แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74 75 76 77 78 79 80 81 82 83 84 85 86 87 88 89 90 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100 101 102 103 104 105 106 107 108 109 110 111 112 113 114 115 116 117 118 119 120 121 122 123 124 125 126 127 128 129 130 131 132 133 134 135 136 137 138 139 140 141 142 143 144 145 146 147 148 149 150 151 152 153 154 155 156 157 158 159 160 161 162 163 164 165 166 167 168 169 170 171 172 173 174 175 176 177 178 179 180 181 182 183 184 185 186 187 188 189 190 191 192 193 194 195 196 197 198 199 200 201 202 203 204 205 206 207 208 209 210 211 212 213 214 215 216 217 218 219 220 221 222 223 224 225 226 227 228 229 230 231 232 233 234 235 236 237 238 239 240 241 242 243 244 245 246 247 248 249 250 251 252 253 254 255 256 257 258 259 260 261 262 263 264 265 266 267 268 269 270 271 272 273 274 1 ... 153 154 [155 ] 156 157 ... 274
3081
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / ขนมปังนิ่ม-เนยสดหวาน สูตรและวิธีทำ
เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2559 12:10:08
. section : 1• ส่วนผสม - แป้งขนมปัง 1 ช้อนโต๊ะ - นมสด 1+¼ ถ้วย วิธีทำ ผสมแป้งขนมปังกับนมสด ยกขึ้นตั้งไฟ กวนให้เข้ากันด้วยไฟอ่อน จนส่วนผสมข้น ยกลงพักไว้ให้เย็น section : 2• ส่วนผสม - ยีสต์แห้ง 1 ช้อนโต๊ะ - น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ - น้ำอุ่น¼ ถ้วย วิธีทำ ผสมน้ำตาลทรายในน้ำอุ่นคนให้น้ำตาลละลาย ใส่ยีสต์ คนให้เข้ากัน พักไว้ให้ยีสต์ทำงานได้อย่างเต็มที่ (ถ้ายีสต์ขึ้นฟูแสดงว่ายีสต์มีประสิทธิภาพ ทำให้เนื้อขนมปังเกิดรูพรุนจนฟูขึ้น แต่ถ้ายีสต์ไม่ขึ้นฟู แสดงว่าเชื้อราตายแล้ว ยีสต์นั้นใช้ไม่ได้) ยีสต์เริ่มขึ้นฟูแล้วค่ะ ส่วนในถ้วยแก้วสีเหลืองคือเนยสดละลาย ชั่งเนยตามสัดส่วนที่กำหนด
นำเข้าเตาอบไมโครเวฟใช้เวลาประมาณ 20 วินาที
section : 3ย้อนกลับมาทำต่อในส่วนที่ 1 แป้งที่กวนไว้คงจะเย็นแล้ว ... • ส่วนผสม - ไข่ไก่ 1 ฟอง - เนยสดละลาย 80 กรัม - นมผง 2 ช้อนโต๊ะ - วิปปิ้งครีม ¼ ถ้วยตวง วิธีทำ 1.นำส่วนผสมของแป้งที่กวนกับนมสด ในขั้นตอนแรก หรือ section 1 โดยตวงแป้งให้ได้ 1 ถ้วยตวง 2.ใส่ไข่ไก่ วิปปิ้งครีม นมผง และเนยสดละลาย ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมเข้ากันจนเนียน ส่วนผสมในหม้อสีขาวๆ คือแป้งที่กวนกับนมสดค่ะ...พักไว้ให้เย็นสนิท
ตวงแป้งกวนใหได้ 1 ถ้วยตวง ใส่วิปปิ้งครีม
ใส่ไข่ไก่ นมผง เนยสดละลาย
แล้วใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากันจนเนียน
นำไปเทใส่ในโถแป้งที่เกลี่ยแป้งให้เป็นหลุมตรงกลาง ตีด้วยความเร็วต่ำพอเข้ากัน จึงใส่ส่วนผสมของยีสต์ที่หมักไว้
ตีไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วระดับ 2 หรือ 3 ของเครื่อง โดยใช้เวลาตีนาน 20 นาที
section : 4• ส่วนผสม - แป้งขนมปัง 450 กรัม - เคเอส 505 (สารเสริมคุณภาพ) 1 ช้อนชา - เกลือป่น ½ ช้อนชา - น้ำตาลทราย5 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ 1.ร่อนแป้งขนมปัง สารเสริมคุณภาพ และเกลือป่น นำใส่โถผสมอาหาร แล้วใส่น้ำตาลทราย ใช้พายยางคนให้เข้ากัน 2.ทำแป้งให้เป็นบ่อหรือหลุมตรงกลาง ใส่ส่วนผสมของแป้ง ไข่ไก่ และเนยสด ลงในโถแป้ง ใช้หัวตีรูปตะขอ ตีด้วยความเร็วต่ำพอเข้ากัน 3.ใส่ส่วนผสมของยีสต์ ตีด้วยความเร็วระดับ 2 หรือ 3 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที 4.นำแป้งที่ได้คลึงให้เป็นก้อนกลม นำไปใส่ในภาชนะสำหรับหมักแป้งที่ทาด้วยเนยขาว คลุมด้วยผ้าขาวบาง แล้วปิดฝาให้มิดชิด หมักไว้จนกว่าแป้งจะขึ้นฟูเป็นสองเท่า (ใช้เวลาประมาณ 30 นาที...บางทีไปได้ยีสต์ที่ใกล้เสื่อมคุณภาพ ต้องใช้เวลาหมักเป็นชั่วโมง) 5.นำแป้งขึ้นวางบนกระดาน ตัดแป้งชั่งน้ำหนักให้ได้ 30 กรัม คลึงให้เป็นก้อนกลม...วางในพิมพ์ที่ทาด้วยเนยขาว 6.ใช้ผ้าขาวบางหรือแผ่นพลาสติก คลุมหมักแป้งให้ขึ้นฟูเป็นสองเท่า 7.ใช้แปรงจุ่มนมข้นจืดระเหย ทาหน้าขนม 8.นำเข้าอบด้วยไฟอุณหภูมิ 170° (ไฟล่าง-บน) ใช้เวลาอบ 15-20 นาที 9.นำออกจากเตาอบ วางบนตะแกรง แล้วรีบทาหน้าขนมด้วยนมข้นจืดระเหยอีกครั้ง พักไว้ให้ขนมเย็น 10.ทาหน้าขนมปังด้วยเนยมาการีน แล้วโรยน้ำตาลไอซิ่ง แป้งที่ตีจนได้ที่แล้ว นำไปใส่ในภาชนะสำหรับหมักแป้งที่ทาด้วยเนยขาว
ใช้ผ้าขาวบางคลุมแป้ง แล้วหาฝาปิดภาชนะไว้ด้วย
ใช้ได้แล้ว...แป้งขึ้นฟูเป็นสองเท่า
ตัดแป้งชั่งน้ำหนักประมาณก้อนละ 30 กรัม
คลึงให้เป็นก้อนกลม
จัดวางเรียงในถาดอบที่ทาด้วยเนยขาว โดยเว้นระยะให้แป้งขึ้นฟูพอประมาณ
(กลมบ้างเบี้ยวบ้าง...ให้อภัยกัน)
คลุมด้วยพลาสติกป้องกันผิวหน้าขนมแห้ง และช่วยให้ขึ้นฟูได้เร็ว
(คนทำเป็นอาชีพ เขามีตู้บ่มขนมให้ขึ้นฟู...ของเราทำกินกันในบ้านจึงนำถุงพลาสติกปิดไว้)
ขนมขึ้นฟูเต็มที่ ก่อนนำเข้าอบ ให้ทาด้วยนมข้นจืด
พอออกจากเตาแล้ว รีบทาด้วยนมข้นจืดอีกครั้งหนึ่ง ให้หน้าขนมเป็นเงามัน
(บางคนประหยัด ใช้เนยขาวแทนก็ได้)
รับประทานได้เลยค่ะ ขนมปังนิ่มมากๆ หอมหวานมันเนย
อาจเพิ่มรสชาติด้วยการทาหน้าขนมด้วยเนยสดผสมมาการีน แล้วโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง
(
เนยสดมาการีน) : ทำโดยผสมเนยสดกับมาการีนอย่างละเท่าๆ กัน ใช้ตะกร้อมือคนให้ขึ้นฟู)
หัวข้อแนะนำ : ขนมปังไส้สังขยาใบเตย สูตร/วิธีทำ ดูสูตรและวิธีทำโดย
กดที่ภาษาอังกฤษสีเทา ด้านล่างค่ะ
http://www.sookjai.com/index.php?topic=175805.0
3084
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / น้ำระกำดอง : สูตร-วิธีทำ หวานอมเปรี้ยว กลมกล่อม ชุ่มคอ หอมกลิ่นระกำ
เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2559 16:55:04
. น้ำระกำดอง หวานอมเปรี้ยว กลมกล่อม ชุ่มคอ หอมกลิ่นระกำ • ส่วนผสม - ระกำ (แกะเปลือกออกแล้ว) ½ กิโลกรัม - เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ - น้ำตาลทราย 1+½ ถ้วย - น้ำสะอาด 2 ถ้วย • วิธีทำ 1.ปอกเปลือกระกำ ชั่งน้ำหนักเนื้อผลไม้ให้ได้ครึ่งกิโลกรัม นำไปล้างน้ำให้สะอาด 2.โรยเกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ เคล้าให้เข้ากัน หมักดองเกลืออย่างน้อย 2 วัน 3.ตั้งน้ำสะอาด ใส่น้ำตาลทราย ใส่ผลระกำดอง 7-9 ผล เคี่ยวสักครู่ พักไว้ให้เย็น 4.เวลาเสิร์ฟ ตักราดบนน้ำแข็งทุบ...ช่วยให้ชุ่มคอ ดับกระหาย คลายร้อน ระกำดอง 3 วัน ช่วยให้ความเปรี้ยวลดลง
เมื่อจะนำไปต้มกับน้ำตาล ให้ตักแต่ผลระกำ น้ำดองไม่ต้องใส่ไปด้วยเพราะเค็มมาก
และเมื่อต้มสักครู่ ความเค็มในผลระกำจะออกมา...
น้ำระกำจึงให้รสชาติ หวาน หอมกลิ่นระกำ และเค็มเล็กน้อย
สูตรนี้มาไกล ไกลจากถิ่นที่อยู่ เป็นพันกิโลเมตร ขอขอบคุณชาวอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ถ่ายทอดวิธีทำ
น้ำระกำดอง ของอร่อยหาทานยาก
ให้ผู้โพสท์ เมื่อเดือนเมษายน 2559 ที่ผ่านมาค่ะ
3085
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2559 15:48:35
วัฒนธรรมร่วมอาเซียน ตอน ตุ๊กตาเสียกระบาน บุญกลางบ้าน, บุญซำฮะ, บุญเบิกบ้าน (ประเพณี ๑๒ เดือน)
ตุ๊กตาเสียกระบาน หมายถึงรูปจำลองคนและสัตว์ตามจำนาวนในครอบครัว ใส่ในกะบานผี ในงานเลี้ยงผีบ้าน เพื่อขอความคุ้มครองจากผีร้าย มีพิธีในเดือน ๖ ต่อเนื่องเดือน ๗ ทางภาคกลางเรียกบุญกลางบ้าน แต่ในอีสานเรียก บุญเบิกบ้าน, บุญซำฮะ อ.สมชาย นิลอาธิ (จ. มหาสารคาม) ลงพื้นที่ร่วมงานบุญ แล้วมีรายงานพร้อมรูปถ่าย ดังต่อไปนี้ บุญเลี้ยงบ้าน บุญซำฮะ (คือบุญชำระ) เป็นชื่อเรียกบุญประจำเดือน ๗ ในฮีต ๑๒ (แม้จะเป็นงานบุญประจำเดือน ๗ แต่บางแห่งก็จะเลื่อนมาจัดร่วมหรือติดๆ กันกับบุญบั้งไฟ เดือน ๖ ก็มี) แต่ชาวบ้านอีสานรวมทั้งกลุ่มผู้ไท, ญ้อ เรียกแตกต่างกันอีกหลายชื่อ เช่น บุญเบิกบ้าน, บุญเลี้ยงบ้าน ฯลฯ เกี่ยวข้องกับความเชื่อผีปู่ตาและบือบ้าน หลักบ้านของผีปู่ตา หรือเจ้าปู่ ตั้งอยู่ริมหมู่บ้าน มีข้อห้ามหลายอย่างในบริเวณที่กำหนดให้เป็นที่ดินของเจ้าปู่และเป็นเจ้าของผู้รักษาทั้งต้นไม้และสัตว์ทุกชนิดจนหนาทึบเป็นป่าปู่ตา หรือดอนปู่ตา ซึ่งมักเรียกกันว่าหลักบ้าน บือบ้านอยู่กลางชุมชน โดยมีหมอสูด (สูตรสวด) เป็นผู้ทำพิธีตอกหลักเสาไม้เป็นสัญลักษณ์ไว้ เรียกว่า บือบ้าน (สะดือบ้าน) หรือ หลักบือบ้าน ปรกติจะเป็นบริเวณลานดินกว้างใช้ประโยชน์ร่วมกันในหลายๆ โอกาส โดยเฉพาะในงานบุญซำฮะ เสาหลักไม้ที่ปักอยู่ในลานกว้างกลางบ้านคือสัญลักษณ์ศูนย์กลางร่วมของชุมชน ทำพิธีกรรมเลี้ยงบ้านประจำปี แต่เดิมชาวบ้านจะช่วยกันทำความสะอาดสถานที่และสร้างตูบผาม (ปะรำ) ชั่วคราว เพื่อเป็นที่พักร่มทำพิธีกรรมที่มักเรียกภายหลังว่า ศาลากลางบ้าน โดยจัดเตรียมเครื่องพิธีต่างๆ เพื่อวางบูชาอย่างน้อย ๕ แห่ง คือ เครื่องพิธีสำหรับเสาหลักบือบ้าน และเครื่องทำพิธีสำหรับวางไว้ ๔ ทิศ รอบหมู่บ้านซึ่งบางแห่งก็จะวางไว้ตามทางแยกริมๆ หมู่บ้านก็มีบ้าง เตรียมหินกรวดและทราย กับช่วยกันขึงโยงฝ้ายสายสิญจน์อ้อมโยงไปตามหลังคาเรือนต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกหลังคาเรือน หรือโยงอ้อมรอบหมู่บ้านเพื่อเป็นสัญลักษณ์การร่วมพิธีกรรมที่จะขับไล่ผีร้าย และสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ที่จะเข้ามาในหมู่บ้าน ต้องโยนหว่านหินกรวด เข้าในบริเวณบ้านหรือหลังคาเรือนให้เกิดเสียงขับไล่ผีร้ายไปด้วย เครื่องพิธีสำคัญคือ ขันห้า มีดอกไม้ ๕ คู่ และเทียนขี้ผึ้ง ๕ คู่ สำหรับหมอสูดใช้ทำพิธีเกี่ยวกับผีวิญญาณทั้งผีดีและผีร้าย พิธีกรรมเลี้ยงบ้านหรือเลี้ยงกลางบ้านมีสูด (สวด) มุงคุล โดยหมอสูดในตอนเย็น-ค่ำ ๓ วัน ติดต่อกัน เมื่อยอมรับศาสนาพุทธแล้วจึงมีการนิมนต์พระสงฆ์สวดพุทธมนต์เย็น ๓ วัน หลายแห่งจะปรับการสร้างตูบผามชั่วคราวให้ถาวรด้วยการยกพื้นต่างระดับคล้ายจะเลียนแบบหอแจกคือศาลาการเปรียญในวัดจนเรียกว่าศาลากลางบ้าน รุ่งเช้าของวันที่ ๔ ชาวบ้านร่วมถวายจังหันที่บริเวณหลักบือบ้าน จากนั้นร่วมขบวนกันไปตบประทายรอบๆ หมู่บ้าน และตามสี่แยก และให้ไปจบสุดที่บริเวณศาลปู่ตา ซึ่งตอนนี้จะมี “ควายจ่า” หรือ “ควายฮ้า” เข้าร่วมเล่นถวายบูชาเจ้าปู่ตา ร่วมกับชาวบ้าน ตบประทายด้วย จบพิธีบุญเบิกบ้าน ด้วยการถวายเพลพระ เครื่องพิธีบุญเบิกบ้าน แต่เดิมทำกระทง ๙ ห้อง ด้วยกาบกล้วย ในแต่ละห้องปั้นดินเหนียวรูปคนและสัตว์ มีวัวควายใส่ไว้โดยไม่กำหนดจำนวน ทางภาคกลางเรียกตุ๊กตาเสียกระบาน ต่อภายหลังจึงเปลี่ยนมาใช้กาบกล้วยปาดแทงเป็นรูปคนสัตว์แทนดินเหนียว สิ่งอื่นๆ ที่จัดใส่ในกระทง ๙ ห้อง มี เหมี้ยว, หมากคำ, ยากอก, ข้าวขาว, ข้าวดำ, ข้าวแดง, พริก, เกลือ, ปลาแดก, หอม, กระเทียม, เป็นต้น ในอดีตเคยเชิญหมอสูตรทำพิธีสูตรเฉพาะในวันแรกเท่านั้น ภายหลังจึงนิมนต์พระสวดมงคลทั้ง ๓ วัน ปัจจุบันตั้งเสาไม้ไผ่สูง ๔ เสาทำเป็นหอยกพื้นเหนือหลักบือบ้าน วางเครื่อง “คุรุพัน” เป็นเสมือนหลักประธานไว้กลางพื้นหอ ตบประทายไว้ ๔ มุมของเครื่องคุรุพัน, แต่งเสาทั้ง ๔ ต้นด้วยต้นกล้วย, อ้อย, ธงซ้อ (ธงหน้างัว), ฉัตร (กระดาษ), มุมเสาหอทั้ง ๔ วางเครื่องบูชามีขันหมากเบ็ง, กระทง, เครื่องคาว, กระทงหมากคำและยากอก, ดอกไม้ พื้นรอบหลักบือบ้าน ขึงราวเทียนรอบ ๔ ด้าน ยึดกับเสาหอ, โคนเสาวางอ่างใส่ใบบัว และจอกแหน, มะพร้าวแก่ออกงอกหน่อ ทำพิธีบุญเบิกบ้าน ชาวบ้านทยอยกันไปร่วมพิธีพร้อมเครื่องพิธีมีขัน ๕ บูชาหลักบือบ้านและบูชาพระพุทธรูป แต่ละครอบครัวเตรียมหินย่อย, หินกรวด, หินแลง, หรือทราย แล้วแต่จะหาได้ของใครของมันมาวางไว้รอบๆ พื้นหลักบือบ้าน เมื่อเสร็จพิธีบุญแล้ว ต่างนำหินและทรายไปหว่านที่ประตูรั้วบ้านหรือหน้าบันไดเรือนของตน หลักบือบ้าน ตั้งอยู่มุมสี่แยกในชุมชน บ้านหวายหลึม ต.พระเจ้า อ.เชียงขวัญ จ.ร้อยเอ็ด
(ขวา) ชาวบ้านร่วมพิธีเลี้ยงบุญกลางบ้าน หน้าศาลากลางบ้าน เวลาประมาณ ๕ โมงเย็น
เสร็จพิธีประมาณ ๑๖.๔๐ น. (๑ ชั่วโมง ๔๐ นาที)
(ซ้าย) หอหลักบือบ้าน (ด้านล่าง) ชาวบ้านแต่ละครอบครัวต่างเตรียมก้อนหิน,
กรวดหิน, กรวดหินแลง, ทรายมาวางร่วมพิธี รอบๆ หลักบือบ้านตลอดงาน ๓ วัน (ตอนเย็น)
ชั้นบนของหอที่สร้างเพิ่มเติมเฉพาะงานแต่ละปีวางเครื่อง “คุรุพัน” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์
ของงานบุญผะเหวด ตั้งเป็นประธานไว้กลางหอ, ทั้ง ๔ เสารอบหอแต่งด้วยต้นกล้วย
อ้อย ฉัตร และธงช่อ (ธงหน้างัว) โคนเสาทั้ง ๔ วางขันหมากเบ็ง, กระทงเครื่องคาว,
กระทงยากอก+หมากคำ, ประทายทราย และวางดอกไม้บูชา
(ขวา) โคนเสาวางอ่าง (กระโถน) ใส่ใบบัว, จอก, แหน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์
ของพระอุปคุต (สถิตอยู่ในน้ำ) และมะพร้าวแก่งอก, บนพื้นวางก้อนหิน, กรวดหิน ฯลฯ
ที่ต่างเตรียมมาเข้าร่วมพิธี เมื่อเสร็จพิธีในตอนเช้าของวันที่ ๔ แล้ว ต่างจะนำกลับไปหว่าน
ที่บ้านของตน, เหนือพื้นใช้กาบกล้วยยึดรอบ ๔ เสา ทำเป็นราวเทียนจุดบูชา
(ซ้าย) หอพระอุปคุต ยกพื้นสูงตั้งอยู่เหนือหลักบือบ้าน
(ขวา) ขันห้าที่ชาวบ้านต่างเตรียมมาบูชามีดอกไม้และเงินเหรียญ
วัฒนธรรมร่วมอาเซียน ตอน ขอฝนของชาวบ้าน เป็นพระราชพิธีพรุณศาสตร์ (ประเพณี ๑๒ เดือน)
ขอฝน ชาวบ้านทั่วไปทุกชุมชนร่วมกันทำพิธีตอนเดือน ๖ ต่อเนื่องเดือน ๗ เพื่อหาน้ำทำนาเริ่มฤดูการผลิตใหม่ เพราะแล้งน้ำมาตั้งแต่เดือน ๕ ประเพณีขอฝนของชาวบ้านมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับท้องถิ่นจะเชื่อแล้วทำตามคติแบบไหน? อย่างไร? เช่น ภาคอีสาน จุดบั้งไฟ ฯลฯ แต่ภาคกลางมีปั้นเมฆ, แห่นางแมว ฯลฯ ปั้นเมฆ ปั้นเมฆ หมายถึง พิธีขอฝนโดยทำรูปจำลองหญิงชายเปลือยแสดงอวัยวะเพศ หรือสมสู่ร่วมเพศกัน แล้วจัดวางกลางแจ้งในที่สาธารณะให้คนเห็นทั่วไป แล้วเรียกรูปจำลองนั้นว่ารูปปั้นเมฆ [รูปจำลองทำได้หลายอย่าง เช่น หล่อโลหะ, แกะสลักไม้, ปั้นดินเหนียวแล้วทาปูนขาวหรือไม่ทาก็ได้] ปั้นเมฆ แสดงอวัยวะเพศหญิง (รูปที่ทำวงกลมล้อมรอบ) ราว ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว
(ภาพเขียนสีพบที่ถ้ำเขาปลาร้า เขตติดต่อ อ.ลานสัก-อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี)
ปลาช่อน อวัยวะเพศชาย ปลาช่อน เป็นสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศชาย มีน้ำอสุจิสีขาวเป็นน้ำเชื้อให้กำเนิดใหม่ แสดงความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ว่านยา ข้าวปลาอาหาร คนดึกดำบรรพ์ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว เซ่นวักเลี้ยงผีขอฝนด้วยปลาช่อน นักโบราณคดีขุดพบซากปลาช่อนทั้งตัวในภาชนะดินเผา ฝังรวมในหลุมศพที่บ้านโนนวัด อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ซากปลาช่อนในหม้อไหดินเผา ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว
ขุดพบในหลุมศพดึกดำบรรพ์ที่บ้านโนนวัด ต.พลสงคราม อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา
ความเชื่อเกี่ยวกับปลาช่อน ยังมีสืบเนื่องจนปัจจุบันในพิธีปั้นเมฆขอฝน ต้องนิมนต์พระสวดคาถาปลาช่อน มีบทร้องของชาวบ้านว่า ๏ นิมนต์พระมา สวดคาถาปลาช่อน ปั้นเมฆสองก้อน มีละครสามวัน จับคนชนกัน ฝนก็เทลงมา—- [มีคำอธิบายอย่างพิสดารเรื่องคาถาปลาช่อน ในพระราชพิธีพรุณศาสตร์ เดือน ๙ หนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ ร.๕] พระสงฆ์สวดคาถาปลาช่อน ในพิธีปั้นเมฆขอฝน
[แก้บน-ชาวบ้าน ต. แม่พูล และ ต.หัวดง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ นำหัวหมู
พร้อมเครื่องบายศรี เซ่นไหว้หุ่นดิน “พ่อเมฆ” และ “แม่หมาก” หลังทำพิธีขอฝน
ตามพิธีโบราณ จากนั้นฝนก็ตกติดต่อกันเป็นเวลา ๓ วัน เมื่อวันที่ ๖ พ.ค.
