นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ มี ๓ วรรค วรรคละ ๑๐ สิกขาบท ว่าด้วย
วรรคที่ ๑ จีวรวรรค วรรคที่ ๒ โกสิยวรรค วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ เป็นอาบัติปาจิตตีย์อันทำให้ต้องสละสิ่งของ
ภิกษุใดซึ่งต้องอาบัติประเภทนี้ จะต้องสละสิ่งของที่ทำให้ต้องอาบัติก่อน
จึงจะปลงอาบัติตก
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๑
(พระวินัยข้อที่ ๒๐)
ภิกษุเก็บจีวรที่ไม่ได้ทำเป็นสองเจ้าไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ วัน
ถ้าเกินกว่ากำหนดนั้น ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
พระฉัพพัคคีย์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไตรจีวรแล้ว จึงครองไตรจีวรเข้าบ้านสำรับหนึ่ง อยู่ในอารามอีกสำรับหนึ่ง สรงน้ำอีกสำรับหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายเพ่งโทษติเตียนว่า ใช้จีวรเกินหนึ่งสำรับ แล้วกราบทูล...ทรงมีพระบัญญัติว่า “อนึ่ง ภิกษุใดทรงอดิเรกจีวร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์”
สมัยต่อมา อดิเรกจีวรเกิดแก่พระอานนท์ ท่านต้องการจะถวายแก่พระสารีบุตร แต่พระสารีบุตรอยู่ถึงเมืองสาเกต ท่านจึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า...ตรัสถามว่า อีกนานเท่าไร พระสารีบุตรจึงจักกลับมา พระอานนท์ทูลว่าจักกลับมาในวันที่ ๙ หรือวันที่ ๑๐ พระพุทธเจ้าข้า แล้วทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุทรงอดิเรกจีวรไว้ได้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง ทรงมีพระอนุบัญญัติว่า
“จีวรสำเร็จแล้ว กฐินอันภิกษุเดาะเสียแล้ว พึงทรงอดิเรกจีวรได้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง ภิกษุให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์”
อรรถาธิบาย
-บทว่า จีวรสำเร็จแล้ว ความว่า จีวรของภิกษุทำสำเร็จแล้วก็ดี หายเสียก็ดี ฉิบหายเสียก็ดี ถูกไฟไหม้เสียก็ดี หมดหวังว่าจะได้ทำจีวรก็ดี
-คำว่า กฐินอันภิกษุเดาะเสียแล้ว คือ เดาะเสียแล้วด้วยมาติกาอันใดอันหนึ่งในมาติกา ๘ อันสงฆ์เดาะเสียในระหว่าง
-บทว่า ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง คือ ทรงไว้ได้ ๑๐วันเป็นอย่างมาก
-ที่ชื่อว่า อดิเรกจีวร ได้แก่ จีวรที่ยังไม่ได้อธิษฐาน ยังไม่ได้วิกัป
-ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่ ผ้า ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์กำหนดแห่งผ้าวิกัปเป็นอย่างต่ำ จีวร ๖ ชนิด ได้แก่ ผ้าที่ทอด้วยเปลือกไม้, ผ้าฝ้าย, ผ้าไหม, ผ้าขนสัตว์ (ยกเว้นผมมนุษย์), ผ้าป่าน, ผ้าผสมกันด้วยของ ๕ อย่างข้างต้น
-คำว่า ให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคีย์ คือ เมื่ออรุณที่ ๑๑ ขึ้นมา จีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ คือ เป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล
วิธีสละแก่สงฆ์
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วง ๑๐ วัน เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์”
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้
“ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้...เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้”
วิธีเสียสละแก่คณะ ( ๒-๓ รูป)
