินท์ หรือ ต้นจิก เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับเสวยวิมุตสุขในสัปดาห์ที่หก เมื่อเสด็จออกจากต้นไทร อชปาลนิโครธ
ตามพุทธประวัติระบุว่า เกิดฝนตกหนักเจือด้วยลมหนาวทั้ง ๗ วัน ทำให้มีพญานาค ๗ เศียร ชื่อมุจลินท์ (ชื่อเดียวกับต้นไม้) มาขดตัวรอบพระพุทธเจ้า ๗ รอบ และแผ่พังพานป้องกันลมหนาว
ครั้นเมื่อฝนหายแล้วจึงแปลงตนเป็นมนุษย์มายืนเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่เบื้องหน้า ซึ่งในกาลนั้นพระพุทธเจ้าเปล่งอุทานวาจา (หมายความว่า ทรงกล่าวขึ้นโดยมิได้มีผู้ใดถาม) ถึงผลของการเข้าถึงนิพพานว่า ที่แท้จริงความสงัดเป็นสุขสำหรับบุคคลผู้มีธรรมอันเห็นแล้ว ยินดีอยู่ในที่สงัดรู้เห็นตามความเป็นจริง
ความไม่เบียดเบียนคือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย ความปราศจากความกำหนัดคือ ความล่วงถามข้อเสียได้ด้วยประการทั้งปวง เป็นสุขในโลก ความนำอัสสมิมานะ คือ ความถือตัวออกให้หมดไปเป็นสุขอย่างยิ่ง
นี่คือสาระสำคัญของการแสดงธรรม ณ บริเวณไม้มุจลินท์หรือต้นจิก
ส่วนเรื่องพญานาค ๗ เศียรนั้น เป็นเรื่องราวที่ปรากฏในพุทธประวัติ ซึ่งอยู่ในความเชื่อของพุทธศาสนิกชนกันเป็นอันมาก รวมทั้งมีผู้แปลความหมายของเศียรทั้ง ๗ ก็เกิดความเชื่อในความสัมพันธ์ของเลข ๗ ที่เกี่ยวกับพุทธประวัติบางตอนตั้งแต่ประสูติจนนิพพาน และในความหมายทางปริศนาธรรมในข้อนี้ก็คือ
๗ เศียร หมายถึง วิสุทธิ ๗ ประการ วิสุทธิในคำแปลจากพจนานุกรมฉบับประมวลศัพท์ของท่านประยุทธ์ ปยุตโต แปลไว้ดังนี้
วิสุทธิ ความบริสุทธิ์ ความหมดจด การชำระสัตว์ให้บริสุทธิ์ด้วยการบำเพ็ญไตรสิกขาให้บริบูรณ์เป็นขั้นๆ ไปโดยลำดับ จนบรรลุจุดหมายคือ พระนิพพาน มี ๗ ขั้น คือ
๑.สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล
๒.จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิตต์
๓.ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ
๔.กังขาวิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัย
๕.มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องรู้เห็นว่าทางหรือมิใช่ทาง
๖.ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณอันรู้เห็นทางดำเนิน
๗.ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทัสสนะ กล่าวคือ มรรคญาณ
สรุปก็คือ การกล่าวคำอุทานของพระพุทธเจ้า ณ ต้นมุจลินท์หรือต้นจิก ก็กล่าวถึงผลหรือความสุขอันแท้จริงเป็นความสุขที่ปราศจากอามิสเจือปนจากการบรรลุจุดหมายคือนิพพาน หรือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ต้นเกด
ต้นเกด อีกชื่อเรียกว่า ราชายตนะ เป็นต้นไม้พุ่มสูงประมาณ ๑๐-๑๓ เมตร ลำต้นตรง เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับที่ร่มไม้เกดนี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายหลังจากตรัสรู้
ในพุทธประวัติกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จประทับ ณ ร่มไม้เกดนี้ในสัปดาห์ที่ ๗ หรือสัปดาห์สุดท้ายของการตรัสรู้ หลังจากได้ทรงอดอาหารมาเป็นเวลา ๔๙ วัน (ไม่จำเป็นต้องสงสัยเรื่องของการอดอาหารของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นเรื่องที่มิได้เกิดประโยชน์ต่อการพ้นทุกข์ทางพุทธศาสนา)