(ภาพและคำบรรยายจาก นสพ.ข่าวสด ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙ หน้า ๑๑)]
พรุณศาสตร์ พรุณศาสตร์ เป็นพระราชพิธีขอฝน (ที่เชื่อว่า) ตามตำราพราหมณ์ มีในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน แต่จัดไว้เดือน ๙ ร.๕ ทรงอธิบายว่าเป็นพิธีจร หมายความว่า “ปีใดฝนบริบูรณ์ ก็ยกเว้นไม่ทำ” ต่อปีที่ฝนแล้ง จึงทำตามตำรา หมายความว่าจนเดือน ๙ แล้ว ฝนไม่ตก และไม่มีน้ำให้ชาวบ้านทำนาทำไร่ ก็ต้องทำพระราชพิธีพรุณศาสตร์ เหตุนี้จึงลงพระราชพิธีนี้ในเดือน ๙ พระราชพิธีขอฝน มีปั้นเมฆ ขอฝนโดยปั้นเมฆสัญลักษณ์สมสู่กัน น่าจะมีในราชสำนักยุคอยุธยา แต่ไม่พบหลักฐานตรงๆ ครั้นล่วงถึงยุครัตนโกสินทร์ มีร่องรอยปั้นเมฆในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ ร.๕ ทรงเล่าว่าปั้นเมฆในพระราชพิธีพรุณศาสตร์ (เดือน ๙) เป็นพิธีพราหมณ์ “อยู่ข้างจะเร่อร่าหยาบคาย” แต่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง จะคัดมา (โดยจัดย่อหน้าใหม่) ดังนี้ “การตบแต่งโรงพระราชพิธีและเทวรูป ก็คล้ายกันกับพิธีอื่นๆ คือปลูกโรงพิธี——-” “ขุดสระกว้าง ๓ ศอก ยาว ๓ ศอก ลึกศอกหนึ่ง มีรูปเทวดาและนาคและปลาเหมือนสระที่สนามหลวง ยกเสียแต่รูปพระสุภูต ตรงหน้าสระออกไปปั้นเป็นรูปเมฆสองรูป คือปั้นเป็นรูปบุรุษสตรีเปลือยกายแล้วทาปูนขาว การที่จะปั้นนั้นต้องตั้งกำนลปั้นพร้อมกันกับที่พิธีสงฆ์ มีบายศรีปากชามแห่งละสำรับ เทียนหนักเล่มละบาทแห่งละเล่ม เงินติดเทียนเป็นกำนลแห่งละบาท เบี้ย ๓๓๐๓ เบี้ย ข้าวสารสี่สัด ผ้าขาวของหลวงจ่ายให้ช่างปั้นช่างเขียนนุ่งห่ม ช่างเหล่านั้นต้องรักษาศีลในวันที่ปั้น” ทั้งหมดเป็นนาฏกรรมที่รัฐพัฒนาขึ้นจากประเพณีขอฝนของชาวบ้าน ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : "วัฒนธรรมร่วมอาเซียน" โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ หนังสือมติชนสุดสัปดาห์
3086
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2559 16:39:45
วัฒนธรรมร่วมอาเซียน ตอน แห่นางแมว แล้วปั้นเมฆ ขอฝน เดือน ๖ (ประเพณี ๑๒ เดือน
ขอฝน เดือน ๖ ไม่มีกำหนดรูปแบบตายตัวว่าต้องอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้น จะทำยังไง? เมื่อไร? แค่ไหน? ฯลฯ แท้จริงแล้วขึ้นอยู่กับชุมชนท้องถิ่นนั้นๆ จะตกลงร่วมกัน เช่น ขอแล้วขอเล่าฝนก็ไม่ตก ท้ายสุดต้องจุดบั้งไฟ ง่ายสุดคือแห่นางแมว กับปั้นเมฆ ขบวนแห่นางแมวที่บ้านหัวสำโรง กิ่ง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา
(รูปจากรายการพื้นบ้านสัญจร พิมพ์ในหนังสือเพลงนอกศตวรรษ
ของ เอนก นาวิกมูล สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ.๒๕๕๐)
“ตุ๊กตาโดเรมอนก็เป็นแมวเหมือนกัน” ที่ชาวบ้านต้องใช้ตุ๊กตาโดเรมอนแทนแมวจริงๆ
เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายทารุณกรรมสัตว์ ที่เคยเกิดปัญหาในหลายพื้นที่ นับเป็นพลังสร้างสรรค์
ด้วยอารมณ์ขันยอดเยี่ยม ที่หลีกเลี่ยงกระทำทารุณแมว ขณะเดียวกันก็ไม่ละทิ้งประเพณีแห่นางแมว
แห่โดเรมอน–ชาวบ้าน ๕ หมู่บ้าน ต.วังหลวง อ.หนองม่วงไข่ จ.แพร่ รวมตัวกันแห่นางแมวขอฝน
หลังพื้นที่การเกษตรกว่า ๔,๗๕๐ ไร่ ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก โดยใช้ตุ๊กตาแมวโดเรมอนแทน
เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายทารุณกรรมสัตว์ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน
(ภาพและคำอธิบายภาพจากมติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ หน้า ๑๑)
คาถาปลาช่อน แห่นางแมว ต้องมีคาถาปลาช่อนของชาวบ้านภาคกลางมีบทร้องขอฝนด้วย แต่มีหลายสำนวน จะยกตัวอย่าง ๒ สำนวน ดังนี้ “นิมนต์พระมา สวดคาถาปลาช่อน ปั้นเมฆเสียก่อน —–” “นิมนต์ขรัวชั่ว สวดคาถาปลาช่อน ขี้เมฆสองก้อน มีละครสามวัน จับคนชนกัน ฝนเทลงมา ฝนเทลงมา…” ปลาช่อน เป็นสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศชาย ที่มักรู้จักทั่วไปในนามปลัดขิก ถ้าอวัยวะเพศหญิง บางทีเป็นปลาสลิด, ปลากระดี่ มีรูปร่างแบนๆ แต่มักจะใช้หอย เพราะพบเปลือกหอยบ่อยๆ ในแหล่งโบราณคดี ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปีมาแล้วขอฝน – ชาว อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา แต่งกายชุดสีขาวร่วมกันประกอบพิธี
สวดพุทธมนต์ขอฝนพระพุทธไสยาสน์ หน้าองค์พระพุทธไสยาสน์
วัดธรรมจักรเสมาราม อ.สูงเนิน (พระนอน) พร้อมโยงสายสิญจน์กับอ่างปลาช่อน ๙ ตัว
“สวดคาถาปลาช่อน” ตามความเชื่อท้องถิ่นในการขอฝน เพื่อให้มีน้ำเพียงพอ
ต่อการต่อปลูกข้าวนาปี เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน (ภาพและคำอธิบายภาพจากมติชน
ฉบับวันเสาร์ที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๘ หน้า ๑๑)
ปั้นเมฆขอฝน ชาวบ้านปั้นเมฆขอฝนด้วยดินเหนียว ขนาดเท่าคนจริง ชาย ๑ คน หญิง ๑ คน ร่วมเพศกัน โดยมีผู้ชายอีก ๑ คนนั่งดู บริเวณทางสามแพร่ง ปากทางเข้าบ้านนาตะกรุด ต.ศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ชาวบ้านบอกว่าทำเป็นประเพณีสืบทอดมากว่า ๑๐๐ ปีแล้ว หุ่นผู้ชายชื่อนายเมฆ และหุ่นผู้หญิงชื่อนางฝน และหุ่นผู้ชายที่นั่งดู หรือรอต่อคิว ชื่อนายหมอก ภาพอุจาดประจานต่อสายตาผู้คนที่ผ่านไปมา เชื่อว่าทำให้เกิดอาเพศ เทวดาทนดูไม่ได้ จึงดลบันดาลให้ฝนตกลงมา ชะล้างหุ่นดินเหนียวให้ละลายหายไป (ข่าวสด ฉบับวันพุธที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ หน้า ๑๔) “ปั้นเมฆ” กับ “เมฆสองก้อน” ในประเพณีดั้งเดิมของชาวบ้าน คือปั้นหอยกับหำขนาดใหญ่ แล้วตั้งไว้ที่โล่งแจ้งให้คนเห็นทั้งชุมชน หรือมิฉะนั้นก็ปั้นหญิงกับชายเปลือยกายปี้กัน แล้ววางไว้กลางทุ่งนา หรือลานกลางบ้านก็ได้ปั้นเมฆ เป็นคำเก่าแก่ดั้งเดิม หมายถึงพิธีขอฝน โดยทำรูปอวัยวะเพศหญิงกับชายไว้กลางแจ้งขนาดใหญ่และอุจาดที่สุด บางทีปั้นรูปหญิงชายร่วมเพศ เพราะเชื่อว่าทำให้มีน้ำฝนพุ่งหล่นจากเมฆบนฟ้า เคยพบรูปหล่อสำริดหญิงชายเฮ็ดกันในวัฒนธรรมดองซอน (อยู่ภาคเหนือของเวียดนาม) ราว ๒,๕๐๐ ปีมาแล้วพิธีโบราณ–ชาวบ้านนาตะกรุด อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์
ปั้นดินเหนียวเป็นรูปชาย-หญิงเสพสังวาส ตั้งไว้กลางสามแยกทางเข้าหมู่บ้าน
ระบุเป็นพิธีกรรมขอฝนแบบโบราณกว่า ๑๐๐ ปี หลังจากแห่นางแมวแล้ว แต่ฝนไม่ตก
(ภาพและคำบรรยายภาพจากข่าวสด ฉบับวันพุธที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ หน้า ๑)
พิธีร่วมเพศขอฝน เพื่อความอยู่รอดของคนทั้งเผ่าพันธุ์ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว
(ซ้าย เส้นทึบ) ภาพเขียนสีที่ผาลาย ของชาวจ้วง มณฑลกวางสี จีน
(ขวา เส้นโปร่ง) ประติมากรรมสัมฤทธิ์ ประดับภาชนะสัมฤทธิ์ พบที่เวียดนาม
ร่วมเพศ เป็นพิธีกรรม นอกเหนือจากเพื่อสืบพันธุ์หรือดำรงเผ่าพันธุ์ ร่วมเพศยุคดึกดำบรรพ์เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอฝนด้วย เพื่อขอความงอกงามอุดมสมบูรณ์ให้พืชพันธุ์ธัญญาหาร และเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ มีหลักฐานโบราณคดีจำนวนไม่น้อย แสดงพิธีร่วมเพศ คำขับบอกเล่าเรื่องราวบรรพชนในพิธีเลี้ยงผี มีพรรณนาการร่วมเพศเพื่อขอฝน เช่น คำเล่าความเมืองของผู้ไทในเวียดนาม เป็นต้น ตำนานเมืองพระนครหลวง (นครธม) ในกัมพูชา เชื่อว่าทุกคืนนางนาคแปลงร่างเป็นสาว เพื่อร่วมเพศสมพาสกับพระราชาบนปราสาท ถ้าคืนใดพระราชาไม่ร่วมเพศสมพาสกับนางนาคคราวนั้นพระราชาก็จะถึงกาลวิบัติ และบ้านเมืองจะล่มจม กฎมณเฑียรบาลกรุงศรีอยุธยา ระบุว่าพระราชพิธีเบาะพกที่พระเจ้าแผ่นดินต้องเสด็จไปบรรทมกับแม่นางเมือง (เรียกแม่หยัวพระพี่) ในพระตำหนักศักดิ์สิทธิ์ [หมายถึงพระเจ้าแผ่นดินต้องทรงร่วมเพศสมพาสกับนางนาค ซึ่งเป็นแบบแผนดั้งเดิมที่สืบจากกัมพูชา]วัฒนธรรมร่วมอาเซียน ตอน บุญกลางบ้าน เลี้ยงผีบ้าน (ประเพณี ๑๒ เดือน
บุญกลางบ้าน ปัจจุบันหมายถึงทำบุญเลี้ยงพระกลางหมู่บ้านเพื่อสะเดาะเคราะห์ เดือน ๖ ต่อเนื่องเดือน ๗ (ราวพฤษภาคม) กำหนดเวลาไม่ตายตัว โดยขึ้นกับหมู่บ้านจะนัดหมายกัน เพราะเป็นงานเฉพาะชุมชนหมู่บ้าน เช้า นิมนต์พระสงฆ์สวดมนต์ฉันเช้า เสร็จแล้วเอากระทงเครื่องเซ่นไปพลีไว้ที่ใดที่หนึ่งของหมู่บ้าน เช่น ทางสามแพร่ง ฯลฯ เลี้ยงผีบ้าน บุญกลางบ้าน มีต้นเค้าหรือรากเหง้าเก่าแก่จากพิธีเลี้ยงผีบ้านบริเวณลานกลางบ้าน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนยุคแรกเริ่มมากกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว (ก่อนรับศาสนาจากอินเดีย) เพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บจากผีร้ายและการกระทำต่างๆ จากผีเลว ผีบ้าน หมายถึงผีบรรพชนเจ้าที่ คอยปกป้องคุ้มครองชุมชนหมู่บ้าน บ้าน ยุคดั้งเดิมหมายถึงหมู่บ้าน, ชุมชน ตรงกับ village, community เรือน หมายถึงที่อยู่อาศัยเป็นหลังๆ ตรงกับ house, home แต่ละหลังมีผีเรือน คือ ผีบรรพชนของตระกูล หรือครอบครัวนั้นๆลานกลางบ้าน ลานกลางบ้านยุคดึกดำบรรพ์ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาผี เป็นที่ฝังศพของตระกูลหมอมด, หมอผี, หัวหน้าเผ่าที่ฝังศพ ที่ฝังศพของหัวหน้าเผ่า ซึ่งเป็นหมอมด, หมอผี อยู่ลานกลางบ้าน บางทีอยู่ใต้ถุนเรือนของใครของมัน ตัวอย่างสำคัญเป็นพยาน ได้แก่ บ้านเชียง (จ. อุดรธานี) นักโบราณคดีขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ มีเครื่องมือเครื่องใช้ และเครื่องประดับจำนวนมากฝังรวมด้วย ล้วนเป็นของมีค่าในยุคนั้น และทำด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น สำริด, เหล็ก อายุราว ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว โครงกระดูกเหล่านี้เป็นของตระกูลหมอมด, หมอผี, หัวหน้าเผ่า เพราะคนทั่วไปไม่มีสมบัติมากอย่างนั้น และไม่มีพลังขุดหลุมฝังศพ เพราะไม่มีบริวาร ต้องทิ้งศพไว้ในป่าดงให้แร้งกากิน ที่ฝังศพยุคดึกดำบรรพ์ไม่เรียกป่าช้าสถานที่น่ารังเกียจเหมือนปัจจุบัน เพราะแนวคิดเกี่ยวกับคนตายต่างจากปัจจุบันตุ๊กตาเสียกระบาน ไม่ใช่ตุ๊กตาคอหัก ตุ๊กตาเสียกระบาน เป็นความเชื่อในศาสนาผีเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ก่อนรับศาสนาพราหมณ์-พุทธจากอินเดีย หรือก่อน พ.ศ.๑๐๐๐ เก่าสุดเท่าที่พบขณะนี้ทำด้วยดินเผา มีขนาดเล็กๆ ทั้งรูปคน, สัตว์ ราว ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว และอายุหลังลงมาพบจากการขุดค้นที่เมืองอู่ทอง (อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี) [มีในบทความเรื่องประติมากรรมพื้นบ้านของอู่ทอง ของ เขียน ยิ้มศิริ (อดีตคณบดีคณะจิตรกรรมประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร) พิมพ์ในหนังสือโบราณวิทยาเรื่องเมืองอู่ทอง (กรมศิลปากร รวบรวมจัดพิมพ์ เนื่องในงานเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๙ หน้า ๖๑-๗๐)]ตุ๊กตาเสียกระบาน หมายถึงตุ๊กตาที่ใส่ลงกะบานผี พร้อมเครื่องเซ่นสังเวยในพิธีสะเดาะเคราะห์ ไปทิ้งตรงทางแยก, ตามโคนต้นไม้, ในป่าช้า ฯลฯ หรือลอยน้ำ (พจนานุกรม ฉบับมติชน พ.ศ.๒๕๔๗ หน้า ๓๗๙ และ ๘๘๘)ตุ๊กตา คือรูปปั้นขนาดเล็กทำจากดินเหนียว เป็นรูปคน, สัตว์, สิ่งของ ฯลฯ ที่เจ้าภาพหรือเจ้าบ้านต้องการสะเดาะเคราะห์ให้พ้นโรคภัยไข้เจ็บจากการกระทำของผีร้ายเสีย แปลว่า ทิ้งกระบาน หมายถึง กระบะ หรือภาชนะเป็นสี่เหลี่ยมใส่เครื่องเซ่นสังเวย เรียก กะบานผี (บางทีเขียนปะปนเป็น กบาล หรือ กระบาล ก็มี) ทุกวันนี้ยังทำเสียกะบาน (แต่บางแห่งเรียกกระทง) ใส่เครื่องเซ่นสังเวยโดยไม่มีตุ๊กตาวางไว้ตามที่ต่างๆ ทั้งในกัมพูชา, ลาว, และไทย แต่ก่อนมักเขียนว่า ตุ๊กตาเสียกระบาล แล้วเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าหมายถึงตุ๊กตาคอหัก หรือพระดินเผาขนาดเล็กคอหักเหมือนตุ๊กตาที่ใช้ทำบุญใส่บาตรว่าตุ๊กตาเสียกระบาล โดยเชื่อว่าต้องทำให้เศียรพระหักหรือคอหักเสียก่อน เท่ากับเสียเคราะห์หรือฟาดเคราะห์ ในความจริงเหตุที่หักเพราะตรงลำคอของรูปปั้นหรือหินแกะสลัก เป็นส่วนเปราะบางที่สุด แม้ขนาดใหญ่แกะด้วยหินก็ชำรุดตรงคอทั้งนั้น มีหลักฐานมากมายตามเมืองโบราณ โดยเฉพาะที่เมืองพะเยา (จ.พะเยา) มีพระพุทธรูปหินทรายเศียรหักเกลื่อนกลาดกระบาล แปลว่า หัว, กะโหลกของหัว (แผลงจากคำเขมรว่ากฺบาล) ไม่เกี่ยวกับเรื่องตุ๊กตาเสียกระบานในการสะเดาะเคราะห์ แต่เสียงพ้องกับคำว่ากระบานที่ถูกลืมความหมายไปแล้ว เลยเอามาปนกัน ตุ๊กตาเสียกระบาน ยุคดึกดำบรรพ์
(บน) ควายดินเผา ขุดพบในหลุมศพ ราว ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว บ้านนาดี อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
(ล่างซ้าย) ควายดินเผา ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ขุดพบที่บ้านใหม่ชัยมงคล ใกล้เมืองจันเสน ต.จันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
(ล่างขวา) วัวดินเผา อายุราว ๑,๐๐๐ ปีมาแล้ว พบที่บ้านโนนหมากลา จ.ลพบุรี
บุญกลางบ้าน ต.เนินพระธาตุ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เมื่อเช้าตรู่วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙
มีที่โรงเรียนวัดหน้าพระธาตุ อยู่ในเขตเมืองพระรถ (ยุคทวารวดี ราวหลัง พ.ศ.๑๐๐๐)
เพราะแต่เดิมเป็นบริเวณเนินสูงกลางหมู่บ้าน (ก่อนสร้างโรงเรียน) ของสำคัญบุญกลางบ้าน
ที่คนไปร่วมต้องถือไปด้วย คือ กระทงกาบกล้วยรูปสี่เหลี่ยม ใบตองรองพื้น แต่ทำรูปสามเหลี่ยม
ก็ได้ตามถนัด แล้วมีห้องกั้นเล็กๆ ใส่ของ สำหรับใส่เครื่องสะเดาะเคราะห์ให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ
ห้องต่างๆ ใส่เครื่องเซ่น เช่น อาหารคาวหวาน, ข้าวขาว, ข้าวดำ, ข้าวแดง ฯลฯ
ที่สำคัญคือปั้นดินเหนียวรูปคนและสัตว์ เช่น วัว, ควาย ที่มีในครอบครัวเป็นตัวแทน
ของครอบครัวนั้นๆ ทุกวันนี้เมื่อไม่เลี้ยงวัวควาย แต่เลี้ยงสัตว์อื่น ก็ปั้นสัตว์นั้นแทน
เช่น แมว, หมา, หมู, กระต่าย ฯลฯ ปัจจุบันหาดินเหนียวไม่ได้ หรือไม่อยากเลอะมือปั้น
ก็ใช้ดินน้ำมัน หรือซื้อตุ๊กตาสำเร็จรูป
ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : "วัฒนธรรมร่วมอาเซียน" โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ หนังสือมติชนสุดสัปดาห์
3087
สุขใจในธรรม / บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม / Re: พระปริตรธรรม ๑๒ ตำนาน
เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2559 14:18:55
ภาพประกอบตำนานชัยปริตร
จากหนังสือที่ระลึกงานสวดพระปริตรมหากุศลเฉลิมพระเกียรติฯ
มูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ จัดพิมพ์
ตำนานชัยปริตร ชัยปริตร คือปริตรที่กล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้า แล้วอ้างสัจวาจานั้นมาพิทักษ์คุ้มครองให้มีความสวัสดี คาถา ๑-๓ แสดงชัยชนะของพระพุทธเจ้า เป็นคาถาที่โบราณาจารย์ประพันธ์ขึ้นภายหลัง คาถา ๔-๖ เป็นพระพุทธพจน์ที่นำมาจากอังคุตตรนิกาย ปุพพัณหสูตร อนึ่ง บทสวดมนต์ของไทยบางฉบับมีคาถาเพิ่มอีก ๒ บท ว่า โส อัตถะลัทโธ...สา อัตถะสัทธา... ผู้แปลเห็นว่าไม่มีในพระสูตรนั้น แม้ในฉบับพม่าก็ไม่พบคาถาดังกล่าว จึงแปลเฉพาะคาถาที่มีในพระสูตรชัยปริตร ๑.มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตฺวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา. พระโลกนาถผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ ทรงบำเพ็ญบารมีครบถ้วนเพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิฌาณอันยอดเยี่ยม ด้วยสัจวาจานี้ขอข้าพเจ้าจงมีความสวัสดีทุกเมื่อเทอญ๒.ชะยันโต โพธิยา มูเล สักฺยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวะเมวะ ชะโย เหตุ ชะยามิ ชะยะมังคะเล. ขอข้าพเจ้าจงชนะเหมือนพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นที่เคารพรักของเจ้าศากยะ ทรงชนะ ณ ควงไม้โพธิ์ ขอข้าพเจ้าจงชนะได้รับชัยมงคลเถิด๓.อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปุถุวิปุกขะเล อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ. ขอให้ข้าพเจ้าบรรลุถึงความเป็นเลิศ เบิกบานใจ เหมือนพระพุทธเจ้าบรรลุธรรมอันประเสริฐ เบิกบานพระทัยเหนือบัลลังก์แห่งชัยชนะ ณ พ่างพื้นปฐพีอันประเสริฐเลิศแผ่นดิน เป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์๔.สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พฺรหฺมะจาริสุ. [วันที่ทำความดีทางกาย วาจา ใจ] เป็นฤกษ์ดี มงคลดี ยามรุ่งดี ยามตื่นดี ขณะดี ครู่ดี ทานที่ถวายแก่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ [ในวันนั้น] เป็นทานดี๕.ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ประทักขิณานิ กัตฺวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ. กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม และความตั้งใจ [ที่ทำในวันนั้น] เป็นสิ่งที่ดี เมื่อทำความดีแล้วย่อมได้รับผลดี๖.เต อัตถะลัทธา สุขิตา วิรูฬหา พุทธะสาสะเน อะโรคา สุขิตา โหถะ สะหะ สัพเพหิ ญาติภิ. ขอให้คนทั้งหลายพร้อมทั้งญาติมิตรทั้งปวงได้รับประโยชน์ มีความสุข รุ่งเรืองในพระศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ปราศจากโรค มีความสุขเทอญภาพประกอบตำนานรัตนปริตร
จากหนังสือที่ระลึกงานสวดพระปริตรมหากุศลเฉลิมพระเกียรติฯ
มูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ จัดพิมพ์