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือกล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วง ๑๐ วัน เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย”
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจาว่า
“ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อว่า...เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้”
วิธีเสียสละแก่บุคคล
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่งประนมมือกล่าวว่า “ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วง ๑๐ วัน เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน”
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับสละนั้น พึงรับอาบัติแล้วพึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยคำว่า “ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน” ดังนี้
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ ไม่ให้คืนจีวรที่ภิกษุเสียสละ ภิกษุทั้งหลายต่างพากันติเตียนแล้วกราบทูล ทรงติเตียน แล้วรับสั่งว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จีวรที่ภิกษุเสียสละแล้ว สงฆ์ คณะ หรือบุคคล จะไม่คืนให้ไม่ได้ ภิกษุใดไม่คืนให้ ต้องอาบัติทุกกฎ”
อาบัติ
๑.จีวรล่วง ๑๐ วันแล้ว ภิกษุรู้ว่าล่วงแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๒.จีวรล่วงแล้ว ๑๐ วัน ภิกษุสงสัย เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๓.จีวรล่วง ๑๐ วันแล้ว ภิกษุเข้าใจว่ายังไม่ล่วง เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๔.จีวรยังไม่ได้อธิษฐาน ภิกษุเข้าใจว่าอธิษฐานแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๕.จีวรยังไม่ได้วิกัป ภิกษุเข้าใจว่าวิกัปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๖.จีวรยังไม่ได้สละ ภิกษุเข้าใจว่าสละแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๗.จีวรยังไม่หาย ภิกษุคิดว่าหายแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๘.จีวรยังไม่ฉิบหาย ภิกษุเข้าใจว่าฉิบหายแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๙.จีวรยังไม่ถูกไฟไหม้ ภิกษุคิดว่าถูกไฟไหม้แล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๑๐.จีวรยังไม่ถูกชิงไป ภิกษุคิดว่าถูกชิงไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๑๑.จีวรเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุยังไม่ได้เสียสละ บริโภค (นุ่งห่มเป็นต้น) ต้องทุกกฎ
๑๒.จีวรยังไม่ล่วง ๑๐ วัน ภิกษุเข้าใจว่าล่วงแล้ว บริโภค ต้องทุกกฎ
๑๓. จีวรยังไม่ล่วง ๑๐ วัน ภิกษุสงสัย บริโภค ต้องทุกกฎ
อนาบัติ
จีวรยังไม่ล่วง ๑๐ วัน ภิกษุรู้ว่ายังไม่ล่วง บริโภค ไม่ต้องอาบัติ ๑ ในภายใน ๑๐ วัน ภิกษุอธิษฐาน ๑ ภิกษุวิกัปไว้ ๑ ภิกษุสละให้ไป ๑ จีวรหาย ๑ จีวรฉิบหาย ๑ จีวรถูกไฟไหม้ ๑ โจรชิงเอาไป ๑ ภิกษุถือวิสาสะ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑
สมนตฺปาสาทิกาอรรถกถา วินย.มหาวิ.๑/๓/๗๐๒-๗๒๙
๑.พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต จีวร ๓ ผืน คือ อันตรวาสก ๑ อุตราสงค์ ๑ สังฆาฏิ ๑ ไว้ในเรื่องหมอชีวกโกมารภัทท์ในจีวรขันธกะ
-พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ ครองไตรจีวรเข้าบ้านสำรับหนึ่ง ต่างหากจากสำรับที่ใช้ครองอยู่ในวัด และสำรับที่ใช้ครองสรงน้ำ ใช้จีวรวันละ ๙ ผืน ทุกวัน ด้วยอาการอย่างนี้
๒.ได้ยินว่า ท่านพระอานนท์นับถือท่านพระสารีบุตร โดยนับถือความมีคุณของท่านว่า เว้นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว บุคคลอื่นที่มีคุณวิเศษเห็นปานนี้ ไม่มีเลย เมื่อท่านได้จีวรที่ชอบใจมา จึงซักแล้วกระทำพินทุกัปปะแล้ว ถวายแก่พระสารีบุตรทุกคราว, ในเวลาก่อนฉันได้ยาคูและของเคี้ยวหรือบิณฑบาตอันประณีตแล้ว ย่อมถวายแก่พระเถระเหมือนกัน, ในเวลาหลังฉัน แม้ได้เภสัช มีน้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น ก็ถวายแก่พระเถระนั่นเอง, เมื่อพาเด็กทั้งหลายออกจากตระกูลอุปัฏฐากก็ให้บรรพชา ให้ถืออุปัชฌายะในสำนักพระเถระแล้ว กระทำอนุสาวนากรรมเอง, ฝ่ายท่านพระสารีบุตรนับถือพระอานนท์เหลือเกิน ด้วยทำในใจว่า ธรรมดาว่ากิจที่บุตรจะพึงกระทำแก่บิดา เป็นภาระของบุตรคนโต เพราะฉะนั้น กิจใจที่เราจะพึงกระทำแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า กิจนั้นทั้งหมดพระอานนท์กระทำอยู่ เราอาศัยพระอานนท์ จึงได้เพื่อเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย แม้พระเถระได้จีวรที่ชอบใจแล้ว ก็ถวายแก่พระอานนท์เหมือนกันเป็นต้น พระอานนท์นับถือมากเช่นนี้ จึงเป็นผู้มีความประสงค์จะถวายจีวรนั้นแม้ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แก่ท่านพระสารีบุตร
๓.ท่านพระอานนท์ทราบการมาของพระสารีบุตรได้ ก็เพราะได้ยินว่า พระสารีบุตรเถระเมื่อจะหลีกจาริกไปในชนบท มักบอกลาพระอานนท์เถระแล้วจึงหลีกไปว่า ผมจักมาโดยกาลเช่นนี้ ประมาณเท่านี้ ในระหว่างนี้ท่านอย่าละเลยพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้, ถ้าแม้นว่าท่านไม่บอกลาในที่ต่อหน้า ก็ต้องส่งภิกษุไปบอกลาก่อนจึงไป, ถ้าว่าท่านอยู่จำพรรษาในอาวาสอื่น และภิกษุเหล่าใดมาก่อน ท่านก็สั่งภิกษุเหล่านี้ว่า พวกท่านจงถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้าตามคำของเรา และจงเรียนถามถึงความไม่มีโรคของพระอานนท์ แล้วบอกว่า เราจักมาในวันโน้น และพระเถระย่อมมาในวันที่ท่านกำหนดไว้แล้วเสมอๆ
อีกอย่างหนึ่ง ท่านพระอานนท์ย่อมทราบได้ด้วยการอนุมานบ้าง ย่อมทราบได้โดยนัยว่าท่านพระสารีบุตรเมื่อทนอดกลั้นความวิโยค (พลัดพราก) จากพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่สิ้นวันมีประมาณเท่านี้ บัดนี้นับแต่นี้ไป จักไม่เลยวันชื่อโน้น ท่านจักมาแน่นอน, เพราะชนทั้งหลายผู้ซึ่งมีปัญญามาก ย่อมมีความรักและความเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้ามาก, พระเถระย่อมทราบได้ด้วยเหตุหลายอย่างด้วยประการเหล่านี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกราบทูลว่า จักมาในวันที่ ๙ หรือวันที่ ๑๐ พระพุทธเจ้าข้า
เมื่อพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว เพราะสิกขาบทมีโทษทางพระบัญญัติ มิใช่โทษทางโลก เพราะเหตุนั้นเมื่อจะทรงทำวันที่ท่านพระอานนท์กราบทูลนั้นให้เป็นกำหนด จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทรงอดิเรกจีวรไว้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง ดังนี้, ถ้าหากว่า พระเถระนี้จะพึงทูลแสดงขึ้นกึ่งเดือนหรือเดือนหนึ่ง แม้กึ่งเดือน หรือเดือนหนึ่งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะพึงทรงอนุญาต
๔.บทว่า นิฏฺฐิตวีวรสฺมึ ได้แก่ เมื่อจีวรสำเร็จแล้ว โดยการสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่งถึงเพราะจีวรนี้ ย่อมเป็นอันสำเร็จแล้วด้วยการกระทำบ้าง ด้วยเหตุมีการเสียหายเป็นต้นบ้าง
-กรรมมีสูจิกรรมเป็นที่สุด ได้แก่ การทำกรรมที่ควรทำด้วยเข็มอย่างใดอย่างหนึ่ง มีการติดรังดุมและลูกดุมเป็นที่สุด แล้วเก็บเข็มไว้ (ในกล่องเข็ม)
-จีวรถูกพวกโจรเป็นต้นลักเอาไป ท่านเรียกว่า สำเร็จแล้ว ก็เพราะความกังวลด้วยการกระทำนั่นเองสำเร็จลงแล้ว (ไม่มีกิจต้องทำอีก)
-หมดความหวังในจีวรซึ่งบังเกิดขึ้นว่า เราจักได้จีวรในตระกูลชื่อโน้นก็ดี อันที่จริงควรทราบด้วยความที่จีวรแม้เหล่านี้สำเร็จแล้ว เพราะความกังวลด้วยการกระทำนั่นแลสำเร็จลงแล้ว
-สองบทว่า อพฺภตสฺมํ กฐิเน คือ (เมื่อจีวรสำเร็จแล้ว) และเมื่อกฐินเดาะเสียแล้ว, ด้วยบทว่า อุพฺภตสฺมึ กฐิเน นี้ ทรงแสดงความไม่มีแห่งปลิโพธิที่ ๒, ก็กฐินนั้นอันภิกษุทั้งหลายย่อมเดาะด้วยมาติกาอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดามาติกา (หัวข้อแห่งการเดาะกฐิน) ๘ หรือด้วยการเดาะในระหว่าง
-วินยฺ มหา.ข้อ ๙๙ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาติกาเพื่อเดาะกฐิน ๘ ข้อนี้ คือกำหนดด้วยหลีกไป ๑ กำหนดด้วยจีวรทำเสร็จ ๑ กำหนดด้วยตกลงใจ ๑ กำหนดด้วยผ้าเสียหาย ๑ กำหนดด้วยได้ยินข่าว ๑ กำหนดด้วยสิ้นหวัง ๑ กำหนดด้วยล่วงเขต ๑ กำหนดด้วยเดาะพร้อมกัน ๑
๕.จีวรที่ชื่อว่า อดิเรก เพราะไม่นับเข้าในจำพวกจีวรที่อธิษฐานและวิกัปไว้
-จีวร ๖ ชนิด มีจีวรที่เกิดจากผ้าเปลือกไม้ เป็นต้น เพื่อจะทรงแสดงขนาดแห่งจีวร จึงตรัสว่า จีวรอย่างต่ำควรจะวิกัปได้ขนาดแห่งจีวรนั้น ด้านยาว ๒ คืบ ด้านกว้างคืบหนึ่ง ในขนาดแห่งจีวรนั้น มีพระบาลีดังนี้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้วิกัปจีวรอย่างต่ำ ด้านยาว ๘ นิ้ว กว้าง ๔ นิ้ว โดยนิ้วพระสุคต”
-เมื่อภิกษุยังจีวรมีกำเนิดและประมาณตามที่กล่าวแล้วนั้น ให้ล่วงกาลมี ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง คือ เมื่อไม่ทำโดยวิธีที่จะไม่เป็นอดิเรกจีวรเสียในระหว่างกาลมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่งนี้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ อธิบายว่า จีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ด้วย เป็นอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุนั้นด้วย อีกอย่างหนึ่ง การเสียสละชื่อว่านิสสัคคีย์ คำว่า นิสสัคคีย์ เป็นชื่อของวินัยกรรมอันภิกษุพึงกระทำในกาลเป็นส่วนเบื้องต้น, การเสียสละมีอยู่แก่ธรรมชาติใด เหตุนั้นธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่า นิสสัคคีย์, นิสสัคคีย์นั้นคืออะไร? คือปาจิตตีย์ “เป็นปาจิตตีย์ มีการเสียสละเป็นวินัยกรรม แก่ภิกษุผู้ให้ล่วงกาลนั้นไป”
๖.อธิบายวิธีเสียสละและวิธีแสดงอาบัติ
พึงแสดงเหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในขันธกะ ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ กระทำอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ไหว้เท้าภิกษุผู้แก่ทั้งหลายแล้ว นั่งกระโหย่ง ประนมมือ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อหํ ภนฺเต อิตฺถนฺนามํ อาปตฺตึ อาปนฺโน ตํ ปฏิเทเสมิ (ท่านเจ้าข้า กระผมต้องอาบัติมีชื่ออย่างนี้ ขอแสดงคืนอาบัตินั้น)