ณ โคนต้นไม้นี้เองที่มีเรื่องราวว่า มีพ่อค้า ๒ คน ชื่อ ตปุสสะ และ ภัลลิกะ ผ่านมาได้เห็นพระพุทธเจ้ามีพระรัศมีอันผ่องใส บังเกิดความเลื่อมใสจึงนำ ข้าวสัตตุก้อน สัตตุผงมาถวาย (พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ของพระธรรมปิฎก ปอ.ปยุตฺโต กล่าวว่า คือ ข้าวตู ส่วนเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ให้ความหมายว่า บาลีเรียกสัตตุผงว่า มันถะ ข้าวตากที่ตำละเอียด สัตตุก้อนเรียก มธุบิณฑิกะ คือข้าวตากที่ผสมน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นก้อน) และประกาศตนเป็นอุบาสกคู่แรกของพระพุทธศาสนาอย่าง (อุบาสก แปลว่า คฤหัสถ์ชายผู้นับถือพุทธศาสนาอย่างมั่นคง) (ข้อสังเกตก็คือ ขณะนั้นพระพุทธเจ้ายังมิได้ประกาศพระศาสนาหรือเทศนาในเรื่องใด แต่กลับมีผู้ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชนขึ้นก่อน)
ความสำคัญของเรื่องต้นเกดหรือราชายตนะก็คือ การที่พระพุทธเจ้าอนุโมทนาในศรัทธาของตปุสสะกับภัลลิกะ ทรงลูบพระเกศาตกลงมา ๘ เส้น มอบให้พ่อค้าทั้งสองซึ่งเล่ากันต่อมาก็คือ การนำพระเกศาทั้ง ๘ เส้นมาบรรจุอยู่ในเจดีย์ชเวดากองที่เมืองย่างกุ้งทุกวันนี้
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ปริศนาธรรมของพระเกศา ๘ เส้นนั้นมีความหมายอย่างไร
ถ้าจะตีความในประเด็นนี้ก็คือ ความต่อเนื่องไปสู่ปฐมเทศนาหรือธัมมจักรกัปปวัตนสูตร ที่กล่าวถึงหนทางอันประเสริฐที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ คือ อริยมรรคอันมีองค์ ๘ มีนัยยะสำคัญก็คือ ทางอันประเสริฐนั่นเอง
ต้นหว้า
ต้นหว้านี้เป็นต้นไม้ต้นที่สองที่กล่าวในพุทธประวัติว่า เมื่อครั้งปฐมวัยเจ้าชายสิทธัตถะ มีพระชนมายุได้ ๙ พรรษา ได้เสด็จตามพระเจ้าสุทโธทนะไปทำพิธีแรกนาขวัญหรือการเริ่มต้นฤดูกาลของการปลูกข้าว เจ้าชายสิทธัตถะในเวลานั้นได้หลีกผู้คนไปนั่งสมาธิในระดับปฐมฌานอยู่ใต้ต้นหว้า
การที่เจ้าชายสิทธัตถะเจริญสมาธิได้ระดับปฐมญาณเมื่อพระชนมายุได้ ๙ พรรษานี้เอง ที่เป็นผลต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดและการปฏิบัติเพื่อหาทางไปสู่ความพ้นทุกข์ในการตรัสรู้ เมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ในวันเพ็ญเดือนหก ดั่งที่ปรากฏอยู่ในพุทธประวัติ
กล่าวคือเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ในวัยเยาว์จนมีพระชนมายุถึง ๒๙ พรรษานั้น พระองค์ได้รับการปรนนิบัติให้เสวยสุขในทางโลกก็คือการยินดีรักใคร่ พอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ อย่างที่สุด (ที่เรียกว่าการบำเรอตนด้วยกามคุณ)
แต่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นว่าสิ่งเหล่านี้หาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่ ภายหลังการออกบรรพชาและไปศึกษาเล่าเรียน ไม่ว่าเรื่องของการเจริญสมาธิภาวนาจนถึงระดับสูงสุด หรือการทรมานตน หรือความเชื่อว่า การทรมานตนเป็นการเผากิเลสก็ตาม ก็หาได้พ้นไปจากความทุกข์ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมไปมิได้