ตำนานรัตนปริตร รัตนปริตร คือปริตรที่กล่าวถึงคุณของพระรัตนตรัย แล้วอ้างคุณนั้นมาพิทักษ์คุ้มครองให้มีความสวัสดี มีประวัติเล่าว่า ในสมัยหนึ่งเมืองเวสาลีเกิดฝนแล้ง ขาดแคลนอาหาร มีคนอดอยากล้มตายมากมาย ซากศพถูกโยนทิ้งนอกเมือง พวกอมนุษย์ได้กลิ่นศพก็พากันเข้ามาในเมือง ทำอันตรายคนให้ตายมากขึ้น และยังเกิดอหิวาตกโรคระบาดอีกด้วย ทำให้เมืองเวสาลีประสบภัย ๓ อย่าง ได้แก่ ทุพภิกขภัย คือข้าวยากหมากแพง อมนุสสภัย คืออมนุษย์ และโรคภัย คือโรคระบาด ในขณะนั้นชาวเมืองดำริว่า เมืองนี้ไม่เคยเกิดภัยพิบัติเช่นนี้ถึง ๗ รัชสมัย จึงกราบทูลเจ้าผู้ครองนครว่า ภัยนี้อาจเกิดจากการที่พระองค์มิได้ทรงธรรม เจ้าผู้ครองนครจึงรับสั่งให้ชาวเมืองประชุมกันพิจารณาหาความผิดของพระองค์ แต่ชาวเมืองไม่อาจหาพบได้ ทั้งหมดจึงปรึกษากันว่า ควรนิมนต์ศาสดาองค์หนึ่งมาดับทุกข์ภัยนี้ บางคนกล่าวว่าควรนิมนต์เดียรถีย์ บางคนกล่าวว่าควรนิมนต์พระพุทธเจ้า ในที่สุดทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่าควรนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เสด็จมาโปรด ดังนั้นจึงได้ส่งเจ้าลิจฉวีสองพระองค์มาทูลนิมนต์ เพื่อระงับภัยพิบัตินั้น เมื่อพระพุทธองค์เสด็จถึงเมืองเวสาลี พระอินทร์พร้อมด้วยเทพบริวารเป็นอันมากได้มาเฝ้าในสถานที่นั้น ทำให้พวกอมนุษย์ต้องหลบหนีออกจากเมือง หลังจากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสสอนพระปริตรนี้แก่พระอานนท์ และรับสั่งให้ท่านสาธยายรอบเมืองที่มีกำแพงสามชั้นตลอดสามยาม พวกอมนุษย์ที่ยังเหลืออยู่ได้หลบหนีไปหมด เพราะกลัวอานุภาพพระปริตร ครั้นอมนุษย์หนีไปและโรคระบาดสงบลงแล้ว ชาวเมืองได้มาประชุมกันที่ศาลากลางเมือง และได้นิมนต์พระพุทธองค์เสด็จมาแสดงธรรม ในเวลานั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสรัตนปริตรนี้แก่พุทธบริษัทที่มาประชุมกันในที่นั้น อนึ่ง คาถา ๓ บทสุดท้าย คือคาถาที่ ๑๖-๑๘ เป็นคาถาที่พระอินทร์ตรัสขึ้นเอง โดยดำริว่าพระพุทธเจ้าทรงกระทำให้ชาวเมืองประสบสุข โดยอ้างสัจวาจาที่กล่าวถึงคุณของพระรัตนตรัย เราก็ควรจะกระทำให้ชาวเมืองประสบสุข โดยอ้างคุณของพระรัตนตรัยเช่นเดียวกัน ท้าวเธอจึงตรัสคาถาเหล่านั้นรัตนปริตร ๑.ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิ วะ อันตะลิกเข สัพเพวะ ภูตา สุมะนา ภะวันตุ อะโถปิ สักกัจจะ สุณันตุ ภาสิตัง. ขอเทวดาบนพื้นดินและในอากาศทั้งหลาย ผู้มาประชุมกันอยู่ในที่นี้ทั้งหมด จงเป็นผู้เบิกบานใจ รับฟังถ้อยคำด้วยความเคารพเถิด๒.ตัสฺมา หิ ภูตา นิสาเมถะ สัพเพ เมตตัง กะโรถะ มานุสิยา ปะชายะ ทิวา จะ รัตโต จะ หะรินติ เย พะลิง ตัสฺมา หิ เน รักขะถะ อัปปะมัตตา. ดังนั้น ขอเทวดาทั้งปวงจงฟังข้าพเจ้า จงมีเมตตาจิตในหมู่มนุษย์ เพราะเขาเซ่นพลีกรรมทั้งกลางวันและกลางคืน ท่านจงอย่าประมาท คุ้มครองพวกเขาด้วยเถิด.๓.ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา สัคเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. ทรัพย์ในโลกนี้หรือโลกอื่น หรือรัตนะอันประณีตในสวรรค์ มีสิ่งใดที่จะเสมอกับพระตถาคตนั้นไม่มีเลย ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ด้วยสัจวาจานี้ ขอจงมีความสวัสดี๔.ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง ยะทัชฌะคา สักฺยะมุนี สะมาหิโต นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ อิทิมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. พระศากยมุนีผู้มีพระทัยตั้งมั่น ทรงบรรลุธรรมอันสิ้นกิเลส ปราศจากราคะ ไม่ตายและประณีต มีสิ่งใดที่จะเสมอด้วยพระธรรมนั้นไม่มีเลย ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณอันประเสริฐของพระธรรม ด้วยสัจวาจานี้ขอจงมีความสวัสดี๕.ยัง พุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง สะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ทรงสรรเสริญสมาธิอันผ่องแผ้ว นักปราชญ์ทั้งหลายสรรเสริญสมาธิอันประเสริฐให้ผลทันที มีสิ่งใดที่จะเสมอด้วยสมาธินั้นไม่มีเลย ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณประเสริฐของพระธรรม ด้วยสัจวาจานี้ขอจงมีความสวัสดี๖.เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัตถา จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ เต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. พระสาวกของพระสุคตเจ้า ผู้เป็นพระอริยบุคคล ๘ จำพวก อันแบ่งเป็น ๔ คู่ ที่สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาทาน ทานที่ถวายแก่พระอริยบุคคลเหล่านั้นมีผลมาก ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณอันประเสริฐของพระสงฆ์ ด้วยสัจวาจานี้ขอจงมีความสวัสดี๗.เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬเหนะ นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ สัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. พระอรหันต์ผู้บำเพ็ญเพียรด้วยจิตอันเข้มแข็งในพระศาสนาของพระโคดม เป็นผู้ปราศจากกิเลส ผู้เข้าถึงอมตธรรม ผู้บรรลุพระนิพพาน และผู้เสวยสันติสุขเอง ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณอันประเสริฐของพระสงฆ์ ด้วยสัจวาจานี้ขอจงมีความสวัสดี๘.ยะถินทะขีโล ปะฐะวิสสิโต สิยา จะตุพภิ วาเตหิ อะสัมปะกัมปิโย ตะถูปะมัง สัปปุริสัง วะทามิ โย อะริยะสัจจานิ อะเวจจะ ปัสสะติ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. พระตถาคตตรัสเปรียบสัตบุรุษผู้เห็นแจ้งเข้าถึงพระอริยสัจสี่ ว่าเหมือนกับเสาใหญ่ปักลงดินอันไม่ไหวติงเพราะแรงลมทั้งสี่ด้าน ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณอันประเสริฐของพระสงฆ์ ด้วยสัจวาจานี้ขอจงมีความสวัสดี๙.เย อะริยะสัจจานิ วิภาวะยันติ คัมภีระปัญเญนะ สุเทสิตานิ กิญจาปิ เต โหนติ ภุสัง ปะมัตตา นะ เต ภะวัง อัฏฐะมะมาทิยันติ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. บุคคลเหล่าใดเจริญอริยสัจสี่ ที่พระพุทธเจ้าผู้ทรงพระปัญญาอันลึกซึ้งตรัสไว้ดีแล้ว แม้ว่าท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้หลงเพลิงอย่างมากอยู่ แต่ท่านก็จะไม่เกิดในชาติที่แปดอีก ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณอันประเสริฐของพระสงฆ์ ด้วยสัจวาจานี้ขอจงมีความสวัสดี๑๐.สะหาวัสสะ ทัสสะนะสัมปะทายะ ตะยัสสุ ธัมมา ชะหิตา ภะวันติ สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉิตัญจะ สีลัพพะตัง วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ. ท่านเหล่านั้นคือพระโสดาบันผู้ละสังโยชน์ ๓ ประการ ได้แก่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ละกิเลสอื่นๆ ได้ในขณะที่เห็นธรรม๑๑.จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต ฉัจจาภิฐานานิ อะภัพพะ กาตุง อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. ท่านเหล่านั้นเป็นผู้พ้นแล้วจากอบายทั้ง ๔ ไม่กระทำการอันไม่สมควร ๖ ประการ (คืออนันตริยกรรม ๕ และการนับถือศาสดาอื่น) ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณอันประเสริฐของพระสงฆ์ ด้วยสัจวาจานี้ขอจงมีความสวัสดี๑๒.กิญจาปิ โส กัมมะ กะโรติ ปาปะกัง กาเยนะ วาจา อุทะ เจตะสา วา อะภัพพะ โส ตัสสะ ปะฏิจฉะทายะ อะภัพพะตา ทิฏฐะปะทัสสะ วุตตา อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. แม้ท่านเหล่านั้นยังทำความผิดด้วยกาย วาจา หรือใจอยู่บ้างก็ตาม แต่ท่านก็ไม่ปกปิดความผิดนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้เห็นพระนิพพานเป็นผู้ไม่ปกปิดความผิด ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณอันประเสริฐของพระสงฆ์ ด้วยสัจวาจานี้ขอจงมีความสวัสดี๑๓.วะนัปปะคุมเพ ยะถะ ผุสสิตัคเค คิมหานะมาเส ปะฐะมัสฺมิง คิมเห ตะถูปะมัง ธัมมะวะรัง อะเทสะยิง นิพพานะคามิง ปะระมัง หิตายะ อิทิมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. พุ่มไม้ในป่าที่แตกยอดอ่อนในเดือนต้นแห่งคิมหันตฤดูมีความงามฉันใด พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมให้ถึงพระนิพพานเพื่อประโยชน์สูงสุดมีความงามฉันนั้น ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ด้วยสัจวาจานี้ขอจงมีความสวัสดี๑๔.วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ทรงรู้แจ้งพระนิพพานอันเลิศ ทรงประทานธรรมอันยอดเยี่ยม ทรงแนะนำข้อปฏิบัติที่ดี พระองค์ผู้ไม่มีใครยิ่งกว่า ทรงแสดงธรรมอันสูงสุดแล้ว ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ด้วยสัจวาจานี้ของจงมีความสวัสดี๑๕.ขีณัง ปุราณัง นะวะ นัตถิ สัมภะวัง วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัสฺมิง เต ขีณะพีชา อะวิรูฬหิฉันทา นิพพันติ ธีรา ยะถายัง ปะทีโป อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. พระอรหันต์ผู้สิ้นเชื้อแล้ว ไม่ยินดีภพอีก มีจิตหน่ายภพเบื้องหน้า สิ้นกรรมเก่า ปราศจากกรรมใหม่ที่จะส่งไปเกิดอีก ท่านเหล่านั้นเป็นปราชญ์ ดับสิ้นไปเหมือนประทีปดวงนี้ ข้อนี้เป็นพระรัตนคุณอันประเสริฐของพระสงฆ์ ด้วยสัจวาจานี้ขอจงมีความสวัสดี๑๖.ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิ วะ อันตะลิกเข ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง พุทธัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ. ขอเทวดาบนพื้นดินและในอากาศทั้งหลาย ผู้มาประชุมกันอยู่ในที่นี้ จงร่วมกันนมัสการพระพุทธเจ้าผู้เสด็จไปอย่างงาม อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาแล้ว ขอจงมีความสวัสดี๑๗.ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิ วะ อันตะลิกเข ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง ธัมมัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ. ขอเทวดาบนพื้นดินและในอากาศทั้งหลาย ผู้มาประชุมกันอยู่ในที่นี้ จงร่วมกันนมัสการพระธรรมอันเป็นไปอย่างงาม อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาแล้ว ขอจงมีความสวัสดี๑๘.ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิ วะ อันตะลิกเข ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง สังฆัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ. ขอเทวดาบนพื้นดินและในอากาศทั้งหลาย ผู้มาประชุมกันอยู่ในที่นี้ จงร่วมกันนมัสการพระสงฆ์ผู้ดำเนินไปอย่างงาม อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาแล้ว ขอจงมีความสวัสดี
3088
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: ตำนานการสร้างพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก
เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2559 20:10:38
พระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่สง่างามทรงคุณอันประเสริฐสุด
เป็นมรดกอันล้ำค่าของโลก ที่ชาวไทยต่างหลังไหลมานมัสการกันมากมายทุกๆ วัน
ประวัติการสร้างพระพุทธชินราช รวบรวมโดย พระสุธรรมมุนี (สมบูรณ์ ปญฺญาวุโธ) รองเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ❖ พระพุทธชินราช ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ใกล้ฝั่งแม่น้ำน่านทิศตะวันออก ผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก❖ ตำนานการสร้างพระพุทธชินราช ตามตำนานที่มีไว้แล้วแย้งกันเป็น ๒ นัยอยู่ นัยหนึ่งว่าสร้างเมื่อราวจุลศักราช ๓๑๙ (พ.ศ.๑๕๐๐) แต่อีกนัยหนึ่งกล่าวว่าสร้างเมื่อราวจุลศักราช ๗๑๙ (พ.ศ.๑๙๐๐) ตำนานที่อ้างถึงพระพุทธชินราชหล่อขึ้น ในจุลศักราช ๓๑๙ (พ.ศ.๑๕๐๐) นั้น เป็นตำนานที่กล่าวไว้ในพงศาวดารเหนือ ปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ (รัชกาลที่ ๔) ว่าด้วยเรื่องพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา และพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ (รัชกาลที่ ๕) เรื่องพระพุทธชินราช ความว่า เมื่อพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกผู้ครองนครเชียงแสงได้ยกกองทัพลงมีตีเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งมีพระเจ้าพสุจราชปกครองอยู่ ทหารทั้งสองฝ่ายรบราฆ่าฟันกันตายลงเป็นอันมากมิได้แพ้ชนะกัน พระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ มีความเศร้าสลดใจในการศึกครั้งนี้ จึงเข้าทำการไกล่เกลี่ยให้พระราชาทั้งสองนี้เป็นสัมพันธไมตรีกัน พระราชาทั้งสองก็ยอมปฏิบัติตาม พระเจ้าพสุจราชได้ทรงยกพระนางประทุมราชเทวี ราชธิดา อภิเษกให้เป็นมเหสีแห่งพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกมีพระราชโอรสด้วยพระนางประทุมราชเทวี ๒ พระองค์ ทรงพระนามว่า เจ้าไกรสรราชกับเจ้าชาติสาคร พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกมีพระราชประสงค์จะป้องกันการรุกรานของชาติขอม ซึ่งขณะนั้นมีอำนาจอยู่ทางละโว้หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการแผ่ราชอาณาจักรให้ไพศาลออกไป จึงได้สร้างเมืองพิษณุโลก เพื่อให้ราชโอรสขึ้นครองเมือง ตามพงศาวดารกล่าวว่าได้สร้างเมืองพิษณุโลกเมื่อจุลศักราช ๓๑๕ (พ.ศ.๑๔๙๖) เมื่อสร้างเสร็จแล้ว พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ได้เสด็จลงมาอภิเษกเจ้าไกรสรราชขึ้นครองเมือง พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกนี้ทรงพระปรีชาสามารถรอบรู้แตกฉานพระไตรปิฎกมาก จึงได้รับเฉลิมพระนามาภิไธย ดังนั้นขณะที่เสด็จประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก ที่ได้สร้างขึ้นใหม่ ก็มีพระราชประสงค์จะบำเพ็ญบุญกุศลทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและให้พระเกียรติศัพท์พระนามปรากฏในภายหน้า จึงตรัสให้สร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุขึ้นเป็นคู่กับเมือง สร้างพระมหาธาตุเป็นรูปปรางค์ สูงราว ๘ วา ตั้งกลางแล้วสร้างพระวิหารรอบปรางค์ทั้งสี่ทิศ มีระเบียง ๒ ชั้น พระองค์ต้องการจะสร้างพระพุทธรูปขึ้น ๓ องค์ เพื่อเป็นพระประธานในพระวิหาร ในเวลานั้นที่เมืองศรีสัชนาลัย ทั้งสวรรคโลกและสุโขทัย เป็นที่เลื่องลือปรากฏในการฝีมือช่างต่างๆ ทั้งการทำพระพุทธรูปว่าฝีมือดียิ่งขึ้น จึงมีพระราชสาส์นไปยังกรุงศรีสัชนาลัย เพื่อขอช่างมาช่วยปั้นหุ่นพระพุทธรูป สมเด็จพระเจ้ากรุงศรีสัชนาลัยจึงส่งช่างพราหมณ์ที่มีฝีมือดี ๕ นาย ชื่อ บาอินทร์ บาพราหมณ์ บาพิษณุ บาราชสิงห์ และ บาราชกุศล พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก โปรดให้ช่างสวรรคโลก สมทบกับช่างชาวเชียงแสนและช่างหริภุญไชย ช่วยกันหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ทั้ง ๓ องค์ มีทรวดทรงสัณฐานคล้ายกัน แต่ประมาณนั้นเป็น ๓ ขนาด คือ - พระองค์ที่ ๑ ตั้งพระนามไว้ว่า “พระพุทธชินราช” มีขนาดหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว มีเศษสูง ๗ ศอก พระเกศสูง ๑๕ นิ้ว เป็นปางมารวิชัย - พระองค์ที่ ๒ ตั้งพระนามเริ่มไว้ว่า “พระพุทธชินสีห์” มีขนาดหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๔ นิ้ว เป็นปางมารวิชัย - พระองค์ที่ ๓ ตั้งพระนามไว้ว่า “พระศรีศาสดา” มีขนาดหน้าตักกว้าง ๔ ศอก ๑ คืบ ๖ นิ้ว เป็นปางมารวิชัย"...ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธรูปมานักแล้ว ไม่ได้เคยรู้สึกว่าดูปลื้มใจจำเริญตาเท่าพระพุทธชินราชเลย
ที่ตั้งอยู่นั้้นก็เหมาะนักหนา วิหารพอเหมาะกับพระ มีที่ดูได้ถนัด และองค์พระก็ตั้งต่ำพอดูได้ตลอดองค์
ไม่ต้องเข้าไปดูจ่อนจ่อเกินไปและไม่ต้องแหงนคอตั้งบ่าฯ...ถ้าพระพุทธชินราชยังคงอยู่ที่พิศณุโลกตราบใด
เมืองพิศณุโลกจะเป็นเมืองที่ควรไปเที่ยวอยู่ตราบนั้น ถึงเมืองพิศณุโลกจะไม่มีชิ้นอะไรเหลืออยู่อีกเลย
ขอให้มีแต่พระพุทธชินราชเหลืออยู่แล้ว ยังคงจะต้องอวดได้อยู่เสมอว่า มีของควรดูควรชมอย่ายิ่งในเมืองเหนือ
หรือจะว่าในเมืองไทยทั้งหมดก็ได้..."
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง "เที่ยวเมืองพระร่วง" (พ.ศ.๒๔๕๐) ❖ พระศรีธรรมไตรปิฎกทรงเลือกลักษณะอาการตามชอบพระทัยให้ช่างทำคือ สัณฐานอาการนั้นอย่างพระพุทธรูปเชียงแสน ไม่เอาอย่างพระพุทธรูปในเมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลก และเมืองสุโขทัยที่ทำนิ้วสั้นยาวไม่เสมอกันอย่างมือคน ทรงรับสั่ง ให้ทำนิ้วให้เสมอกันตามที่พระองค์ทรงทราบว่าเป็นพุทธลักษณะ พระลักษณะอื่นๆ ก็ปนๆ เป็นอย่างเชียงแสนบ้าง อย่างศรีสัชนาลัยสวรรคโลก สุโขทัยบ้าง จวบจนวันพฤหัสบดี ขั้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีเถาะ สัปตกศก จุลศักราช ๓๑๗ ได้มงคลฤกษ์ กระทำพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ และเมื่อเททองหล่อเสร็จแล้ว กระทำการแกะพิมพ์ออกมาปรากฏว่า พระองค์ที่ ๒ คือ พระพุทธชินสีห์ และองค์ที่ ๓ คือพระศรีศาสดา องค์พระบริบูรณ์ดีมีน้ำทองแล่นติดตลอดเสมอกันสวยงาม ๒ องค์เท่านั้น ส่วนรูปพระพุทธชินราชนั้นทองแล่นติดไม่เต็มองค์ ไม่บริบูรณ์ นับว่าเป็นอัศจรรย์ของช่างและผู้มาร่วมพิธีเป็นอันมาก ช่างได้ช่วยกัน ทำหุ่น และเททองหล่ออีกถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่สำเร็จเป็นองค์พระได้ คือทองแล่นไม่ติดเต็มองค์ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกทรงรู้สึกประหลาดพระทัยยิ่งนัก พระองค์จึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงเอาบุญบารมีของพระองค์เป็นที่ตั้ง อีกทั้งขอให้ทวยเทพยดาจงช่วยดลใจให้สร้างพระพุทธรูปสำเร็จตามพระประสงค์เถิด แล้วให้ช่างปั้นหุ่นใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในครั้งหลังนี้ปรากฏว่ามีตาปะขาวคนหนึ่ง ไม่มีผู้ใดทราบว่าชื่อไรมาจากไหนเข้ามาช่วยปั้นหุ่นและช่วยเททอง ทำการงานอย่างแข็งแรงทั้งกลางวันและกลางคืนจนเสร็จโดยไม่พูดจากับผู้ใด ครั้นได้มหามงคลฤกษ์ ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง นพศกจุลศักราช ๓๑๙ (พุทธศาสนากาลล่วงแล้ว ๑๕๐๐ หย่อนอยู่ ๗ วัน) ก็ประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธชินราช คราวนี้น้ำทองที่เทก็แล่นเต็มบริบูรณ์ตลอดทั่วองค์พระ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกทรงปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสสั่งให้หาตาปะขาวผู้มาช่วยปั้นหุ่นและช่วยเททองนั้น แต่มิได้พบ ปรากฏว่าเมื่อหล่อพระเสร็จแล้วก็เดินทางออกประตูเมืองข้างทิศเหนือ พอถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็หายไปไม่มีใครพบเห็นอีก จึงพากันเข้าใจว่าตาปะขาวผู้นั้นคือเทพยดาแปลงกายลงมาหล่อพระพุทธชินราชอันเป็นเหตุทำให้เลื่อมใสศรัทธา ในพระพุทธรูปองค์นี้ยิ่งขึ้น ตำบลบ้านที่ตาปะขาวหายไปนั้นได้ชื่อว่า “บ้านตาปะขาวหาย” ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ เทพตาปะขาว ประดิษฐานที่ศาลเทพตาปะขาว
วัดตาปะขาวหายอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