ถ้าจีวรมีผืนเดียว พึงกล่าวว่า เอกํ นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ...(ต้องแล้ว) ซึ่งนิสสัคคิยปาจิตตีย์ตัวหนึ่ง ถ้าจีวร ๒ ผืน พึงกล่าวว่า เทฺว...ซึ่งอาบัติ ๒ ตัว, ถ้าจีวรมากผืนพึงกล่าวว่า สมฺพหุลา...ซึ่งอาบัติหลายตัว
แม้ในการเสียสละ ถ้าว่าจีวรมีผืนเดียว พึงกล่าวตามสมควรแก่บาลีนั่นแลว่า อิทํ เม ภนฺเต จีวรํ ท่านเจ้าขา จีวรของกระผมผืนนี้ เป็นต้น, ถ้าหากว่าจีวร ๒ ผืนหรือมากผืน พึงกล่าวว่า อิมานิ เม ภนฺเต จีวรานิ ทสาหาติกฺกนฺตานิ นิสฺสคฺคิยานิ อิมานาหํ สงฺฆสฺส นิสฺสชฺชามิ (ท่านเจ้าข้า จีวรของกระผมเหล่านี้ ล่วง ๑๐ วัน เป็นนิสสัคคีย์ กระผมเสียสละจีวรเหล่านี้แก่สงฆ์, เมื่อไม่สามารถจะกล่าวบาลีได้ พึงกล่าวโดยภาษาอื่นก็ได้, ภิกษุพึงรับอาบัติโดยนัยดังกล่าวไว้ในขันธกะนั่นแลว่า ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงเผดียงสงฆ์ว่า ท่านเจ้าขา ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุชื่อนี้รูปนี้ ระลึกได้ เปิดเผย กระทำให้ตื้น ย่อมแสดงซึ่งอาบัติ ถ้าความพรั่งพร้อมแห่งสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าพึงรับอาบัติของภิกษุมีชื่ออย่างนี้ ดังนี้
ภิกษุผู้แสดง อันภิกษุรับอาบัตินั้น พึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (เธอเห็นหรือ)
ผู้แสดง อาม ปสฺสามิ (ขอรับ ผมเห็น)
ผู้รับ อายตึ สํวเรยฺยาสิ (เธอพึงสำรวมต่อไป)
ผู้แสดง สาธุ สุฏฺฐุ สํวริสฺสามิ (ดีละ ผมจะสำรวมให้ดี)
-ก็ในอาบัติ ๒ ตัว หรือหลายตัวด้วยกัน ผู้ศึกษาพึงทราบความต่างแห่งวจนะโดยนัยก่อนนั่นแล แม้ในการให้จีวรคืน ก็พึงทราบความแตกต่างแห่งวจนะด้วยอำนาจแห่งจำนวน คือ สงฺโฆ อิมํ จีวรํ อิมานิ จีวรานิ...สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้...พึงให้จีวรทั้งหลายเหล่านี้...ถึงในการเสียสละแก่คณะและแก่บุคคลก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน
-ในการแสดงและการรับอาบัติ (แก่คณะ) มีบาลีดังต่อไปนี้, เตน ภิกฺขเว ภิกฺขุนา ฯเปฯ เอวมสฺสุ วจนียา อหํ ภนฺเต อิตฺถนฺนามํ อาปาตฺตึ อาปนฺโน ตํ ปฏิเทเสมิ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุมากรูป กระทำผ้าอุตราสงฆ์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ไหว้เท้าทั้งหลายแห่งภิกษุแก่ทั้งหลาย แล้วนั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าต้องอาบัติชื่อนี้ ขอแสดงคืนซึ่งอาบัตินั้น
อันภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงเผดียงสงฆ์ให้ทราบว่า สุณาตุ เม ภนฺเต อายสฺมนฺตา อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อาปตฺตึ สรติ วิวรติ อุตฺตานี กโรติ เทเสติ ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺตึ ปฏิคฺคณฺเหยฺยํ แปลว่า ท่านเจ้าข้า! ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่ออย่างนี้ รูปนี้ ย่อมระลึก ย่อมเปิดเผย ย่อมกระทำให้ตื้น ย่อมแสดงอาบัติ ถ้าว่าความพรั่งพร้อมแห่งท่านผู้มีอายุทั้งหลายถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าพึงรับอาบัติของภิกษุชื่อนี้
ภิกษุผู้แสดง อันภิกษุผู้รับอาบัตินั้น พึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (ท่านเห็นหรือ)
ผู้แสดง อาม ปสฺสามิ (ขอรับ ผมเห็น)