จึงเกิดกระบวนความคิดเรื่องทางสายกลางคือ การปฏิบัติตนที่จะไม่บำเรอตนด้วยกามคุณ และไม่ทรมานตนให้ยากลำบาก เจ้าชายสิทธัตถะจึงใช้วิธีพิจารณาโดยสมาธิและปัญญาดังที่พระองค์ได้เคยปฏิบัติเมื่อครั้งเป็นเด็กจนค้นพบว่าอริยสัจ ๔ คือ ความจริงแท้ ๔ ประการซึ่งรวมทั้งหนทางแห่งความดับทุกข์ คือ อริยมรรคอันมีองค์ ๘ หรือการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ต้นหว้าจึงเป็นต้นไม้ที่สำคัญปรากฏชื่อในพุทธประวัติ
ต้นมณฑา
ในพุทธประวัติกล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานนั้น เหล่าเทวดานางฟ้า ต่างโปรยปรายดอกมณฑารพ ถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธเจ้า ซึ่งในขณะนั้นพระมหากัสสปะ อัครสาวกที่พระพุทธเจ้ายกย่องเป็นเลิศในทางธุดงควัตร คืออยู่ในราวป่าได้เห็นดอกมณฑารพร่วงหล่น จึงได้บอกกับพระภิกษุที่ตามมาด้วยกันว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
พระมหากัสสปะเดินทางมาถึงหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๗ วัน และกำลังจะถวายพระเพลิง จึงถวายความเคารพพระพุทธเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการเอาใบหน้าไปซบกับพระบาทพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพนับถืออย่างยิ่งในสมัยพุทธกาล
หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปะเป็นประธานในการสังคายนาพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก
ประดู่ลาย
ในภาษาบาลีเรียก อสนะ หรือ กปิล ชาวอินเดียเรียก ลิสโซ ชาวฮินดูเรียก ลิสสู ชื่อในภาษาพื้นเมือง กปิลา สีสป
ในประเทศไทยมีชื่อเรียกแตกต่างกันในท้องถิ่น เช่น อุบลราชธานีเรียกชะยูง, จันทบุรีเรียกประดู่ตม, ชลบุรีเรียก ประดู่ลาย, ตราดเรียกประดู่เสน, ปราจีนบุรีเรียกแดงจีน, สุรินทร์เรียกกระยูร กระยง
ความเป็นมาของประดู่ลาย คือหัวข้อเรื่อง “อันเป็นสาระสำคัญที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ภิกษุ เรื่องที่มิใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสาระสำคัญ ก็ถือได้ว่ามิใช่เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน”
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ระบุว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สีสปาวัน ใกล้เมืองโกสัมพี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงถือใบประดูลาย ๒-๓ ใบ ด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบประดูลาย ๒-๓ ใบ ที่เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบ ที่พระผู้มีพระภาคทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มีประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า
อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมากก็เพราะเหตุไรเราจึงไม่บอก เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย คลายความกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