❖ เมื่อแกะพิมพ์ออกหรือกะเทาะหุ่นออกมาเป็นที่ประหลาดใจ และตื่นเต้นของชาวพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง คือ เมื่อกะเทาะหุ่นออกคราวนี้ทองแล่นติดเต็มองค์พระงดงามสมบูรณ์ดั่งสวรรค์เนรมิต เนื้อทองสำริดสุกสกาวสดใสงามจนหาที่ติไม่ได้ จึงพากันเชื่อว่า พระพุทธชินราชองค์นี้น่าจะเป็นเทวดามาสร้างให้เป็นแน่แท้ ถึงได้มีพุทธลักษณะสวยงามที่สุดในแดนสยาม พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก โปรดให้เชิญเข้าประดิษฐานไว้ในสถานที่ทั้ง ๓ คือ พระพุทธชินราช อยู่ในพระวิหารใหญ่ผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก พระพุทธชินสีห์อยู่ทิศเหนือ และพระศรีศาสดาอยู่ทิศใต้ สำหรับพระวิหารใหญ่ ทิศตะวันออกนั้นเป็นที่ฟังธรรมสักการะที่ถวายนมัสการพระมหาธาตุและเป็นที่ชุมนุมสงฆ์ อนึ่ง เมื่อเวลาหล่อพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาเสร็จแล้วนั้น ทองชลาบและชนวนของพระพุทธรูป ๒ องค์ที่เหลืออยู่ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกรับสั่งให้รวมลงในทองซึ่งจะหล่อพระพุทธชินราช หล่อองค์พระใหม่เรียกว่า “พระเหลือ” ส่วนชนวนและชลาบของพระที่เรียกว่าพระเหลือนั้นก็หล่อรูปพระสาวก ๒ องค์ สำหรับพระเหลือนั่นเอง ครั้นเมื่อการหล่อพระเสร็จแล้วจึงรับสั่งให้เก็บอิฐซึ่งก่อเป็นเตาหลอมและเตาสุม หุ้มหล่อพระทั้งปวงนั้นมาก่อเป็นชุกชี สูง ๓ ศอก และให้ขุดดินที่อื่นมาผสมกับดินพิมพ์ที่ต่อยจากพระพุทธรูปถมในชุกชีนั้นแล้วทรงปลูกต้นมหาโพธิ์ ๓ ต้น หันหน้าต่อทิศอุดรแล้วเชิญพระเหลือกับสาวกอีก ๒ องค์เข้าไว้ในที่นั้น ให้เป็นหลักฐานแสดงที่ซึ่งหล่อพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ ที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นความในพงศาวดารเหนือที่ปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนอีกนัยหนึ่งมีกล่าวว่าสร้างเมื่อประมาณ จุลศักราช ๗๑๙ นั้นเป็นพระราชวิจารณ์แห่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือ “เที่ยวเมืองพระร่วง” มีความดังต่อไปนี้ “เรื่องตำนานการสร้างเมืองพิษณุโลกและการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์นั้น สอบสวนหลักฐานเห็นว่ารูปเรื่องจะเป็นดังกล่าวในพงศาวดารเหนือ เป็นแต่พงศาวดารเหนือลงนามเป็นของพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกนั้น มิใช่ผู้อื่น คือพระมหาธรรมราชาพญาลิไท รัชกาลที่ ๔ ในราชวงศ์พระร่วงนั่นเอง มีเรื่องในศิลาจารึกว่า เมื่อเป็นพระมหาราชครองเมืองศรีสัชนาลัย ก่อนจะได้รับราชสมบัติมีศัตรูยกกองทัพลงมาติดเมืองสุโขทัยในเวลาพระราชบิดาประชวรหนัก จึงได้ครองราชอาณาจักรตรงกับที่ว่าพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกยกทัพมาติดเมืองสวรรคโลกได้ราชสมบัติในเมืองนั้น และพระมหาธรรมราชาพญาลิไท ทรงรอบรู้พระไตรปิฎกจึงสามารถแต่งเรื่อง “พระไตรปิฎก” หรือไตรภูมิ ตรงกับที่เรียกว่าพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกมีแต่พระองค์เดียวเท่านั้น อีกประการหนึ่งโบราณวัตถุที่สร้างไว้ ณ เมืองพิษณุโลก เป็นแบบอย่างครั้งกรุงสุโขทัย เมื่อรับลัทธิพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์มาแล้ว ยกตัวอย่างดังเช่น พระพุทธรูป พระชินราช พระชินสีห์ คงจะเชื่อได้ดังกล่าวในพงศาวดารเหนือว่า เป็นประชุมช่างอย่างวิเศษ ทั้งที่มณฑลพายัพและในอาณาเขตสุโขทัยมาให้ช่วยกันถอดแบบอย่าง แต่พึงสังเกตที่ได้ที่ทำปลายนิ้วพระหัตถ์เท่ากันทั้ง ๔ นั้น เป็นความคิดที่เกิดขึ้นด้วยวินิจฉัยคัมภีร์มหาปุริสลักขณะกันอย่างถ้วนถี่ ในชั้นหลัง พระพุทธรูปชั้นก่อนหาทำนิ้วพระหัตถ์เช่นนั้นไม่ ในที่สุดยังมีหลักฐานอีกอย่างหนึ่ง ด้วยในพงศาวดารเมืองเชียงแสนมิได้มีปรากฏว่าพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก หรือพระเจ้าเชียงแสนองค์ใดได้ลงมาตีเมืองสวรรคโลกเหมือนอย่างกล่าวในพงศาวดารเหนือด้วยมีหลักฐานต่างๆ ดังกล่าวมาก จึงสันนิษฐานว่า พระมหาธรรมราชาพญาลิไท เป็นผู้สร้างเมืองสองแควขึ้นเป็นเมืองลูกหลวงและหล่อพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์เมื่อราว พ.ศ.๑๙๐๐ พระศรีธรรมไตรปิฎก (พญาลิไท) ทรงมีรับสั่งให้ช่างให้ทำนิ้วพระหัตถ์พระพุทธชินราช
ให้เสมอกันตามที่พระองค์ทรงทราบว่าเป็นพุทธลักษณะ ไม่เอาอย่างพระพุทธรูป
ในเมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลก และเมืองสุโขทัยที่ทำนิ้วสั้นยาวไม่เสมอกันอย่างมือคน
พระพุทธชินสีห์ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก
พระศรีศาสดา วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก
พระเหลือ ประดิษฐานในวิหารน้อย วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก
เมื่อเวลาหล่อพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาเสร็จแล้วนั้น ทองชลาบและชนวนของพระพุทธรูป ๒ องค์ที่เหลืออยู่ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกรับสั่งให้รวมลงในทองซึ่งจะหล่อพระพุทธชินราช หล่อองค์พระใหม่เรียกว่า “พระเหลือ” ส่วนชนวนและชลาบของพระที่เรียกว่าพระเหลือนั้นก็หล่อรูปพระสาวก ๒ องค์ สำหรับพระเหลือนั่นเอง
3089
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / พรมตาน : พ่นน้ำมนต์เป่าตานขโมย
เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2559 17:30:02
พรมตาน (พ่นน้ำมนต์-ส่วย) พรมตาน เป็นชื่อในภาษาเขมรท้องถิ่นสุรินทร์ แปลว่า เป่าตานขโมย หรือ เป่าซาง ในภาษาไทยอีสาน เด็กที่เป็นตานขโมยจะต้องให้หมอเป่าจึงจะหาย ความเชื่อนี้ ชาวบ้านในภาคอีสานปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากหมอเป่าตานขโยที่เป็นกรณีศึกษานี้ เป็นชาวเขมรอพยพมาจากเมืองพระตะบอง จึงใช้ชื่อเป็นภาษาเขมรท้องถิ่นสุรินทร์ว่า พรมตานสาเหตุ : ชาวบ้านเชื่อว่าเด็กที่เกิดมาในช่วงวัยทารกกระหม่อมจะบาง จึงเกิดมีอาการเป็นตานขโมย หรือ เกิ๊ดตาน เด็กจึงมีอาการต่างๆ เช่น น้ำลายไหล ตาแฉะ ปากเปื่อย และท้องเดิน เป็นต้น พ่อแม่ของเด็กที่มีอาการดังกล่าวจะพาไปเป่ากับหมอเป่าตานขโมย ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอายุตั้งแต่แรกเกิดได้ ๑๕ วันขึ้นไปจนถึง ๓ ปีการทำพิธี : พ่อแม่ที่พาเด็กไปจะต้องนำดอกไม้ ๑ คู่ ธูปเทียน ๑ คู่ เงิน ๓๐ บาท ไปหาหมอเป่าในวันแรก ซึ่งจะเป็นวันใดก็ได้ เมื่อเริ่มพิธี พ่อหรือแม่เด็กจะนำพานดอกไม้ ธูปเทียน และเงิน ๓๐ บาท ให้กับหมอเป่า หมอเป่าจะเริ่มพิธีสวดคาถา โดยตั้งนะโม ๓ จบ แล้วบริกรรมคาถาเป็นภาษาเขมรปนกับภาษาบาลีอยู่ประมาณ ๒ นาที หมอเป่าจะเคี้ยวหมาก แล้วเป่าที่กระหม่อมเด็กและวนไปรอบๆ ศีรษะขั้นที่ ๒ หมอเสกคาถาเป็นภาษาเขมรประมาณ ๒-๓ คาถา แล้วเป่าที่ปากเด็ก ที่กระหม่อม และที่ปากเด็กอีกเป็นครั้งที่ ๒ หมอเป่าจะบริกรรมคาถาเป็นภาษาเขมรอีกเป็นครั้งที่ ๓ แล้วเป่าที่กระหม่อม ที่ปาก และเป่าวนไปรอบๆ ศีรษะ ก่อนที่จะผูกด้ายที่คอเด็กซึ่งเป็นด้ายที่มัดรากยาไว้จนกว่าจะหายขาดจึงเอาด้ายผูกคอออก บางคนอาจผูกคอไว้เป็นปี เพื่อกันไม่ให้เด็กเป็นตานขโมยอีก พ่อแม่เด็กจะต้องนำเด็กไปให้หมอเป่า ๓ ครั้ง (วันละครั้ง) จึงจะครบตามกำหนดของหมอเป่า ยาที่ผูกคอเด็กเป็นเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง เรียกว่า ต้นลิ้นแรด หรือ ต๊ะละม๊ะ ในภาษากวย ส่วนมากจะขึ้นบริเวณที่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น ตามริมฝั่งห้วย เครือเถาวัลย์ลิ้นแรดจะออกดอกเป็นสีขาว หมอเป่าจะไปตัดเถาวัลย์นี้มาทำยา เมื่อตัดเครือเถามาตากให้แห้ง ผ่าซีกแล้วตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดความกว้างยาว ¼ หรือ ½ เซนติเมตร แล้วนำไปมัดด้วยด้ายที่เตรียมไว้ การเป่าตานขโมยโดยหมอเป่าตามตำรับของเขมรนี้ ได้รับความนิยมในเขตอำเภอจอมพระ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และอำเภอใกล้เคียง ส่วนใหญ่พ่อแม่เด็กจะนำเด็กไปให้เป่าในเวลาเช้าหรือบ่าย และมีการเป่าตานขโมยอยู่จนกระทั่งถึงปัจจุบันไพฑูรย์ มีกุศล - เรียบเรียง หนังสือสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคอีสาน
3090
สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / พญาคันคาก : ชาดกนอกนิบาต ที่มาของประเพณีขอฝนจากเทวดา
เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2559 16:37:49
พญาคันคาก ชาดกนอกนิบาต : วรรณกรรมทางศาสนา ที่มาของประเพณีขอฝนจากเทวดา พญาคันคาก เป็นวรรณกรรมชาดกนอกนิบาต (ชาดกที่ไม่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก) เป็นเรื่องความเชื่อของชาวภาคอีสาน ที่นิยมนำเรื่องพญาคันคากมาใช้เทศน์ในพิธีกรรมขอฝนต่อพระยาแถน เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องผีตาแฮก และการแห่บั้งไฟ เป็นต้น ความจริงแล้ว ชาดกนอกนิบาตเรื่องพญาคันคาก เป็นเรื่องของความเชื่ออันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น มากกว่าเป็นธรรมะในพระพุทธศาสนา แต่ชาวอีสานได้ปรับเปลี่ยนให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมทางพุทธศาสนามาแต่สมัยอดีต การเทศน์เรื่องพญาคันคากนี้ ชาวบ้านจะจัดเป็นพิธีใหญ่และถือเป็นประเพณีเช่นเดียวกับการเทศน์ในงาน “บุญผะเหวส” หรือเทศมหาชาติภาคอีสาน ซึ่งเป็นงานบุญอันศักดิ์สิทธิ์ โดยชาวบ้านจะมาช่วยกันจัดเตรียม-ตกแต่งสถานที่ จัดเตรียมเครื่องสักการะ ดอกไม้ ธูปเทียน และนิมนต์พระสวดพระคาถาปลาค่อ หรือปลาช่อนเรียกฝน วันละ ๑๐๘ จบ เป็นเวลา ๓วัน และนิมนต์พระมาเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ต้นฉบับเรื่องพญาคันคากมีปรากฏอยู่ทั่วไปเกือบทุกวัดในภาคอีสาน เพราะว่ายังใช้เทศน์อยู่ในพิธีกรรมขอฝน ถ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลหรือต้องการน้ำในการทำการเกษตร ชาวอีสานเชื่อว่าเป็นเพราะพระยาแถนไม่ยอมให้ฝนตกมายังมนุษยโลก พญาคันคากจึงชักชวนบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ไปปราบพระยาแถน พระยาแถนจึงยอมสั่งให้ฝนตกลงมาตามปกติ ความเชื่อในเรื่องนี้ถ้าปีใดฝนไม่ตกชาวบ้านจะร่วมกันจัดพิธีขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว เนื้อเรื่อง พญาคันคาก นายผ่าน วงศ์อ้วน ได้ปริวรรตจากตัวอักษรไทยน้อย จำนวน ๕ ผูก มาเป็นอักษรไทยปัจจุบัน พิมพ์เผยแพร่โดยศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดมหาสารคาม วิทยาลัยครูมหาสารคาม จำนวน ๘๙ หน้า (เอกสารอัดสำเนา) เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๕ ดังนี้
พระยาหลวงเอกราชและนางสีดา ปกครองเมืองอินทปัตถ์มานาน ประชาชนมีความสุขสมบูรณ์กันถ้วนหน้า พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในครรภ์นางสีดาในร่างของ คันคาก (คางคก) ในคืนหนึ่งนางสีดาฝันว่าดวงอาทิตย์ได้ตกลงมาจากฟากฟ้าแล้วลอยเข้ามาในปากของนาง เมื่อนางกลืนลงท้อง เนื้อตัวของนางได้กลายเป็นสีเหลืองสดใสประดุจดังทองคำ ในความฝันยังแสดงให้เห็นว่า นางมีอิทธิฤทธิ์สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ นางได้เหาะไปยังเขาพระสุเมรุแล้วจึงเดินทางกลับมายังปราสาทราชวังในเมืองอินทปัตถ์ดังเดิม ครั้นสะดุ้งตื่นนางได้เล่าความฝันถวายแก่พระยาหลวงเอกราชพระสวามี พระยาหลวงล่วงรู้ในนิมิตความฝันว่าพระองค์จะมีโอรสที่จะสืบราชสมบัติต่อไป เมื่อครบสิบสองเดือนนางสีดาได้ให้กำเนิดกุมารเป็นตัวคันคาก (คางคก) มีรูปร่างเหลืองอร่ามดั่งทองคำ พระยาหลวงเอกราชดีใจมากได้สั่งให้จัดหาอู่ทองคำมาให้นอน และจัดหาแม่นมมาดูแลอย่างใกล้ชิด ต่อมาท้าวคันคากเจริญวัยเป็นหนุ่ม อายุได้ ๒๐ ปี คิดอยากจะมีคู่ครอง พระบิดาได้พยายามหาผู้ที่เหมาะสมมาให้แต่ก็หาไม่ได้ ด้วยมีเหตุขัดข้องที่ท้าวคันคากมีรูปกายที่อัปลักษณ์ผิดแผกไปจากมนุษย์คนอื่นๆ พระยาหลวงเอกราชรู้สึกสงสารโอรสเป็นอันมากจึงปลอบใจว่า ขอให้สร้างสมบุญบารมีต่อไปอีก จนกว่าจะกลายร่างเป็นมนุษย์เมื่อใด จะยกทรัพย์สมบัติให้ปกครองบ้านเมืองสืบต่อไป ท้าวคันคากจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า หากตนมีบุญบารมีขอให้ได้หญิงงามมาเป็นคู่ครอง ดังนั้น พระอินทร์จึงได้ลงมาเนรมิตปราสาทแก้วไว้กลางเมือง ปราสาทนี้มีขนาดใหญ่โตมาก มีเสาเป็นหมื่นๆ ต้น มีห้องใหญ่น้อยจำนวนหนึ่งพันห้อง พร้อมทั้งเครื่องประดับตกแต่ง ปราสาทหลังนี้เต็มไปด้วยอัญมณีที่มีค่ายิ่ง นอกจากนี้พระอินทร์ได้ให้นางแก้วมาเป็นชายาท้าวคันคากและได้เนรมิตกายท้าวคันคากให้มีรูปกายงดงามอีกด้วย เสร็จแล้วพระอินทร์จึงเสด็จกลับสู่สวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระองค์ ท้าวคันคากและนางแก้วอาศัยอยู่ในปราสาทที่พระอินทร์เนรมิตงามดังไพชยนต์ปราสาทแห่งนี้ ต่อมาเมื่อพระยาหลวงเอกราชและนางสีดาทราบข่าว ได้เสด็จมาเยี่ยมยังปราสาท พร้อมทั้งได้จัดทำพิธีอภิเษกให้ท้าวคันคากเป็นเจ้าเมืองปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์สืบไป นับตั้งแต่พญาคันคากขึ้นครองเมือง บรรดาพญาทั้งหลายตลอดจนบรรดาสัตว์เดรัจฉานได้เข้ามาขอเป็นบริวารอีกมากมาย พระยาแถน ทราบว่าพญาคันคากได้ขึ้นครองเมืองจึงคิดอิจฉาและไม่พอใจ จึงคิดหาทางกลั่นแกล้ง แต่ก็รู้ดีว่าพญาคันคากมีบุญญาธิการและมีอิทธิฤทธิ์มากเกรงจะเป็นภัยแก่ตน จึงได้วางแผนการโดยที่ไม่ให้ฝนตกลงมายังมนุษยโลก ทำให้สิ่งมีชีวิตเดือดร้อนกันไปทั่วพิภพ นานถึง ๗ ปี พญาคันคากไม่ทราบว่าจะหาทางแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร จึงลงไปยังใต้พิภพเพื่อปรึกษากับพญานาค พญาหลวงนาโคบอกกับพญาคันคากว่า พระยาแถนประทับอยู่ยังปราสาทเมืองยุคันธร ที่เมืองนี้มีแม่น้ำคงคาอันกว้างใหญ่ไพศาล พระยาแถนมีหน้าที่ดูแลรักษาแม่น้ำยุคันธรแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีเขาสัตบริภัณฑ์ตั้งอยู่รายล้อมเขาพระสุเมรุถึง ๗ ลูก เมื่อครบกำหนดเวลาบรรดานาคจะลงมาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ฝนฟ้าก็จะตกต้องตามฤดูกาล แต่บัดนี้พระยาแถนไม่ยอมให้นาคลงไปเล่นน้ำดังแต่ก่อน จึงทำให้เมืองมนุษย์แห้งแล้ง ผู้คน สัตว์ และพืช ล้มตายเป็นอันมาก พญาคันคากได้ฟังดังนั้นจึงคิดหาทางไปเมืองแถน ได้ไปตามพวกครุฑ นาค ปลวก มาก่อภูเขาเพื่อทำทางขึ้นไปรบกับพระยาแถน เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมสรรพแล้ว จึงยกพลไปรบกับพระยาแถน โดยต่างฝ่ายต่างก็มีคาถาอาคม พญาคันคากได้ร่ายเวทมนตร์ให้บังเกิดมีกบเขียดอย่างมากมาย ทำให้ชาวเมืองแถนตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง พระยาแถนเองก็ใช้คาถาอาคมเป่าให้เกิดมีงูร้ายมากมายหลายชนิด เพื่อมาจับกบและเขียดกิน พญาคันคากได้ให้ครุฑและกามาจิกกินงูที่เกิดจากอาคมพระยาแถน จนกระทั่งงูเหล่านั้นต้องล้มตาย พระยาแถนจึงให้สุนัขมาวิ่งไล่จับครุฑและกากินเป็นอาหาร พญาคันคากได้ให้เสือโคร่งออกมาจับสุนัขกิน พระยาแถนได้ยิงธนูให้กลายเป็นห่าฝนหอกดาบตกลงมาเสียบคนล้มตายเป็นจำนวนมาก พญาครุฑได้ให้เสือโคร่งออกมาจับสุนัขกิน พระยาแถนได้ยิงธนูให้กลายเป็นห่าฝนหอกดาบตกลงมาเสียบคนล้มตายเป็นจำนวนมาก พญาครุฑได้เนรมิตปีกให้แผ่กว้างเพื่อกำบังห่าฝนหอกดาบ และมีการร่ายเวทมนตร์คาถาอาคมให้ผู้คนที่ล้มตายกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง การสู้รบกันระหว่างพญาคันคากกับพระยาแถนเป็นไปอย่างดุเดือด ต่างคนต่างก็มีคาถาอาคมเพื่อต่อสู้กับศัตรูอย่างฉกาจฉกรรจ์ ปรากฏว่าไม่มีใครแพ้ใครชนะ จึงได้มาชนช้างกัน ในที่สุดพระยาแถนแพ้พญาคันคาก พญาคันคากจึงมีบัญชาให้พระยาแถนยอมให้นาคมาเล่นน้ำ ฝนจะได้ตกบนพื้นพิภพดังเดิม ครั้งนี้นับเป็นการสู้รบที่เรียกว่า มหายุทธ เลยทีเดียว ต่อมาสัตว์ต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นศัตรูกันนับตั้งแต่นั้นมา.
3091
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: ปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา : สถาปัตยกรรมต้นแบบปราสาทนครวัด กัมพูชา
เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2559 11:20:20
ปรางค์ประธาน ปรางค์ประธาน ตั้งอยู่ภายในวงล้อมของระเบียงคด เป็นศูนย์กลางของศาสนสถาน หันหน้าไปทางทิศใต้
สร้างด้วยหินทรายสีขาวทั้งองค์ ต่างจากซุ้มประตู(โคปุระ) กำแพงชั้นในและกำแพงชั้นนอกที่สร้างด้วยหินทรายสีแดงเป็นส่วนใหญ่
องค์ปรางค์สูง ๒๘ เมตร ตั้งอยู่บนฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง ยาวด้านละ ๒๒ เมตร มีมณฑปสร้างเชื่อมต่อ
กับองค์ปรางค์โดยมีฉนวนกั้น ทั้งองค์ปรางค์และมณฑปตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ประกอบด้วยฐานเขียงและฐานบัว เป็นชั้นๆ
มีรูปแกะสลักเป็นลายกลีบบัว และลายประจำยาม ส่วนด้านอื่นๆ อีกสามด้านมีมุขยื่นออกไป มีบันไดและประตู
ขึ้นลงสู่องค์ปรางค์ทั้งสี่ด้าน ภายในมีห้องสี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง เรียกว่า ห้องครรภคฤหะ (
GARBHAGRIHA )
ใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพสูงสุด จึงจัดเป็นห้องที่สำคัญที่สุดของศาสนสถาน ซึ่งในครั้งอดีตผู้ที่จะเข้ามาในห้องนี้ได้
คือ กษัตริย์และนักบวชเพียงเท่านั้น ปัจจุบัน คงเหลืออยู่แต่ร่องรอยของร่องน้ำมนต์ที่มุมห้องด้านทิศตะวันตก
ที่ต่อท่อลอดออกไปยังด้านนอกขององค์ปรางค์ ส่วนสัญลักษณ์สูงสุดหรือรูปเคารพที่ได้เคยประดิษฐานได้สูญหายไปจากห้องนี้นานแล้ว
ครุฑแบก เรือนยอด หรือ ส่วนยอด ซึ่งเป็นส่วนของหลังคา ทำเป็นชั้นเชิงบาตร คือสร้างเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันขึ้นไป มี ๕ ชั้น
ที่เชิงหลังคาสลักเป็นรูป
ครุฑแบก อยู่ตรงกลาง โดยรอบด้วยกลีบขนุน รูปเทพต่างๆ และมีเศียรนาคอยู่ที่
มุมกลางของแต่ละมุมเหนือชั้นเชิงบาตร
ชั้นบนสุดของส่วนยอดสลักเป็นรูปดอกบัว
บราลี รูปหัวเม็ด กลึงเป็นลูกแก้ว ซ้อนเป็นชั้นๆ ใช้ติดประดับรายๆ ไปตามอกไก่หลังคาหรือหลังบันแถลงบนหลังคาเครื่องยอดมณฑป มุงหลังคาด้วยแผ่นหินซ้อนเหลื่อมกันขึ้นไปเป็นรูปโค้งลดชั้น ประดับสันหลังคาด้วย
บราลี ปรางค์ประธานของปราสาทหินพิมาย มีการตกแต่งอย่างดงาม โดยแกะสลักลงในเนื้อหิน
เป็นลวดลายประดับตามผนังด้านนอกของอาคารทั้งช่วงล่างและช่วงบน เสาติดผนัง เสาประดับ กรอบประตู
หรือเสารับทับหลังและกรอบหน้าบัน โดยแกะสลักเป็นลวดลายพันธุ์พฤกษา ผูกเป็นลวดลายต่างๆ
เช่น ลายประจำยาม ลายกรุยเชิง ลายก้านต่อดอก ลายใบไม้ม้่วน ฯลฯ
แต่ที่หน้าบันและทับหลังมักแกะสลักเป็นภาพเล่าเรื่องเกี่ยวกับศาสนา จากคัมภีร์ในศาสนาฮินดู
เช่น เรื่องรามายะณะ และเรื่องราวทางพุทธศาสนาในคติมหายาน
3092
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / ปลาส้ม - สูตรและวิธีทำ : อร่อย สะอาด ถูกหลักอนามัย
เมื่อ: 30 มิถุนายน 2559 18:55:10
. ปลาส้ม • เครื่องปรุง - ปลาตะเพียน 6 ขีด (น้ำหนักชั่ง หลังควักไส้และตัดหัวออกแล้ว) - เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ - กระเทียมไทย 2-3 หัว - ข้าวสวย ½ - 1 ถ้วย - พริกไทยป่นละเอียด ¼ ช้อนชา • วิธีทำ 1. ขอดเกล็ดปลาตะเพียน ฝ่าท้องควักไส้-ตัดหัวทิ้งไป แล้วกรีดตามยาวเฉียงๆ ล้างน้ำให้สะอาด เอาพริกไทยป่นทาให้ทั่วตัวปลา โรยเกลือให้ทั่วแล้วเคล้าผสมกับกระเทียมที่โขลกพอหยาบให้หนักมือ โดยเคล้านานสักพักใหญ่ เพื่อให้เครื่องซึมเข้าเนื้อปลา และให้เนื้อปลานิ่ม 2.ใส่ข้าวสวยเคล้าให้เข้ากัน และหยิบข้าวที่เคล้าแล้วบรรจุในท้องปลา 3.เรียงปลาให้เรียบร้อยใส่ในภาชนะก้นลึก กดให้แน่น แล้วปิดฝาหมักไว้ 2-3 วัน หรือใส่ถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่นก็ได้เช่นกัน 4.เมื่อจะรับประทานนำไปทอดให้สุกเหลืองด้วยไฟร้อนปานกลาง รับประทานกับหอมแดงซอยทอดกรอบ และพริกแห้งทอดกรอบ โรยพริกไทยป่นละเอียดให้ทั่วตัวปลา ใส่เกลือป่น และกระเทียมโขลกหยาบ
เคล้าให้หนักๆ มือ เพื่อให้เครื่องซึมเข้าเนื้อปลา และเนื้อปลานิ่ม
ขั้นตอนสุดท้าย ใส่ข้าวสวยประมาณครึ่งถ้วย หรือหนึ่งถ้วย ผสมให้เข้ากัน
(ผู้ทำใส่ข้าวครึ่งถ้วย เพราะปลาตะเพียนมีไข่เต็มท้อง จึงไม่ต้องใช้ข้าวสวยบรรจุในท้องปลา)
บรรจุในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น หมักไว้ในตู้เย็นประมาณ 4-5 วัน
ถ้าไม่นำเข้าแช่ในตู้เย็น ให้วางไว้ในที่ร่มและเย็น หมักทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน
เมื่อจะรับประทานนำไปทอดให้สุกเหลืองด้วยไฟร้อนปานกลาง
รับประทานกับหอมแดงซอยทอดกรอบและพริกแห้งทอดกรอบ
(หอมแดงให้ซอยแล้วคลุกกับแป้งข้าวโพดให้ทั่ว
นำไปทอดด้วยไฟปานกลาง แป้งข้าวโพดจะทำให้หอมแดงกรอบอยู่ได้นาน)
ปลาตะเพียนมีไข่เต็มท้อง จึงไม่ต้องใส่ข้าวสวยบรรจุในท้องปลา
3095
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / Re: ขนมปังไส้สังขยาใบเตย สูตร/วิธีทำ : ขนมปังเนื้อฟู นุ่ม เหนียว
เมื่อ: 27 มิถุนายน 2559 15:40:58
แป้งที่ตีจนได้ที่แล้ว นำไปใส่ในภาชนะสำหรับหมักแป้งที่ทาด้วยเนยขาว
ใช้ผ้าขาวบางคลุมแป้ง แล้วหาฝาปิดภาชนะไว้ด้วย
ใช้ได้แล้ว...แป้งขึ้นฟูเป็นสองเท่า ขนมปังจะนุ่มเนียนหรือไม่ ให้สังเกตดูที่เนื้อแป้งก็จะรู้ได้ไม่ยาก
หน้าตาอย่างนี้การันตีได้...นุ่ม เหนียว!