ผู้รับ อายตึ สํวเรยฺยาสิ (ท่านพึงสำรวมระวังต่อไป)
-ภิกษุ (ผู้ต้องเสียสละ) พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง (บุคคล) ทำอุตราสงค์เฉวียงบ่า แล้วนั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโส ข้าพเจ้าต้องอาบัติมีชื่ออย่างนี้แล้ว จะแสดงคืนอาบัติภิกษุผู้แสดง อันภิกษุผู้รับอาบัตินั้นพึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (ท่านเห็นหรือ)
ผู้แสดง อาม ปสฺสามิ (ขอรับ ผมเห็น)
ผู้รับ อายตึ สํวเรยฺยาสิ (ท่านพึงสำรวมระวังต่อไป)
-ในการแสดงและรับอาบัติ พึงทราบการระบุชื่ออาบัติและความต่างแห่งวจนะ โดยนัยก่อนนั่นแหละ และพึงทราบบาลีแม้ในการสละแก่ภิกษุ ๒ รูป เหมือนการสละแก่คณะฉะนั้น เพราะถ้าจะมีความแปลกกัน, พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะพึงตรัสบาลีไว้แผนกหนึ่ง เหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสปาริสุทธิอุโบสถแก่ภิกษุ ๓ รูป โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๓ รูป ทำปาริสุทธิอุโบสถ ภิกษุทั้งหลายก็แลภิกษุเหล่านั้น พึงทำอุโบสถเหล่านั้นอย่างนี้ ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงเผดียงให้ภิกษุเหล่านั้นทราบ แล้วตรัสปาริสุทธิอุโบสถแก่ภิกษุ ๒ รูปอีกแผนกหนึ่งต่างหาก โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๒ รูป ทำปาริสุทธิอุโบสถ ภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุเหล่านั้นพึงทำอุโบสถนั้นอย่างนี้ ภิกษุเถระพึงทำอุตราสงค์เฉวียงบ่า ดังนี้ ฉะนั้น ก็เพราะไม่มีความแปลกกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมิได้ตรัสไว้ เพราะฉะนั้นบาลีในการสละแก่ภิกษุ ๒ รูปนี้ เป็นบาลีที่ตรัสไว้แก่คณะเหมือนกัน
-ส่วนในการรับอาบัติมีความแปลกกัน ดังนี้ บรรดาภิกษุ ๒ รูป ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง อย่าตั้งญัตติเหมือนภิกษุผู้รับอาบัติตั้งญัตติ ในเมื่อภิกษุผู้ต้องอาบัติสละแก่คณะแล้วแสดงอาบัติ พึงรับอาบัติเหมือนบุคคลคนเดียวรับฉะนั้น, แท้จริง ชื่อว่าการตั้งญัตติสำหรับภิกษุ ๒ รูป ย่อมไม่มี, ก็ถ้าหากจะพึงมีจะไม่พึงตรัสปาริสุทธิอุโบสถไว้แผนกหนึ่ง
สำหรับภิกษุ ๒ รูป แม้ในการให้จีวรที่เสียสละแล้วคืน จะกล่าวว่า อิมํ จีวรํ อายสฺมโต เทม พวกเราให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน, เหมือนภิกษุรูปเดียวกล่าวว่า อิมํ จีวรํ อายสฺมโต ทมฺมิ ผมให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้ก็ควร, จริงอยู่ แม้ญัตติทุติยกรรมซึ่งหนักกว่านี้ ตรัสว่า ควรอปโลกน์ทำก็มี, วินัยกรรมมีการสละนี้สมควรแก่ญัตติทุติยกรรมเหล่านั้น แต่จีวรที่สละแล้ว ควรให้คืนทีเดียว จะไม่ให้คืนไม่ได้ ก็การให้คืนจีวรที่สละเสียแล้วนี้ เป็นเพียงวินัยกรรม จีวรนั้นจะเป็นอันภิกษุนั้นให้แก่สงฆ์ หรือแก่คณะ หรือแก่บุคคลหามิได้ทั้งนั้นแล
๗.จีวรที่ควรอธิษฐานและวิกัป มีพระบาลี (วิ.มหา.) ดังต่อไปนี้
ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลายได้มีความรำพึงอย่างนี้ว่า จีวรทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ คือ ไตรจีวรก็ดี คือ วัสสิกสาฎกก็ดี นิสีทนะก็ดี คือปัจจัตถรณะ (ผ้าปูนอน) ก็ดี คือ ภัณฑุปฏิจฉาทิ (ผ้าปิดแผล) ก็ดี คือ มุขปุญฺฉนโจลก (ผ้าเช็ดหน้า) ก็ดี ปริขารโจลกะ (ท่อนผ้าใช้เป็นบริขารเช่นผ้ากรองนี้ ถุงบาตร ย่าม ผ้าห่มของ) ควรอธิษฐานทั้งหมดหรือว่าควรจะวิกัปหนอแล? ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอนุญาตว่า ภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้อธิษฐานไตรจีวร ไม่อนุญาตให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษฐานวัสสิกสาฎก ตลอด ๔ เดือนแห่งฤดูฝน พ้นจากฤดูฝนนั้นอนุญาตให้วิกัปไว้ อนุญาตให้อธิษฐานนิสีทนะ ไม่ใช่ให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษฐานผ้าปูนอน ไม่ใช่ให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษฐานกัณฑุปฏิจฉาทิชั่วเวลาอาพาธ พ้นจากกาลอาพาธนั้น อนุญาตให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษบานมุขปุญฺฉนโจล (ผ้าเช็ดหน้า) ไม่อนุญาตให้วิกัป อนุญาตให้อธิษฐานบริขารโจล ไม่อนุญาตให้วิกัป ดังนี้
๘.การอธิษฐานไตรจีวร เป็นต้น
บรรดาจีวรเป็นต้นเหล่านั้น อันภิกษุเมื่อจะอธิษฐานไตรจีวรย้อมแล้ว ให้กัปปะพินทุ พึงอธิษฐานจีวรที่ได้ประมาณเท่านั้น, ประมาณแห่งจีวรนั้น โดยกำหนดอย่างสูง หย่อนกว่าสุคตจีวร (จีวรของพระสุคต) จึงควร, และโดยกำหนดอย่างต่ำ ประมาณแห่งสังฆาฏิและอุตราสงค์ ด้านยาว ๕ ศอกกำ ด้านกว้าง ๓ ศอกกำ จึงควร, อันตรวาสก ด้านยาว ๕ ศอกกำ ด้านกว้างแม้ ๒ ศอก ก็ควร เพราะอาจเพื่อจะปกปิดสะดือ ด้วยผ้านุ่งบ้าง ผ้าห่มบ้างแล ก็จีวรที่เกินและหย่อนกว่าประมาณดังกล่าวแล้ว พึงอธิษฐานว่าบริขารโจล
การอธิษฐานจีวรมี ๒ อย่าง คือ อธิษฐานด้วยกายอย่างหนึ่ง อธิษฐานด้วยวาจาอย่างหนึ่ง ฉะนั้นภิกษุพึงถอนสังฆาฏิผืนเก่าว่า อิมํ สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ (เราถอนสังฆาฏิผืนนี้) แล้วเอามือจับสังฆาฏิใหม่ หรือพาดบนส่วนแห่งร่างกาย กระทำการผูกใจว่า อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฐามิ (เราอธิษฐานสังฆาฏินี้) แล้วพึงทำกายวิการ (มีการเอามือจับจีวรเป็นต้น) อธิษฐานด้วยกายนี้ ชื่อว่า การอธิษฐานด้วยกาย, เมื่อไม่ถูกต้องจีวรนั่นด้วยส่วนแห่งร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง การอธิษฐานนั้นไม่ควร
ส่วนในการอธิษฐานด้วยวาจา พึงเปล่งวาจาแล้วอธิษฐานด้วยวาจา มีการอธิษฐาน ๒ วิธี, ถ้าผ้าสังฆาฏิอยู่ในหัตถบาส พึงเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าอธิฐานสังฆาฏิผืนนี้, ถ้าอยู่ภายในห้องในปราสาทชั้นบน หรือในวัดใกล้เคียง พึงกำหนดที่เก็บสังฆาฏิไว้แล้วเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าอธิฐานสังฆาฏินั่น, ในอุตราสงค์ และอันตรวาสก ก็มีนัยอย่างนี้, พึงอธิษฐานจีวรทั้งหมดโดยชื่อของตนเท่านั้น อย่างนี้ว่า สงฺฆาฏึ อุตฺตราสงฺคํ อนฺตรวาสกํ ดังนี้
ถ้าภิกษุกระทำจีวรสังฆาฏิเป็นต้น ด้วยผ้าที่อธิษฐานเก็บไว้ เมื่อย้อมและกัปปะเสร็จแล้ว พึงถอนว่า ข้าพเจ้าถอนผ้านี้ แล้วอธิษฐานใหม่ แต่เมื่อเย็บแผ่นผ้าใหม่หรือขัณฑ์ใหม่ เฉพาะที่ใหญ่กว่าเข้ากับจีวรที่อธิษฐานแล้ว ควรอธิษฐานใหม่, ในแผ่นผ้าที่เท่ากันหรือเล็กกว่า ไม่มีกิจด้วยการอธิษฐานใหม่
-ผ้าอาบน้ำฝนที่ไม่เกินประมาณ อันภิกษุพึงระบุชื่อแล้วอธิษฐานสิ้น ๔ เดือนแห่งฤดูฝน โดยนัยดังกล่าวแล้ว ต่อจากนั้นพึงถอนแล้ววิกัปไว้, ผ้าอาบน้ำฝนนี้ แม้ย้อมพอทำให้เสียสี ก็ควร, แต่สองผืนไม่ควร
-ผ้านิสีทนะพึงอธิษฐานโดยนัยดังกล่าวแล้ว ก็แลผ้านิสีทนะมีได้เพียงผืนเดียวเท่านั้น สองผืนไม่ควร