สรุปก็คือ เรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เทศนาแก่พุทธศาสนิกชนนั้นมีเรื่องเดียวก็คือ เรื่องของทุกข์และวิธีการพ้นทุกข์ และในข้อนี้เองที่พุทธศาสนิกชนจะได้ใช้พิจารณาว่าคำเทศนาของพระภิกษุทั้งในอดีตและปัจจุบันนั้น คำเทศนา สั่งสอน ศีลวรรตของพระภิกษุนั้น เป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาสั่งสอน
คำสอนการปฏิบัติที่แท้จริงทางพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องของความเข้าใจในเรื่องทุกข์และการพ้นทุกข์เท่านั้น เรื่องอื่นนอกจากนี้หาใช่สาระสำคัญหรือจุดหมายของพุทธศาสนา
ตาล
ในพุทธประวัติกล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมแก่ทีฆนขปริพาชก ณ ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ พระสารีบุตร ซึ่งนั่งฟังธรรมอยู่นั้นได้พัดถวายแก่พระพุทธเจ้า และได้บรรลุพระอรหันต์ ณ ที่นั้น
พัดที่พระสารีบุตรพัดถวายนั้น น่าจะเป็นตาลปัตรที่ผู้คนในสมัยพุทธกาลใช้สอย แม้จนปัจจุบันก็ยังใช้ใบตาลมาดัดแปลงเป็นพัดใช้ระบายความร้อน และรวมทั้งบางคนก็ใช้เป็นแผงบังแดด ขณะเดินทางในที่แจ้งด้วย
ปัจจุบันตาลปัตรในประเทศไทยได้พัฒนารูปแบบและเปลี่ยนแปลงประโยชน์ใช้สอยของพระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงวัสดุ เช่น ผ้าปักด้วยสีวิจิตรพิสดาร มีทั้งรูปแบบที่แสดงพุทธธรรมในระดับต่างๆ และแสดงถึงฐานานุรูปของพระสงฆ์ไทย
ในประเทศไทยพระภิกษุใช้ตาลปัตรดัดแปลงเป็นรูปพัดด้ามยาว ใช้บังหน้าในพิธีกรรมหรือการสวด และแสดงตำแหน่งในทางการปกครองของพระสงฆ์ด้วย
แต่พระภิกษุในประเทศพม่าและศรีลังกา ยังใช้ตาลปัตรที่ทำด้วยใบลานด้ามสั้น ซึ่งใช้ทั้งในเวลาสวดมนต์และพัดคลายร้อนด้วย
ต้นไทร
ต้นไทรเป็นต้นไม้ใหญ่ มีใบร่มรื่น ปกคลุมให้ความร่มเย็น ชื่อในบาลี อชปาลนิโครธ แปลว่า ที่พักของคนเลี้ยงแกะ ชื่อในฮินดูเรียก ปันฮัน ในประเทศไทยบางแห่งเรียก บันยัน
ต้นไทรมีความเกี่ยวข้องในพุทธศาสนาที่สำคัญ ๒ ตอน คือ
ตอนที่หนึ่ง ในเวลาเช้าของวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนที่จะตรัสรู้ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นไทรนั้น นางสุชาดานำข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองมาถวาย เมื่อเสวยข้าวมธุปายาสไปแล้วได้นำถาดทองนั้นลอยน้ำในแม่น้ำเนรัญชราแล้วเสด็จไปประทับ ณ ต้นศรีมหาโพธิ์ และตรัสรู้ ณ โคนไม้นั้น
หลังจากตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วทรงประทับเสวยวิมุตสุขอยู่ ณ ใต้ต้นไม้หลายชนิดในบริเวณนั้น ในสัปดาห์ที่ ๕ ทรงกลับมาประทับวิมุตสุข ณ โคนไม้ต้นไทรนิโครธอีกครั้ง
และในครั้งนี้มีเหตุการณ์อันสำคัญก็คือ การตรัสตอบคำถามพราหมณ์ หึ ทุกชาติ (พราหมณ์ขี้บ่น) ที่ถามพระพุทธเจ้าว่า "บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ก็แลธรรมเหล่าไหนทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์"
พระพุทธเจ้าจึงทรงกล่าวว่า