ตัดแป้ง ชั่งน้ำหนักให้ได้ก้อนละ 30 กรัม
คลึงให้กลม แล้วใส่ในพิมพ์ที่ทาด้วยเนยขาว
สังเกตให้ดีๆ จะเห็นแป้งกลมๆ มีอยู่
ครึ่ง ลูก นอกนั้นบิดๆ เบี้ยวๆ ตามอารมณ์ผู้ทำ
ใช้ผ้าขาวบางหรือแผ่นพลาสติกคลุมให้แป้งขึ้นฟูเป็นสองเท่า
ใช้แปรงจุ่มนมข้นจืดทาหน้าขนม นำเข้าอบไฟล่าง-บน ด้วยอุณหภูมิ 170° ใช้เวลา 15-20 นาที
พอนำออกจากเตา ทาหน้าขนมอีกครั้งด้วยนมข้นจืด (ช่วยให้หน้าขนมเป็นมันเงา)
----------------------------------
สังขยาใบเตย • ส่วนผสม - นมข้นจืดระเหย 1+½ ถ้วย - หัวกะทิคั้นไม่ผสมน้ำ ½ ถ้วย - ไข่ไก่ 2 ฟอง - น้ำใบเตยคั้นข้น ¼ ถ้วย - น้ำตาลทราย 1 ถ้วย - แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ • วิธีทำ 1.ผสมส่วนผสมทุกอย่าง (ยกเว้นน้ำตาลทราย) คนให้เข้ากัน 2.กรองส่วนผสมด้วยกระชอนตาถี่ ใส่น้ำตาลทราย นำไปตุ๋นโดยกวนส่วนผสมตลอดเวลาจนข้น 3.พักไว้ให้เย็น นำไปบีบเป็นไส้ขนมปัง วิธีการตุ๋น ใส่น้ำในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟให้เดือด นำหม้อที่ใส่ส่วนผสมของสังขยาวางในน้ำร้อน
ใช้ตะกร้อมมือกวนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมข้น (วิธีนี้ช่วยให้ขนมที่กวนที่เป็นลูกหรือเป็นก้อน)
ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น นำไปเป็นไส้ขนมปัง หรือนำขนมปังมาจิ้มรับประทาน
หัวข้อแนะนำ : ขนมปังนิ่ม-เนยสดหวาน สูตร/วิธีทำ ดูสูตรและวิธีทำโดย
กดที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษสีเทา ด้านล่างค่ะ
http://www.sookjai.com/index.php?topic=176729.0
3096
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / ขนมปังไส้สังขยาใบเตย สูตร/วิธีทำ : ขนมปังเนื้อฟู นุ่ม เหนียว
เมื่อ: 27 มิถุนายน 2559 15:39:35
. ขนมปังไส้สังขยาใบเตย ขนมปัง เหนียว นุ่ม...ยุ่งนิดหน่อยแต่อร่อยเกินคุ้ม แหม! แค่จะเรียบเรียงส่วนผสม-ขั้นตอนการทำ ก็ยังยุ่ง จะเขียนยังไงดีหว่า?..ผู้อ่านจึงจะเข้าใจ
เอางี้แล้วกัน สับสนอย่างไรตั้งกระทู้ถามมาค่ะ ยินดีตอบคำถาม
section : 1• ส่วนผสม - แป้งขนมปัง 1 ช้อนโต๊ะ - นมสด 1+¼ ถ้วย วิธีทำ นำแป้งขนมปัง ผสมกับนมสด ยกขึ้นตั้งไฟ กวนให้เข้ากันด้วยไฟอ่อน จนส่วนผสมข้น ยกลงพักไว้ให้เย็น section : 2• ส่วนผสม - ยีสต์แห้ง 1 ช้อนโต๊ะ - น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ - น้ำเย็นจัด ¼ ถ้วย วิธีทำ ผสมน้ำตาลทรายในน้ำเย็นจัด คนให้น้ำตาลละลาย ใส่ยีสต์ คนให้เข้ากัน พักไว้ให้ยีสต์ทำงานได้อย่างเต็มที่ (ถ้ายีสต์ขึ้นฟูแสดงว่ายีสต์มีประสิทธิภาพ ทำให้เนื้อขนมปังเกิดรูพรุนจนฟูขึ้น แต่ถ้ายีสต์ไม่ขึ้นฟู แสดงว่าเชื้อราตายแล้ว ยีสต์นั้นใช้ไม่ได้) เราไม่ได้มีอาชีพทำมาค้าขาย ใช้ยีสต์ซองเล็กๆ ก็พอค่ะ ราคาแพงแต่ไม่ต้องเหลือทิ้ง
(ผู้โพสท์เคยซื้อห่อขนาดใหญ่ ใช้ไม่กี่ครั้งก็ไม่ได้ทำอีก ต้องทิ้งไป)
ส่วนผสมในหม้อสีขาวๆ คือแป้งที่กวนกับนมสดค่ะ...พักไว้ให้เย็นสนิท
section : 3ย้อนกลับมาทำต่อในส่วนที่ 1 แป้งที่กวนไว้คงจะเย็นแล้ว ... • ส่วนผสม - ไข่ไก่ 2 ฟอง - เนยสดละลาย 80 กรัม วิธีทำ 1.นำส่วนผสมของแป้งที่กวนกับนมสด ในขั้นตอนแรก หรือ section 1 โดยตวงแป้งให้ได้ 1 ถ้วยตวง 2.ใส่ไข่ไก่ และเนยสดละลาย ใช้ตะกร้อมือคนให้แป้ง ไข่ และเนยสดละลายเข้ากันจนเนียน ตวงแป้งกวนใหได้ 1 ถ้วย (สีขาวในชามแก้ว) ใส่ไข่ไก่ เนยสดละลาย แล้วใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากันจนเนียน มุมขวาของภาพคือส่วนผสมของแป้งกวน ไข่ไก่ และเนยสดละลาย ที่คนเข้ากันจนเนียน แล้วนำไปเทใส่ในโถแป้งที่เกลี่ยแป้งให้เป็นหลุมตรงกลาง ตีด้วยความเร็วต่ำพอเข้ากัน จึงใส่ส่วนผสมของยีสต์ที่หมักไว้ ตีไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วระดับ 2 หรือ 3 ของเครื่อง โดยใช้เวลาตีนาน 20 นาที section : 4• ส่วนผสม - แป้งขนมปัง 500 กรัม - เคเอส 505 (สารเสริมคุณภาพ) 1 ช้อนชา - เกลือป่น ½ ช้อนชา - น้ำตาลทราย 4 ช้อนโต๊ะ - นมผง ¼ ถ้วย วิธีทำ 1.ร่อนแป้งขนมปัง นมผง สารเสริมคุณภาพ และเกลือป่น นำใส่โถผสมอาหาร แล้วใส่น้ำตาลทราย ใช้พายยางคนให้เข้ากัน 2.ทำแป้งให้เป็นบ่อหรือหลุมตรงกลาง ใส่ส่วนผสมของแป้ง ไข่ไก่ และเนยสด ลงในโถแป้ง ใช้หัวตีรูปตะขอ ตีด้วยความเร็วต่ำพอเข้ากัน 3.ใส่ส่วนผสมของยีสต์ ตีด้วยความเร็วระดับ 2 หรือ 3 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที 4.นำแป้งที่ได้คลึงให้เป็นก้อนกลม นำไปใส่ในภาชนะสำหรับหมักแป้งที่ทาด้วยเนยขาว คลุมด้วยผ้าขาวบาง แล้วปิดฝาให้มิดชิด หมักไว้จนกว่าแป้งจะขึ้นฟูเป็นสองเท่า (ใช้เวลาประมาณ 30 นาที...บางทีไปได้ยีสต์ที่ใกล้เสื่อมคุณภาพ ต้องใช้เวลาหมักเป็นชั่วโมง) 5.นำแป้งขึ้นวางบนกระดาน ตัดแป้งชั่งน้ำหนักให้ได้ 30 กรัม คลึงให้เป็นก้อนกลม...วางในพิมพ์ที่ทาด้วยเนยขาว 6.ใช้ผ้าขาวบางหรือแผ่นพลาสติก คลุมหมักแป้งให้ขึ้นฟูเป็นสองเท่า 7.ใช้แปรงจุ่มนมข้นจืดระเหย ทาหน้าขนม 8.นำเข้าอบด้วยไฟอุณหภูมิ 170° (ไฟล่าง-บน) ใช้เวลาอบ 15-20 นาที 9.นำออกจากเตาอบ วางบนตะแกรง แล้วรีบทาหน้าขนมด้วยนมข้นจืดระเหยอีกครั้งหนึ่ง 10.แกะขนมออกจากพิมพ์ พักไว้ให้เย็น แล้วจึงบีบไส้สังขยาใส่ในขนมปัง
3097
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ดูดวง ทำนายทายทัก / อ่านคนให้ออก ดูคนให้เป็น
เมื่อ: 24 มิถุนายน 2559 15:50:10
. อ่านคนให้ออก ดูคนให้เป็น คนสมัยนี้สร้างภาพเก่งชนิดหาตัวจับยาก จะกะเทาะเปลือกให้เห็นตัวตนแท้จริง ต้องอาศัยเทคนิคการสังเกตละเอียดถี่ถ้วน การล่วงรู้จิตใจคนอื่นว่าเขาคิดอะไร ด้วยการอ่านภาษากายและท่าทางอย่างมีชั้นเชิง ช่วยให้เราอ่านคนออกดูคนเป็น ไม่ตกหลุมพรางลวงโลกง่ายๆ ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคนซัส เพื่อทำนายนิสัยใจคอจากอากัปกิริยาต่างๆ นำเสนอว่า เทคนิคการอ่านคนให้ออกภายในเสี้ยววินาที คือ การสังเกตวิธีปฏิบัติตัวต่อคนที่ด้อยกว่า เช่น พนักงานเสิร์ฟ, รปภ. และพนักงานต้อนรับ คนส่วนใหญ่มักสุภาพอ่อนน้อมต่อคนที่เหนือกว่า แต่กับคนฐานะด้อยกว่า ปฏิกิริยาที่แสดงออกจะบ่งบอกทัศนคติแท้จริง ถ้าอยากรู้จักนิสัยใครสักคน ลองชวนไปทานอาหารกลางวันสักมื้อ แค่นี้ก็จะได้เห็นธาตุแท้ชัดๆ แล้ว บางทีคุณอาจจะอึ้ง เมื่อได้รู้ความจริงว่าหนุ่มที่เพิ่งออกเดตด้วยช่างเห็นแก่ตัวและกดขี่คนอื่น ทั้งๆ ที่เวลาอยู่ต่อหน้าคุณเอาอกเอาใจสารพัดนิสัยการใช้โทรศัพท์มือถือ เป็นอีกหนึ่งภาษากายที่สำคัญมาก ไม่มีอะไรหยาบคายเท่าการควักมือถือขึ้นมาใช้ระหว่างพูดคุยสนทนากับคนอื่น พฤติกรรมนี้บ่งบอกชัดว่าเขาคนนั้นไม่ให้เกียรติคนอื่น, เป็นนักฟังที่แย่ และขาดพลังความมุ่งมั่น ยกเว้นกรณีฉุกเฉินจริงๆ ทางที่ดีอย่าหยิบมือถือขึ้นมาใช้ระหว่างการสนทนาเด็ดขาด เพราะภาพลักษณ์ของคุณจะติดลบทันทีพฤติกรรมเคยชินแย่ๆ ที่ติดเป็นนิสัย หลายคนติดนิสัยเคยชินไม่ดี เช่น ชอบนั่งเขย่าขา, กัดเล็บ, บีบจมูก หรือม้วนผมเล่น ซึ่งล้วนแต่เป็นพฤติกรรมทำลายบุคลิกภาพ อาการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวลและควบคุมตัวเองไม่ได้ โดยผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนบ่งชี้ว่า มักเกิดกับคนที่บ้าความสมบูรณ์แบบ เวลากังวลใจ, เบื่อหน่าย หรืออารมณ์ไม่ดี ก็จะเผลอล้วงแคะแกะเกาไม่รู้ตัวอ่านนิสัยจากการตั้งคำถามระหว่างสนทนา เวลาพูดคุยกับใครสักคน ลองสังเกตว่าพวกเขาชอบพูดถึงตัวเองตลอดเวลา หรือมักตั้งคำถามเพื่อเปิดโอกาสให้คุณได้พูด คนที่เอาแต่จ้อเรื่องตัวเอง บอกนิสัยว่าชอบเป็นผู้รับมากกว่าผู้ให้ ตรงข้ามกับคนที่ตั้งคำถามและเปิดโอกาสรับฟังคู่สนทนา คนเหล่านี้จะมีนิสัยถ่อมเนื้อถ่อมตัว และชอบเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ การให้และรับที่สมดุลเท่านั้นจะทำให้สามารถคบหากันได้ยืดยาวลักษณะการเช็กแฮนด์ ฝรั่งทักทายกันด้วยการเช็กแฮนด์ จึงเชื่อว่าอากัปกิริยาในการเช็กแฮนด์สามารถบ่งบอกนิสัยใจคอทันทีที่เจอ คนที่จับมือเช็กแฮนด์หลวมๆ บ่งบอกว่าเป็นคนเชื่องช้า เซื่องซึม ขาดความกระตือรือร้น ตรงข้ามกับคนที่เช็กแฮนด์หนักแน่นเต็มไม้เต็มมือ พวกเขาเหล่านี้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และกล้าแสดงออกลายมือบอกอุปนิสัยแท้จริงได้แม่นเหลือเชื่อ แค่อ่านลายมือก็มองทะลุว่าคุณเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว หรือเป็นคนเข้าสังคมเก่ง คนที่เขียนหนังสือตัวผอมๆ มักเป็นคนอ่อนไหวจิตใจเปราะบาง และชอบเก็บตัว ไม่มั่นใจในตัวเอง ส่วนคนที่เขียนหนังสือตัวอ้วนๆ เป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ใจดี ชอบช่วยเหลือคน สำหรับคนเขียนหนังสือตัวบางไม่มีน้ำหนักชัดเจนเป็นคนช่างคิด สุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กล้าเผชิญหน้า ตรงข้ามกับคนที่เขียนหนังสือตัวโตน้ำหนักชัด จะเชื่อมันในตัวเองสูง ใจกว้างมีน้ำใจ เข้ากับคนได้ทุกระดับ ยิ่งถ้าตัวหนังสือเป็นตัวเหลี่ยม ยิ่งแข็งกร้าวเอาจริงเอาจังทุกเรื่อง แต่ต้องเขียนเป็นระนาบตรงกันไม่โย้เย้ขึ้นลง เพราะพวกที่เขียนหนังสือโย้เย้ไม่สม่ำเสมอ นิสัยเป็นเด็กชอบตามใจตัวเอง ส่วนลายมือหวัดๆ แบบพวกหมอ เป็นตัวแทนของนักคิดนักวางแผน พวกนี้จีเนียสแต่โลกส่วนตัวสูงการสบตาคน ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจจริงแท้แน่นอน คนที่คุยกับคนอื่นแล้วหลบตา ไม่ยอมสบตาด้วย ขอให้รู้ไว้เลยว่าพวกเขามีอะไรซ่อนเร้นไม่จริงใจ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากายยืนยันว่า คนที่โกหกมักมองไปทางซ้ายเพื่อพยายามหลบสายตา เช่นเดียวกับการแตะจมูก ถูจมูก และเกาเปลือกตา ล้วนบ่งชี้ว่าเขาหรือเธอกำลังโกหกและปิดบังความจริง ที่มา: นสพ.ไทยรัฐ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๙
3098
สุขใจในธรรม / พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า / สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา โดย ศาสตราจารย์พิเศษเสฐียรพงษ์ วรรณปก
เมื่อ: 24 มิถุนายน 2559 15:37:26
. พอประสูติจากพระครรภ์พระมารดา ณ ป่าลุมพินีวัน ก็ทรงดำเนินได้ ๗ ก้าว
ภาพวาดฝีมือ ครูเหม เวชกร สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (๑) บุคคลแรกที่พูดได้เดินได้ทันทีที่เกิด บอกไว้ก่อนว่า เรื่องอย่างนี้มิใช่เรื่องอัศจรรย์ มิใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ แต่เป็นปรากฏการณ์ “ธรรมดา” ที่เกิดขึ้นได้สำหรับบุคคลพิเศษ บุคคลพิเศษในที่นี้ก็คือ เจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายสิทธัตถะคือใคร ชาวพุทธทุกคนก็ต้องรู้ เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กับพระนางสิริมหามายา เสด็จนิวัตยังพระนครเทวทหะ บ้านเกิดเมืองนอนของท่านเพื่อไปคลอดลูก ขบวนเสด็จไปถึงพระราชอุทยานชื่อลุมพินีวัน ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ พระนางก็ประชวรพระครรภ์ จึงเสด็จไปพักผ่อนในพระราชอุทยาน แล้วก็ทรงมีพระสูติกาล (คลอดลูกนั้นแหละครับ) ณ สวนลุมพินีนั้นเอง พระนางสิริมหามายาทรงยืน เหนี่ยวกิ่งสาละ (ไม่ควรแปลว่าต้นรัง ผมไปเห็นมาแล้ว ต้นสาละไม่ใช่ต้นรัง) พระราชกุมารน้อยก็ก้าวลงจากพระครรภ์ ผินพระพักตร์ไปทางทิศอุดร ทรงชี้พระดรรชนีขึ้นฟ้า เสด็จดำเนินไป ๗ ก้าว ทรงเปล่ง อาสภิวาจา (วาจาอย่างองอาจ)อาสภิวาจา ว่าอย่างไร อาทิตย์หน้าค่อยว่ากัน วันนี้ขอแถลงเรื่อง การที่เจ้าชายสิทธัตถะ พูดได้ เดินได้ ทันทีที่ประสูติ คนส่วนมากตั้งคำถามว่า “พูดได้ เดินได้จริงหรือ” บางท่านก็พูดออกมาตรงๆ ว่า ไม่เชื่อ อมพระมาทั้งโบสถ์ก็ไม่เชื่อ เพราะไม่คิดว่าเรื่องอย่างนี้จะเป็นไปได้กระมัง อาจารย์รุ่นหลังๆ จึงหาทางออกว่า เป็น “สัญลักษณ์” หรือ “บุพนิมิต” แล้วก็แจกแจงอย่างน่าฟัง เช่น การที่ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ เป็นสัญลักษณ์ว่า ท่านผู้นี้ต่อไปจะเป็นผู้อยู่เหนือ คือเอาชนะเจ้าลัทธิทั้งหลายในชมพูทวีป การเสด็จดำเนิน ๗ ก้าว เป็นสัญลักษณ์แทนแว่นแคว้นทั้ง ๗ ที่จะได้ประกาศสัจธรรมที่ตรัสรู้ให้แพร่หลาย หรือ (มีหรือด้วยครับ แสดงว่าตีความได้สองนัย) หมายถึงโพชฌงค์ ๗ ประการ ดอกบัวที่ผุดขึ้นรองรับพระบาท หมายถึงท่านผู้นี้จะเป็นผู้บริสุทธิ์จากกิเลสโดยสิ้นเชิง (หมายเหตุ ในพระไตรปิฎก ไม่พูดถึงดอกบัว ดอกบัวนี้เพิ่มมาภายหลัง)การที่ทรงเปล่งอาสภิวาจา หมายถึง ท่านผู้นี้จะได้ประกาศสัจธรรมที่ยังไม่เคยมีใครประกาศมาก่อนเลย ฯลฯ นี้คือการหาทางออก เพื่อไม่ให้ชาวพุทธอึดอัดใจเมื่อมีใครซักถาม แต่ขอกราบเรียนว่า คำตอบนั้นมีอยู่แล้วในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสเล่าให้พระสาวกของพระองค์เอง พวกเราชาวพุทธอ่านไม่ละเอียดเอง จากข้อความในพระไตรปิฎก แสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นได้จริง มิใช่สัญลักษณ์แต่อย่างใด ในพระไตรปิฎก ได้เล่าเหตุการณ์พิเศษต่างๆ ดังกล่าวมาข้างต้น แล้วท่านก็สรุปลงด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า “นี้เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์) ท่านบอกเราว่า เหตุการณ์พิเศษต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาของพระโพธิสัตว์ เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระโพธิสัตว์คือผู้บำเพ็ญบารมีมาจนเต็มเปี่ยมแล้ว ท่านย่อมมี “ธรรมดา” ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป ถามว่าเรื่องอย่างนี้เป็นปาฏิหาริย์ไหม ตอบว่าไม่ใช่ เป็นอิทธิฤทธิ์ไหม ตอบว่าไม่ใช่ “มันเป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์” “ธรรมดาของนกย่อมบินได้” ท่านเห็นนกบินได้ท่านอัศจรรย์ไหม เปล่าเลย มันธรรมดาของมัน ถ้าถามว่า ทำไมนกมันบินได้ คำตอบที่ถูกต้องที่สุดก็คือ “มันเป็นธรรมดาของนกมัน” นกบินไม่ได้สิผิดธรรมดาแน่ๆ ใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้น เหตุการณ์เกี่ยวกับประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ขอให้เข้าใจว่า ก็คือเหตุการณ์ธรรมดาๆ นั้นเอง ไม่ใช่เรื่องประหลาดมหัศจรรย์อะไร เพียงแต่เป็นธรรมดา ที่ไม่ทั่วไปสำหรับสามัญชนอื่นๆ เท่านั้นเอง ผมเคยอ่านบันทึกจากกินเนสส์บุ๊ก (คนอื่นเขาลอกมาให้อ่านอีกที) บันทึกไว้ว่า มีเด็กชายสองคนชื่อ เจมส์ ซิดิส คนหนึ่ง คริสเตียน ไฮเนเก้น อีกคนหนึ่ง เป็นอัจฉริยมนุษย์ โดยเฉพาะ คริสเตียน ไฮเนเก้น เกิดมาแปดสัปดาห์พูดได้ ปาฐกถาเรื่องอภิปรัชญาชั้นสูง ให้ที่ประชุมนักปราชญ์ทั้งหลายฟัง ทึ่งไปตามๆ กัน ว่าทำได้ไง กินเนสส์บุ๊ก เป็นที่รู้กันว่าบันทึกเรื่องจริง ไม่โกหกเราแน่นอน สมัยนี้ เด็กเกิดมาแปดสัปดาห์พูดได้ ก็มีแล้ว ย้อนหลังไปสองพันห้าร้อยกว่าปี เจ้าชายแห่งราชวงศ์ศากยะ ทันทีที่เกิดมาก็พูดได้ จะต่างอะไรล่ะครับ อย่าคิดแต่เพียงว่า เป็นไปไม่ได้ๆ สมัยนี้ กี่หมื่นกี่แสนอย่างที่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ มันเป็นไปได้แล้วทั้งนั้นสรุปแล้ว บุคคลแรกที่พูดได้ทันทีที่เกิด คือเจ้าชายสิทธัตถะ พระราชกุมารแห่งศากยวงศ์ ต่อมาก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาเอกแห่งโลกนั้นแล • ข้อมูล : บทความพิเศษ
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (๑) บุคคลแรกที่พูดได้เดินได้ทันทีที่เกิด โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ)
เสฐียรพงษ์ วรรณปก หน้า ๖๗ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๘๗๑ ประจำวันที่ ๒๔-๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (๒) คำแรกที่เจ้าชายสิทธัตถะพูดตอนประสูติ