-แม้ผ้าปูนอนก็ควรอธิษฐานเหมือนกัน; ผ้าปูนอนนี้ถึงใหญ่ก็ควร แม้ผืนเดียวก็ควร แม้มากผืนก็ควร มีลักษณะเป็นต้นว่าสีเขียวก็ดี สีเหลืองก็ดี มีชายก็ดี มีชายเป็นลายดอกไม้ก็ดี ย่อมควรทุกประการ ภิกษุอธิษฐานคราวเดียว ย่อมเป็นอันอธิษฐานแล้วทีเดียว
-ผ้าปิดฝีที่ได้ประมาณพึงอธิษฐานชั่วเวลาที่ยังมีอาพาธอยู่ เมื่ออาพาธหายแล้ว พึงถอนแล้ววิกัปเก็บไว้ผืนเดียวเท่านั้น จึงควร
-ผ้าเช็ดหน้าพึงอธิษฐานเหมือนกัน ภิกษุจำต้องปรารถนาผืนอื่น เมื่อต้องการใช้ในเวลาที่ยังซักอีกผืนหนึ่งอยู่ เพราะฉะนั้น สองผืนก็ควร
-ในบริขารโจล ชื่อว่าการนับจำนวนไม่มี พึงอธิษฐานได้เท่าจำนวนที่ต้องการนั่นเทียว, ถุงย่ามก็ดี ผ้ากรองน้ำก็ดี มีประมาณเท่าจีวรที่ควรวิกัปเป็นอย่างต่ำ พึงอธิษฐานว่าบริขารโจลเหมือนกัน แม้จะรวมจีวรมากผืนเข้าด้วยกันแล้วอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าอธิษฐานจีวรเหล่านี้เป็นบริขารโจร ดังนี้ก็สมควรเหมือนกัน แม้ภิกษุจะเก็บไว้เพื่อประโยชน์แก่เภสัช นวกรรมและมารดา เป็นต้น ก็จำต้องอธิษฐาน แต่ในมหาปัจจรีว่า ไม่เป็นอาบัติ
-ส่วนในเสนาสนบริขารเหล่านี้คือ ฟูกเตียง ๑ ฟูกตั่ง ๑ หมอน ๑ ผ้าปาวาร ๑ ผ้าโกเชาว์ ๑ และในเครื่องปูลาดที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์แก่เสนาสนบริขาร ไม่มีกิจที่ต้องอธิษฐานเลย
๙.เหตุให้ขาดอธิษฐาน
ถามว่า จีวรอธิษฐานแล้ว เมื่อภิกษุใช้สอยอยู่ จะละอธิษฐานไปด้วยเหตุอย่างไร? ตอบว่า ย่อมละด้วยเหตุ ๙ อย่างนี้ คือ ด้วยให้บุคคลอื่น ๑ ด้วยถูกชิงไป ๑ ด้วยถือเอาโดยวิสาสะ ๑ ด้วยหันไปเป็นคนเลว (เข้ารีตเดียรถีย์) ๑ ด้วยลาสิกขา ๑ ด้วยกาลกิริยา (ตาย) ๑ ด้วยเพศกลับ ๑ ด้วยถอนอธิษฐาน ๑ ด้วยความเป็นช่องทะลุ ๑
บรรดาเหตุ ๙ อย่างนั้น จีวรทุกชนิดย่อมละอธิษฐานด้วยเหตุ ๘ อย่างข้างต้น, แต่เฉพาะไตรจีวรละอธิษฐานด้วยความเป็นช่องทะลุ อรรถกถาทุกแห่งกล่าวว่า ช่องทะลุประมาณเท่าหลังเล็บแห่งนิ้วก้อย และช่องทะลุเป็นช่องโหว่ทีเดียว ถ้าภายในช่องทะลุมีเส้นด้ายเส้นหนึ่งยังไม่ขาด ก็ยังไม่ละอธิษฐาน
“บรรดาไตรจีวรนั้น สำหรับสังฆาฏิและอุตราสงค์ ช่องทะลุจากด้านในแห่งเนื้อที่มีประมาณเพียง ๑ คืบ จากชายด้านยาว, มีประมาณ ๘ นิ้ว จากชายด้านกว้าง ย่อมทำให้ขาดอธิษฐาน แต่สำหรับอันตรวาสก ช่องทะลุจากด้านในแห่งเนื้อที่ มีประมาณเพียง ๑ คืบ จากชายด้านยาว, มีประมาณ ๔ นิ้ว จากชายด้านกว้าง ย่อมทำให้ขาดอธิษฐาน ช่องทะลุเล็กลงมาไม่ทำให้ขาดอธิษฐาน....เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดเป็นช่องทะลุ จีวรนั้นย่อมตั้งอยู่ในฐานแห่งอดิเรกจีวร, ควรกระทำสูจิกรรมแล้ว อธิษฐานใหม่”. (สูจิกรรม-การเย็บ)
ก็ภิกษุใดดามผ้าปะลงในที่ชำรุดก่อนแล้ว เลาะที่ชำรุดในภายหลัง การอธิษฐานของภิกษุนั้นยังไม่ขาดไป, แม้ในการเปลี่ยนแปลงกระทงจีวรก็มีนัยนี้เหมือนกัน สำหรับจีวร ๒ ชิ้น เมื่อชิ้นหนึ่งเกิดเป็นช่องทะลุหรือขาดไป อธิษฐานยังไม่ขาด, ภิกษุกระทำจีวรผืนเล็กให้เป็นผืนใหญ่ หรือกระทำผืนใหญ่ให้เป็นผืนเล็ก อธิษฐานยังไม่ขาด เมื่อจะต่อริมสองข้างเข้าที่ตรงกลาง ถ้าว่าตัดออกก่อนแล้วภายหลังเย็บติดกัน อธิษฐานย่อมขาด ถ้าเย็บต่อกันแล้วภายหลังจึงตัด อธิษฐานยังไม่ขาด, แม้เมื่อใช้พวกช่างย้อมซักให้เป็นผ้าขาว อธิษฐานก็ยังคงเป็นอธิษฐานอยู่ทีเดียว