"พราหมณ์ใดมีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว ไม่ตวาดผู้อื่นว่า หึหึ (ไม่ขี้บ่น ด่าว่า ผู้อื่น) ไม่มีกิเลสดุจน้ำฝาด (การที่ไม่มีกิเลสเสมือนว่าได้ฟอกล้างกิเลสที่เหมือนน้ำฝาดออกหมดสิ้น) มีตนอันสำรวมถึงที่สุดแห่งเวท (หรือความรู้อันเป็นที่สุด) มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว (เพราะพรหมหมายถึงผู้อยู่เดียวดาย ไม่ข้องแวะด้วยกามคุณ) พราหมณ์นั้นไม่มีกิเลสเครื่องผูกขึ้นในอารมณ์ไหนในโลก คือไม่มีการเกิดขึ้นของกิเลสเมื่อมีการ กระทบกันของอายตนะ ควรกล่าวว่า ตนเป็นพราหมณ์โดยธรรม
ในพระอรรกถาเรื่องปาสกสิสูตรกล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังต้นไทรนิโครธนั้น ทรงเฟ้นธรรม ซึ่งมีผู้รู้หมายความว่า ธรรมสำคัญที่กล่าวถึงคือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ หรือธรรมอันเกื้อกูลให้ตรัสรู้
ในความหมายแห่งสัญลักษณ์ของต้นไทร เนื่องจากไทรเป็นต้นไม้ใหญ่ ร่มรื่น มีรากไทรย้อย ที่จะแพร่ขยายพืชพรรณออกไปได้โดยรอบ พุทธศาสนาจึงเป็นดั่งต้นไทรที่พร้อมจะขยายออกไปให้ความร่มเย็นแก่โลก
ต้นโสก อโศก
อโศก แปลความหมายคือความไม่โศกเศร้า เป็นความรักที่ไม่โศกเศร้า หรือไม่เห็นแก่ตัว เรียกว่าความเมตตา จากพจนานุกรมแปลไทย-ไท อ.เปลื้อง ณ นคร เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง ลำต้นโตมาก ให้ความร่มเย็นดี ออกดอกเป็นช่อสีเหลือง สีส้ม มีกลิ่นหอม อินเดียเรียก ASHOKA TREE เป็นสัญลักษณ์ของความรักของชาวตะวันออก
อโศกปรากฏอยู่ในอรรถกถา (แปลว่า คัมภีร์อธิบายความในพระไตรปิฎก) ชื่อ อรรถกถาปาริฉัตรตกวิมาน) ความย่อตอนหนึ่งว่า
“พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารใกล้กรุงสาวัตถี รับนิมนต์ฉันภัตตาหารเช้าที่ปะรำใหญ่หน้าบ้านอุบาสกท่านหนึ่ง มีหญิงหาฟืนคนหนึ่งเห็นต้นอโศกมีดอกบานสะพรั่งได้นำเอาดอกอโศกมาทำเป็นช่อ (ร้อยพวงมาลัย) นำไปบูชา โดยเอาดอกไม้นั้นปูลาดรอบอาสนะ”
ในความหมายของอโศก ก็คือไม่โศกเศร้า เป็นสัญลักษณ์ของความเมตตา การนำเอาดอกอโศกมาปูลาดรอบพระอาสนะพระพุทธเจ้าในความหมายก็คือ ความเป็นผู้มีกลิ่นหอม คือเป็นบุคคลอันควรบูชา เป็นผู้ทรงไว้ด้วยความเมตตาอันเป็นสิ่งสูงสุดของความรัก เพราะความเมตตาไม่เจือด้วยอามิส ด้วยกิเลส
ในวรรณคดีทางมหายานเรื่องกามนิต-วาสิฏฐี ได้กล่าวถึงความงดงามของลานอโศกที่มีทั้งกลิ่นหอมและร่มรื่นที่ทั้งสองได้มาพลอดรักกัน และกล่าวถึงความรักอันแท้จริงว่า เปรียบดังสีดำของศอ (หรือคอ) พระศิวะผู้กลืนกินพิษร้ายที่เกิดจากการกวนเกษียรสมุทรที่ทิ้งไว้ที่จะทำลายโลก ก็ด้วยความรักของพระศิวะนั่นเอง
นอกจากนี้ชื่ออโศกอาจหมายถึงพระเจ้าอโศกมหาราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งอินเดีย ผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และเป็นผู้อุปถัมภ์และกระจายความเชื่อของพระพุทธศาสนาสู่โลกกว้าง โดยเฉพาะในภาคตะวันออกของเอเชีย
โดย ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์
หนังสือพิมพ์ข่าวสด