สัปดาห์ที่แล้ว ได้บอกว่าพระโพธิสัตว์คือเจ้าชายสิทธัตถะพูดได้ เดินได้ หลังประสูติชั่วขณะ และได้บอกด้วยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ อาจารย์ในภายหลังพยายามอธิบายว่าเป็นภาษาสัญลักษณ์ หรือ “บุพนิมิต” ว่าไม่ใช่เรื่องเกิดขึ้นจริง แต่ข้อความในพระไตรปิฎกในรูปพุทธวจนะตรัสแก่พระสาวก ยืนยันว่า เป็นเรื่องจริง ทรงอธิบายสั้นๆ ว่า เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ ดังได้กล่าวไว้แล้ว คราวนี้มาว่าถึงคำพูดอั้นองอาจ เรียกตามศัพท์เทคนิคว่า อาสภิวาจา ที่พระโพธิสัตว์เปล่งออกมานั้นว่าอย่างไร คัมภีร์บันทึกไว้ไม่ค่อยตรงกันนัก ในแง่พลความ แต่ในสาระเหมือนกัน เช่นในพระไตรปิฎก บันทึกไว้ว่า อคโหมสมิ โลกสส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสส อคฺโคหมสฺมิ โลกสส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตรงนี้เขียนเป็นร้อยแก้วธรรมดา แต่อีกที่หนึ่งแต่งเป็นคาถาหรือบทกวีดังนี้ อคโคหมสมิ โลกสส เชฏฺโฐ เสฏโฐหมสฺมิ อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวแปลว่า เราเป็นผู้เลิศของโลก เป็นผู้ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้ประเสริฐที่สุดของโลก นี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป นี้แปลตามตัวอักษร ตามประโยคบาลีเปี๊ยบเลย ถ้าจะแปลเป็นไทยๆ คำว่าของโลก แปลว่า ในโลก น่าจะเข้าใจดีกว่าหมายเหตุ ปรากฏการณ์เจ้าชายน้อยประสูตินี้ ในพระไตรปิฎก ไม่มีดอกบัวเจ็ดดอกผุดขึ้นรองรับ พูดแต่เพียงว่าทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศอุดร ทรงเหลียวดูทิศทั้งหลาย เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าว ทรงเปล่ง อาสภิวาจา ดังกล่าวข้างต้น อาจารย์ในภายหลัง ไม่คิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจริง จึงพยายามแปลเป็นภาษาสัญลักษณ์ หรือบอกว่าเป็นบุพนิมิต แต่ใจความในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นเรื่องเป็นไปได้ คือปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ มิใช่เรื่องเหลือเชื่อหรืออิทธิปาฏิหาริย์อะไร ดังผมได้อธิบายขยายความมาแล้วในอาทิตย์ที่แล้ว ผมเห็นว่าท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านถอดเป็นภาษาธรรมได้ดีที่สุด คือ ท่านว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นเครื่องสำแดงว่า เจ้าชายสิทธัตถะต่อมาคือพระพุทธเจ้านั้น ทรงประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์ทั้งปวง เนื่องจากสมัยนั้นมนุษย์ทั้งหลายตกเป็นทาสความยึดถือผิดๆ ว่า มนุษย์อยู่ในการดลบันดาลของพระพรหม ต้องพึ่งพระพรหม เรียกว่า พรหมลิขิต ค่านิยมความดีความชั่ว ตัดสินเอาที่ว่าใครเกิดในวรรณะไหน ถ้าเกิดในวรรณะสูงก็เป็นคนดีโดยอัตโนมัติ เกิดในวรรณะต่ำก็เป็นคนเลว จากนี้ต่อไป ท่านผู้นี้จะได้ปลดปล่อยมนุษย์ทั้งหลายจากความเข้าใจผิดเสียที ประกาศให้เห็นศักยภาพของมนุษย์ ว่ามนุษย์ทุกคนสามารถพึ่งพาตัวเองด้วยการกระทำของตน คนจะดีหรือชั่วเพราะการกระทำด้วยตนเอง มิใช่เพราะการดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ หรือด้วยการอ้อนวอนขอ และเซ่นสรวงเอาใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ท่านเจ้าคุณใช้คำคมว่า เป็นการดึงคนจากเทพมาสู่ธรรม คือในขณะที่สังคมมุ่งหวังผลจากการดลบันดาลของเทพเจ้า เอาแต่อ้อนวอนขออำนาจเทพเจ้า ให้บันดาลโน่นบันดาลนี่ เจ้าชายน้อยพระองค์นี้ ซึ่งต่อมาคือพระพุทธเจ้า ก็ดึงให้คนทั้งหลายมาสนใจตัวธรรมที่อยู่ในธรรมชาติ คือความจริงแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ถอดความให้ฟังง่ายก็คือ พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนคนว่าอย่ามัวหวังพึ่งเทพเจ้า ให้บันดาลโน่นบันดาลนี่ ให้หันมาพึ่งการกระทำของตนเองดีกว่า นี้แหละครับ คือการดึงประชาชนจากเทพมาสู่ธรรม นับว่าเจ้าชายน้อยพระองค์นี้ทรงถือกำเนิดมาเพื่ออิสรภาพของโลกอย่างแท้จริง การอธิบายในแง่นี้ยังไม่มีใครอธิบายมาก่อน นอกจากท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ จึงขอนำมาบอกเล่าเก้าสิบให้ฟัง ถ้าใครอยากทราบรายละเอียด (เพราะผมจำมาไม่หมด) ให้ไปหาหนังสือ จาริกบุญ จารึกธรรม ของท่านมาอ่านก็แล้วกัน • ข้อมูล : บทความพิเศษ
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (๒) คำแรกที่เจ้าชายสิทธัตถะพูดตอนประสูติ โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ)
เสฐียรพงษ์ วรรณปก หน้า ๖๗ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๘๗๒ ประจำวันที่ ๑-๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (๓)
สัปดาห์ที่แล้ว พูดถึง “บุคคลแรกที่พูดได้หลังเกิดใหม่ๆ”คือเจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์ ต่อมาคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย และได้นำ “อาสภิวาจา” (พระวาจาอันองอาจ” ที่ทรงเปล่งออกมา มาให้อ่านกัน พร้อมอ้างที่มาเสร็จ แต่ต้องขออภัยที่อ้างไม่หมด และ “อาสภิวาจา” ก็ผิด ขอแก้เพื่อความถูกต้องดังนี้ครับอาสภิวาจา มีบันทึกในพระไตรปิฎก ๒ แห่ง คือพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ ข้อ ๓๗๗ หน้าที่ ๒๕๓ เป็นคำพูดของพระอานนท์กราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ได้ยินจากพระโอษฐ์พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ๆ...” กับอีกแห่งหนึ่งในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ข้อที่ ๒๖ หน้าที่ ๑๗ ในรูปพระพุทธพจน์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ที่...” ใจความของอาสภิวาจาตรงกัน ต่างกันนิดเดียว “อยมนฺติมา เม ชาติ” ในเล่มที่ ๑๔ ไม่มีคำว่า “เม” เท่านั้นเอง ข้อความเต็มมีดังนี้ครับอคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมฺสมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺสส อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว “เราเป็นผู้เลิศในโลก เป็นผู้ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก นี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป” ๓.อุบาสกอุบาสิกาคู่แรก คราวนี้มาถึงสิ่งแรกประการที่ ๓ ในพระพุทธศาสนา ถ้าถามว่า ใครเป็นอุบาสกอุบาสิกาคู่แรก คำตอบมีสองอย่างคือ อุบาสกคู่แรกที่ถึงรัตนะสองคือพระพุทธ และพระธรรม คือวาณิชสองพี่น้องชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะ ส่วนคู่แรกที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะคือ บิดามารดาของยสกุมาร ตปุสสะ ภัลลิกะเป็นใคร? คัมภีร์พระพุทธศาสนาเรียกชื่อ ว่า ตปัสสุ และ ภัลลิยะ ก็มี อรรถกถาเถรคาถาบอกว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน เป็นบุตรชายของหัวหน้ากองเกวียนชื่อ โปกขรวตี ทั้งสองมาจากอุกกลชนบท (ไม่ทราบที่ไหน นัยว่าอยู่ตอนเหนือแห่งชมพูทวีป แถวๆ ตักสิลา ประมาณนั้น) ทั้งสองเดินทางมายังเมืองราชคฤห์ พบพระพุทธเจ้าหลังตรัสรู้ใหม่ๆ ขณะประทับอยู่ใต้ต้นราชายตนะ (ต้นเกด) จึงน้อมถวายข้าวสัตตุผงและสัตตุก้อน (บาลีเรียกว่า มันถะ และ มธุปิณฑิกะ) ตปสสะ และ ภัลลิกะ ได้เปล่งวาจาถึงรัตนะทั้งสอง (พระพุทธและพระธรรม) เป็นสรณะ เรียกว่า “ทฺววาจิกอุบาสก” เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีพระสงฆ์ สดับพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แล้วกราบทูลลากลับมายังมาตุภูมิ ข้อความตรงนี้นักปราชญ์พม่าเขียนเพิ่มเติมว่า วาณิชทั้งสองพี่น้องเป็นชาวหงสาวดี เดินทางไปจากพม่า ไปพบพระพุทธองค์ ได้ถวายสัตตุผงและสัตตุก้อนแล้วเปล่งวาจาถึงรัตนะทั้งสองเป็นที่พึ่งดังกล่าวแล้ว ก่อนจากได้กราบทูลขอสิ่งที่ระลึกจากพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงเอาพระหัตถ์ลูบพระเศียร พระเกศาหลุดติดพระหัตถ์มา ๘ เส้น แล้วประทานให้พ่อค้าทั้งสอง เขาทั้งสองกลับมาตุภูมิ ได้ก่อสร้างพระเจดีย์บรรจุพระเกศธาตุทั้ง ๘ องค์ไว้บูชา พระเจดีย์นั้นคือ ชเวดากอง ว่ากันอย่างนั้น นับเป็นการกล่าวอ้างที่เข้าที ส่วนเท็จจริงอย่างไร ฟังๆ ไว้ก็ไม่เสียหลาย อรรถกถาอีกเช่นกันบอกว่า ต่อมาสองพี่น้องได้กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้าใหม่ ได้ฟังธรรมแล้วตปุสสะบรรลุโสดาปัตติผล ส่วนภัลลิกะได้ทูลขอบวช และได้บรรลุพระอรหัตในเวลาต่อมา อุบาสกอุบาสิกา คู่ที่ทั้งสองถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะคือ บิดามารดาของยสกุมาร ชาวเมืองพาราณสี มีเรื่องเล่าว่า หลังจากพระพุทธองค์เสด็จมาแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตน มฤคทายวัน และประทานการอุปสมบทให้ทั้งห้าท่านเป็นภิกษุแล้ว พระพุทธองค์ยังประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตน มฤคทายวัน คืนหนึ่ง ยสกุมาร บุตรชายของเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี เกิดเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย หนีออกจากบ้านกลางดึก ขณะนางรำทั้งหลายหลับใหลกันหมด ยิ่งเห็นภาพอันไม่น่าดูของบรรดานางรำทั้งหลายยิ่งทำให้เด็กหนุ่มบังเกิดความเบื่อหน่าย สะอิดสะเอียนยิ่งขึ้น ถึงกับเดินพลางเปล่งอุทานด้วยความสลดใจ ว่า “อุปทฺทูตํ วต โภ อุปสฏฺฐํ วต โภ = วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ” แปลเป็นไทยๆ ให้สมกับอารมณ์เอือมสุดขีด ว่า “กลุ้มจริงโว้ย” ประมาณนั้น เดินไปบ่นไปจนถึงป่าอิสิปตน มฤคทายวันไม่รู้ตัว ขณะนั้นจวนสว่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตื่นบรรทม เสด็จจงกรมอยู่ ได้ยินดังนั้น ตรัสว่า “อิทํ อนุปทฺทูตํ อิทํ อนุปสฏฺฐํ = ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง” เด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์ เข้าไปกราบแทบยุคลบาท สดับพระธรรมเทศนา จบพระธรรมเทศนาได้บรรลุโสดาปัตติผล ทูลขอบวช พระองค์ก็ประทานการอุปสมบทให้ รุ่งเช้า บิดามารดายสกุมาร ตามหาบุตรที่หายไป มาพบพระพุทธองค์ได้สดับพระธรรมเทศนา มีความเลื่อมใส ได้เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต นับว่าสองสามีภรรยาเป็นอุบาสกอุบาสิกาคู่แรกที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ อรรถกถาได้ให้ความรู้แก่เราว่า มารดาของยสกุมารนั้นก็คือ นางสุชาดา ที่ถวายข้าวมธุปายาสแด่พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้นั้นแล นางได้บนเทพต้นไทรไว้ก่อนแต่งงาน เมื่อแต่งงานก็ได้ตามสามีไปอยู่ที่เมืองพาราณสี ตอนพบพระพุทธองค์นั้นนางได้กลับไปบ้านเกิดเพื่อแก้บนที่บนไว้กับเทพต้นไทรข้างบ้านดังกล่าว • ข้อมูล : บทความพิเศษ
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (๓) โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ)
เสฐียรพงษ์ วรรณปก หน้า ๖๗ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๘๗๓ ประจำวันที่ ๘-๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๙
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (๔) บุคคลแรกที่ถวายอาหารก่อนตรัสรู้ คราวที่แล้วพูดทิ้งท้ายไว้ว่า นางสุชาดานี้ ที่จริงเป็นมารดาของยสกุมาร พุทธประวัติบอกเราว่า นางสุชาดาเธออยู่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมืองราชคฤห์แคว้นมคธ แต่ยสกุมารอยู่เมืองพาราณสี แคว้นกาสี จะมาเป็นแม่ลูกกันได้อย่างไรหนอ ใครๆ ก็สงสัยอย่างนี้ แต่คัมภีร์อรรถกถาท่านไขข้อข้องใจให้เราได้เอาไว้พูดถึงตอนท้ายนะครับ ตอนนี้ขอเล่าเรื่องการถวายข้าวมธุปายาสก่อน เมื่อพระมหาสัตว์ (คือพระสิทธัตถะ) ทรงเห็นว่าการทำทุกรกิริยาอดอาหารนั้นมิใช่ทางบรรลุ จึงทรงกลับมาเสวยพระกระยาหารใหม่ให้มีพระพลานามัย เพื่อจะได้มีกำลังบำเพ็ญเพียรทางจิต ตรงนี้คัมภีร์เล่าเป็นตำนานว่า พระอินทร์มาเทียบเสียงพิณสามสายให้ฟัง ตึงนักสายก็จะขาด ดีดเสียงไม่ไพเราะ หย่อนนักก็เสียงไม่ไพเราะเช่นกัน ต้องพอดีๆ เสียงจึงจะไพเราะ พระองค์ “ทรงได้คิด” ว่า ทุกอย่างต้องพอดีจึงจะดี พระอินทร์ในที่นี้ อาจมิใช่พระอินทร์ตัวเขียวๆ ที่ไหน หากเป็น “สัญลักษณ์” บอกว่าเมื่อทรงพยายามมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่บรรลุ แสดงว่ามีข้อผิดพลาดเสียแล้วล่ะ การ “ได้คิด” ขึ้นมาว่าทุกอย่างต้องพอดี มันเกิดขึ้นมาเองหลังจากประสบความล้มเหลวในการปฏิบัติแต่ถ้าท่านผู้อ่านเสียดายพระอินทร์ ก็ให้พระอินทร์มามีบทบาทเตือนพระสติของพระมหาสัตว์ก็ไม่ว่าอะไร ปัญจวัคคีย์อันมีโกณฑัญญะเป็นหัวหน้ารู้สึกผิดหวังที่พระองค์ทรงเลิกทำทุกรกิริยา ถึงกับประณามแรงๆ ว่าพระองค์เป็นคน “คลายความเพียร เวียนมาเป็นคนมักมาก” พูดง่ายๆ คือหาว่าเป็นคนขี้เกียจ เห็นแก่กิน ไม่มีทางบรรลุมรรคผลดอก ปานนั้นเชียวนิ ทั้งห้าจึงพากันหนีไปอยู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (ปัจจุบันเรียก สารนาถ อยู่รัฐพิหาร) สารนาถ กร่อนมาจากคำเต็มว่า “สารังคนาถ” แปลว่าที่พึ่งแห่งกวาง (สารังค=กวาง-นาถ=ที่พึ่ง) เป็นป่าสงวนพันธุ์สัตว์ซึ่งมีกวางเป็นส่วนมาก ฝรั่งจึงแปลว่า The Deer Park หรือ The Deer Sanctuary หลังเลิกทุกรกิริยาใหม่ พระสิทธัตถะก็เสด็จไปประทับอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ใกล้หมู่บ้านอุรุเวลาเสนานิคม นางสุชาดา ธิดานายบ้านอุรุเวลาเสนานิคมซึ่งเคยบนเทพที่ต้นไทรสมัยยังสาวว่า ถ้าได้แต่งงานกับคนมีสกุลเสมอกัน และได้บุตรชายจะแก้บน ต่อมาได้แต่งงานกับบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี ไปอยู่ตระกูลสามี จนได้บุตรชายชื่อยสกุมาร เมื่อบุตรชายเจริญวัยเป็นหนุ่มแล้วจึงนึกได้ว่ายังมิได้แก้บน จึงเดินทางกลับบ้านเกิด วันนั้น นางสั่งสาวใช้ให้ไปปัดกวาดโคนต้นไทรให้สะอาด สาวใช้ไปเห็นพระองค์ประทับนิ่งสงบอยู่ คิดว่าเป็นเทพที่สิงอยู่ต้นไทรสำแดงตน ตาลีตาเหลือกมารายงานนายหญิง ว่า เทพเจ้าท่านกำลังรออยู่ นางสุชาดาก็เอาข้าวมธุปายาสที่เตรียมไว้ใส่ถาดทองปิดอย่างดี แล้วรีบนำไปยังต้นไทร ไปถึงก็ไม่กล้ามองตรงๆ ยื่นถาดข้าวมธุปายาสให้แล้วก็รีบกลับบ้านพระมหาบุรุษเจ้า ทรงรับถาดข้าวมธุปายาสแล้ว ก็ทรงปั้นข้าวมธุปาสเป็นก้อนได้ ๔๕ ก้อน แล้วเสวยจนหมด เสร็จแล้วทรงลอยถาดลงสู่แม่น้ำ ตำนานเล่าต่อว่า ด้วยอานุภาพพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมาบริบูรณ์แล้ว ได้เกิดอัศจรรย์ ถาดนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปประมาณ ๑ เส้น แล้วก็จมลง ว่ากันอีกนั่นแหละว่า จมลงไปยังนาคพิภพแห่งพญากาฬนาคราช พญานาคซึ่งนอนหลับตลอดกาลยาวนาน ได้ยินเสียงถาดกระทบกับถาดใบเก่าสี่ใบดัง “กริ๊ก” ก็สะดุ้งตื่น ร้องว่า “อ้อ มาตรัสรู้อีกองค์แล้วหรือ” คงเป็นภาษาสัญลักษณ์มากกว่าแปลตามตัวอักษร คือถึงตอนนี้จะได้เกิดมี “พุทธ” (“ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” เกิดขึ้นหนึ่งพระองค์ ท่ามกลางเหล่าสัตว์ผู้หลับสนิทตลอดกาลนานด้วยอำนาจ “กิเลสนิทรา”) และถาดที่ลอยทวนน้ำนั้น หมายถึงพระมหาบุรุษเจ้าจะได้ตรัสรู้โลกุตรธรรมสูงสุด อัน “ทวนกระแสโลก” โดยทั่วไป เข้าใจว่าหลังจากแก้บนแล้ว นางสุชาดา คงเดินทางกลับเมืองพาราณสี ที่คัมภีร์อรรถกถาท่านบอกว่า นางสุชาดาคือมารดาของยสกุมาร จึงมีความเป็นไปได้ ด้วยประการฉะนี้แล • ข้อมูล : บทความพิเศษ
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (๔) บุคคลแรกที่ถวายอาหารก่อนตรัสรู้ โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ)
เสฐียรพงษ์ วรรณปก หน้า ๖๗ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๘๗๔ ประจำวันที่ ๑๕-๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (๕) สิ่งแรกที่ทรงทำหลังจากเสด็จออกผนวช เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงพิจารณาเห็นความทุกข์อันเกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพต่างๆ อย่างที่สิ้นสุดมิได้ กล่าวกันว่า ความดำริจะเสด็จออกจากโลกียวิสัย ไปบวชบำเพ็ญพรตนี้เกิดขึ้นเพราะทรงทอดพระเนตรเห็น “เทวทูต” ทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ตามลำดับ แต่ในพระสูตรกล่าวว่าพระองค์ทรงเบื่อหน่ายในกามสุขขึ้นมาเอง หลังจากได้รับการปรนเปรอย่างบำรุงบำเรอสารพัดจากพระราชบิดา ผู้ไม่ทรงมีพระประสงค์จะให้พระราชโอรสเสด็จออกผนวช ทรงตรัสเล่าไว้ใน ปาสราสิสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ ว่า ขณะยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ (คือเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ) พระองค์ทรงได้คิดว่า “เราเองยังมีความเกิด ความแก่ ความตาย เป็นธรรมดาอยู่ ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเกิด ความแก่ ความตาย เป็นธรรมดา ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความโศก ความเศร้าหมอง เป็นธรรมอยู่แล้ว ทำไมหนอ เราจึงไม่แสวงหานิพพาน อันไม่เกิดไม่ตาย เป็นธรรมปลอดจากเครื่องร้อยรัดใจ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า” นี้คือสาเหตุทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวช แต่อย่างไรก็ดี เทวทูตทั้งสี่ก็เป็นส่วนประกอบด้วย คืออาจพบเทวทูตทั้งสี่แล้วทรงตัดสินพระทัย หรือทรงครุ่นคิดพิจารณาถึงความวุ่นวายต่างๆ ทางโลกอยู่ พอดีทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ก็ช่วยเร่งให้ตัดสินพระทัยเร็วขึ้น แม้กระทั่งการได้ข่าวพระโอรส (ราหุล) ประสูติ ก็เป็นเครื่องกระตุ้นให้ต้องรีบตัดสินพระทัย ด้วยทรงเกรงว่าหากล่าช้าไป ความรักในพระโอรสอาจจะเป็นพันธะเหนี่ยวรั้งให้ไปไหนไม่ได้ดังพระอุทานที่เปล่งออกมาว่า “ราหุล (บ่วง) เกิดแล้ว พันธนาการเกิดแล้ว” นั้นแล เวลาเสด็จออกผนวช ก็เป็นข้อถกเถียงกัน เพราะพุทธประวัติที่เขียนภายหลังไม่ตรงกับพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกซึ่งอยู่ในรูปพระพุทธดำรัสตรัสเล่าพระไตรปิฎกมีข้อความว่า “เมื่อสมัยเรายังหนุ่ม มีผมดำสนิทอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต เมื่อบิดาและมารดาไม่ปรารถนา (จะให้บวช) ร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ เราได้ปลงผมโกนหนวด นุ่งห่ามผ้ากาสาวพัสตร์สละเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว” หลังจากเสด็จออกผนวชแล้ว ประทับอยู่ที่ตำบลอนุปิยอัมพวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นก็เสด็จไปยังแคว้นมคธ ทรงพบพระเจ้าพิมพิสารที่มาเข้าเฝ้า และทูลเชิญให้ลาพรตไปครองราชย์สมบัติด้วยกัน ว่ากันว่าพระเจ้าพิมพิสาร “ใจป้ำ” จะแบ่งอาณาจักรให้ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว แต่พระองค์ตรัสว่าพระองค์มิได้ต้องการสมบัติทางโลกใดๆ ที่สละทุกสิ่งทุกอย่างมานี้ก็เพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นอย่างเดียวเท่านั้น จากนั้นพระองค์ก็เสด็จไปสมัครเป็นศิษย์ฝึกปฏิบัติโยคะอยู่กับอาจารย์สองท่าน คือ อาฬารดาบส กาลามโคตร อุททกดาบส รามบุตร โดยอยู่กับอาจารย์คนแรก ทรงได้รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๓ อยู่กับอาจารย์คนที่สอง ทรงได้อรูปฌาน ๔ เพิ่มขึ้น คือ เนวสัญญานา สัญญายตนะ ระยะเวลานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่คาดว่าคงไม่เกินสองปีหรือน้อยกว่านั้น ผลสัมฤทธิ์แห่งฌานก็ทำให้จิตใจสงบ ไม่ถูกกิเลสรบกวน แต่ก็ไม่ได้ถอนรากถอนโคนโดยสิ้นเชิง ออกจากฌานสมาบัติเมื่อใด กิเลสอาสวะก็กลับมาเหมือนเดิม ดุจเอาศิลาก้อนใหญ่ทับหญ้าไว้ ตราบใดที่ยังไม่ยกศิลาออกหญ้าก็ไม่สามารถงอกงามได้ แต่ถ้ายกศิลาออกเมื่อใด หญ้าก็งอกขึ้นมาได้อีกฉะนั้น ทรงเห็นว่ายังมิใช่สัมมาสัมโพธิญาณที่ทรงแสวงหา พุทธประวัติที่แต่งกันภายหลัง มักพูดทำนองดูแคลนว่า ฌานสมบัติที่อาจารย์ทั้งสองสอนนั้นมิใช่ทางบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ บางฉบับก็ว่าแรงว่าเป็นแนวทางที่ผิด แต่เมื่อพิจารณาแล้ว วิธีปฏิบัติได้ให้ฌานนี้ พระพุทธเจ้านำมาปรับใช้สอนสาวกของพระองค์ เรียกว่า ระบบสมถะนั้นเอง เพียงแต่สมถะล้วนๆ ไม่ทำให้บรรลุนิพพานได้ ต้องทำสมถะจนได้ฌานแล้วทำฌานเป็นบาทฐานแห่งวิปัสสนาเท่านั้น จึงจะดำเนินสู่มรรคผลนิพพานได้ พูดอีกนัยหนึ่งก็ว่า วิธีโยคะของดาบสทั้งสองนั้น ก็เป็นอันเดียวกับสมถกรรมฐานนั้นเอง และสมถกรรมฐานนี้มีอยู่ก่อนสมัยพุทธกาลแล้ว โยคีที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดของสมถกรรมฐานมีปรากฏมากมาย แต่ท่านเหล่านั้นมิได้ตรัสรู้เป็นพุทธะ เพราะระบบโยคะอำนวยผลเพียง ศีลกับสมาธิ ยังขาดปัญญา เมื่อพระพุทธองค์ทรงใช้สมถกรรมฐานเป็นบาทฐานแห่งการเจริญวิปัสสนา จึงได้ปัญญาตรัสรู้ ดังนั้นวิปัสสนากรรมฐาน จึงเป็นคำสอนเฉพาะของพระพุทธศาสนา และที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีครูสอนนั้น ความจริงพระองค์มีครูสอน เท่าที่ทราบทั่วไปก็มี ครูวิศวามิตรประสิทธิ์ประสาทศิลปวิทยา ๑๘ แขนงให้ ขณะยังทรงเป็นพระราชกุมาร ครูอาฬารดาบส และอุททกดาบส สอนฝึกสมาธิ ตามระบบโยคะ ครูทางด้านอื่นๆ นั้น พระพุทธเจ้าทรงมีเช่นเดียวกับคนอื่น แต่ครูที่สอนให้ตรัสรู้นั้นไม่มี พระองค์ทรงค้นพบวิธีปฏิบัติเพื่อตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงเป็น “สัมมาสัมพุทธะ” (ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง) ด้วยประการฉะนี้แล • ข้อมูล : บทความพิเศษ
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (๕) สิ่งแรกที่ทรงทำหลังจากเสด็จออกผนวช โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ)
เสฐียรพงษ์ วรรณปก หน้า ๖๗ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๘๗๕ ประจำวันที่ ๒๒-๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๙
3099
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / Re: พงศาวดารจีน เปาเล่งถูกงอัน 'เปาบุ้นจิ้น'
เมื่อ: 24 มิถุนายน 2559 15:19:29
. พงศาวดารจีน เรื่อง เปาเล่งถูกงอั้น เปาบุ้นจิ้น ราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ. ๑๕๐๓-๑๘๑๙) เรื่องที่ ๑๐ น้ำใจมนุษย์ มีความว่าที่ตำบลสีเถาติ้น แขวงเมืองเตงจิ๋ว ในตำบลนั้น ราษฎรตั้งบ้านเรือนอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำเป็นอันมาก ราษฎรตำบลนั้นทำมาหากินด้วยการปาณาติบาตเป็นพื้น ผู้ที่จิตเป็นพาลนั้นมาก ผู้ใจบุญประกอบด้วยเมตตาจิตนั้นน้อย ที่ตำบลติ้นตั๋งฝั่งตะวันออกนั้น ยังมีเศรษฐีอยู่คนหนึ่งแซ่ซุ่ย ชื่อเตียงเก่ เป็นคนตั้งอยู่ในยุติธรรม ประกอบไปด้วยเมตตาจิต ซุ่ยเตียงเก่เศรษฐีมีภรรยาชื่อนางเตียสีเซ้ง มีบุตรด้วยกันคนหนึ่งเป็นชายชื่อซุ่ยเข้งๆ อายุได้สิบแปดปี มีลักษณะงามและกิริยาเรียบร้อยเล่าเรียนรู้ลึกซึ้ง เศรษฐีผู้บิดามารดามีความรักใคร่ยิ่งนัก ยังมีหลวงจีนผู้วิเศษรูปหนึ่ง สำนักอยู่เขาซำไท่ซัว อยู่มาวันหนึ่งหลวงจีนนั้นออกจากสำนักไปถึงตำบลติ้นตั๋ง หลวงจีนผู้วิเศษนั้นรู้ว่าเศรษฐีเป็นผู้มีใจบุญประกอบไปด้วยความเมตตาจิต หลวงจีนผู้วิเศษจึงแวะเข้าไปยังบ้านเศรษฐีขออาหารเจกิน ฝ่ายเศรษฐีครั้นทราบว่าหลวงจีนมาหา ก็แต่งตัวนุ่งห่มโดยสุภาพเรียบร้อยออกมาต้อนรับ เชิญหลวงจีนผู้วิเศษให้นั่งในที่อันสมควรแล้ว ซุ่ยเตียงเก่เศรษฐีจึงถามหลวงจีนว่า ท่านสำนักอยู่ตำบลใด บัดนี้ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยธุระประสงค์สิ่งใดหรือ ข้าพเจ้ามีความยินดียิ่งนัก ว่าดังนั้นแล้วซุ่ยเตียงเก่จึงสั่งให้พ่อครัวจัดอาหารเจมาเลี้ยงหลวงจีน ครั้นหลวงจีนกินอาหารแล้วจึงแจ้งความแก่เศรษฐีว่า ข้าพเจ้าสำนักอยู่ที่เขาซำไท่ซัว มาหาท่านวันนี้ด้วยทราบเหตุใหญ่อย่างหนึ่ง ขอท่านได้อนุญาตให้แก่ข้าพเจ้าๆ จะชี้แจงให้ท่านฟัง ซุ่นเตียงเก่ได้ฟังหลวงจีนบอกดังนั้นจึงยกมือขึ้นคำนับแล้วว่า ท่านจะมีธุระเหตุการณ์อันใดจงบอกเถิด ข้าพเจ้าอนุญาตให้ หลวงจีนผู้วิเศษจึงบอกว่า ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเป็นคนใจบุญใจกุศลประกอบด้วยเมตตาจิต ข้าพเจ้ามาทั้งนี้หวังจะบอกให้ท่านทราบเหตุร้ายอันจะเกิดขึ้น ด้วยราษฎรตำบลนี้จะตายด้วยน้ำแดงหลากลงมาจากเหนือ จะท่วมบ้านเรือนราษฎร ราษฎรจะพากันจมน้ำตายเป็นอันมาก ท่านจงจัดหาเรือไว้สำรองเมื่อเวลาน้ำท่วมมาจะได้อาศัย เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้มาแจ้งความแก่ท่านให้ทราบไว้ก่อน จะได้คิดอ่านตระเตรียม ซุ่ยเตียงเก่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงถามหลวงจีนต่อไปว่า น้ำแดงซึ่งจะมาท่วมนั้นจะมีกำหนดวันใดเดือนใดเป็นแน่ หลวงจีนบอกว่าสิงโตศิลาที่ตำบลตลาดโป๊เต๊กพังนั้นเป็นที่กำหนดสังเกต ถ้าสิงโตนั้นมีโลหิตไหลออกมาจากตาเมื่อใดแล้ว น้ำจะท่วมมาเมื่อนั้น ซุ่ยเตียงเก่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าจะต้องป่าวร้องให้ราษฎรในตำบลที่ใกล้เคียงกับข้าพเจ้ารู้ เขาจะได้เตรียมเรือแพไว้ท่า เมื่อเวลาน้ำท่วมจะได้อาศัย หลวงจีนผู้วิเศษ เมื่อได้ฟังซุ่ยเตียงเก่ว่าดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงพูดว่าราษฎรตำบลนี้นอกจากท่านแล้วล้วนแต่คนใจบาปหยาบช้าทั้งสิ้น ท่านจะไปบอกเล่าแก่เขานั้น เขาจะเชื่อถือฟังถ้อยคำของท่านหรือ ซึ่งน้ำจะท่วมมาทั้งนี้ก็เป็นเพราะเคราะห์กรรมของราษฎรทั้งหลาย หากให้เป็นไปตามยถากรรมของเขา แต่ตัวท่านนี้จะรอดจากความตาย เพราะน้ำท่วมนี้แล้ว แต่กระนั้นเคราะห์ของท่านก็ยังจะมีมาถึงอีก กระทำให้ท่านได้ความเดือดร้อนเป็นที่ยิ่ง ซุ่ยเตียงเก่ได้ฟังดังนั้น จึงถามต่อไปว่า ซึ่งท่านทำนายว่าข้าพเจ้ามีเคราะห์ร้าย จะกระทำให้ข้าพเจ้าถึงแก่ความตายหรือไม่ หลวงจีนบอกว่า อันความสุขและทุกข์นั้นเป็นคู่กันย่อมเป็นธรรมดาของเราท่าน ท่านจงหยิบกระดาษกับพู่กันมาให้ข้าพเจ้าๆ จะเขียนอักษรไว้ให้แก่ท่านต่อภายหน้าท่านจึงจะรู้ได้เอง ซุ่ยเตียงเก่ได้ฟังดังนั้น จึงหยิบกระดาษกับพู่กันและหมึกมาให้หลวงจีน ๆ เขียนอักษรเป็นคำโคลงให้ไว้สี่บาท บาทต้นใจความว่าเทียนเหียงอั้งจุ้ยล้วงเล่า บาท ๒ ว่างุ่ยบุ๊ตเสี่ยงอ้วนโปยิกงิว บาท ๓ ว่าจี่อิวหยินหลายฮิวโก๊หุ่น บาท ๔ ว่าอึนเสงยอนเต๊กกำล้าง แปลเป็นภาษาไทยว่าน้ำแดงหลากลงมาจากเหนือท่วมบ้านราษฎร ก็เพราะเทพยดาและเวรกรรมหากให้เป็น ถ้าพบสัตว์แล้วจงช่วยชีวิตสัตว์ๆ นั้นย่อมรู้คุณ แม้ว่าพบมนุษย์ปุถุชนแล้วจงเมินเฉยเสียเถิด อย่าได้กระทำคุณเลย ถ้าทำคุณแล้วคุณนั้นจะกลับบูชาโทษให้ ครั้นหลวงจีนแต่งโคลงแล้วก็ส่งคำโคลงให้แก่ซุ่ยเตียงเก่ ๆ อ่านดูแล้วก็ฉงน คิดคำโคลงนั้นไม่แจ้งว่าจะออกความประการใด จึงถามหลวงจีน ๆ จึงบอกว่าท่านไปภายหน้าก็คงจะรู้ ว่าดังนั้นแล้วหลวงจีนผู้วิเศษจะลาซุ่ยเตียงเก่ไปสู่สำนัก ซุ่ยเตียงเก่จึงเอาเงินสิบตำลึงให้แก่ผู้วิเศษ เป็นค่าเสบียงเดินทาง หลวงจีนผู้วิเศษไม่รับเงินแล้วว่าข้าพเจ้าบวชเรียนจำศีลภาวนาอยู่ตามเขาและป่าหาความสุข ปราศจากทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอบใจท่านยิ่งนัก แต่ทรัพย์ของท่านนั้นท่านจงเก็บไว้จะได้เลี้ยงบ่าวไพร่ของท่าน ว่าดังนั้นหลวงจีนผู้วิเศษก็ลากลับไป ซุ่ยเตียงเก่จึงเข้าไปในตึกชั้นใน เล่าความซึ่งหลวงจีนบอกเหตุร้ายว่าน้ำจะท่วมนั้นให้นางเต็งสีเซ้งภรรยาฟังทุกประการ แล้วซุ่ยเตียงเก่เศรษฐีจึงเรียกช่างมาต่อเรือเตรียมไว้ ๒๐ ลำ จะได้บรรทุกสิ่งของและบุตรภรรยาข้าทาสลงในเรือเมื่อเวลาน้ำท่วม ในขณะเมื่อช่างต่อเรืออยู่นั้นราษฎรไปมาได้แลเห็นดังนั้นจึงถามซุ่ยเตียงเก่เศรษฐีว่า ท่านให้ช่างต่อเรือมากมายลำฉะนี้เพื่อประสงค์ประโยชน์อันใด ซุ่ยเตียงเก่ก็เล่าบอกตามความที่หลวงจีนผู้วิเศษมาบอกนั้นให้ผู้มาถามฟังทุกคน ราษฎรตำบลนั้นได้ฟังซุ่ยเตียงเก่บอกดังนั้นก็พากันหัวเราะหามีความเชื่อถือไม่ ซุ่ยเตียงเก่จึงใช้ให้เหลาโอวซึ่งเป็นคนใช้ไปคอยตรวจดูสิงโตที่ตำบลตลาดเป็นนิตย์ ราษฎรชาวโรงร้านเห็นเหลาโอวมาตรวจดูสิงโตนั้นทุกๆ วัน จึงถามเหลาโอวว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านมาดูสิงโตทุกวันนั้นเพื่อประสงค์ด้วยเหตุอันใด เหลาโอวคนใช้ของเศรษฐีจึงบอกว่า ถ้าสิงโตตัวนี้มีโลหิตไหลออกจากนัยน์ตาเมื่อใดน้ำจะท่วม ราษฎรจะพากันจมน้ำตายเป็นอันมาก เพราะฉะนั้นนายข้าพเจ้าจึงให้ข้าพเจ้ามาคอยตรวจดูอยู่เสมอๆ ถ้าสิงโตมีโลหิตไหลออกจากนัยน์ตาเมื่อใดแล้วจะได้ขนสิ่งของบรรทุกบุตรภรรยาข้าทาสลงเรือ จึงจะพ้นภัยอันนั้น ราษฎรชาวบ้านได้ฟังดังนั้นแล้วถึงพูดว่า ฤดูนี้เป็นฤดูแล้งมีอยู่บ้างหรือที่จะมีน้ำท่วม สิงโตเล่าก็เป็นสิงโตศิลาหรือจะมีโลหิตไหลออกมาได้ คนเช่นนี้เราเห็นอยู่แต่ว่าจะเป็นคนเสียจริตดอกกระมังว่าดังนั้นแล้วก็พากันหัวเราะ ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีชายผู้หนึ่งแซ่ชื่อมิได้ปรากฏ เป็นผู้ขายเนื้อสุกร เป็นผู้พอใจเล่นสัพยอก จึงเอาโลหิตสุกรมาป้ายเข้าที่นัยน์ตาสิงโตตัวนั้น ฝ่ายเหลาโอวไปตรวจดูเห็นนัยน์ตาสิงโตมีโลหิตดังนั้น ก็กลับไปบอกแก่ซุ่ยเตียงเก่เศรษฐีๆ จึงสั่งให้บ่าวไพร่ข้าทาสขนทรัพย์สิ่งของ บรรทุกลงในเรือ ๒๐ ลำที่ต่อไว้นั้น ครั้นเวลากลางดึกก็เกิดลมพายุมืดฟ้ามัวฝน, ฝนตกลงมาข้างทิศเหนือ ถึงสามคืนสามวันมีน้ำแดงหลากไหลลงมา ท่วมหลังคาตึกบ้านร้านของราษฎรพากันจมน้ำตาย ประมาณสองหมื่นเศษ ฝ่ายซุ่ยเตียงเก่เศรษฐี พร้อมด้วยบุตรภรรยาข้าทาสชายหญิงอยู่ในเรือ ลอยไปกลางแม่น้ำหาได้เป็นอันตรายเหมือนคนทั้งหลายไม่ แลเห็นภูเขาๆ หนึ่งพังทลายลง เศรษฐีเห็นค่างฝูงหนึ่งลอยน้ำมา เศรษฐีจึงให้คนใช้เอาไม้ทอดละไปในน้ำ ฝูงค่างนั้นก็เกาะไม้ปีนขึ้นบนเรือของเศรษฐีรอดพ้นจากความตาย ยังมีนกแขวกฝูงหนึ่งลอยน้ำมา ขนปีกเปียกบินขึ้นไม่ได้ ซุ่ยเตียงเก่เห็นก็สั่งให้ข้าทาสซึ่งอยู่ในเรือ แจวเรือเก็บนกแขวกขึ้นมาบนเรือครั้นขนปีกแห้งแล้ว นกนั้นก็บินไปได้ตามปกติ ยังมีชายผู้หนึ่งเกาะขอนไม้ลอยตามน้ำลงมา แลเห็นเรือของเศรษฐีลอยอยู่กลางแม่น้ำ ชายผู้นั้นร้องเรียกว่าขอท่านได้เมตตาช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ด้วยเถิด ซุ่ยเตียงเก่ครั้นเห็นชายเกาะขอนไม้ลอยน้ำมาร้องให้ช่วยดังนั้น ซุ่ยเตียงเก่จึงสั่งบ่าวทาสให้แจวเรือเข้าไปรับ ขณะนั้นนางเตียงสีเซ้ง คิดขึ้นมาได้ถึงคำโคลงของหลวงจีนผู้วิเศษ นางเตียสีเซ้งจึงห้ามซุ่ยเตียงเก่ผู้สามีว่าคำโคลงของหลวงจีนผู้วิเศษว่าไว้ว่า ถ้าทำคุณแก่สัตว์ๆ นั้นคงจะรู้จักคุณ ถ้าทำคุณแก่มนุษย์ๆ จะให้โทษ ซุ่ยเตียงเก่ได้ฟังนางเตียสีเซ้งภรรยาว่าดังนั้นจึงตอบว่า เจ้าเอ๋ยแต่สัตว์เดรัจฉานเรายังช่วยได้, นี่มนุษย์ทั้งคนเราจำจะต้องช่วยไว้จึงจะควร เมื่อเขาไม่รู้จักคุณเราแล้วก็แล้วไป เทพยดารักษ์ก็คงสอดส่องเห็นความดีของเรา ว่าดังนั้นแล้วซุ่ยเตียงเก่ก็ให้คนใช้แจวเรือเข้าไปรับชายผู้นั้นขึ้นมาบนเรือ เศรษฐีจึงให้เสื้อกางเกงใหม่ผลัดนุ่งห่ม จึงถามแซ่และชื่อและตำบลบ้าน ชายผู้นั้นคำนับซุ่ยเตียงเก่แล้วก็ร้องไห้ บอกว่าข้าพเจ้าแซ่เล่า ชื่อเอ้ง บิดาข้าพเจ้าชื่อเล่าโต๊ะ ตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลโป๊เต๊กพัง น้ำท่วมมาบิดากับมารดาจะตายเป็นประการใดก็ไม่แจ้ง, บัดนี้ท่านมีพระเดชพระคุณช่วยชีวิตไว้ข้าพเจ้าจะขออยู่เป็นข้าท่านให้ท่านใช้กว่าจะหาชีวิตไม่ ซุ่ยเตียงเก่เศรษฐีได้ฟังเล่าเอ้งว่าดังนั้น ก็มีความสงสาร ครั้นอยู่มาได้ประมาณ ๒ วันน้ำนั้นก็ลด ซุ่ยเตียงเก่ก็กลับมายังบ้านเดิมซุ่ยเตียงเก่จึงบอกแก่เล่าเอ้งว่า ข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียวจะเอาตัวท่านเป็นบุตรบุญธรรม จะได้เป็นคู่อยู่ด้วยกันกับบุตรข้าพเจ้า เล่าเอ้งได้ฟังซุ่ยเตียงเก่ว่าดังนั้นก็มีความยินดี แล้วก็คำนับซุ่ยเตียงเก่กับเตียสีเซ้ง รับใช้การงานและนับถือเศรษฐีต่างบิดามารดา อยู่มาได้ประมาณหกเดือน ในขณะเมื่อวันเดือนน้ำท่วมบ้านเรือนนั้น นางฮ่องไทเฮ้าซึ่งเป็นพระราชชนนีแห่งพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ เชิญพระราชลัญจกร คือดวงตราหยกของวิเศษ สำหรับแผ่นดินต่อมาทุกชั่วกษัตริย์ลงเรือพระที่นั่งเพื่อจะให้พ้นภัยน้ำแดงมาท่วม ในเวลานั้นดวงตราหยกของวิเศษนั้นได้หายไป ไม่แจ้งว่าจะไปตกอยู่แห่งหนตำบลใด พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้รับสั่งให้มีหมายประกาศป่าวร้องให้ราษฎรรู้ทั่วกันตลอดพระราชอาณาเขตว่า ถ้าผู้ใดได้ดวงตราหยกนั้นนำมาถวายแล้ว จะพระราชทานเงินทองเสื้อผ้าและยศศักดิ์ชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนาง, มีชื่อเสียงปรากฏในแผ่นดิน ครั้นอยู่มาคืนวันหนึ่ง ซุ่ยเตียงเก่นิมิตฝันเห็นว่าเทพยดาองค์หนึ่งมาบอกแก่ซุ่ยเตียงเก่ว่า เซียงเต้คือพระสยมภูวญาณซึ่งเป็นประธานโลก เห็นว่าท่านผู้ตั้งอยู่ในยุติธรรม และประกอบด้วยเมตตาจิตมีน้ำใจไม่ตระหนี่ตั้งอยู่ในศีลทานการกุศล จึงรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาบอกแก่ท่านว่าดวงตราหยกของสำหรับแผ่นดินที่หายไปนั้น ตกอยู่ในสระแก้วหลังพระตำหนักของฮ่องไทเฮ้า ครั้นบอกดังนั้นแล้ว เทพยเจ้าก็อันตรธานหายไป ซุ่ยเตียงเก่ก็ได้สติตื่นรู้สึกตัวทันที จึงเล่าความฝันให้ภรรยากับบุตรฟังทุกประการ ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าคนใช้ของซุ่ยเตียงเก่มาบอกว่า บัดนี้มีหมายประกาศปิดป่าวร้องว่าตราหยกของวิเศษสำหรับแผ่นดินหาย ถ้าผู้ใดพบปะรู้เห็นนำไปถวายจะพระราชทานยศศักดิ์ลาภผลเป็นอันมาก ซุ่ยเตียงเก่จึงปรึกษากับภรรยาว่า ความฝันของเราต้องกันตรงกันแก่หมายประกาศ จะต้องให้บุตรของเราเข้าไปยังเมืองหลวงแจ้งความแก่เสนาบดี ให้นำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ตามความที่ข้าฝันนั้น เจ้าจะเห็นเป็นอย่างไร นางเตียสีเซ้งได้ฟังซุ่ยเตียงเก่ปรึกษาดังนั้นจึงว่าลาภและยศนั้นย่อมเป็นธรรมดา เมื่อจะมีมาถึงจริงแล้วโดยแต่จะไม่ขวนขวายก็หากจะต้องได้อยู่เองโดยธรรมดา บุตรของเรามีอยู่ผู้เดียวเท่านี้ ถ้าจะให้ไปเล่าระยะทางก็ห่างไกลและกันดาร จะได้ความลำบาก ขณะนั้นเล่าเอ้ง นั่งอยู่ในที่นั้นได้ฟังซุ่ยเตียงเก่ปรึกษาแก่ภรรยาดังนั้น จึงเข้ามาใกล้แล้วคำนับพูดว่าพระคุณของท่านซึ่งได้ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ และอุปถัมภ์บำรุงเลี้ยงรักษาเสมอเหมือนบิดามารดาอันบังเกิดเกล้าฯ บัดนี้ข้าพเจ้าจะขออาสาท่านไปเมืองหลวงสืบข่าวคราวดูก่อน ถ้าเห็นช่องควรจะแจ้งความต่อเสนาบดีให้นำกราบทูลได้แน่นอนแล้วซุ่ยเข้งจึงค่อยไปต่อภายหลัง ซุ่ยเตียงเก่เศรษฐี ได้ฟังเล่าเอ้งพูดจาชี้แจงดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงจัดเงินเป็นค่าเดินทางให้แก่เล่าเอ้งแล้วว่า ถ้าน้องท่านได้ดีก็คงจะได้ดีด้วยกัน อย่ามีความกินแหนงแคลงใจสิ่งใดเลย เล่าเอ้งก็คำนับลาซุ่ยเตียงเก่ออกจากตำบลติ้นตั๋ง เดินทางรอนแรมหลายวันมาจนถึงเมืองหลวงก็เข้าพักยังโรงเตี๊ยม แล้วเล่าเอ้งปลดเอากระดานป้ายซึ่งปิดหมายประกาศนั้นออกเสีย ส่วนทหารผู้รักษาตำบลท้องที่ตำบลนั้น เห็นเล่าเอ้งทำดังนั้นก็คุมเอาตัวเล่าเอ้งเข้าไปหาอ๋องใจเสียง ขุนนางผู้ใหญ่ๆ จึงถามเล่าเอ้งว่ารู้เห็นอย่างไรในเรื่องตราหยกดวงนี้ จึงสามารถมั่นแก่ใจปลดเอาหมายประกาศออกเสียฉะนี้ เล่าเอ้งคำนับแล้วบอกว่า เทพยดามาดลใจให้นิมิตฝันว่าพระราชกรตราหยกวิเศษนั้น ตกจมอยู่ในกลางสระแก้วที่หลังพระตำหนักของฮ่องไทเฮ้า ถ้าให้คนลงไปค้นหาคงจะพบ อ๋องใจเสียงได้ฟังเล่าเอ้งแจ้งความดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้เล่าเอ้งพักอยู่ยังก๋งก๊วน แล้วอ๋องใจเสียงก็เข้าไปเฝ้ากราบทูลพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ โดยกระแสความตามที่เล่าเอ้งมาบอกเล่าความฝันนั้นให้ทรงทราบทุกประการ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังอ๋องใจเสียงกราบทูลดังนั้นก็มีพระทัยยินดียิ่งนัก ด้วยวันนั้นเป็นวันสารทฤดูเดือนสิบ พระองค์ทรงประทับโต๊ะเสวยพร้อมด้วยนางพระสนมฝ่ายใน อยู่ในสวนพระราชอุทยานหลังพระตำหนักจึงรับสั่งให้หญิงคนใช้ลงไปดำค้นหาดวงตราหยกในสระแก้ว พวกผู้หญิงลงไปดำค้นหาได้ดวงตราหยก นำขึ้นมาถวายพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ๆ ครั้นได้ตราหยกของวิเศษสำหรับแผ่นดินแล้วมีพระทัยยินดียิ่งนัก เสด็จออกยังที่ว่าราชการจึงรับสั่งให้หาเล่าเอ้งเข้ามาเฝ้า เล่าเอ้งก็ถวายบังคมตามธรรมเนียม แล้วก็เดินถอยออกมายืนอยู่ในสถานที่อันควร พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้จึงตรัสถามเล่าเอ้งว่า เจ้าฝันเห็นไปหรือว่าเทวดามาบอกให้ จึงได้รู้ว่าตราหยกวิเศษของเราตกอยู่ในสระแก้ว เล่าเอ้งจึงทูลรับ รับสั่งชิงเอาความชอบของซุ่ยเตียงเก่เศรษฐี ปิดบังความจริงที่ซุ่ยเตียงเก่เป็นผู้ฝันเห็นนั้น พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังเล่าเอ้งกราบทูลดังนั้น ทรงสำคัญเข้าพระทัยว่าเป็นความจริงของเล่าเอ้ง ก็ทรงพระกรุณาปราณีตรัสสรรเสริญเล่าเอ้งว่า ท่านนี้ชะรอยจะได้กระทำความดีอันเป็นส่วนกุศลสุจริตไว้เป็นอันมากมาแต่ก่อนแล้ว จึงเทพยดาเจ้าได้อนุเคราะห์บันดาลดลใจให้ท่านฝันเห็น จึงมีความชอบต่อแผ่นดินดังนี้ ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จขึ้น ครั้นวันฤกษ์ดีมีรับสั่งให้พนักงานจัดโต๊ะและสุราเลี้ยงขุนนางฝ่ายทหารพลเรือน พร้อมด้วยพระญาติพระวงศ์ในพระที่นั่ง พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้จึงพระราชทานนางก๋งจู๊พระราชธิดาที่สอง ซึ่งเป็นบุตรนางฮ่องหนึ่งสนมให้แก่เล่าเอ้ง แล้วทรงให้เล่าเอ้งรับยศในตำแหน่งไซช้อฮู่ม้า เล่าเอ้งครั้นได้รับตำแหน่งแล้ว ก็ถวายบังคมลาออกไปอยู่ด้วยนางก๋งจู๊ เล่าเอ้งครั้นมียศศักดิ์วาสนาบริบูรณ์ไปด้วยเงินทองทรัพย์สมบัติบ่าวไพร่แล้ว ก็ลืมซุ่ยเตียงเก่ผู้มีคุณเสีย ฝ่ายซุ่ยเตียงเก่เศรษฐีครั้นแจ้งความว่า เล่าเอ้งมีวาสนาได้เป็นขุนนางตำแหน่งที่ฮู่ม้าราชบุตรเขยของพระเจ้าแผ่นดิน ซุ่ยเตียงเก่จึงให้ซุ่ยเข้งผู้บุตรเข้าไปยังเมืองหลวง สืบดูว่าจะจริงดังคำเล่าลือหรือไม่ ซุ่ยเข้งก็จัดเงินใส่ไถ้พอสมควรเป็นเสบียงเดินทางพร้อมแล้วก็คำนับลาซุ่ยเตียงเก่และมารดา ซุ่ยเข้งกับคนใช้คนหนึ่งชื่อเส่ยหยีออกจากบ้านรอนแรมมาหลายวัน ถึงเมืองตังเกียคือเมืองหลวง ซุ่ยเข้งกับเส่ยหยีก็เข้าพักอยู่โรงเตี๊ยม แล้วซุ่ยเข้งก็เที่ยวสืบถามตามราษฎรชาวบ้านร้านตลาดได้ความว่าเล่าเอ้งเป็นขุนนางตำแหน่งที่ฮู่ม้า ซุ้ยเข้งก็คอยหาโอกาสที่จะให้พบแก่เล่าเอ้ง อยู่มาวันหนึ่งเล่าเอ้งก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินแล้วกลับออกมา ซุ่ยเข้งเห็นเล่าเอ้งขี่ม้ามีพลทหารนำหน้าตามหลังหลายสิบคน เป็นที่สง่ายิ่งนัก ซุ่ยเข้งจึงยืนอยู่ข้างทาง พอเล่าเอ้งซึ่งเป็นคนอกตัญญูมิได้รู้คุณท่านที่ผู้มีคุณแลเห็นซุ่ยเข้งบุตรของเศรษฐีก็กระทำเป็นไม่รู้จัก จึงตวาดด้วยเป็นอันดังว่า อ้ายคนนี้มาจากไหนสามารถมาตัดหน้าฉานกู ทหารจงจับเอาตัวไปทำโทษ พวกทหารก็กรูกันเข้าจับตัวซุ่ยเข้งไปยังบ้านเล่าเอ้ง แล้วก็ยึดตัวลงตี ๒๐ ตี เนื้อหนังแตกเลือดไหล ซุ่ยเข้งได้ความจับปวดยิ่งนัก แล้วเล่าเอ้งสั่งให้คุมตัวซุ่ยเข้งไปจำขังไว้ ณ คุก ซุ่ยเข้งก็ร้องไห้เล่าความหลังซึ่งได้กระทำคุณไว้ต่อเล่าเอ้ง ตั้งแต่ต้นจนปลายให้ผู้คุมฟังทุกประการ ฝ่ายเส่ยหยีคนใช้ของซุ่ยเข้งซึ่งพักอยู่โรงเตี้ยม ครั้นแจ้งความว่า เล่าเอ้งเฆี่ยนตีซุ่ยเข้งแล้วเอาตัวไปจำขังไว้ ณ คุกก็ตกใจ เส่ยหยีก็ไปยังคุกหาที่พักอยู่นอกคุก หุงต้มอาหารปฏิบัติซุ่ยเข้งผู้นายอยู่ช้านาน เงินทองของซุ่ยเข้งก็หมดลง จนถึงเส่ยหยีต้องไปเที่ยวขอทานชาวบ้านร้านตลาดมาเลี้ยงซุ่ยเข้ง ครั้นอยู่มาฝูงค่าง ที่ซุ่ยเข้งได้ช่วยชีวิตไว้เมื่อครั้งน้ำท่วมนั้น ฝูงค่างนั้นก็นำเอาเนื้อย่างและผลไม้มานั่งคอยอยู่บนต้นไม้ ครั้นเห็นผู้คุมๆ ตัวซุ่ยเข้งออกมานอกคุก ฝูงค่างนั้นก็ลงมาจากยอดไม้ เอาผลไม้กับเนื้อโคย่างมาให้ซุ่ยเข้งมิได้ขาดวัน ผู้คุมเห็นประหลาดดังนั้นจึงถามซุ่ยเข้งๆ จึงบอกว่าเมื่อครั้งน้ำท่วมนั้น สัตว์เหล่านี้บิดาของข้าพเจ้ากับข้าพเจ้าได้ช่วยชีวิตไว้ พร้อมกันกับช่วยชีวิตเล่าเอ้งวันเดียวกัน สัตว์เหล่านี้รู้คุณของข้าพเจ้า จึงได้เอาผลไม้และเนื้อย่างมาแทนคุณข้าพเจ้า ผู้คุมได้ฟังซุ่ยเข้งเล่าให้ฟังดังนั้น ก็ถอนใจใหญ่แล้วจึงพูดว่า ชั้นแต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังรู้คุณคน เป็นมนุษย์ไม่รู้จักคุณท่านผู้มีคุณแล้ว สู้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ได้ ดูเป็นน่าอับอายแก่เดรัจฉานอันเป็นชาติต่ำช้านัก อยู่มาวันหนึ่งฝูงนกแขวกบินมาจับอยู่หน้าคุก ครั้นเห็นซุ่ยเข้งออกมานอกคุก นกแขวกฝูงนั้นก็บินลงมายืนใกล้ซุ่ยเข้งแล้วก็ร้องขึ้น ซุ่ยเข้งเห็นนกแขวกฝูงนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อครั้งน้ำท่วมได้ช่วยชีวิตนกเหล่านี้ไว้ แล้วซุ่ยเข้งจึงว่า ถ้านกนี้รู้คุณของเราแล้วจงช่วยนำเอาหนังสือข่าวทุกข์ร้อนของเรา กลับไปให้แก่บิดามารดาของเราให้รู้ด้วยเถิด ซุ่ยเข้งว่าดังนั้นแล้วก็ยืมหมึกพู่กันและกระดาษของนายผู้คุมมาเขียนหนังสือ ใจความว่าด้วยเล่าเอ้งไม่รู้จักคุณ กลับพาลเฆี่ยนตีแล้วจับตัวขังคุกให้เศรษฐีผู้บิดาแจ้งทุกประการ ครั้นเขียนหนังสือแล้วก็เข้าผนึก แล้วเอาเส้นด้ายร้อยหนังสือผูกเข้ากับตัวนกแขวกตัวหนึ่ง นกนั้นก็บินไป ประมาณสองวันก็ถึงบ้านเศรษฐี ฝ่ายซุ่ยเตียงเก่กับนางเตียสีเซ้ง ออกไปนั่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ รำพันบ่นถึงซุ่ยเข้งผู้บุตรที่เข้าไปเมืองหลวงช้านานหลายวันแล้วยังไม่เห็นกลับมา พอแลไปเห็นนกแขวกบินถลาลงมายืนร้องอยู่ใกล้ๆ ซุ่ยเตียงเก่เห็นมีหนังสือผูกติดอยู่กับตัวนก เป็นการประหลาดมากดังนั้นจึงแก้หนังสือออกจากตัวนก เปิดผนึกออกอ่านแจ้งความทุกประการแล้ว ก็เล่าความให้นางเตียสีเซ้งภรรยาฟังทุกประการ นางเตียสีเซ้งก็ร้องไห้คิดถึงบุตร ที่ไปได้ความทุกข์ยาก แล้วบ่นว่าซุ่ยเตียงเก่ผู้สามีว่าท่านหลวงจีนผู้วิเศษได้ทำนายไว้แล้ว ท่านก็ไม่เชื่อ ขืนกระทำคุณต่อมนุษย์ ข้าพเจ้าจักเตือนท่านๆ ก็ไม่เชื่อ บุตรข้าพเจ้าจึงได้ความทุกข์ยากถึงเพียงนี้ ซุ่ยเตียงเก่ได้ฟังภรรยาว่าดังนั้น ให้มีความแค้นเล่าเอ้งยิ่งนัก ซุ่ยเตียงเก่จัดได้เงินทองใส่ไถ้กับคนใช้ตามไปสี่ห้าคน ออกจากบ้านเดินทางรอนแรมมาตามระยะทางมาหลายเวลา ถึงเมืองตังเกียเที่ยวสืบถามชาวบ้านร้านตลาดได้ความจริงว่า ซุ่ยเข้งผู้บุตรต้องจำอยู่ในคุกกองมหันตโทษ ซุ่ยเตียงเก่เดินไปพอได้ครึ่งทางพบเส่ยหยีซึ่งเป็นคนใช้ ที่ให้มากับซุ่ยเข้งผู้บุตร ไปเที่ยวขอทานกลับมา เส่ยหยีครั้นเห็นซุ่ยเตียงเก่เศรษฐี แล้วก็เข้ามากอดเอาเท้าเศรษฐีผู้นายแล้วก็ร้องไห้ เล่าความที่เล่าเอ้งกระทำให้ซุ่ยเข้งต้องทนทุกข์อยู่ในคุกให้ซุ่ยเตียงเก่ฟังทุกประการ แล้วเส่ยหยีก็พาเศรษฐีเข้าไปพบแก่ซุ่ยเข้งที่ในคุก ซุ่ยเข้งเห็นเศรษฐีผู้บิดามาก็มีความยินดี ก็เล่าความให้บิดาฟังทุกประการ ซุ่ยเตียงเก่จึงว่าบิดาจะไปให้พบแก่เล่าเอ้ง ถ้าเป็นประการใดบิดาจะทำฟ้องไปยื่นต่อท่านเปาเล่งถูให้ชำระ ว่าดังนั้นแล้วซุ่ยเตียงเก่ก็ไปยังบ้านเล่าเอ้ง แลเห็นตึกกว้างบ้านเรือนภาคภูมิใหญ่โตรโหฐาน มีบ่าวไพร่ผู้คนเข้าออกเป็นสง่าผ่าเผย ซุ่ยเตียงเก่จึงเข้าไปนั่งคอยอยู่ในห้องตึกชั้นนอก พอเล่าเอ้งออกมาซุ่ยเตียงเก่จึงว่าตัวท่านบัดนี้ก็ได้ดีแล้วมาลืมเราเสีย ถึงกระนั้นก็ช่างเถิด ยังมิหนำกระทำให้บุตรของเราได้ความเดือดร้อนถึงสาหัส เห็นควรอยู่แล้วหรือ ฝ่ายเล่าเอ้ง ครั้นเห็นซุ่ยเตียงเก่ว่ากล่าวดังนั้นก็มีความละอายจึงกลับเข้าไปข้างในปิดประตูเสียมิให้ซุ่ยเตียงเก่ตามเข้าไปได้ ซุ่ยเตียงเก่มีความแค้นเล่าเอ้งยิ่งนัก จึงไปยังเมืองคัยฮงหู ทำฟ้องไปยื่นต่อเปาเล่งถู มีในความว่าตั้งแต่วันน้ำท่วมราษฎรล้มตายนั้นและได้ช่วยชีวิตเล่าเอ้ง แล้วเอาเล่าเอ้งเลี้ยงไว้ จนถึงซุ่ยเตียงเก่นิมิตเห็นว่าเทพรักษ์มาบอกเล่าด้วยเรื่องดวงตราหยกตกอยู่ในสระแก้ว มาจนถึงเล่าเอ้งกระทำข่มเหงเฆี่ยนตี แล้วจำขังซุ่ยเข้งไว้ในคุกจนทุกวันนี้ เปาเล่งถูรับฟ้องมาตรวจดูแล้วคิดจะเอาตัวเล่าเอ้งมาชำระ จึงให้ซุ่ยเตียงเก่ซุ่มอยู่ในบ้านเปาเล่งถูๆ จึงให้นักการไปเมืองตังเกียสอบถามถ้อยคำของซุ่ยเข้ง จะตรงกันกับฟ้องของซุ่ยเตียงเก่หรือไม่ ครั้นนักการไปสอบถามได้ความแล้วกลับมาแจ้งความ เปาเล่งถูเห็นถ้อยคำของซุ่ยเข้งตรงกันสมกันกับฟ้องของซุ่ยเตียงเก่ทุกประการ เปาเล่งถูจึงสั่งให้พ่อครัวจัดโต๊ะและสุราไว้พร้อม จึงมีเทียบไปเชิญเล่าเอ้งมากินเลี้ยงที่บ้านเปาเล่งถู ณ เมืองคัยฮองหู ซึ่งเป็นเมืองด่านของเมืองตังเกีย ระยะทางเดินด้วยม้าสองชั่วโมงจึงจะถึง เปาเล่งถูจึงกระซิบสั่งคนใช้สำหรับรินสุราเลี้ยงนั้น ให้จัดสุราใส่ในป้านคะเนเพียงสามถ้วย ถ้าสุราในป้านหมดให้ร้องบอกว่าหมด ครั้นเปาเล่งถูจัดการดังนั้นแล้ว พอเล่าเอ้งมาถึงเปาเล่งถูจึงเชิญเล่าเอ้งเข้านั่งโต๊ะเสพสุราเป็นที่รื่นเริง ขณะเมื่อนั่งรับประทานสุราอยู่นั้น เปาเล่งถูชำเลืองดูป้านสุราที่คนใช้รินให้เล่าเอ้งฮู่ม้ากินนั้น พอน้ำสุราหมดลง เปาเล่งถูจึงกระทำเป็นพูดขึ้นว่า เอาสุราเพิ่มเติมมาอีกให้ท่านฮู่ม้ากิน คนใช้จึงบอกว่าหมดแล้ว เปาเล่งถูจึงว่าน้ำสุราหมดแล้วเอาน้ำท่าก็ได้ คนใช้จึงตักเอาน้ำท่าใส่ป้านมารินให้เล่าเอ้งฮู่ม้ากิน เล่าเอ้งมีความโกรธจึงพูดว่า ขุนนางฝ่ายทหาร พลเรือนและเจ้านายผู้ใหญ่ผู้น้อย ก็ยังไม่มีผู้ใดดูหมิ่นข้าพเจ้า แต่ท่านดูหมิ่นข้าพเจ้าเสียจริงๆ เปาเล่งถูตอบว่า ในเมื่อวันเดือนแปดปีนี้น้ำทั้งลำแม่น้ำท่านฮู่ม้ายังกินเข้าไปได้ มาบัดนี้มีน้ำอยู่ป้านเดียวเท่านั้น ท่านจะกินไม่ได้หรือ เล่าเอ้งได้ฟังเปาเล่งถูพูดจาแดกดันกระทบถึงเรื่องซุ่ยเตียงเก่เศรษฐีช่วยชีวิตขึ้นมาจากน้ำก็ตกใจ ขณะนั้นซุ่ยเตียงเก่เดินมาใกล้เล่าเอ้ง ยกมือขึ้นชี้หน้าเล่าเอ้งแล้วจึงพูดว่า คนผู้นี้ข้าพเจ้าได้กระทำคุณไว้แล้วกลับลบหลู่คุณของข้าพเจ้าเสีย ยังมิหนำกระทำให้บุตรของข้าพเจ้าได้รับความเดือดร้อนด้วย พระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงทราบทรงชุบเลี้ยงไว้ ภายหลังคงจะหลู่คุณพระเจ้าแผ่นดินอีกเป็นแน่ ขอท่านได้ชำระให้เห็นเท็จและจริงโดยยุติธรรมเถิด ขณะนั้นนักการและคนใช้ของเปาเล่งถู ก็ปิดประตูบ้านเสียทันที เปาเล่งถูจึงถอดหมวกและเสื้อยศของเล่าเอ้งออกแล้วจึงให้นักการตีสี่สิบทีแล้วถามตามคำฟ้องหาของซุ่ยเตียงเก่เศรษฐีฟ้องนั้น เล่าเอ้งก็ให้การรับถูกต้อง สมดังคำของซุ่ยเตียงเก่ฟ้องทุกประการ เปาเล่งถูจึงเรียบเรียงข้อความตามเรื่องราวของซุ่ยเตียงเก่เศรษฐีกับถ้อยคำของเล่าเอ้ง ที่ให้การรับถูกต้อง สมดังคำฟ้องของซุ่ยเตียงเก่เศรษฐี นำเข้าไปถวายพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ๆ จึงรับสั่งให้หาตัวซุ่ยเตียงเก่เข้าไปเฝ้าแล้วตรัสถาม ซุ่ยเตียงเก่กราบทูลตามข้อความตั้งแต่หลวงจีนผู้วิเศษทำนายด้วยเรื่องน้ำจะท่วม มาจนถึงเล่าเอ้งกระทำแก่ซุ่ยเข้งผู้บุตร ให้พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ทรงทราบทุกประการ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ตรัสสรรเสริญซุ่ยเตียงเก่เศรษฐีว่า ท่านนี้เป็นผู้ใจบุญ เทพยดาจึงได้ช่วยอุปถัมภ์บำรุงมิให้ถึงแก่ความล่มจม วันพรุ่งนี้เราจะต้องตัดสินเล่าเอ้งคนอกตัญญู ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จเข้าข้างใน ครั้นรุ่งขึ้นพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ เสด็จออกราชการ จึงรับสั่งให้เปาเล่งถูถอดซุ่ยเข้งออกจากคุก แล้วโปรดพระราชทานเครื่องยศและตั้งให้เป็นผู้รักษาเมืองบู๊เสียกุ๊ย แล้วตั้งให้ซุ่ยเตียงเก่เป็นขุนนาง ตำแหน่งอิวซูคี้หงี เป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือนราษฎรให้รู้จักคุณและโทษ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ครั้นประทานให้ยศแก่เศรษฐีแล้ว จึงรับสั่งว่าเล่าเอ้งผู้นี้ ซุ่ยเตียงเก่เขาก็ได้กระทำคุณกลับบูชาโทษให้เขา โทษควรเอาไปประหารชีวิตเสีย ครั้นรับสั่งดังนั้นแล้วก็เสด็จขึ้น เจ้าพนักงานก็เอาตัวเล่าเอ้งไปประหารชีวิตเสียตามรับสั่งตามเรื่องเศรษฐีซุ่ยเตียงเก่นี้ควรเป็นคติหลายอย่าง เมื่อว่าตามธรรมเนียมโลก ที่จะห้ามมิให้เกื้อกูลอนุเคราะห์แก่เพื่อนมนุษย์ เมื่อเวลาตกยากก็จะขาดความกรุณาไป ควรแต่จะทำคุณไว้ฝ่ายเดียว ด้วยเป็นการดีทั้งโลกและธรรม แต่ไม่ควรที่จะไว้ใจวางใจแก่มนุษย์ตามคำสุภาษิต ที่ท่านกล่าวว่ายากที่รู้ใจของเขาว่าดีและร้ายประการใด สันดานเดิม เป็นนิสัยติดเนื่องมาก็มีในการดีและการชั่วเกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัยในปัจจุบันก็มี จึงให้กลับดีกลับชั่วได้ ยกไว้แต่ใจพระอริยะเจ้าสี่คู่แปดหมู่เท่านั้นวางใจได้ ประการหนึ่งว่าโดยทางความ ความเรื่องนี้ไม่สู้ลึกลับและยากแก่ผู้พิจารณายากเท่าเล่าเอ้งเป็นพระราชบุตรเขยเท่านั้น ถ้ามิใช่เปาเล่งถูและมิใช่พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ บางทีจะเลยกลบเกลื่อนแปรผันไปได้หลายทาง ควรเราท่านผู้อ่านผู้ฟังจะจดจำจารึกไว้ในใจว่าคนชั่วประกอบการทุจริต แม้จะได้ลาภยศศักดิ์ก็จะเป็นไปได้คราวหนึ่ง แต่จะไม่ยั่งยืนยืดยาวมั่นคงถาวร ตนคงจะต้องรับผลของความทุจริตที่เป็นบาป อันตนได้กระทำไว้ ดุจเล่าเอ้งที่ได้กล่าวมานี้เป็นตัวอย่าง
3100
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / เผือกกวน สูตรและวิธีทำ
เมื่อ: 23 มิถุนายน 2559 05:57:06
. เผือกกวน • ส่วนผสม - เผือก ½ กิโลกรัม - หัวกะทิ 2 ถ้วย - น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย - น้ำตาลตโนด หรือน้ำตาลปีบ ¼ ถ้วย - เกลือป่น ¼ ช้อนชา - สีม่วงสำหรับผสมเบเกอรี่ ½ ช้อนชา (ถ้าประสงค์ จะให้เผือกกวนมีสีม่วงเข้ม) • วิธีทำ 1.ล้างเผือกให้สะอาด แล้วผ่าเป็น 4 ซีก หรือแล้วแต่ขนาดของเผือก นำไปนึ่งจนสุก 2.ลอกเปลือกเผือกออก แล้วบดหรือปั่นให้ละเอียด 3.ผสมกะทิ 1 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย น้ำตาลปีบ เกลือป่น และสีม่วง ลงในกระทะทอง ยกขึ้นตั้งไฟจนน้ำตาลละลาย ใส่เผือกบดลงผสมกับกะทิ กวนจนงวด 4.ใส่กะทิส่วนที่เหลืออีก 1 ถ้วย กวนต่อไปจนแห้งขนาดปั้นได้ 5.ตักเผือกกวนใส่ภาชนะ พักไว้จนแห้ง นำไปตัดหรือใส่พิมพ์เป็นรูปต่างๆ นึ่งเผือกทั้งเปลือก พอสุกแล้วลอกเปลือกทิ้ง
บดหรือปั่นให้ละเอียด (ผู้ทำต้องการเผือกที่ไม่ละเอียดมาก จึงใช้วิธีบด)
ผสมน้ำตาล เกลือ กะทิ (หัวกะทิคั้นไม่ผสมน้ำ 100% นำไปแช่ช่องฟรีช...ยังไม่ละลายดี)
ตั้งไฟให้น้ำตาลละลาย
ใส่สีม่วง ½ ช้อนชา คนให้ละลายเข้ากัน
ใส่เผือกลงไปกวนจนเกือบแห้ง
ใส่กะทิส่วนที่เหลือ แล้วกวนต่อไป
กวนจนแห้ง ขนาดปั้นได้
ตักใส่ภาชนะ ทิ้งไว้จนเย็นสนิท จึงใส่ถาดตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม หรือกดในพิมพ์ขนมรูปต่างๆ
เผือกกวนทำครั้งเดียวแต่รูปภาพให้สีสันต่างกัน เพราะทำในครัวค่อนข้างมืด
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74 75 76 77 78 79 80 81 82 83 84 85 86 87 88 89 90 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100 101 102 103 104 105 106 107 108 109 110 111 112 113 114 115 116 117 118 119 120 121 122 123 124 125 126 127 128 129 130 131 132 133 134 135 136 137 138 139 140 141 142 143 144 145 146 147 148 149 150 151 152 153 154 155 156 157 158 159 160 161 162 163 164 165 166 167 168 169 170 171 172 173 174 175 176 177 178 179 180 181 182 183 184 185 186 187 188 189 190 191 192 193 194 195 196 197 198 199 200 201 202 203 204 205 206 207 208 209 210 211 212 213 214 215 216 217 218 219 220 221 222 223 224 225 226 227 228 229 230 231 232 233 234 235 236 237 238 239 240 241 242 243 244 245 246 247 248 249 250 251 252 253 254 255 256 257 258 259 260 261 262 263 264 265 266 267 268 269 270 271 272 273 274 1 ... 153 154 [155 ] 156 157 ... 274